Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
28 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

ครม.มีมติเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งเบนซิน-ดีเซล มีผลวันที่ 1 ก.พ. นี้

. . .


ครม.มีมติเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งเบนซิน-ดีเซล มีผลวันที่ 1 ก.พ. นี้

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แถลงว่า วันที่ 28 ม.ค. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทางเลือกจากพืชการเกษตรในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ และ รักษาเสถียรภาพในภาคการคลังและระบบเศรษฐกิจ โดยเสนอให้ปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้

น้ำมันเบนซิน91 และ 95 จากเดิม 3.685 ปรับเป็น 5 บาท, อี10 จาก 3.3165 เป็น 3.317 บาท, อี85 2.5795 เป็น 0.75 บาท, ดีเซลกำมะถันต่ำ 2.305 เป็น 3.305, ดีเซลกำมะถันสูง 2.405 เป็น 4 บาท และไบโอดีเซล 2.189 บาทเป็น 2.190 บาท

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นต้นไป

การดำเนินการดังกล่าวรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 1,917 ล้านบาท และได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ รักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกให้มีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด และให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลป้องกันไม่ให้เกิดการกักตุนน้ำมันเพื่อจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สพน.) กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลเห็นชอบปรับขึ้นภาษีน้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่มเบนซินประมาณ 1 บาท/ลิตร หรือไปเต็มเพดานที่ประมาณ 5 บาท/ลิตร ทำให้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น จากเดิมที่คาดไว้ 3,000 ล้านบาท อาจจะต้องใช้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยชะลอการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะทยอยขึ้นราคา 2-3 ครั้ง ครั้งละ 0.80 – 1.00 บาทต่อลิตร จนได้ตามอัตราภาษีที่กำหนด ทั้งหมดนี้จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธานวันที่ 29 ม.ค.นี้

. . .



ครม.เห็นชอบจ่าย 2,000 บาท ให้รัฐวิสาหกิจ - อปท. และอนุมัติ 607 ล้านบาทซื้อหนี้เกษตรกร

นายบัณฑูร สุภัควณิช ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจัดสรรเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อราย เพิ่มให้กลุ่มข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐวิสาหกิจมีกรอบเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท ส่วน อปท. ไม่เกิน 14,990 บาท หรือไม่เกินระดับซี 5 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนรวมประมาณ 38,000 ราย ใช้เงินจากโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพในส่วนข้าราชการที่มีอยู่ 18,000 ล้านบาท หากไม่พอจะใช้งบฉุกเฉินช่วยเหลือเพิ่มเติม

. . .


ครม.อนุมัติกองทุนฟื้นฟูฯ ซื้อหนี้เกษตรกร 607 ล้านบาท

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ รักษาการเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กองทุนฟื้นฟูฯ รับซื้อหนี้จากบุคคลที่ 3 เพื่อนำไปฟื้นฟูต่อ โดยต้องเป็นเกษตรกรและผู้มีหนี้สินด้านการเกษตร จำนวนเกษตรกรที่เข้าข่ายช่วยเหลือหนี้มีจำนวน 1,187 ราย วงเงิน 607 ล้านบาท เป็นหนี้สถาบันการเงิน 1,141 ราย มูลหนี้ 582 ล้านบาท โดยจำนวนนี้เป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงไทยถึง 478 ราย มูลหนี้ 258 ล้านบาท ซึ่งจะหารือกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทยในการดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ มีลูกหนี้จำนวน 46 ราย เป็นหนี้ต่อเจ้าหนี้อื่นๆ จะมีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อเจรจาซื้อหนี้กับเจ้าหนี้ต่างๆ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้

. . .




ครม.อนุมัติขยายเวลาจ่ายเงินทดแทนคนตกงานจาก 6 เดือนเป็น 8 เดือน พร้อมอนุมันติงบ 120 ล้าน รองรับโครงการฝึกอบรมคนตกงาน และบัณฑิตจบใหม่

นายพุฒิพงศ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติขยายเวลาจ่ายเงินทดแทนในกรณีว่างงานจากเดิม 180 วัน ( 6 เดือน) เป็น 240 วัน ( 8 เดือน) และขยายช่วงเวลาการใช้มาตรการดังกล่าว จากวันที่ 1 มกราคม -31 ธันวาคม 2552 เป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2551 - 31 ธันวาคม 2552 เนื่องจากตัวเลขผู้ถูกเลิกจ้างงานในเดือนธันวาคม 2551 มีตัวเลขสูงกว่าหลายเดือนในปีเดียวกัน คือ ประมาณกว่า 50,000 คน
นอกจากนี้ ยังอนุมัติงบประมาณวงเงิน 120 ล้านบาท เพื่อรองรับผู้ว่างงาน หรือบัณฑิตจบใหม่ ในการฝึกอบรมคนเหล่านี้ พร้อมมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน

. . .



รัฐบาลเตรียมยุบกิจการไทยแลนด์อีลิทการ์ด

นาย พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตให้ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากลับไปจัดทำรายละเอียด แผนการบริหารงานโครงการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นพิเศษ สำหรับสมาชิกไทยแลนด์อีลิทการ์ด เนื่องจากเห็นว่าผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อ เนื่อง และให้นำกลับมาเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์
"นายกฯ ตั้งข้อสังเกตถึงภาวะการคุ้มทุน เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมาประสบภาวะการขาดทุน จึงให้กลับไปดูว่าจะดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิกอย่างไร หากในอนาคตจะมีการยกเลิกโครงการนี้" รองโฆษกฯ ระบุ
สำหรับผลประกอบการในโครงการไทยแลนด์อีลิทการ์ด พบว่า มียอดขาดทุนทุกปี โดยปี 46 มีสมาชิก 139 ราย ขาดทุน 134 ล้านบาท, ปี 47 มีสมาชิก 466 ราย ขาดทุนสะสม 384 ล้านบาท, ปี 48 มีสมาชิก 251 ราย ขาดทุนสะสม 843 ล้านบาท เป็นต้น

. . .



กระทรวงพาณิชย์-ผู้ค้าทองคำตั้งคณะทำงานกำหนดแนวปฏิบัติซื้อขายที่เป็นธรรม

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังหารือร่วมกับนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เพื่อสอบถามเหตุผลการปิดทำการของร้านทองย่านเยาวราชช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 26-27 มกราคม ว่า นายจิตติ ชี้แจงว่า ในช่วงวันดังกล่าวราคาทองคำตลาดโลกไม่มีการซื้อขาย รวมถึงตลาดเอเชียหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีน จึงไม่มีราคาอ้างอิง ประกอบกับราคาทองมีการปรับขึ้นจึงทำให้ประชาชนนำทองคำแท่งมาขายจำนวนมาก และที่สำคัญการสำรองเงินแต่ละร้านทองมีน้อย มีเงินสดไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องปิดร้านทอง
นายยรรยง กล่าวว่า เท่าที่ฟังเหตุผลแล้ว ถือว่ารับได้ แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อระบบร้านค้าทองทั้งทองรูปพรรณและทองคำแท่ง ผู้ค้าและผู้บริโภค จึงจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกำหนดแนวทางปฏิบัติการซื้อขายทองคำ โดยแนวทางปฏิบัติจะกำหนดและดูแลน้ำหนักทองรูปพรรณและทองคำแท่ง รวมทั้งให้ร้านทองเปลี่ยนเครื่องชั่งให้มี 2 จุดทศนิยม

ส่วนการซื้อขายทองคำแท่งจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด คงไม่สามารถกำหนดราคาได้ แต่จะติดตามราคาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการคิดค่ากำเหน็จไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 400-900 บาทต่อ 1 เส้น รวมถึงกำหนดการซื้อขายทองคำแท่ง โดยเฉพาะใบจองที่เป็นหลักฐาน จะห้ามการโอนใบจองซื้อขายทองคำระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเอง และจะดูแลเวลาเปิด-ปิดของร้านค้าทองในช่วงเทศกาลต่างๆ หากจะปิดทำการจะต้องแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบล่วงหน้า เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นธรรม คาดว่าแนวทางปฏิบัติการซื้อขายทองคำจะสามารถออกประกาศได้ในอีก 2 สัปดาห์

ด้าน นายจิตติ กล่าวว่า มารายงานสาเหตุที่ผู้ค้าทองคำปิดร้านระหว่างวันที่ 26-27 มกราคมที่ผ่านมา และถือว่าไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ไทยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนร้านค้าทองคำปิด เนื่องจากราคาทองคำตลาดโลกในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีราคาอ้างอิง ประกอบกับราคาทองคำแท่งสูงขึ้น ทำให้ประชาชนนำทองคำมาขาย เพื่อต้องการกำไรส่วนต่างจำนวนมาก ทำให้ร้านค้าทองไม่มีเงินสดเพียงพอ หากดูปริมาณในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนมีการนำทองคำมาขายเฉลี่ยต่อวัน 6,000-7,000 ล้านบาท แต่ในวันที่ 28 ม.ค. หลังจากร้านค้าทองคำเปิดให้บริการ ก็มีประชาชนต่อแถวยาวเพื่อนำทองแท่งมาขาย ให้กับร้านค้าทองคำสูงถึง 10,000 ล้านบาท

ส่วนปัญหาที่ร้านค้าทองกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ คือ การคิดค่าพรีเมี่ยมในส่วนของทองคำแท่งจาก 1-2 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เป็น 12-20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในปัจจุบัน ถือเป็นภาระต่อร้านค้าทองอย่างมาก หากดูความต้องการจากอดีต ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการซื้อทองรูปพรรณเพื่อเป็นของที่ระลึกในช่วงตรุษจีน แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากเดิม ความต้องการทองคำแท่งมีสัดส่วนร้อยละร้อยละ 10 และทองรูปพรรณสัดส่วนร้อยละ 90 เปลี่ยนเป็นขณะนี้ความต้องการทองคำแท่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 95 ขณะที่ทองรูปพรรณมีความต้องการเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น เนื่องจากมีการซื้อขายทองคำแท่งเพื่อหวังส่วนต่างราคาจำนวนมากขึ้น


ราคาทองคำ วันที่ 29 มกราคม 2552

ทองคำ 96.5 % รับซื้อ ขายออก เปลี่ยนแปลง
ทองคำแท่ง 14,350 14,450 -150
ทองรูปพรรณ 14,144.28 14,850 -150

.... .



ลูกค้าแห่ขายทองคำแท่ง ภายหลังร้านทองเปิดทำการตามปกติ

เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ร้านค้าทองคำย่านเยาวราชเปิดทำการตามปกติ หลังจากหยุดไป 2 วัน ปรากฏว่ามีประชาชนจำนวนมากเข้าแถวรอขายทองคำ ก่อนที่ร้านจะเปิดในเวลา 09.30 น. เพราะราคาทองคำยังอยู่ในระดับสูง
เมื่อร้านทองคำเปิดทำการ ต้องมีการแจกบัตรคิวให้กับประชาชนและแจ้งให้ทราบว่าผู้ที่ขายทองคำจะได้รับเป็นเช็ค เพราะเงินสดเบิกไม่ทัน เนื่องจากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมามีคนแห่ขายทองคำสูงมาก
นายจิตติ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาทองคำตั้งแต่ปี 2551 ขึ้นลงผันผวนมาก ผู้ที่ซื้อทองคำก่อนเทศกาลตรุษจีน และขายหลังตรุษจีนจะได้รับกำไรบาทละ 1,000 บาท จึงนิยมเก็งกำไรในทองคำแท่ง เพราะได้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่อยากฝากประชาชนว่าให้ใจเย็น เพราะราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นถึง 15,000 บาท เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสขึ้นถึง 950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ขณะที่ราคาทองคำเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ยังคงผันผวน ตามราคาทองคำในตลาดโลก โดยเปิดตลาดช่วงเช้าราคาทองคำ ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 14,550 บาท ขายออกบาทละ14,650 บาท ปิดตลาดในช่วงเย็น ราคาทองคำปรับตัวลดลงถึง 200 บาท โดยราคาทองคำแท่งรับซื้อ 14,350 บาท ราคาขาย14,450 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณซื้อคืน 14,144.28 บาท ขายออก 14,850 บาท

. . .



นักลงทุนญี่ปุ่นมองทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งแรกปี 2552 อยู่ในขาลง

นายมุเนโนริ ยามาดะ ประธานคณะกรรมการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ หอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวถึงผลสำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย จำนวน 1,285 บริษัท และมีการตอบกลับ 341 บริษัท พบว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2551 และต่อเนื่องครึ่งแรกปี 2552 อยู่ในทิศทางแย่ลง สาเหตุปัญหาเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐและปัญหาการเมืองในประเทศไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มองว่าปรับตัวลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมเคมี, อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, รวมถึงภาคอุตสาหกรรมการผลิต
ส่วนใหญ่มองว่าผลประกอบการโดยรวมปรับตัวลดลง สะท้อนให้เห็นว่าสภาวะทางธุรกิจครึ่งแรกปี 2552 ยังไม่ดี ส่งผลต่อภาคการบริหารงาน เพราะจะต้องแข่งขันกับบริษัทอื่นอย่างรุนแรง ประกอบกับต้องได้รับความเสี่ยงจากปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น การขาดแคลนบุคลากร แรงงาน
สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยใน 1-2 ปีข้างหน้า ได้แก่ ความสับสนทางการเมือง การชะลอตัวเศรษฐกิจญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป การบริโภคและการลงทุนไม่ขยายตัวจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย
ในช่วงความสับสนทางการเมืองของไทย มีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง แม้จะเป็นระยะสั้น และผู้ประกอบการธุรกิจจะยังไม่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจมากมาย แต่ถือว่าเป็นผลกระทบทางจิตวิทยาและความเชื่อมั่น ที่นักลงทุนไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนสิ่งที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นคาดหวังต่อรัฐบาลไทย คือ การกำหนดนโยบายที่เหมาะสม และบริหารจัดการสอดคล้องต่อเนื่อง มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพสูงภายในประเทศ การปรับปรุงสภาพจราจรบริเวณใจกลางและรอบกรุงเทพฯ ทั้งทางถนน รถไฟ การพัฒนาความรู้ ฝึกอบรมสำหรับวิศวกร การส่งเสริมนโยบายปฏิบัติที่ดีต่อต่างชาติให้สอดคล้องและต่อเนื่อง การเป็นผู้นำบูรณาการด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและกลุ่มประชาคม เอเชีย
อย่างไรก็ตาม หากดูภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังค่อนข้างมีปัญหา แต่สิ่งที่ยังเห็นว่าความร่วมมือหรือการใช้ประโยชน์จากหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปปา) ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมองว่าการใช้สิทธิตามกรอบเจเทปปายังมีขั้นตอนยุ่งยาก ขาดความรู้เพียงพอในเรื่องระบบ จึงต้องเร่งสร้างความมั่นใจ เพื่อให้กรอบดังกล่าวสามารถเดินหน้าต่อไป
สำหรับผลกระทบภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งที่ต้องปรับตัว คือ ลดต้นทุน และหากสถานการณ์เศรษฐกิจในไทยรุนแรงก็อาจจะส่งทีมงานญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย กลับประเทศญี่ปุ่น และการลดกำลังการผลิต การปรับลดโอที การปรับเวลาทำงาน ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มเอสเอ็มอี เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ป้อนให้บริษัทแม่ในญี่ปุ่นและบริษัทในไทย ซึ่งคงต้องฝากความหวังรัฐบาลไทยให้มีการวางกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจด้านต่างๆ

. . .



ปูนใหญ่(ปูนซิเมนต์ไทย) ขาดทุนรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 12 ปี

ไตรมาส 4/2551 เครือปูนใหญ่ขาดทุน 3,480 ล้านบาท เป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 12 ปี จากพิษเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าลดฮวบ stock loss สูงถึง 5,000 ล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือซิเมนต์ไทย (SCG) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2551 ว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย มียอดขายรวม 293,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อน
มีกำไรสุทธิ 16,771 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45 จากปีก่อน
เฉพาะไตรมาส 4/2551 มียอดขายรวม 55,062 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสุทธิ 3,480 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 12 ปี นับจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งเป็นการขาดทุนจากมูลค่าสินค้าคงเหลือที่ลดลง (stock loss) 5,000 ล้านบาท รวมทั้งเป็นผลมาจากวิกฤตการเงิน และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความต้องการของตลาดปรับลดลงแรงและรวดเร็ว จนทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ทุกด้านปรับลดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปิโตรเคมี ที่ผันแปรตามราคาน้ำมันที่ลดลงถึงร้อยละ 76 จากช่วงที่สูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2551 ที่ 144 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือประมาณ 36 ดอลลาร์/บาร์เรล ในเดือนธันวาคม 2551
นายกานต์ กล่าวว่า จากฐานะการเงินดังกล่าวคณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 7.50 บาท ซึ่งต่ำสุดในรอบ 4 ปี ที่มีการปันผลในอัตราหุ้นละ 15 บาทมาตลอด โดยบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 5.50 บาท จึงเหลือที่ต้องจ่ายอีกหุ้นละ 2.00 บาท แม้ว่าบริษัทจะปันผลน้อยลง แต่ก็ยังถือว่าจ่ายมากกว่านโยบายปันผลของบริษัทที่กำหนดไว้ว่าจะจ่ายในอัตรา ร้อยละ 40-50 ของกำไรสุทธิ ซึ่งหากยึดตามนี้จะต้องจ่ายเพียงหุ้นละ 1.50 บาท

. ..



ปตท. ชี้แจงไทยจำเป็นต้องขึ้นราคา LPG ภาคขนส่ง-อุตสาหกรรม

ปตท. ชี้แจงข่าวกรณีกระทรวงพลังงานเสนอปรับขึ้นราคาแอลพีจีก่อนหน้านี้ แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)ไม่เห็นชอบก็ตาม โดยระบุว่าหากขึ้นราคา ปตท.ไม่ได้ประโยชน์ แต่ประเทศไทยได้ประโยชน์ ไม่ต้องรับภาระต้นทุนนำเข้าที่มีภาระรับส่วนต่างกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือประมาณ 4 บาท/ก.ก.
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ปตท.ชี้แจงว่าไทยเริ่มขาดแคลนก๊าซหุงต้มหรือ LPG ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2551 เป็นต้นมา โดยมีปริมาณนำเข้ารวมระหว่างเดือน เม.ย. – ธ.ค. 2551 รวม 450,000 ตัน ซึ่งเกิดจากความต้องการ LPG ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดการณ์ได้ เป็นผลมาจากการควบคุมราคาของภาครัฐโดยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลกและประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปี 2548 – 2551 ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิงสูงขึ้นถึง 15% โดยเฉพาะในภาคขนส่งสูงขึ้นถึง 37%
ปตท.ระบุว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ ปตท.จะสร้างโรงแยกก๊าซฯ เพิ่มขึ้นให้ทันต่อความต้องการดังกล่าว เนื่องจากการก่อสร้างโรงแยกก๊าซฯ จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและทำการก่อสร้างไม่น้อยกว่า 5 ปี
ซึ่งถ้าหากย้อนหลังกลับไปในปลายปี 2547 ตอนเริ่มวางแผนสร้างโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 ความต้องการ LPG เป็นเชื้อเพลิงขณะนั้นอยู่ในระดับ 2.2 ล้านตัน และประเทศไทยยังมีการส่งออก LPG ปีละเกือบ 1 ล้านตัน ซึ่งคาดการณ์ในตลาดขณะนั้นว่า เมื่อโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 แล้วเสร็จประมาณปี 2553 ปริมาณส่งออกจะสูงถึง 1.8-2.0 ล้านตัน/ปี แต่ในปี 2551 ที่ผ่านมา ความต้องการ LPG เป็นเชื้อเพลิงสูงถึง 3.6 ล้านตัน ทำให้ต้องมีการนำเข้ากว่า 400,000 ตัน ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ซึ่งหากการขยายตัวยังอยู่ในอัตราปัจจุบัน แม้จะมีการขยายโรงแยกก๊าซฯ ก็ไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และต้องมีการนำเข้า LPG ต่อไป หากไม่มีการแก้ปัญหาให้ถูกจุด
ส่วนข้อเสนอการปรับขึ้นราคา LPG ของกระทรวงพลังงานที่ผ่านมา ไม่เป็นการสวนกระแสกับราคาก๊าซฯในตลาดโลกที่ร่วงลงมา 60% จากกลางปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเสนอปรับขึ้นราคา LPG ในครั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานาน จนทำให้การใช้ LPG บิดเบือน ไม่เกิดประสิทธิภาพ และทำให้ต้องมีการนำเข้าและเป็นภาระของรัฐบาลมากขึ้น
แม้ว่าในปัจจุบันราคา LPG ในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 380 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน แต่หากบวกค่าขนส่งถึงประเทศไทยก็จะอยู่ที่ 430 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และต้องนำมาจำหน่ายในราคาควบคุมที่ 10.996 บาท/ก.ก. หรือ 314 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้รัฐยังคงรับภาระอยู่อีกประมาณกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือประมาณ 4 บาท/ก.ก. ในขณะที่การปรับขึ้นราคาภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเพียง 2.70 บาท/ก.ก.
ทั้งนี้ รัฐเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการเสนอปรับราคา LPG ดังกล่าว เนื่องจากข้อเสนอของกระทรวงพลังงานในการปรับราคา LPG ขึ้น 2.70 บาท/ก.ก. ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมนั้น เป็นการปรับเพิ่มขึ้นของกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 2.52 บาท/ก.ก. และอีก 0.18 บาท/ก.ก. เป็นส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ผลิตทั้งโรงแยกก๊าซฯ และโรงกลั่นจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการขึ้นราคาขายในครั้งนี้แต่ประการใด โดยรัฐยังคงควบคุมโรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นเท่าเดิมที่ 10.996 บาท/ก.ก. หรือ 314 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งผู้ผลิตยังคงต้องรับภาระส่วนต่างของราคาตลาดโลกกับราคาควบคุมอยู่ต่อไป
ดังนั้น ส่วนต่างของราคาขายปลีกหลังการปรับราคากับราคาตลาดโลกจะเป็นส่วนที่รัฐเก็บในรูปภาษีต่างๆ และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 6.57 บาท/ก.ก. ผู้ค้าน้ำมันตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าจะได้ค่าการตลาด 3.26 บาท/ก.ก. ในขณะที่ผู้ผลิตต้องรับภาระ 2.30 บาท/ก.ก.
ปตท.สรุป ว่า การเสนอปรับราคา LPG ในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรม จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายการแก้ปัญหาราคา LPG และเพื่อให้เกิดการใช้ LPG เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อประเทศสูงสุดและลดการนำเข้า โดยผู้ผลิต LPG มิได้มีส่วนได้รับประโยชน์อันใดจากการปรับขึ้นราคาดังกล่าว


. . .




 

Create Date : 28 มกราคม 2552
0 comments
Last Update : 28 มกราคม 2552 21:25:09 น.
Counter : 624 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.