Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

กรมสรรพากรชี้แจงเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ทำหลังวันที่ 1 ม.ค.52

. . .


นายกรัฐมนตรีให้ความมั่นใจนักลงทุน เผยเตรียมแผน 2 รับมือหากเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีปัญหา โดยจะนำงบประมาณปี 2553 มาใช้ก่อน หรืออาจจะกู้เงินจากต่างประเทศ


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถากับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติกว่า 600 คน ที่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา เรื่อง "จะเอาชนะสิ่งท้าทายได้อย่างไร" ในงาน "นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน" ระบุว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นต้องการให้ประชาชนมีกำลังซื้อ อีกทั้งรัฐบาลมีแผน 2 ในไตรมาส 3 และ 4 หากเศรษฐกิจมีปัญหา ก็จะมีการนำงบประมาณประจำปี 2553 มาใช้ก่อน หรืออาจจะมีการกู้เงินจากต่างประเทศ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งระยะสั้น, ระยะกลาง, และระยะยาว และจะให้มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น

“เงินกู้นอกประเทศจะใช้เท่าไร มันจะถูกจำกัดโดยสัดส่วนหนี้ที่เหมาะสม และเราต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ถ้าเป็นการกู้หนี้จากต่างประเทศ กระทรวงการคลังจะดูแหล่งเงินทุนที่จะมาเสริมได้ตามที่มีความจำเป็น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สิ่งสำคัญที่รัฐบาลยึดเป็นแนวทาง คือ เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลให้ความมั่นใจ พร้อมยกตัวอย่างวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 40 ที่ไทยสามารถผ่านพ้นไปได้ในเวลาไม่นานนัก และแม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้จะมีภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ อาหาร และพลังงานของโลก แต่ไทยยังมีศักยภาพ มีอาหารเหลือเพียงพอส่งออก ทั้งข้าว มันสำปะหลัง รวมถึงพลังงานทางเลือก

ส่วนด้านบริการ ยอมรับว่ามีการเติบโตน้อย จากนี้ไปจะเร่งขยายด้านการท่องเที่ยวและการบริการ เพื่อให้เศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาวของไทยขยายต่อไป รวมทั้งสัญญาจะปรับปรุงแก้ไขอุปสรรค ทั้งขั้นตอนและกฎหมายที่ทำให้เกิดความล่าช้า และเร่งออกมาตรการให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะมีแผนที่จะกู้เงินเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปอีก

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่แก้ไข แต่อาจจะมีการทบทวนเท่าที่จำเป็น โดยยึดกรอบว่าจะไม่ละเมิดข้อตกลงการค้า ทั้งที่เป็นทวิภาคี และองค์การการค้าโลก โดยจะพยายามให้การแข่งขันมีความเป็นธรรม และจะทำให้มีการใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าให้มากขึ้นโดยเฉพาะการค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการใช้กฎหมายนี้มากนัก โดยจะผลักดันกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่-เล็กอยู่ร่วมกันได้ และจะทำให้ไม่มีปัญหาการเมืองเหมือนที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้นักลงทุนมั่นใจในความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาล แม้ที่ผ่านมาหลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องทางการเมือง แต่หลังจากที่มีการเลือกตั้งซ่อม เมื่อวันที่ 11 ม.ค. รัฐบาลก็มีเสถียรภาพมากขึ้น และขณะนี้ประเทศเดินมาไกลแล้ว พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลใช้วิธีสมานฉันท์ ไม่แบ่งกลุ่ม แบ่งพวก ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน จะไม่เลือกว่าคนๆนั้นใส่เสื้อสีใด รัฐบาลจะทำงานให้กับทุกคน ไม่ว่าจะสนับสนุนรัฐบาลหรือไม่ก็ตาม

“ ในเร็วๆ นี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง ที่จะให้ทุกฝ่ายและประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตทางการเมืองของประเทศ รัฐบาลจะไม่ทำความขัดแย้งให้เกิดขึ้น จึงขอให้มั่นใจว่า สถานการณ์ต่างๆ จะทำให้ประเทศไทยคืนรอยยิ้มให้กับประชาชน และคืนความมั่นใจให้กับนักลงทุน ผมจะเดินทางไปพบปะกับนักลงทุนต่างๆ รวมถึงผู้นำหลายๆ ประเทศในอนาคต เพื่อประกาศให้ชัดเจนว่า ประเทศไทยมีแนวทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชัดเจนแน่นอน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ในแง่ของความเชื่อมั่น ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย

. . .



ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย เผยการปาฐกถาของนายกฯช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน พร้อมเสนอให้เปิดเสรีภาคบริการมากขึ้น


นายนานเดอร์ จี ฟอน เดอ ลูเฮ (Mr.Nandor G.von der Luehe)ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า การปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ระดับหนึ่ง ช่วยให้เกิดความมั่นใจในการทำธุรกิจในไทยมากขึ้น ถึงแม้การสร้างความเชื่อมั่นไม่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน แต่การที่นายกรัฐมนตรีออกไปพูดคุยกับนักธุรกิจหลายกลุ่มจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจต่อประเทศไทยมากขึ้น

“ข้อความที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐบาลนี้จะใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ทำให้รู้สึกค่อยๆ เชื่อมั่นมากขึ้น และเห็นว่าการกล่าวของนายกรัฐมนตรีมีเนื้อหาที่ดี แต่จากภาพที่ผ่านมา ไทยมีภาพที่ติดลบมาก และนักลงทุนไม่ได้มองเฉพาะสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดเท่านั้น แต่มองอดีตที่ผ่านมาด้วย ถึงแม้ระยะสั้นจะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ แต่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา รัฐบาลไทยต้องทำงานให้มากขึ้นในการดึงนักลงทุนรายใหม่เข้ามา สำหรับสมาชิกของหอการค้าต่างประเทศมองสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยเป็นมุมบวก เพราะเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้” ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าว

ส่วน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะไม่แก้ไข ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า รู้สึกพอใจ และจะมีการตั้งกรรมการปรับปรุงบัญชีแนบท้ายทุกปี ซึ่งควรเปิดเสรีในธุรกิจภาคบริการให้มากขึ้นกว่านี้ เพราะในอดีตที่ผ่านมา บีโอไอได้ให้สิทธิประโยชน์กับภาคการผลิตมาแล้ว นับจากนี้ก็ควรให้สิทธิกับภาคบริการด้วย

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ควรต้องพูดคุยชี้แจงในเรื่องนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำ และสร้างความมั่นใจ โดยขณะนี้ยังมีภาคการลงทุนก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่พร้อมให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา ซึ่งเป็นโอกาสดีที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์นี้ เพราะประเทศไทยมีนักลงทุนญี่ปุ่นมากเป็นอันดับต้นๆ หากเข้าไปถึงกลุ่มเป้าหมาย เชื่อว่าจะทำให้เกิดการตัดสินใจลงทุนตามมา

. . .



ธ.ก.ส. เตรียมปล่อยสินเชื่อกว่า 3 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า


นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อสู่ชนบท ในปีนี้วงเงินรวม 3.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่ผ่านมาปล่อยสินเชื่อ 2.95 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า โดยจำแนกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มแรก สินเชื่อการเกษตร วงเงิน 2.34 แสนล้านบาท โดยจะปล่อยกู้ให้ทั้งเกษตรกรรายบุคคล และกลุ่มสหกรณ์การเกษตร เพื่อสนับสนุนการผลิตพืชเศรษฐกิจหลักทั้งข้าว ข้าวโพด ยางพารา และอื่นๆ สินเชื่อเพื่อผลิตพืชพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน และสินเชื่อเพื่อสนับสนุนกิจการเกี่ยวกับปศุสัตว์และประมง

กลุ่มที่ 2 จะสนับสนุนสินเชื่อการสร้างงานในชนบท วงเงิน 41,000 ล้านบาท แยกเป็นสินเชื่อเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อยและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และสินเชื่อโครงการสานฝันแรงงานคืนถิ่น

กลุ่มที่ 3 สินเชื่อเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 23,000 ล้านบาท
กลุ่มที่ 4 สินเชื่อนโยบายรัฐ 25,000 ล้านบาท

นายเอ็นนู กล่าวว่า สำหรับสินเชื่อนโยบายรัฐ วงเงิน 25,000 ล้านบาท เป็นวงเงินที่ตั้งไว้เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกร ในโครงการความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐบาล เช่น โครงการสนับสนุนระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย หรือโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ทั้งนี้ ไม่รวมวงเงินสินเชื่อตามโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตร ซึ่งจะแยกไปไว้ในบัญชีตามนโยบายรัฐบาล (PSO) เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานธนาคาร โดยคาดว่าจะเริ่มปล่อยสินเชื่อทั้งหมดได้ในเดือนเมษายนนี้

. . .



ธ.ก.ส. เสนอครม. เตรียมรับจำนำยางพารา-ปาล์มน้ำมัน-ข้าวโพดวงเงิน 12,000 ล้านบาท


นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการ รักษาการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังหาแหล่งทุนรับจำนำสินค้าเกษตรเพิ่มเติมอีก 3 รายการ ประกอบด้วยปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงิน 12,000 ล้านบาท จะมีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 20 ม.ค.นี้ เพื่อกำหนดรายละเอียดในการดำเนินงาน

โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำการศึกษาแนวทางการรับจำนำให้ประหยัดงบประมาณ โดยจะมีรูปแบบการรับจำนำแบบจองสิทธิล่วงหน้า ให้เกษตรกรจองสิทธิว่าจะนำสินค้ามาจำนำเมื่อไร เพื่อรัฐไม่ต้องจ่ายเงินให้จำนวนมากในครั้งเดียว

ตัวอย่าง เช่น ในอนาคตอีก 3 เดือนข้างหน้า ชาวนาจองสิทธิว่าจะนำข้าวมาจำนำในราคาที่กำหนดไว้ 12,000 บาทต่อตัน และเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ได้นำข้าวไปขายในตลาดได้ราคาต่ำกว่าที่รัฐบาลรับจำนำ เช่นได้11,000 บาทต่อตัน ก็สามารถนำมา claim กับรัฐบาลเพื่อรับเงินส่วนต่างจากราคารับจำนำ 1,000 บาท ทำให้รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินรับจำนำจำนวนมาก

ส่วนการรับจำนำยางพารา ธ.ก.ส.จะปล่อยสินเชื่อให้ ในวงเงิน 12,000 ล้านบาท แก่สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์กองทุนสวนยาง หรือกลุ่มเกษตรกร ใช้เป็นเงินทุนในการรับซื้อน้ำยางสด หรือยางแผ่น เพื่อนำไปแปรรูปเป็นยางแผ่นดิบหรือยางลูกขุนอัดก้อนได้ปริมาณ 3 แสนตัน ครอบคลุมเกษตรกร 6 แสนราย ซึ่งราคายางพาราขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 47-48 บาทต่อ กก. ซึ่งกำลังจะสรุปราคารับจำนำ เพราะต่อไปจะสนับสนุนให้ชาวสวนยางทำยางแผ่นแปรรูปกันมากขึ้น เพื่อสามารถประเมินราคาในตลาดส่งออกได้ จากปัจจุบันมักจะขายน้ำยางดิบเพื่อเร่งนำเงินมาใช้จ่าย

นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ต้องการขอให้กระทรวงการคลังเพิ่มทุน 6,000 ล้านบาท เพราะในปีนี้ต้องการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก และเพื่อรองรับการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล

. . .



กระทรวงพาณิชย์คุมเข้มป้องกันทุจริตรับจำนำข้าวโพด ขอกำลังทหารตรวจจับ และปราบปรามผู้ลักลอบนำข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิเข้าโครงการรับจำนำ พร้อมตั้งกรรมการตรวจสอบทุจริตจำนำข้าวโพด 10 จังหวัด ที่มีการจำนำปริมาณมากผิดปกติ รวมถึงเสนอให้ข้าวโพดเป็นสินค้าควบคุมเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้าย


เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และในวันที่ 20 ม.ค. จะหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อขอกำลังทหารตามแนวชายแดนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ รวมถึงการปราบปรามขบวนการแสวงหาผลประโยชน์ ที่ลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรมาจำนำในโครงการของรัฐบาล โดยเฉพาะข้า ว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง

โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเข้าตรวจสอบการทุจริตรับจำนำข้าวโพด ใน 10 จังหวัดที่มีปริมาณรับจำนำมากผิดปกติ พร้อมกับจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ(กกร.) ให้พิจารณาข้าวโพดเป็นสินค้าควบคุม เพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายข้าวโพด ในจังหวัดตามแนวชายแดน รวมถึงจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีขยายปริมาณการรับจำนำข้าวโพด เพิ่มขึ้นอีก 2.5 แสนตัน รวมเป็น 1ล้านตัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำกับการรับจำนำโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 51/52 ว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 51/52 โดยมีพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน 10 จังหวัด ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้

สำหรับ 10 จังหวัด ที่มีปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้าโครงการรับจำนำในปริมาณมาก และคาดว่าอาจจะมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อมาสวมสิทธิในโครงการรับจำนำของรัฐบาล ประกอบด้วย เพชรบูรณ์, ตาก, กำแพงเพชร, นครสวรรค์, เชียงใหม่, เชียงราย, ชัยภูมิ, เลย, น่าน และนครราชสีมา

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นควรให้เพิ่มปริมาณรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีก 2.5 แสนตันจากเดิม คิดเป็นปริมาณที่รัฐเปิดรับจำนำรวมทั้งสิ้น 1 ล้านตัน โดยจะสิ้นสุดโครงการเดือนก.พ.นี้ โดยยังคงรับจำนำราคาเดิมที่ 8.50 บาท/กก. ใช้งบประมาณอีก 2,125 ล้านบาท และจะเสนอให้นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้

สำหรับการเปิดรับจำนำข้าวโพดครั้งใหม่จะมีหลักเกณฑ์เข้มงวดมากขึ้น โดยกำหนดให้เกษตรกรนำข้าวโพดมาจำนำต่อคนได้ไม่เกิน 100,000 บาท หากเกินจะให้ค้างชำระไว้ก่อน เพื่อรอการตรวจสอบจากคณะอนุกรรมการจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นเป็นประธาน ว่าปริมาณส่วนเกินมีอยู่จริงหรือไม่ รวมทั้งจะกำหนดโควตารับจำนำในแต่ละจังหวัดตามฐานการผลิตจริง

รวมทั้งจะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ(กกร.) เพื่อกำหนดให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าควบคุมในจังหวัดชายแดนทุกจังหวัด เพื่อป้องกันการขนย้ายข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ในโครงการรับจำนำ โดยผู้ที่จะขนย้ายจะต้องขออนุญาตจากภาครัฐก่อน

“ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาเกิดปัญหาข้าวโพดสวมสิทธิ์เข้าโครงการจำนำมาก อย่าง 10 จังหวัดที่ถูกตรวจสอบ มีการแจ้งปริมาณเข้าโครงการสูงเกินจริง เกษตรกรตัวจริงของไทยไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำเลย” นายอลงกรณ์ กล่าว

สำหรับปัญหาการนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิเข้าสู่โครงการรับจำนำนั้น มาจากการทำคอนแทร็คต์ ฟาร์มมิ่งของเอกชนไทยใน 3 ประเทศคือ พม่า, ลาว และกัมพูชา ทำให้ปริมาณผลผลิตในปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่าจาก 1 แสนตันเมื่อ 2 ปีก่อน และที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้เปิดรับจำนำข้าวโพดจากโครงการคอนแทร็คต์ ฟาร์มมิ่ง แต่มีพวกหัวใสต้องการส่วนต่างที่มากขึ้นนำข้าวโพดมาสวมสิทธิ์ เพราะราคาข้าวโพดของประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่ 3-4 บาท/กก. แต่โครงการรับจำนำได้ราคาถึง 8.50 บาท/กก. เป็นสิ่งจูงใจให้มีการลักลอบนำมาจำนำเพื่อกินส่วนต่างราคาในไทย จึงต้องมีการป้องกันในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง

. . .



กระทรวงพาณิชย์ เสนอแผนจัดสรรงบ 1,000 ล้านบาท เข้าครม.วันนี้ (20 ม.ค.) มุ่งเน้นช่วยลดค่าครองชีพประชาชน เดินหน้าจัดโครงการธงฟ้าทั่วประเทศ พร้อมขอความร่วมมือร้านอาหารธงฟ้าลดราคาข้าวแกงลงจานละ 5 บาท เริ่มวันที่ 1 ก.พ.นี้


นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอแผนการจัดสรรงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้เดินหน้าในการจัดทำโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องผ่านทางกรมการค้าภายใน ทั้งการปรับลดราคาอาหารธงฟ้า และการปรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับลดลง

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่าการจัดสรรงบกลางปี 1,000 ล้านบาทของกระทรวงพาณิชย์ มีรายละเอียดโครงการที่จะดำเนินการ ประกอบด้วย

1.โครงการฟาร์ม เอ้าท์เล็ต วงเงิน 350 ล้านบาท เป็นโครงการนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในราคาถูก กระจาย 10 จุดในภูมิภาคต่างๆ อาทิ กทม. นครปฐม นครสวรรค์ นครราชสีมา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ เป็นต้น

2.โครงการธงฟ้า วงเงิน 100 ล้านบาท จะใช้จัดมหกรรมขายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกทั่วประเทศ แบ่งเป็นระดับประเทศ 3-5 ครั้งใน กทม.และปริมณฑล ระดับภูมิภาค 15 ครั้งในจังหวัดขนาดใหญ่ตามภูมิภาค และระดับจังหวัด 50 ครั้ง

3.โครงการร้านค้าบลูช็อป และตลาดสดสีฟ้า วงเงิน 160 ล้านบาท มอบหมายให้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) จัดตั้งร้านบลูช็อปจำหน่ายสินค้าอุปโภค เช่น สบู่ ยาสีฟัน แป้งฝุ่นโรยตัว ราคาเดียวที่ 60 บาททุกชิ้น

สำหรับแผนเร่งด่วนเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ช่วยปรับลดราคาอาหารสำเร็จรูป หรือข้าวราดแกงลงอีกจานละ 5 บาท จากปกติมีราคาอยู่ระหว่างจานละ 20-25 บาท ให้เหลือจานละ 15-20 บาท

กระทรวงพาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือผ่านร้านอาหารสำเร็จรูปในเครือข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 5,600 แห่ง แบ่งเป็นร้านมิตรธงฟ้า 4,000 แห่ง และร้านธงฟ้าธรรมดา 1,600 แห่งให้ช่วยปรับลดราคาข้าวราดแกงลงก่อน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 นี้ เป็นต้นไป

นายยรรยงกล่าวว่า การปรับลดราคาจำหน่ายอาหารของร้านค้าในเครือข่ายข้างต้น จะไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้กับเจ้าของร้าน เพราะรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณ ให้การช่วยเหลือในการจัดหาวัตถุดิบ เพื่อชดเชยให้กับพ่อค้าแม่ค้า อาทิ การจัดหาแหล่งวัตถุดิบในการประกอบอาหารที่ราคาถูกกว่าปกติ อาทิ น้ำมันพืช น้ำปลา ข้าวสาร ก๊าซหุงต้ม เป็นต้น

เร็วๆนี้ กรมการค้าภายในจะจัดงาน “ตรุษจีนธงฟ้า” ขึ้น ระหว่างวันที่ 21-23 ม.ค. 2552 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี

สำหรับสินค้าที่นำมาจำหน่ายในงานดังกล่าว มีทั้งเนื้อสุกร ไก่สดทั้งตัว เนื้อไก่ เป็ด ไข่ไก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้ ขนมและอุปกรณ์เซ่นไหว้ รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพอีกมากมายจากฟาร์มและโรงงานโดยตรงในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปร้อยละ 20-40 และสินค้าราคาเดียวไม่เกิน 60 บาท จากร้านสีฟ้าของกรมการค้าภายใน

. . .



งบกระตุ้นการส่งออกยังไม่เป็นรูปธรรม กระทรวงพาณิชย์รอหารือนายกรัฐมนตรีนอกรอบหวังใช้งบส่วนอื่นเกลี่ยมาดำเนินโครงการ เพื่อผลักดันการส่งออกให้โตตามเป้าหมาย 3%


นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการเสนอขอจัดสรรงบประมาณในการกระตุ้นการส่งออกว่า จะยังไม่นำเสนอในที่ประชุม ครม.ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ แต่จะมีการหารือนอกรอบกับนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพื่อดูว่ารัฐบาลจะมีการจัดสรรหรือเกลี่ยงบประมาณจากส่วนใดได้บ้าง เพื่อทำให้การส่งออกในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายขยายตัวเพิ่มขึ้น 3%

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า แม้กระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณผลักดันภาคการส่งออก แต่นายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่ายังมีงบกลาง งบฉุกเฉิน หรืองบประมาณปี 2553 รวมถึงเงินนอกงบประมาณ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะของบประมาณเหล่านี้มาขยายตลาดส่งออก และเชื่อว่าจะได้รับการจัดสรร

แต่งานเร่งด่วนที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการในช่วงปลายเดือน ก.พ. คือ กรณีไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน กระทรวงพาณิชย์จะเสนอแผนต่อคณะรัฐมนตรีจัดงานแสดงสินค้าอาเซียนเทรดแฟร์ จะเป็นงานแสดงความสัมพันธ์ในกลุ่มอาเซียนโดยนำสินค้าจากกลุ่มอาเซียนมาจำหน่ายในไทย รวมถึงจัดงานอาเซียนเอฟทีเอ, อาเซียนทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะเน้นการค้านำการเมือง พยายามให้ภาคใต้กินดีอยู่ดีมากขึ้น และการเพิ่มการค้าชายแดนโดยเฉพาะด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งมีมูลค่ากว่าร้อยละ 60 ของการค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

. ..



กรมสรรพากรชี้แจงเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ทำหลังวันที่ 1 ม.ค.52 ที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม ให้หักลดหย่อนได้เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น

นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งเกณฑ์นี้จะใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิต ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป เกณฑ์ดังกล่าวมีดังนี้ คือ

ผู้ที่ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภท 10 ปีขึ้นไป ที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม อาทิ ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ สามารถยื่นใบเสร็จขอหักลดหย่อนภาษีเงินได้เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น โดยจะต้องทำการแยกใบเสร็จเบี้ยประกันชีวิตออกจากประกันพ่วงต่างๆ อย่างชัดเจน เนื่องจากค่าเบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี

ส่วนผู้ที่ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตก่อนวันที่ 1 มกราคม 2552 สามารถยื่นใบเสร็จรวมและหักลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมดเหมือนเดิม และจะไม่มีการเก็บภาษีย้อนหลัง แต่หากบริษัทประกันเคยแยกใบเสร็จเบี้ยประกันชีวิตกับประกันอื่นๆ เพิ่มเติมไว้อยู่แล้ว ก็ให้หักลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะเท่ากับเบี้ยประกันชีวิต

นอกจากนี้ กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษี จะต้องเป็นกรมธรรม์ที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนหรือเงินคืนในแต่ละปีไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งในใบเสร็จจะต้องมีการระบุเงื่อนไขการคืนเงินให้ชัดเจนด้วย และตั้งแต่ปีนี้บริษัทประกันชีวิตจะมีการแยกใบเสร็จอย่างชัดเจน ระหว่างเบี้ยประกันชีวิต กับประกันพ่วงประเภทอื่น เพื่อความถูกต้องในการนำไปหักลดหย่อนภาษี

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ทางบริษัทประกันฯ มีความพร้อมในการแยกบัญชีประกันประเภทต่างๆ สำหรับประกันชีวิตให้กับลูกค้าเพื่อสะดวกในการยื่นขอลดหย่อนภาษี 100,000 บาทต่อปี ส่วนผู้ที่มีประกันชีวิตก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2552 ก็ให้ยื่นภาษีเหมือนเดิม


. . .




 

Create Date : 19 มกราคม 2552
0 comments
Last Update : 19 มกราคม 2552 22:37:17 น.
Counter : 780 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.