ครม.อนุมติงบกลางปี 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ
. . .
ครม.อนุมติงบกลางปี 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่ม เติมประจำปีงบประมาณ 52 (งบกลางปี) วงเงินเบื้องต้น 115,000 ล้านบาท แยกเป็น 2 รายการ คือ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 96,000 ล้านบาท และงบชดเชยเงินคงคลัง 19,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นให้มีการนำเงินงบประมาณดังกล่าวจัดสรรให้ถึงมือประชาชนโดย เร็วเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยคาดว่างบประมาณจะถึงมือประชาชนโดยเร็ว และไม่เกิน 2-3 เดือนนี้จะเห็นผลต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคาดการณ์ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลดำเนินการนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งหลายหน่วยงานคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึง 2.5% ซึ่งรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว
ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจในวันที่ 14 ม.ค. จะมีการหารือในรายละเอียดต่างๆ ของการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ ที่เตรียมประกาศใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป และจะสรุปทั้งหมดในการประชุมครม.วันที่ 20 ม.ค.นี้ ก่อนจะเสนอสภาฯ พิจารณา ในวันที่ 28 ม.ค.นี้ คาดว่าจะใช้เงินได้ประมาณกลางเดือนถึงปลายเดือนมีนาคม
"งบกลางปีที่ออก 1.15 แสนล้านบาท เป็นกรอบเบื้องต้น แต่ กำหนดเพดานสูงสุดที่ไม่ควรทำเกิน 1.167 แสนล้านบาท ตามที่ ผอ.สำนักงบประมาณเสนอ ซึ่งจะได้มีการหารือในรายละเอียดต่อไป" นายพุทธิพงษ์ กล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังพิจารณาเรื่องการท่องเที่ยว มีแผนปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว 18 แห่ง บุคลากรด้านการท่องเที่ยว 160,000 คน และเพื่อเป็นการช่วยลดภาระผู้ประกอบการ แต่จะไม่ใช้งบประมาณ โดยเป็นมาตรการลดค่าธรรมเนียม และการให้ส่วนราชการมาช่วยเหลือ เช่น การส่งเสริมให้ข้าราชการจัดสัมมนาในต่างจังหวัด
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาในเรื่องของการปรับลดราคาสินค้า และค่าบริการให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง หลังจากมีการร้องเรียนการปรับลดราคาสินค้า และบริการยังไม่สะท้อนความเป็นจริงเท่าที่ควร และจะต้องนำกลับมาเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
. . .
โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพมนุษย์เงินเดือน และผู้มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 14,000 บาท จะจ่ายเงินช่วยเหลือให้ 2,000 บาท หลังจากนั้น 6 เดือนจะพิจารณาอีกครั้ง
ตามโครงการข้อ 1. “โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ วงเงิน 18,970.4 ล้านบาท”
นายบัณฑูร สุภัควณิช ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่าการนำเงินงบประมาณกว่า 18,000 ล้านบาท จ่ายเป็นค่าช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง ข้าราชการประจำ และผู้ประกันตนที่มีรายได้ต่ำกว่า 14,000 บาทต่อเดือน จะจ่ายให้คนละ 2,000 บาท เพียงครั้งเดียว
โดยแบ่งเป็นบุคลากรของภาครัฐ 1.235 ล้านคน ทั้งข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 14,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท หลังจากผ่านไป 6 เดือน แล้วถึงจะพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยในส่วนของภาครัฐจะใช้เงินงบประมาณ 2,328 ล้านบาท
ส่วนผู้ประกันตน ที่เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม 8 ล้านคน จะได้รับเงินช่วยเหลือรวม 16,000 ล้านบาท
ส่วนการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมของผู้ประกอบการและลูกจ้างแรงงานจะต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนประกันสังคมก่อนจะเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป
. . .
การจัดสรรงบกลางปี 52 แยกเป็น 18 รายการ ประกอบด้วย
1. โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ วงเงิน 18,970.4 ล้านบาท 2. โครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน เบื้องต้นกำหนดการยกเว้นการเก็บค่าไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วย และค่าน้ำไม่เกิน 30 หน่วย ใช้งบประมาณ 11,409.2 ล้านบาท(ไม่รวมประปาท้องถิ่น) 3. โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเกษตรกร 2,000 ล้านบาท 4. โครงการก่อสร้างภายในหมู่บ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 1,500 ล้านบาท 5. โครงการด้านพาณิชย์เพื่อช่วยเหลือประชาชน 1,000 ล้านบาท 6. โครงการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว 1,000 ล้านบาท 7. โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก 760 ล้านบาท 8. โครงการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม 500 ล้านบาท 9. โครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ 325 ล้านบาท 10. โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษา ไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี วงเงิน 19,000 ล้านบาท 11. โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน 15,200 ล้านบาท 12. โครงการสร้างหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน 9,000 ล้านบาท 13. โครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน 6,900 ล้านบาท 14. โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 3,000 ล้านบาท 15. โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 1,808 ล้านบาท 16. โครงการปรับปรุงสถานีอนามัย 1,095.8 ล้านบาท 17. เงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน 2,391 ล้านบาท 18. รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 19,139.5 ล้านบาท
การจัดสรรงบกลางปี 52 แยกเป็นรายกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ
การจัดสรรเป็นงบกลาง 12,000 ล้านบาท สำนักนายกรัฐมนตรี 15,200 ล้านบาท กระทรวงการต่างประเทศ 325 ล้านบาท กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา 550 ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2,000 ล้านบาท กระทรวงคมนาคม 1,500 ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 760 ล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ 1,000 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย 12,557 ล้านบาท กระทรวงแรงงาน 16,058 ล้านบาท กระทรวงวัฒนธรรม 21 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ 18,258 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 1,095 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม 489 ล้านบาท ส่วนราชการที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี 1,972 ล้านบาท รัฐวิสาหกิจต่างๆ 11,874 ล้านบาท การชดเชยเงินคงคลัง 19,000 ล้านบาท
. . .
มุมมองภาคเอกชน ขานรับการอนุมัติงบกลางปี 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ
ประธาน ส.อ.ท.เชื่องบกลางปีช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้า
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พอใจกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้เพิ่มงบกลางปีอีก 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งมาตรการดังกล่าวเน้นช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและผู้ว่างงาน นายสันติ กล่าวว่า กลุ่มคนดังกล่าวเมื่อได้เงินหรือมีเงินเพิ่มจะนำมาใช้จ่ายเพิ่มเติม จะเป็นส่วนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้พอสมควร ขณะที่มาตรการจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดสามารถช่วยประชาชนได้ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินมาตรการโดยเร็วและพร้อมกันทั่วประเทศ และต้องรอให้มาตรการเดินหน้าไปก่อน 3 เดือน จากนั้นจึงประเมินว่า งบประมาณเพียงพอหรือไม่ หากไม่เพียงพอสามารถเพิ่มงบประมาณอีกได้ “ส่วนโครงการเมกะโปรเจกต์ยังเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ แต่โครงการดังกล่าว หากจะเห็นผลต้องใช้เวลา 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต้องพัฒนาระบบโลจิสติกส์ต่อไป” ประธาน ส.อ.ท. กล่าว
. . .
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯ ระบุรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ฯ
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีทิศทางดีขึ้น จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย เนื่องจากความต้องการในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผูกติดอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ได้แก่ เพิ่มการนำดอกเบี้ยเงินกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาหักลดหย่อนภาษีได้จากเดิมไม่เกิน 100,000 บาท เป็น 200,000 บาท รวมถึงแผนการกระตุ้นการปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้ซื้อบ้านที่มีรายได้น้อย นางสุพินท์ กล่าวว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการซื้อให้กับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และเร่งให้ผู้ที่สนใจซื้อตัดสินใจได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการนี้จะไม่มีผลมากนัก เนื่องจากเวลานี้ปัญหาที่แท้จริง คือ ผู้ซื้อขาดความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากปัญหาความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจ และตราบใดที่ผู้บริโภคยังรู้สึกขาดความมั่นใจในสภาวะการว่าจ้างงานและรายได้ ในอนาคต ผู้บริโภคจะยังไม่กล้าสร้างภาระหนี้สินใดๆ ในเวลานี้ รวมถึงการกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย นางสุพินท์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลควรเน้นที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม โดยหาวิธีบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและคิดโครงการใหม่ๆที่จะช่วยสร้างงาน และเพิ่มกำลังซื้อในทุกภาคส่วน การเร่งช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจส่งออกและฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเพิ่มแรงจูงใจในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในระดับ ที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ขณะเดียวกันควรเร่งผลักดันโครงการลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคด้วย
. . .
นักวิชาการหวั่นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลไม่เต็มที่
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้ความเห็นกรณีที่รัฐบาลอนุมัติงบกลางปี 115,000 ล้านบาท ว่าหลายโครงการที่รัฐบาลนำมาใช้ ยังไม่เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ เช่น การอัดฉีดเงิน 2,000 บาท ให้กับข้าราชการและพนักงานบริษัทที่มีรายได้ต่ำ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และไม่สามารถวัดผลจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวได้ เพราะประชาชนที่มีรายได้ต่ำ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการตกงานมากที่สุด และในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน คนกลุ่มนี้อาจนำเงินที่ได้มาออมมากกว่าการนำออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอย “การเลือกใช้มาตรการลดหย่อนภาษีที่ได้ผลมากที่สุด จะต้องเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่จากสถานการณ์ขณะนี้ที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างชัดเจน มีคนตกงานจำนวนมาก การลดหย่อนภาษีก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ได้ หรือแม้แต่การแจกเงิน 2,000 บาท ให้กับผู้ที่มีรายได้ต่ำ หากรัฐไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนได้ คนกลุ่มนี้ก็ยังไม่กล้าใช้จ่ายเงินแน่นอน” นายมนตรี กล่าว นายมนตรีเสนอว่า ภาครัฐควรลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น การลงทุนในระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้า การก่อสร้างถนน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้มากกว่า สำหรับภาคการเงิน การดำเนินนโยบายการคลังเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ ภาครัฐควรใช้นโยบายทางด้านการเงินควบคู่กันไป ซึ่งมีความเป็นได้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.5-1.0 จากเดิมร้อยละ 2.75 และคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง จนเหลือร้อยละ 1 ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ และดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป อีกทั้งยังป้องกันการไหลเข้าของเงินทุนเพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 0.25 และธนาคารกลางอังกฤษได้ปรับลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1.5
. . .
Create Date : 13 มกราคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 13 มกราคม 2552 19:26:48 น. |
Counter : 876 Pageviews. |
|
|
|