Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
6 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

ขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 60 สตางค์ 7 ม.ค.นี้

. . .

ผู้ค้าน้ำมันปรับขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 60 สตางค์ ยกเว้นอี 85 มีผลวันที่ 7 ม.ค.

ผู้ค้าน้ำมันปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกประเภท 60 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์ อี 85 มีผลวันที่ 7 ม.ค.นี้ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกขยับสูงขึ้น หลังโอเปกลดกำลังการผลิตตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ประกอบกับตลาดหวั่นเกรงสงครามในฉนวนกาซาที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าน้ำมัน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเป็นดังนี้
เบนซิน 91 ลิตรละ 21.39 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 16.89 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 16.09 บาท
แก๊สโซฮอล์ อี 20 ลิตรละ 15.59 บาท
ดีเซล ลิตรละ 18.94 บาท
ไบโอดีเซล ลิตรละ 17.44 บาท
ทั้งนี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสที่ตลาดนิวยอร์กส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้นอีก 2.47 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 48.81 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นผลจากรายงานตัวเลขปริมาณการขนส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปยังภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ยุโรปลดลงร้อยละ 25 หรือ 15 ล้านลูกบาศก์ฟุต ภายในวันอาทิตย์-วันจันทร์ที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสบนดินแดนชนวนกาซา ซึ่งยังคงมีการโจมตีและใช้ความรุนแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 ติดต่อกัน และกรณีกลุ่มโอเปกได้ออกมาปฏิเสธการเรียกร้องของอิหร่านที่ต้องการให้กลุ่มประเทศอิสลามยุติการขนส่งน้ำมันดิบให้กับกลุ่มประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล

. . .



ครม. อนุมัติกรอบงบประมาณ 2552 คาดเงินงบประมาณเริ่มเข้าสู่ระบบได้เดือนมี.ค.นี้

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบแผนและปฏิทินการจัดทำงบกลางปีเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 โดยในวันที่ 7 ม.ค.นี้ คณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจจะมีการหารือแนวทางการจัดสรรงบประมาณงบกลางปีที่เพิ่มเติม 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ
จากนั้นวันที่ 13 ม.ค. คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาแผนการใช้งบประมาณของหน่วยงานต่างๆ และวันที่ 20 ม.ค. คณะรัฐมนตรีจะสรุปรายละเอียดการใช้งบกลางปีทั้งหมด เพื่อเสนอรัฐสภา โดยจะประชุมวาระแรกวันที่ 28 ม.ค. และพิจารณาวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 11 ก.พ. จากนั้นวันที่ 20 ก.พ. จะเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภา และวันที่ 24 ก.พ. น่าจะสามารถนำทูลเกล้าฯ ถวายลงพระปรมาภิไธย เพื่อให้งบกลางปีเริ่มออกสู่ระบบในช่วงเดือน มี.ค. นี้
สำหรับการจัดทำงบประมาณประจำปี 2553 จะเดินหน้าวางกรอบควบคู่จัดทำงบกลางปี 100,000 ล้านบาท เพื่อให้ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2552
นายบัณฑูร สุภัควณิช ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ กล่าวว่า หน่วยงานหลักในการจัดทำกรอบงบประมาณทั้งสำนักงบประมาณ, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มวางกรอบชัดเจนในการจัดทำงบปี 2553 ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.
โดยแต่ละหน่วยงานจะนำตัวเลขประมาณการทั้งรายได้ การจัดสรรงบประมาณรายจ่าย และตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจมาพิจารณา ซึ่งหากอัตราขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2552 ยังเป็นร้อยละ 0 ก็คงต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อไปเหมือนกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่าอาจเป็นงบประมาณขาดดุล 350,000 ล้านบาท
ส่วนการประชุมคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจวันที่ 7 ม.ค.นี้ จะมีการหารือแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการว่างงานให้ครอบคลุมแรงงาน 500,000 คน เบื้องต้นอาจให้เงินเดือนผู้ตกงาน 5,000 บาทต่อเดือน เพื่อใช้เป็นค่าอาหารและค่าอบรม โดยจะมีหน่วยงานต่างๆ ช่วยอบรมด้านฝีมือ เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน วงเงินเบื้องต้นประมาณ 27,000 ล้านบาท แต่ข้อสรุปทั้งหมดต้องอยู่ที่ผลการหารือในที่ประชุมอีกครั้ง สำหรับผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องลงทะเบียนกับกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะเป็นผู้คัดเลือกจากโรงงานต่างๆ เพื่อให้แรงงานมีฝีมือและมีคุณภาพมากขึ้น

. . .



ครม.อนุมัติงบประมาณ 5.6 พันล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบอุทักภัยน้ำท่วม

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจำนวน 5,673 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) เสนอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อน
โดยแบ่งเป็น 7 ส่วนให้กับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักพระพุทธศาสนา เพื่อซ่อมแซมถนน วัด โรงเรียน และช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนคาดว่างบประมาณส่วนนี้จะถึงมือประชาชนโดยเร็ว
สำหรับเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และภัยหนาวในพื้นที่ภาคเหนือนั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบให้ คชอ.ไปดำเนินการสำรวจความเสียหาย และงบประมาณที่จะใช้ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน และรวบรวมมารายงานให้ครม.ทราบเพื่อพิจารณาต่อไปโดยเร่งด่วน

. . .



ส.อ.ท. เสนอรัฐบาลใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท แก้ปัญหาการว่างงาน และตั้งกองทุนเอสเอ็มอี 5 หมื่นล้านบาทเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ที่มีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.5-2.5 เป็นตัวเลขที่น่าหนักใจ เพราะหากอัตราการขยายตัวลงมาใกล้ร้อยละ 0 เท่ากับเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของไทย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ หดตัวตามไปด้วย
นายธนิต กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการจ้างงานจำนวนมาก ทำให้ปีนี้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาการว่างงาน โดยประเมินว่าไตรมาสแรก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะเติบโตร้อยละ 0.5-1.0 อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ร้อยละ 1.8 หรือคิดเป็น 630,000 คน ไตรมาส 2 ประเมินว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ร้อยละ 0 ทำให้การว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.5 หรือประมาณ 900,000 คน
นายธนิต กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ปัญหาการว่างงานโดยเสนอแนะให้นำงบประมาณ 25,000 ล้านบาท ของคณะกรรมการแก้ปัญหาการว่างงานมาลงทุนจ้างงานในภาคชนบท และจับคู่แรงงานป้อนให้อุตสาหกรรมที่ยังต้องการแรงงานอย่างรวดเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องสภาพคล่อง เนื่องจากขณะนี้สภาพคล่องของระบบการเงินลดลงจาก 1.2 ล้านล้านบาท เหลือ 4-5 แสนล้านบาท ต่ำกว่าสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ที่ 5-6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นปัญหาอาจทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก จึงเสนอรัฐบาลตั้งกองทุนเอสเอ็มอี 50,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่ธุรกิจเหล่านี้
นายธนิต กล่าวว่า ยังเป็นห่วงความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งปีนี้รัฐบาลจะต้องเผชิญกับปัญหาการประท้วงจากทางการเมือง ปัญหาการว่างงาน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล
“รัฐบาลไม่มีเวลาฮันนีมูน ดังนั้น ต้องเร่งอัดฉีดงบประมาณกลางปีให้ถึงกลุ่มรากหญ้าเร็วที่สุด รวมทั้งระบบจัดการป้องกันการรั่วไหล และมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจน” นายธนิต กล่าว

. . .



รมว.คมนาคมเดินหน้าโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน

รมว.คมนาคมเมินกระแสต้านโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ประกาศเดินหน้าต่อ อ้างผ่านการพิจารณาของสภาพัฒน์ฯแล้ว บอกเป็นเรื่องจำเป็นต้องฟื้นฟูระบบ ขสมก.

นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงการดำเนินโครงการเช่ารถปรับอากาศเครื่องยนต์ เอ็นจีวี 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชน กรุงเทพฯ (ขสมก.) ว่า ตนเข้าใจว่าสังคมกำลังกังวลใจเกี่ยวกับความโปร่งใสของโครงการนี้ แต่ถ้าตนสามารถตอบคำถามประชาชนได้ว่าเป็นโครงการที่ทำให้ชาวกรุงเทพฯ ได้ประโยชน์จริงๆ คงไม่มีปัญหา และตนก็พร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบ หากใครมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ตนพร้อมแก้ไขทันที
ขณะนี้ โครงการดังกล่าว กำลังอยู่ในขั้นตอนเปิดรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย เพื่อให้โครงการนี้มีความโปร่งใส คาดว่า ทีโออาร์จะเสร็จภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะนำเสนอเข้า ครม.ต่อไป
โดยโครงการเช่ารถเมล์ได้ผ่านการศึกษาและผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาแล้ว ซึ่ง ขสมก.จำเป็นที่จะต้องฟื้นฟู เนื่องจากในแต่ละปี รัฐบาลต้องนำภาษีประชาชนมาอุดหนุนให้ ขสมก.ปีละ 6,000 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายสงสัยว่าทำไมถึงเช่าแพงนั้น ต้องเข้าใจว่า ขสมก.ไม่อยู่ในสถานะที่จะลงทุนได้ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเช่ารถเมล์มาวิ่ง วันละ 4,000 คัน เพื่อให้เป็นโครงข่ายที่เชื่อมต่อกัน โดยประชาชนจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณวันละ 30 บาท

เมื่อถามว่า รู้สึกหวั่นไหวหรือไม่ที่พรรคฝ่ายค้านจองกฐินอภิปรายในเรื่องนี้แล้ว นายโสภณ กล่าวว่า ไม่หวั่นเพราะในชีวิตของตนมาถึงขั้นนี้ได้ก็สุดๆแล้ว หากฝ่ายค้านจะจองกฐินก็นิมนต์ เพราะเคยร่วมงานกันมาทั้งนั้น แต่ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ตนในฐานะรมว.คมนาคม ก็พร้อมรับผิดชอบทางการเมือง

. . .



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้แนวโน้มเงินเฟ้อครึ่งปีแรกอาจติดลบ


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า จากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.2551 ของกระทรวงพาณิชย์ เทียบกับเดือนเดียวกันปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 0.4 เป็นระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการลดลงของราคาอาหารสดด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นตัวเลขติดลบในเดือนมกราคมนี้ ถ้าราคาน้ำมันในประเทศยังไม่ปรับขึ้นมากนัก
แต่อัตราเงินเฟ้ออาจจะขยับสูงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ภายใต้ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อไทยทุกคน
ก่อนที่จะกลับมามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องไปจนถึงปลายไตรมาสที่ 2 โดยคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงประมาณร้อยละ 0.9-1.7 เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะคงอยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกถดถอย
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปตลอดทั้งปี 2552 อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วงระหว่างลดลงร้อยละ 1.0 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เทียบกับระดับร้อยละ 5.4 ในปี 2551
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2552 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.0-1.0 ลดลงจากร้อยละ 2.3 ในปี 2551 แต่แม้อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสที่จะติดลบในปี 2552 แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะตกอยู่ในภาวะเงินฝืดเรื้อรัง หรือภาวะที่เศรษฐกิจจะมีระดับเงินเฟ้อลดลงเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นไปได้ค่อนข้างน้อย
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม คือ ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มขยับขึ้น เนื่องจากปัญหากรณีอิสราเอลใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ถ้าการสู้รบยืดเยื้อหรือบานปลาย อาจจะกดดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกให้จมลึกลงยิ่งขึ้น และการฟื้นตัวอาจจะต้องใช้เวลายาวนานออกไปอีก ขณะเดียวกันก็จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกดดันต่อทิศทางเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเช่นกัน

. . .




 

Create Date : 06 มกราคม 2552
0 comments
Last Update : 6 มกราคม 2552 18:51:09 น.
Counter : 672 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.