เมียงมองเมียนมาร์ ผ่าน Man-Ba-Le ( มัณฑะเลย์ พุกาม อินเล ) ตอนที่ 2/2
ตอนที่ 2/2
ความเดิมตอนที่แล้ว
เมียนมาร์เมืองน่าเที่ยว ทริป 6 วัน 5 คืนกับครั้งแรกในดินแดนพม่าที่ต้องบอกว่าเปลี่ยนความคิดต่างๆ ในหัวไปมากมาย
สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปคลิกอ่านได้ที่บนสุดของตอน 1/2 ลิงค์ข้างบน ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เช็คไฟล์ทบินได้ที่ เช็คได้ที่ลิงค์นี้ครับ [url]//www.airasia.com/th/th/home.page[/url] มีรอบบินทุกวัน ไป 2 รอบ กลับ 2 รอบ
ส่วนสิ่งที่ได้เรียนรู้จักกับพม่าในทริปนี้มีดังนี้
- ชาวเมียนมาร์ยิ้มง่าย อัธยาศัยดี ไม่ฉวยโอกาสกับนักท่องเที่ยว - สาวพม่าปะแป้งทานาคากันแทบทุกคน และน่ารักเซ็กซี่มากขึ้นเมื่ออยู่ในชุดประจำชาติ - วัยรุ่นพม่าเลือดไม่ร้อน ไม่ค่อยกินเหล้าสูบบุหรี่ และหลายๆ คนนิยมเคี้ยวหมาก - ชาวเมียนมาร์นิยมใส่ชุดประจำชาติมาก และชุดของสุภาพสตรีก็ยิ่งดูยิ่งสวย เซ็กซี่ เหมือนคู่แฝดคนละฝากับชุดอ๋าวหญ่ายของสาวเวียด - พม่าขับรถกันช้า ( อาจจะเพราะถนนที่จำกัดความเร็ว ) - ซิมเนทที่ใช้สัญญาณแรงตลอดทริปไม่มีปัญหา - เมืองมัณฑะเลย์ไฟดับง่าย ฝนตกฟ้าคะนองนิดเดียวเดี๋ยวก็ดับ - ชาวเมียนมาร์พร้อมใจกันประหยัดแอร์มาก ตั้งแต่แอร์ในสนามบิน แอร์ในรถบัสประจำทาง แม้แต่แอร์ในแท๊กซี่ที่เหมา พวกเค้าจะเปิดเพียงให้ไม่รู้สึกร้อนเท่านั้น - ประเทศนี้เจดีย์โคตรเยอะ มากมายมหาศาล ยกให้เป็นแชมป์โลกไปโดยไร้คู่แข่ง - เบียร์พม่าอร่อยและถูกกว่าเบียร์ไทย - อาหารพม่าพอกินได้ ละม้ายไทย ต่างกันนิดหน่อย - ทุ่งทะเลเจดีย์แห่งอาณาจักรพุกามแม้หลายแห่งยอดจะพังถล่มจากเหตุแผ่นดินเมื่อปีที่แล้ว แต่ความเป็นอาณาจักรโบราณความปรักหักพังย่อมเป็นมนต์ขลัง - ทะเลสาบอินเลน่าไปสโลว์ไลฟ์หน้าหนาวมั่กๆ
ปะปะ เดินทางกันต่อ สำหรับทริปที่มีชื่อว่า
เอาล่ะ พร้อมแล้วก็ปะปะ ไปกัน อ้อ ขอเรียกทริปนี้ว่า
มองเมียนมาร์ผ่าน Man-Ba-Le
Day 3
นี่เป็นวันที่ 3 ของทริปเมียงมองเมียนมาร์ผ่าน 3 เมือง มัณฑะเลย์ พุกาม อินเล ในชื่อทริปที่ผมตั้งว่า Myanmar Man-Ba-Le ( Mandaly Bagan[พุกาม] Inle ) ความจริงเช้ามืดวันที่ 3 นี้ ผมควรจะโผล่อยู่บนระนาบสูงๆ ของเจดีย์องค์ไหนสักแห่งกลางทะเลเจดีย์พุกาม เพื่อรอชมแสงแรก Sunrise กลางหมู่อันซีนเจดีย์ แต่แล้วเป็นเพราะหาบัสรอบค่ำจากมัณฑะเลย์มาพุกามไม่ได้ ก็เลยต้องผูกปิ่นโตนอนมัณฯ ต่ออีกคืน บัสที่ได้จึงเป็นเที่ยวเช้าตรู่ Day 3 นัดมารับหน้าโรงแรม ระยะทางในแผนที่ 202 กิโล วิ่งจริงๆ รวมแวะกินข้าว และส่งถึงที่พัก 215 กิโล รวม 5 ชั่วโมงพอดิบพอดี ใครที่ออกเที่ยวสุดท้ายสี่ทุ่มหรือสี่ทุ่มครึ่งจะมาถึงพุกามตีสาม หรือตีสามกว่าๆ ลงรถมาก็เสร็จแท๊กซี่หมด โกร่งราคากันสบายแบบต่อยาก หมูหามถึงกะทะแล้วยืนรอจนสว่างก็ไม่ไหวอากาศเช้ามืดมันเย็น รถแล่นออกจาก รร. กลางเมืองมัณฑะเลย์มาได้ 10 โลก็มาถึงจุดเริ่มต้นไฮเวย์ ทางพิเศษสายมัณฑะเลย์-ย่างกุ้ง Yangon-Mandalay Expressway ทางสายนี้เชื่อมต่อ 3 เมืองใหญ่ของประเทศ ย่างกุ้ง-เนปยีดอ-มัณฑะเลย์ ความยาวทั้งสิ้น 587 กิโลเมตร เพิ่งเปิดใช้มา 6 ปีกว่า ( เปิดเมื่อ ธค. 2010 ) ทางสายนี้ผิวทางคอนกรีตเสริมเหล็ก ดูเผินๆ เหมือนจะเรียบเร็วหวือ แต่ความจริงคือกระเด็นกระดอนเหลือเกิน หรือบัสมันแหนบแข็งก็ไม่รู้ แต่ทางหลวงสายนี้ก็ได้ฉายาว่า "ทางหลวงสายมรณะ" จากสถิติอุบัติเหตุสูงปี๊ดเนื่องจากคุณภาพผิวทางเนี่ยแหละ เราใช้ทางสายนี้วันแรกกันละตอนที่ต้องนั่งแท๊กซี่เหมาจากสนามบินมัณฑะเลย์เข้าเมืองนั่นแหละ OK Express คือบัสเจ้าที่เราจองได้ รถนัดมารับ 8 โมงครึ่ง ลิงค์จองบัสออนไลน์ที่ผมใช้ค้นหามี 2 ลิงค์ 1. //myanmarbusticket.com/ 2. //www.go-myanmar.com/หรืออีกวิธีหนึ่งที่สะดวกคือให้ทางโรงแรมที่คุณพักยกหูจองให้ครับ ง่ายดีเหมือนกัน รถแล่นบนทางด่วนมาได้ 66 กิโล ใช้เวลาไปกับทางด่วนหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เร็วเหลือเกิ๊น ก็เลี้ยวขวาออกจากทางด่วน แล่นต่อไปบนทางธรรมดาอีก 64 โล (ใช้เวลาช่วงนี้ไปถึงชั่วโมงครึ่ง ต่างกับบนไฮเวย์สิ้นเชิง) รถก็จอดให้กินข้าว ก่อนหน้านี้จอดข้างทางให้วิ่งเข้าปั๊มไปฉี่ทีนึง เพราะทางมันกระเด็นกระดอนจนปวดกระเพาะปัสสาวะ ช่วงจอดให้วิ่งเข้าปั๊มไปฉี่ บรรยากาศจุดแวะทานข้าว อยู่แถวๆ เมือง Myingyan มยินจาน ช่วงหนึ่งก่อนเข้าถึงพุกามทางจะผ่านสะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ ที่แยกสาขาออกมาจากแม่น้ำอิรวดีที่อยู่ทิศตะวันตก ทิศขวามือของรถ สะพานนี้มีเลนเดียว ต้องจอดรอจังหวะสวนกันเอง แถมที่เด็ดกว่านั้นรถไฟก็ใช้เลนร่วมด้วย ถือเป็นสะพาน 3 in 1 กันเลยทีเดียว อย่างที่เห็นในภาพ ออกจากจุดกินข้าวแล่นผ่านสะพานร่วมรถไฟมาได้รวมระยะทางช่วงที่ 3 อีก 60 กิโลพอดีๆ เราก็เข้าสู่เขตเมืองพุกาม รถหยุดให้คนขึ้นมาเดินเก็บค่าธรรมเนียมต่างชาติเข้าเมืองมาเที่ยว Bagan Archeological Zone โดนไปคนละ 25,000 Ks เก็บครบคนแล้วรถออกออกเดินทางต่อ อีก 3 กิโลก็ถึงท่ารถของ OK Express เปลี่่ยนรถเป็นรถกะป๊อสองแถวเล็กไปแยกไปส่งลูกค้าตามที่พัก เส้นใครเส้นมัน คนขับรถกะป๊อหน้าแฉลมหนวดเคราเกลี้ยงเกลาติดเครื่องรอละ ทั้งคันมีแค่เราสองคน ไปกันครับ
เมืองพุกามแบ่งออกเป็น 3 โซน โซนอาณาจักรพุกาม โซนเมืองเก่า และโซนเมืองใหม่ ดูเหมือนเราจะจองโรงแรมไว้ผิดโซนนะ เมืองใหม่ไกลเชียว ตอนจองไม่ได้ดูให้ดีเสียก่อน รถกะป๊อแล่นออกมาได้ 4 กิโลก็จอด อ้าว จอดมัย แวะหาเพื่อนรึ! คนขับรถลงจากรถมาบอกว่าเนี่ยๆ สวย ลงไปถ่ายรูปได้เลย สวย ๆ อัลไรเนี่ยมีพาแวะเที่ยวด้วย มันจะสโลว์ไลฟ์ไปแล้วพี่ สถานที่ที่ตาหน้าแฉลมจอดให้แวะนี้ก็คือ
Alodawpye Phaya
ตอนแรกก็คิดว่าสงสัยจะให้แวะศาลหลักเมืองอารมณ์ว่ากราบไหว้เป็นสิริมงคลก่อนเข้าเมือนนะ แหม่ ก็มันผิดปกติมากที่มีการจอดให้แวะเที่ยวด้วย นี่ก็คือเสน่ห์ที่ประทับใจครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้สนสองวันกว่าที่ย่ำพม่าหนแรกในชีวิต กับอัธยาศัยใจดีของผู้คนชาวเมียนมาร์ เอาล่ะ ผมก็คว้ากล้องลงไปถ่ายซะหน่อย ผ่านหลังคาศาลาร่มๆ แหละ แดดเที่ยงเดือนเมษายืนในร่มยังแทบไหม้ แล้วก็เผ่นกลับรถ บอก go go finish แล้ว very hot นะยู ตรงไปโรงแรมโลด ตอนกลับมาทำรีวิวก็เสริชดูข้อมูลไม่ค่อยจะมีเลย ได้ความมาแค่นี้
Alo Pyi Pagoda is well-known as wish fulfilling pagoda and the festival is normally held on the full moon day of Nat-taw.
ถนนในพุกาม Anawrahta road เป็นถนนสายหลักของที่นี่ 4 เลนสวนมีเกาะกลาง ถึงแล้วที่พัก Yadanarbon Bagan Hotel อยากรู้มากว่า yadamarbon เนี่ยแปลว่าอะไร เห็นสถานที่หลายๆ ที่ใช้คำนี้ อย่างสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดีที่มัณฑะเลย์ที่ชื่อ Irrawaddy bridge ก็มีชื่ออีกชื่อว่า Yadanarbon Bridge
ค่าห้องก็จองผ่านอะโกด้ามาคืนละ 9xx บาทครับ ก็จองไปสองห้องตามระเบียบ ภาพล็อบบี้ ดูดีสีเนื้อไม้ ห้องนอนผม บ่ายโมงเศษที่เรามาถึง เช็คอินเรียบร้อยก็รอเวลาแท๊กซี่ที่จองไว้นัดมารับหน้ารร. นัดเอาไว้บ่ายสองครึ่ง ไลน์กำชับกันอีกที อันนี้ได้มาจากเพื่อนที่เคยมาพุกามก่อนใช้บริการแล้วแนะนำมา ซึ่งถ้าไม่ได้หามาก่อนก็ใช้บริการผ่านโรงแรมได้ สนนราคาผมดูแล้วเท่าๆ กัน มาละ แท๊กซี่ที่เป็นทั้งไกด์กลายๆ แหม่ พาเพื่อนมานั่งเป็นเพื่อนด้วย อ่ะ ไปกันครับ โปรแกรมแรกสำหรับพุกามยามบ่ายคือภูเขาโปปา Popa Mountain อยู่ออกนอกเมืองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทางไปกลับ 110 กิโล ใช้เวลาเดินทางรวมเที่ยว 3 ชม. เป็นอย่างน้อยสุด ระหว่างทางมีผ่านด่านเก็บค่าธรรมเนียมใช้ทางด้วย เท่าไหร่ไม่รู้ แต่รวมอยู่ในแพ๊คแระ
เห็นเขา Popa อยู่ลิบๆ แล้ว และ Popa Mountain Temple ก็เห็นเด่นมาแต่ไกล ตื่นเต้น จอดรถถ่ายมุมระยะไกลสักหน่อย นายโย่วคนทางซ้าย เพื่อนนายโย่วคนทางขวา กับแท๊กซี่เหมาเที่ยวประจำพุกามของเรา
แผนที่ภูเขา Popa ภูเขาไฟเก่าลูกโดด ตะวันออกเฉียงใต้นอกพุกาม แผนที่กูเกิ้ลเอิร์ธภูเขา Popa หมุดแดงๆ ในแผนที่คือที่ที่เราให้นายโย่วพาไป เพื่อที่จะได้ถ่ายภาพเขาโปปา ในมุมมองสวยๆ
จุดเที่ยวที่ 12 (1-11 อยู่ในตอนที่ 1)
ชมภูเขาโปปา Popa Mountain Temple
จุดชมภูเขา Popa จุดแรก ย้อนแสงเต็มๆ โถชีวิต อุตส่าห์เหมารถมาถ่าย จุดนี้มีชาวบ้านมาถางพงให้ชม Popa Moutain Temple แบบไม่มีอะไรบังตานะครับ ทำเป็นเฉลียงเล็กๆ ให้ยืนถ่าย คนจะนิยมมาถ่ายคู่กะภูเขาเป็นที่ระลึกกันด้วย มีการเก็บค่ายืนถ่ายเล็กน้อย นายโย่วตรงเข้าไปควักจ่ายให้ทันใด เออ น้ำใจมันดีเหมือนกันเน้อะ ค่าธรรมเนียมผ่านทางเอย ค่าถ่ายรูปเอย เล็กๆ น้อยๆ มันควักจ่ายให้หมดไม่มาเรียกร้องเพิ่ม ค่าจ้างพามานี่นายโย่วคิด 40$ USD ต่อรองเหลือ 35 มองดูเรทราคาที่เคาว์เตอร์หน้าโรงแรมก็ราคาเดียวกัน อาร์ ในที่สุดก็ได้มาเห็นใกล้ๆ หลังจากทึ่งกับภาพในอินเตอร์เนทมานาน
แผนที่ Terrain แสดงภูมิประเทศ เส้นชั้นความสูงเขา Popa กับจุดชมวิวทั้งสองจุด และเส้นทางรถยนต์ สีฟ้าๆ นั่นคือเส้นทางที่เราไป จากจุดแวะถ่ายจุดแรกยังไม่สะใจ วัดโปปายังอยู่เหนือระดับสายตา ผมเลยรีเควซตาโย่วคนขับของเราว่า ยูพาวนขึ้นเขาไปสูงๆ กว่านี้ได้มั้ย มันมีจุดที่สูงกว่าวัดมั้ยอย่างได้มุมสูงกว่า ตาโย่วดีดนิ้วเป๊าะ ร้องบอกว่ามี ขึ้นรถเลย ย้อนทางเก่าไป 2 โลแล้วก็หักพวงมาลัยกลับหมด ยูเทิร์นขวาไต่เขาขึ้นไปอีก 2 โล แล้วในที่สุดก็มาจอดอยู่หน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง ชื่อ Popa Mountain Resort พาเดินเข้าไป ทางรีสอร์ทขอเก็บค่าเข้าไปถ่ายรูปคนละ 2$ USD อ่ะ จ่ายไปตามระเบียบ 2 คน 4 เหรียญ คราวนี้ตาโย่วทำเฉยไม่ยอมเดินมาจ่ายให้ละ ถถถ เดินทะลุล๊อบบี้ก้าวลงบันไดมานิดก็เจอสระว่ายน้ำ มองเลยสระออกไปก็ บร๊ะ จ๊ะเอ๋ Popa mountaing temple มุมนี้ใช่เลย
จัดไปซะ ถึงแม้จะย้อนแสง ทำไงได้ ใครจะมาถ่ายมุมนี้แนะนำให้เป็นแสงเช้าครับ หรือใครจะจองมาพักที่นี่เลยก็ถ้าจะดีไม่น้อย แต่ราคาแพงเหลือเกินนะเอิงเอย ภูเขาโปปา เป็นภูเขาไฟเก่านะครับ จุดสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,518 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปัจจุบันเป็นอุทยานแห่งชาติด้วย เชิงเขาด้านทิศตะวันตกตรงระดับความสูง 600 เมตร มีงอกเขายอดโดดขึ้นมาหนึ่งยอด และมีการสร้างวัดขึ้นบนยอดจนโดดเด่น ชื่อวัด Popa Mountain Temple ถ้าจะเดินขึ้นไปบนวัดต้องใช้เวลาเดินไปกลับหนึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้เดินนะครัช เห็นบันไดแล้วใจมันท้อ 555 ใครสนใจเชิญครับ บนวัดนี้คือแหล่งรวมความศรัทธาโดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับเหล่า "นัต" หรือวิญญาณภูตผี โดยเฉพาะนัตหลวง 37 ตนก็สถิตอยู่ที่เขาโปปาแห่งนี้ เมื่อไม่เดินขึ้นวัดบนเขา เวลาก็เหลือสิครัช เลยบอกตาโย่วว่าบึ่งรถกลับพุกามดูดวงอาทิตย์ตกทันป่าว ทันครับทั่น สบายมาก ตาโย่วบอกมาเป็นภาษาอังกฤษ ปากก็เคี้ยวหมากหงับๆ ยิ้มแฉ่ง ว่าแล้วเราก็บึ่งรถดิ่งตรงกลับเข้าพุกามทันที และนายโย่วก็เลี้ยวรถมายังที่ที่หมอภูมิใจมากบอกว่าเป็น hidden Sunset viewpoint ของมัน อาร์ อะไรจะปานนั้น ณ เจดีย์โนเนมแห่งหนึ่ง เจดีย์ที่มีป้ายว่าหมายเลข 658 มองเห็นหอคอย Nan Myint Tower อยู่ใกล้ ๆ เราก็มุดเจดีย์วนบันไดเล็กๆ ที่แคบเหลือล้น เกาะผนังเจดีย์ขึ้นไปโผล่บนระนาบบนของเจดีย์แล้วก็ไต่บันไดลิงต่ออีกนิดหน่อยก็มาถึง พิกัดเจดีย์ 658 21.170209, 94.903140 ลิงค์google maps จุดเที่ยวที่ 13 Sunset ทะเลเจดีย์พุกามและนี่คือบรรยากาศบนเจดีย์ โอบล้อมด้วยเจดีย์น้อยใหญ่ม่ายก้อดดด อะไรจะเยอะขนาดเน้ เจดีย์ ๆ ๆ และก็เจดีย์ ทะเลเจดีย์จริงๆ ในที่สุดทุ่งทะเลเจดีย์แห่งอาณาจักรพุกามก็ปรากฏอยู่ในคลองจักษุของข้าน้อย โอ ดีใจๆ ได้มายืนอยู่ตรงนี้จนได้ สวย ยิ่งใหญ่ ดูมีมนต์ขลังดำดิ่งย้อนยุคไปพันปีทันที เปิดแอฟบอกเวลาตะวันขึ้นตกได้ความว่ายังอีกเป็นชั่วโมงตะวันจึงจะแตะขอบฟ้านะครัช แต่นั่น อนิจจังวัตตะสังขารา ดวงตะวันลาไปชิงพลบหลบเข้ากลีบเมฆหนาเต้อะไปอีกวันแล้ว แง อดถ่าย Sunset ก็เลยนั่งเสพวิวยามเย็นไปเพลินๆ ว่าจะถ่ายทไวไลค์บนนี้ก็ยังดี แต่แล้วอยู่ไม่อยู่เด็กเฝ้าเจดีย์ขึ้นมาไล่ลง บอกว่าได้เวลาปิดแล้ว อ่า ปิดหกโมงเย็น แต่ตะวันจะตกหกโมงครึ่ง ทไวไลค์จะมาหลังจากนั้น ม่าย เลยจบ Day 3 ไปด้วยทไวไลค์ฐานเจดีย์ ปั่ดโถ่ว อย่างนี้มันต้องยิงแสงให้หายช้ำ จากนั้นก็กลับที่พัก แล้วฝนก็กระหน่ำหนักลงมาอีกเหมือนมัณฑะเลย์คืนแรกเลย ก็ผูกปิ่นโตกะอาหารโรงแรมไปตามระเบียบ เมษาอะไรเนี่ยฝนเยอะชะมัดเตี่ย เยอะแล้วเย็นๆ ยังพอว่า นี่ทั้งฝนทั้งร้อน บ่นเข้าไป
จบทริป Day 3
Day 4
เช้ามืด Day 4 ผมนัดนายโย่วมารับหน้าโรงแรมตีห้ายี่สิบ 05:20 น. เราจะไปเฝ้าดวงอาทิตย์ขึ้นล้างแค้นเมื่อวานเย็นกัน กิจกรรมชม Sunrise ขึ้นเหนือทะเลเจดีย์แห่งอาณาจักรพุกาม เป็นกิจกรรม The first must ที่ใครมาแล้วต้องห้ามพลาดเด็ดขาด แต่น้องร่วมทริปผมพลาดซะแล้ว นอนไม่ยอมตื่น จุดที่นายโย่วพามาคือจุดชมตะวันขึ้นและตกท๊อปฮิตอันดับต้นๆ ( อ่าวเอ๊ะ! ไหงเมื่อวานไม่พามาตรงนี้ละวะ เด๋วพั๊บ ไม่ต้องมาทำหน้าเลยเคี้ยวหมากไป
จุดเที่ยวที่ 14 Sunrise เหนือทะเลเจดีย์พุกาม Shwesandaw Pagoda
นักท่องเที่ยวจอแจมาก ไฟฉายคาดหัวกันมาเป็นแถว ทั้งปั่นจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ นั่งรถมากัน แทบไม่มีที่กางขาตั้ง ชั้นบนเต็มต้องหลีกลงในชั้นรอง
กล้องวางในห้องนอนแอร์เย็นฉ่ำทั้งคืนพอเปิดฝาเลนส์มาปะทะกับอากาศที่อบอุ่นแห่งเดือนเมษาของพุกาม หน้าเลนส์ก็จับเป็นฝ่าทันที เวรแล้ว เปลี่ยนไปใช้เลนส์เทเล ตัวนี้ไม่ขึ้นฝ้า โล่งใจหน่อย ไอ้ตัวที่ขึ้นฝ้าง่ายเนื่องจากเป็นเลนส์ไวด์มากที่ฝาออกแบบมาพิเศษเป็นโลหะ โลหะมันเลยเก็บความเย็นง่ายกว่าฝาพลาสติก นี่คือข้อเสียในจุดเล็กๆ ที่ร้ายแรงของเลนส์ไวด์สุดของผม
ดีว่าทะเลเจดีย์พุกามเนี่ยมุมเด็ดๆ ต้องส่องด้วยเทเลเป็นหลักนะ 100-400 mm. ของผมก็เลยได้เป็นเลนส์ประจำการหลักของเช้านี้ นั่นๆ ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้ว แต่่แหม่ เจือกขึ้นตรงทิศที่มุมไร้เจดีย์สิ้นดี มีแต่หอคอยนั่นยืนเด่นซะ โถถังกะละมังหม้อไห ไร้ดวงเอาเสียจริง ภาพบนมุมมองตะวันออกเฉียงเหนือที่ 2 นาฬิกา ภาพล่างมุมมองตะวันออกเฉียงใต้ที่ 4 นาฬิกา ภาพทุ่งทะเลเจดีย์เริ่มค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น สว่างขึ้นทีละน้อย วิหารธรรมยันยี เจดีย์ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกามปรากฏแก่สายตา ภาพยอดเจดีย์ที่มีอยู่ก่อนหักทลายลงด้วยแรงแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อ 8 เดือนที่แล้วเกิดขึ้นในใจ เสียดายจริงเลย
บรรยากาศนักท่องเที่ยวบน Shwesandaw กับกิจกรรมชม Sunrise ทุกคนต้องลุกจากที่นอนแต่เช้ามืดมาปีนเจดีย์ แต่ก็คุ้มค่าที่ครั้งหนึ่งได้มาอยู่ในบรรยากาศแบบเวลานี้ ถ้าจะให้ดวงตะวันโผล่กลางดงเจดีย์ตรงนี้ แบบมีภูเขาเป็นฉากหลังอย่างนี้ หรือมีเจดีย์ทรงปิรามิดที่จัดว่าเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่สุดในพุกามแบบ Dhammayangyi แบบนี้ ต้องมาสักหน้าหนาวครับ ราวๆ พย ธค มค กพ นั่นแหละ เวลานั้นยังจะได้ภาพบอลลูนลอยเต็มฟ้าด้วยเวลานั้น แต่สำหรับเดือนนี้โลว์ซีซั่นบอลลูนไม่ขึ้น หึหึ ภาพบนมุมมองตะวันออกเฉียงใต้ที่ 4.5 นาฬิกา ภาพล่างมุมมองตะวันออกเป๊ะๆที่ 3 นาฬิกา ภาพบนมุมมองฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ 5 นาฬิกา มองเห็นเจดีย์สีทอง Dhammayazika Pagoda เจดีย์ที่มีฐานรูปร่าง 5 เหลี่ยมล้อมด้วยฐาน 5 แฉกที่มีเจดีย์วิหารขนาดเล็ก 5 องค์ประจำอยู่แต่ละแฉกฐาน ภาพล่างมุมมองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือบ้างที่ 10.5 นาฬิกา มองเห็นเจดีย์ Gawdawpalin Pagoda ซึ่งสูงอันดับสองของพุกาม และทางซ้ายมือแลเห็นหลังคา Bagan Archaeological Museum
เจดีย์ฐาน 5 เหลี่ยมล้อมรอบด้วยฐานด้านนอก 5 แฉกของ Dhammayazika Pagoda ภาพประกอบจากกูเกิลแมบดาวเทียม ภาพบนมุมมองฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ 11 นาฬิกา มองผ่าน That Bin Nyu หรือเจดีย์สัพพัญญู เจดีย์องค์ที่สูงที่สุดอันดับ 1 ในพุกาม สูง 61 เมตร บรรยากาศบนเจดีย์ชเวสันดอว์จุดชมดวงตะวันขึ้นเช้านี้ ในที่สุด I am ก็ here นะ Bagan เก็บภาพตัวเองเป็นความทรงจำไว้หน่อยว่าครั้งหนึ่งนักท่องเที่ยวตัวกะจิ๊ดริดคนนี้ได้มาเยือนอาณาจักรพุกามที่มีทะเลเจดีย์จำนวนมหาศาลกับเค้าบ้างแล้ว เจดีย์ชเวสันดอว์จุดชมตะวันเช้านี้ของผม มองมุมสูงบ้าง Shwesandaw Pagoda เจดีย์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาปักหลักรอชมทั้ง Sunrise และ Sunset ซูมดูตัวเอง ยืนพิงกำแพงบังคับโดรนอยู่ ก่อนจะโดนจนท.ข้างล่างตะโกนให้เอาลง อ่าว ตาโย่วไหนบอกว่าบินได้
แผนที่ประกอบบริเวณรอบๆ พุกาม Bagan พอตะวันทำมุมสูงขึ้นก็ไม่มีเหตุผลจะนั่งแหงนคอมองตะวันแล้วครัช ร้อนแดดเปล่าๆ สีสันของบรรยากาศเริ่มจืดไม่จิ้มลิ้มเหมือนตอนสลัวๆ ไต่กลับลงมานายโย่วก็สตาร์ทเครื่องพาเที่ยวท่องพุกามต่อทันที วันนี้ว่าจ้างให้พาทั้งวันราคา 40$ USD ต่อเหลือ 35 อีก โดยผมรีเควชไปว่า ยูยู พาไอไปที่สวยๆ เจ๋งๆ เวรีกู้ดยอดนิยมก็พอ เอาแบบเจดีย์สูงสุด เจดีย์สวยสุด เจดีย์เก่าสุด ใหญ่สุดแบบนี้ นายโย่วก็โอเคชิกาแร็ตพาออกมาที่นี่ที่แรก ห่างมาแค่ 1 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉีียงเหนือ
จุดเที่ยวที่ 15 วิหารอนันดา Ananda Temple วิหารที่ได้รับยกย่องว่าสวยขึ้นขั้นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตยกรรมพุกาม
ก็สวยมากจริงๆ ล่ะครับ ทว่าเสียดายมากเช่นกัน แทบทุกเจดีย์สูงๆ สวยๆ ยอดเจดีย์ล้วนปรักหักพังจากฤทธิ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 6.8-magnitude เมื่อ 24 สิงหา 2016 ปีที่แล้ว หรือ 8 เดือนที่แล้วก่อนผมจะเดินทางมานี่เอง ที่นี่ก็เช่นกัน กำลังบูรณะครั้งใหญ่เลย วิหารอนันดาเป็นที่ที่หากเยือนพุกามแล้วห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ จุดต่อมาจุดเที่ยวที่ 16 วิหารธรรมยางยี Dhammayan Gyi pagodaอยู่ห่างวิหารอนันดาออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทางขับรถ 1.4 กิโลเมตร ภาพแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ปีที่แล้วที่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกก็คือฝุ่นอิฐพวยพุ่งตลบไปทั่วการพังทลายและภาพนักท่องเที่ยวฝรั่งวิ่งหนีกันสับสนอลหม่านของธรรมยางยีแห่งนี้ล่ะครับ นี่คือเจดีย์ที่ได้ชื่อว่าใหญ่โตและแข็งแรงที่สุดในพุกาม ภาพที่เห็น เจดียย์สูงๆ บนยอดหายไปเลย ความเก่าขลังของวิหารธรรมยางยี จุดต่อมา ย้อนทางเก่ากลับไปทางวิหารอนันดา ถึงถนนใหญ่ก็เลี้ยวซ้ายไปหน่อยแล้วเลี้ยวขาวแยกถัดไป อยู่ห่างอนันดาไปทางตะวันออกนิดเฉียงใต้นิดเดียว จุดเที่ยวที่ 17 เจดีย์สัพพัญญู (ทัตบินยู) Thabyinnyu Templeนี่คือเจดีย์ที่ครองตำแหน่งสูงที่สุดในพุกาม ด้วยความสูง 61 เมตร ด้วยความสูงที่สุดจึงเป็นอีกหนึ่งที่ที่ครองตำแหน่งจุดชมตะวันทั้งขึ้นและตกที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบันยังให้นทท.ขึ้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ เห็นพระเดินวนรอบเจดีย์ ซ้าย สาวเมียนมาร์ปะแก้มทานาคายืนขายโปสการ์ดวิวสวยๆ ของพุกาม ขวา หนุ่มเมียนมาร์ศิลปินวาดภาพเขียนด้วยเทคนิคที่เจ้าตัวบอกว่าคิดค้นมาส่วนตัว ด้วยการเอาหินจากแม่น้ำอิรวดีที่เนื้อหินมีบางส่วนเจือสีแดงๆ เอามาสร้างงานศิลปะ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคใช้กรวดทรายแม่น้ำมาสร้างภาพวาดด้วย สนนราคาแกขายแพงหลายสิบเหรียญไปหน่อย แต่ว่าใครสนใจแวะอุดหนุนได้ นั่งอยู่ในซุ้มผนังเจดีย์นี่เอง
จุดแวะต่อมาจุดเที่ยวที่ 18 Sein Nyet Ama Pagoda
ตาโย่วพาชั้นมาทำไรที่นี่ เจดีย์นี้พลิกตำราดูไม่เจอเลย! เป็นเจดีย์เล็กๆ คู่แฝด เรื่องของเรื่องก็คือผมย้อนกลับมาที่พักครับ มารับตัวน้องร่วมทริปที่เมื่อเช้ามืดเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากตื่นไปดูตะวันขึ้น หน้าร้อนตะวันขึ้นเร็วก็งี้แหละ เดาว่าหลังจากน้องเห็นภาพแล้วต้องแอบกลับมาพุกามอีกครั้ง แต่ต้องเป็นหน้าหนาวที่ตะวันตื่นสาย จะได้ออกมาชมตะวันทัน แต่ก็นะ ก็ต้องแลกกับความหนาวอีกแหละ อิอิ มาว่ากันถึงเจดีย์ Sein Nyet Ama ก็อยู่ที่แรกหลังจากออกจากที่พักขับทะลุตัวเมือง New Bagan แวะซื้อของนิดหน่อยแล้วก็เลี้ยวออกถนนสายที่เมื่อเช้ามืดพุ่งไปชเวสันดอว์นั่นแหละ พิกัดเพื่อคนสนใจก็พิมพ์ชื่ออังกฤษนี้ลงใน google maps ได้เลย เป็นการแวะที่แรกของน้องไอซ์เช้าวันนี้ แหม่ ปะแป้งทานาคามาพร้อมสรรพ ที่ซื้อมาจากสะกายเมื่อวันก่อน อ่ะ จัดไป พรอทเทรดซะเลย ใครจะเอามุมพรอทเทรดแบบนี้ก็แวะมาที่นี่ได้เลยครับ นั่งรถม้าย่องท่องทั่วพุกามหลังจากเราพลาดรถม้าที่กรุงอังวะมาจากเรื่องราวในภาคแรก มาคราวนี้ไม่ยอมพลาดแล้วครับ วิธีเที่ยวที่พุกามนอกจากจะจ้างเหมาแท๊กซี่ให้พาเที่ยวก็ยังสามารถ เช่ามอเตอร์ไซค์ หรือปั่นจักรยานเช่า อีกวิธิีที่คลาสสิค slow life สุดๆ ก็คือการนั่งรถม้านี่แหละ ซึ่งมีบริการอยู่ทั่วไป หน้าเจดีย์ดังๆ แต่ละที่เลย ที่ที่ผมพาแวะมาข้างต้นมีหมด
ค่าบริการมีแบบ Fullday และ Halfday -โดยเต็มวันจะอยู่ที่ 45,000 Ks พาตั้งแต่ Sunrise ยัน Sunset นั่งกันจนเหนื่อยไปข้างระหว่างคนกับม้า -ส่วนครึ่งวันอยู่ที่ 25,000 Ks ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เส้นทางก็จะพาแวะไปตามจุดท่องเที่ยวฮิตๆ ทั้งหมายแหละ เจดีย์สำคัญๆ พาไปหมด แต่อันที่จริงเรากึ่งๆ พลาดรถม้านะ เพราะว่าจ้างเหมาอีตาโย่วแท๊กซี่ไว้แล้วไง ทำไงดีล่ะก็เลยเช่ารถม้าขี่ขำๆ ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ยังดี ไปพร้อมๆ กะแท๊กซี่เนี่ยแหละ เหอะๆ รวยซะไม่มี
จุดเที่ยวที่ 19 มหาเจดีย์ชเวสิกอง Shwezigon Pagoda
นี่คือ 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของชาวเมียนมาร์ ซึ่งได้แก่ -มหาเจดีย์ชเวดากอง ที่ย่างกุ้ง -มหาเจดีย์ชเวสิกอง ที่พุกาม -เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี -พระมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์ -และพระธาตุอินทร์แขวน เมืองไจโท
สวยงามยิ่งใหญ่อลังการมาก สมคำล่ำลือ สวยอันดับหนึ่งในพุกามเลย ใครมาพุกามแบบอย่างเที่ยวที่เดียวก็แวะมาที่นี่แหละ มากราบไหว้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครมาพุกามแล้วรีบร้อนเร่งด่วนแบบต้องเลือกเที่ยวที่เดียวหรอกนะ ใช่มั้ย ศรัทธาของชาวเมียนมาร์มีให้เห็นในทุกๆ ศาสนสถาน และที่ชเวสิกองนี่ก็เช่นกัน ภาพชาวเมียนมาร์ในรายล้อมสวดมนต์ตั้งจิตพนมมือไหว้มีให้เห็นรายรอบที่นี่ นักท่องเที่ยวฝรั่งกำลังเปิดหนังสือภาพ Bagan ดูรูปเล่มแล้วก็น่าซื้อกลับบ้านสักเล่ม แต่สรุปก็ไม่ได้ซื้อ เก็บภาพด้วยสีมือตัวเองดีกว่า
เห็นคนมุงไรกัน ชะโงกหน้าเข้าไปดูด้วย อ๋อ บริการเพนท์รอยสัก ร้านขายของต่างๆ ภายในวัด
อ่ะ รถม้าของเราไปกันต่อครับ ปู๊นๆ จุดเที่ยวที่ 20 เจดีย์ติโลมินโล Htilominlo Pagadaเจดีย์นี้กษัตริย์สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ที่ครั้งหนึ่งพระราชบิดาใช้สถานที่นี้เป็นที่เสี่ยงฉัตร หากล้มไปทางราชบุตรองค์ใดให้ตั้งองค์นั้นขึ้นสืบราชบัลลังก์ ความหมายของติโลมินโลก็คือกษัตริย์ฉัตรตั้ง ภายในเจดีย์ติโลมินโล
แม่ค้าตั้งแผงขายเสื้อผ้าหน้าติโลมินโล ผมอุดหนุนผ้าโสร่งที่นี่ตัวนึง รถม้าของเราก็ย่องไปเรื่อย จุดเที่ยวที่ 21 พระนอนแห่งวิหารชินบินตาเลียว Shinbinthalyaung Temple เป็นวิหารเล็กๆ ตั้งอยู่ด้านหลังทางเบื้องตะวันตกของเจดีย์ชเวสันดอว์ที่เมื่อเช้าเรามาขี้นไปรอชมอาทิตย์ขึ้นนี่เอง เพราะโปสการ์ดที่น้องผู้หญิงเมียนมาร์หน้าเจดีย์สัพพัญญูมาเสนอขายนั่นแหละ มีใบนึงเป็นภาพโปสการ์ดพระนอนแดงๆ ที่สวยมากถามคนขายว่าภาพนั้นถ่ายมาจากไหนเค้าให้ข้อมูลมาก็เลยรีเควซนายโย่วให้จัดการพามาชมหน่อย แหม่ เมื่อเช้าก็ไม่พาแวะนะ ถ่ายออกมาสวยไม่ได้เสี้ยวโปสการ์ดเล้ย
จุดเที่ยวที่ 22 เจดีย์บูพญา Bupaya Pagoda หรือเจดีย์น้ำเต้า
จัดว่าเป็นเจดีย์องค์เก่าแก่ที่สุดของพุกาม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี ที่นี่เป็นอีกที่ยอดนิยมที่คนมานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นริมแม่น้ำ ทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำ มองจากบนเจดีย์บูพญา ชาวบ้านนั่งทำหมากขายอยุ่หน้าวัดบูพญา ชาวบ้านร้านค้าร้านรวง และพระ ริมฝั่งแม่น้ำ
บ่ายแก่เย็นย่ำ ม้าเมื่อยละ คนก็เมื่อย สิ้นสุดเทรลนั่งรถม้า แล้วเราก็บอกนายโย่วว่าพอละ แวะเจดีย์จนตาลายละ 555 อะดินนาลีนเริ่มไม่ตื่นเต้น เกิดมาไม่เคยเที่ยวชมวัดแบบวันเดียวมากมายมหาศาลขนาดนี้ เลยให้แท๊กซี่ไปส่งกลับรร. ถ้าตอนเย็นยังขยันจะไลน์ไปบอกให้รับไปปีนเจดีย์ชมตะวันตกดินเหนือทุ่งทะเลเจดีย์พุกามอีกรอบ สุดท้ายด้วยความง่วงที่ต้องตื่นมาตั้งแต่ตีสามตีสี่ผมเลยอาบน้ำนอนหลับพักผ่อน ตกลงกับทางที่พักว่าขอขยายเวลาเช็คเอาท์โดยจ่าย extra เป็น day use ไว้ใช้อาบน้ำ เพราะมีกำหนดต้องเดินทางไปต่อที่ทะเลสาบอินเลคืนนี้ ทางรร.ก็ใจดีคิดเพิ่ม 10$ usd เที่ยวรถบัส 20:30 โดยรถจะมารับที่โรงแรม ถึงเวลานัด บริษัททัวร์ก็ส่งสองแถวเล็กมารับไปถ่ายใส่บัสใหญ่อีกทีที่สถานีขนส่ง การเดินทางสู่ทะเลสาบอินเลจึงเริ่มขึ้นพร้อมกับ
สิ้นสุดทริป Day 4
ระยะทางสู่อินเล 300 กิโลเมตรเศษ ปลายทางอยู่ที่เมือง Nyaungshwe ใกล้ๆ ทะเลสาบ
แปดชั่วโมงเต็มๆ กับการเดินทางเราก็มาถึงเมือง Nyaungshwe ออกเสียงประมาณว่านอนชเว พอเข้าเขต Nyaungshwe รถก็จอดมีคนขึ้นมาเดินเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองตามระเบียบ คนละ 12,000 Ks ตีสี่กว่าๆ ถึงสถานีรถบัสแล้วก็เปลี่ยนเป็นรถเล็กของบรัษัททัวร์ที่มารอรับนักท่องเที่ยวกระจายไปส่งตามที่พักต่างๆ ใช้รถบัสของ Bagan Min Thar ใหญ่ วีไอพี นั่งสะดวกสบาย มีผ้าห่ม ของว่าง แอร์เย็นพอควร มีจอดให้กินข้าว แต่รถเล็กที่รับไปส่งที่พักต้องจ่ายเงิน เสียไปคนละ 2,000 Ks มาถึงที่พักที่จองไว้ Aquarius Inn เป็นเกสเฮาส์ ราคาคืนละ 600 กว่าบาท มารู้ตอนหลังว่าพัดลม โถ ตอนจองรีบจัดไม่ดูให้ดี กดกริ่งเรียกคนออกมาเปิดประตูให้หน่อย
Day 5
ฝากกระเป๋าไว้ที่พักเพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอิน แล้วบอกให้เจ้าของบ้านติดต่อเรือไปเที่ยวทะเลสาบให้หน่อย เจ้าของยกหูโทรนัดคนเรือ เรียบร้อย นั่งรอไป ตีห้าครึ่งคนเรือมารับ มารับตรงเวลาเป๊ะ เดินตามคนเรือต้อยๆๆ ไป จากเกสเฮาส์สู่ท่าเรือครึ่งกิโลเมตร อากาศเย็น ที่นี่เนี่ยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึงกว่า 900 เมตร ในฤดูหนาวเนี่ยอุณหภูมิแถวๆ 0 องศาล่ะครับ บางปีติดลบก็มี ตีห้าสี่สิบก็ได้เวลาออกเรือ ปะปะ ไปท่องเลสาบกัน ปู๊นๆ บรื๋นนน~~ สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
ตะวันปลายเดือนเมษาขึ้นตั้งแต่เรือยังไม่ออก แต่ความที่รอบทิศทะเลสาบอินเลโอบกอดด้วยภูเขา เราจึงมีเวลาพอกว่าตะวันจะพ้นเหลี่ยมบังของขุนเขา นั่นทอแสงมาแล้ว 5.5 กิโล ด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. เรือก็โผล่ออกจากคลองสู่ความเวิ้งว้างของผืนน้ำอันกว้างใหญ่นาม Inle Lake
จุดเที่ยวที่ 23 ทะเลสาบอินเล Inle Lake ชมลีลาโชว์การท่าจับปลาชาวอินทา ( Intah ) หนึ่งเดียวในโลก
( ท้ายรีวิวจะแปะแผนที่แสดงเส้นทางท่องเที่ยวทะเลสาบอินเล )
โผล่ออกจากปากคลองมาลอยลำบนทะเลสาบเท่านั้นก็เจอเลยครับ ชาวอินทาโชว์ลีลาประมงอันเป็นเอกลักษณ์ ยืนกระต่ายขาเดียวถือเครื่องมือหาปลา โชว์ให้เรือนักท่องเที่ยวถ่ายรูป งัด 400 mm. กระบอกโตขึ้นถ่ายทันใด นี่คือชาวอินทาขนานแท้ ที่ทำมาหากินกับลีลาหาปลาแบบฉบับที่ไม่มีที่ใดเหมือน หากินอยู่กับทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยๆ ปีแล้ว ไม่รู้เรือนักท่องเที่ยวลำนั้นล่อนกด้วยอะไร ถึงได้บินว่อนตามเรือซะขนาดนั้น เปลี่ยนเป็นเลนส์มุมกว้างบ้าง เรียกชาวอินทามาโชว์ลีลาใกล้ๆ หน่อย เสร็จก็จ่ายทิบให้ไปนิดหน่อย
ถ่ายหนำใจทั้งลีลาขาเกี่ยวพายและขาหนีบชะลอมดักปลา รับติ๊บไปแล้วก็ค่อยๆ ลอยออกไปๆ เห็นแสงดีก็เลยยกมือเรียกให้โชว์อีกหน่อยแกก็จัดให้ทันใด จากนั้นเรือก็ทะยานไปบนแผ่นน้ำกว้างใหญ่ของทะเลสาบอินเล ทำมุมเฉียงใต้ 7 นาฬิกาลงไปด้วยความเร็วเฉลี่ยเท่าเดิมทำระยะไปอีก 9 กิโลเมตรเลาะขอบเลสาบที่ขนาบไปด้วยแปลงผักสวนครัวที่ปลูกกันบนเกาะวัชพืช แล้วก็ตัดเข้าคลองสายหนึ่งทิ้งผืนเลสาบไว้เบื้องหลัง (ผ่านคลองแยกที่เลี้ยวซ้ายจะไปยังวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องแมวกระโดดลอดบ่วงซึ่งเราไม่ได้แวะ มารู้ทีหลัง นั่นคือ วัด Nga Phe Kyaung Monastery แล้วก็เบาเครื่องเลียบท่า แหงนมองขึ้นไปก็เห็นป้ายร้านเครื่องเงิน เอาแล้ว นายเรือของเราสงสัยพามาช็อปปิ้ง นายท้ายเรือเรายิ้มกริ่มจิบชารอค่าคอมฯ แหงม เจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับขับสู้ ดูเหมือนเราจะเป็นแขกรายแรกของเช้านี้ ชอบก็ซื้อไม่ชอบก็เดินดูพอนะแจ๊ะ จุดเที่ยวที่ 24 ชมเครื่องเงิน
เด็กๆ คนงานก็เริ่มเปิดร้าน ได้เวลางานหรือว่าลงมือเฉพาะตอนลูกค้ามาก็สุดจะเดา แต่ก็ดีนะ คือที่ยอมขึ้นบกมาก็เพราะอยากเห็นคนลงมือทำงามหัตกรรมแบบนี้เนี่ยแหละ ว่าแล้วก็ไปยืนมองๆ ดูน้องๆ เค้าติดไป ตอกนั่นนี่โป้กๆๆ แล้วก็เดินดูของ สนนราคาส่วนใหญ่ของข้างแพง ซื้อได้แต่เครื่องเงินชิ้นเล็กๆ จากนั้นใกล้ๆ กันกับร้านเครื่องเงินแค่คนละฟากฝั่งคลอง นายเรือก็ชวนเราเดินข้ามสะพานไปชมตลาด เพราะเราบอกว่าตรูอยากดูโลคอลๆ อยากเห็นวิถีชีวิตเรียลๆ ไม่อยากช้อปเครื่องเงินเครื่องเพชรนะยูนะ ถึงแล้วตลาดสดสุด local จุดเที่ยวที่ 25 ชมตลาดสดท้องถิ่นตลาดแห่งนี้ถ้าชมจากภาพทางอากาศจะเป็นเกาะมีคลองล้อมรอบด้าน บรรยากาศเช้าๆ คึกคักมาก ผู้คนจอแจดูมีชีวิตชีวา ของซื้อของขายส่วนใหญ่จะเป็นของกิน เพิงอาหารคนนั่งกินเต็มทุกร้าน มีแผงขายผ้าขายผัก แม่ค้าชวนชิมนั่งชิมนี่ ชอบใจก็ซื้อติดมือไป ผมซื้อถั่วลิสงไปกินเล่นถุงนึง อิอิ เดินทางกันต่อครับ เรือพาลัดเลาะเลี้ยวตัดเข้าคลองแยกสองสามคลอง มาโผล่ทางตรงที่เจอความแปลกตาของคลองที่เรือต้องแล่นฝ่าทำนบที่เหมือนจะออกแบบมาเพื่อลดความลาดชันของระดับน้ำ เรือโยนขึ้นไปทีก็ปรับระดับความสูงขึ้นไปที สี่ห้าทำนบก็จะสูงขึ้นไปราวๆ หนึ่งเมตร แล่นผ่านมาได้ 7 กิโล ผืนน้ำยกระดับขึ้นมาราวๆ 8 เมตรเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ตลาด (ผมดูจาก altitude ในจีพีเอสพกพา) เรือชะลอลง เทียบท่า ขึ้นฝั่ง ยังงงๆ ว่านายเรือจะพาเราไปไหนต่อ ได้แต่เดินตามไปต้อยๆ จุดเที่ยวที่ 26 วัดชเวอินเต็ง Shwe Inn Dein Templeโอ้ว ที่แท้นายเรือของเราพามาที่ทีเด็ด ที่นี่คือไฮไลค์ประจำทะเลสาบอินเลเลยก็ว่าได้รองจากเรือหาปลาของชาวอินทา จ่ายค่ากล้องก่อนเข้าตามเคย แต่ถูกหน่อย คนละ 500 Ks แล้วก็เดินเท้าขึ้นไปไกลพอควร เกือบโล (700เมตร) วัดอยู่บนเขา ทางเดินเป็นทางในร่มหลังคายาวตลอดทางเหมือนทุกวัด และมีร้านค้าตลอดแนวสองฝั่ง แต่เรามาเช้ามากมั้งร้านค้ายังไม่ค่อยเปิดกัน แม้ขึ้นเขาแต่เดินง่าย เค้าสร้างขั้นบันไดได้ดีมากไม่ต้องยกเข่าชัน ถึงแล้ว Shwe Inn Dein สวยงาม คุ้มค่าเหนื่อยมาก อันซีนกับหมู่เจดีย์สีทองนับร้อยยอด แปลกตากว่าทุกวัดที่เจอมาตลอดทริป นี่ขนาดเริ่มเบื่อๆ วัดแล้วนะเจอแห่งนี้เข้าไปอะดีนนะลีนหลั่งอีกครั้ง ตื่นเต้ล อิอิ งามมาก มุมแบบนี้เพิ่งเจอที่นี่แหละ ชักภาพเป็นที่ระลึกซะกะหน่อย ครั้งหนึ่งนายน้ำฟ้าได้มายลความงามของชเวอินเต็งแล้ว เย้ จัดไปเท่ๆ อีกหนึ่ง เที่ยวมา 5 วันก็เพิ่งจะวันนี้แหละฟ้าแจ่ม มันก็ออกจะร้อนๆ แดดหน่อยนะครับ ถ่ายไปก็หาร่มเงากำบังไป ไม่เหมือนตอนเช้าที่ติดจะเย็นๆ นิดๆ อีกภาพแล้วก็เดินกลับลงจากวัด นายเรือให้เวลาไว้ครึ่งชั่วโมงผมนี้ล่อไปชั่วโมงเลย จากนั้นเรือติดเครื่องอีกครั้งย้อนทางเดินยาวโลดพุ่งตัดทำนบกั้นน้ำลดระดับลงไปสนุกมาก ย้อนมาจนกระทั่งเกือบถึงแยกคลองที่กลับไปตลาดสดกับร้านเครื่องเงินแต่ไม่แยกทิ้งโค้งขวาพุ่งยาวมาออกทะลุคลองที่ใหญ่กว่ากว้างกว่าประมาณสักสามเท่า แล้วก็เจอกับยอดเจดีย์สีทองๆ (ก็ทองแทบจะทุกที่ที่เป็นเจดีย์แหละประเทศนี้) เดาออกเลยนายเรือของเราพามาวัดอีกแล้น รวมระยะทางพุ่งตรงมานี่จากชเวอินเต็งก็ 8.8 กิโลเมตร จุดเที่ยวที่ 27 Phaung Daw Oo pagoda วัดพองตองอู
แม้จะเริ่มร้อนเหลือเหงื่อไหล ทั้งที่เพิ่งจะสิบโมง และก็เพลียแดดเหลือเกินเพราะในเรือไม่มีร่ม แต่จอดให้แล้วก็ต้องขึ้นไปชมหน่อยครับ คนเยอะมากวัดนี้ แม่ค้าขายดอกไม้เชียให้ซื้อไปบูชาพระกันล้อมหน้าล้อมหลัง เดินเข้ามาถึงข้างในยังกะนครเมกกะ เป็นศาลากว้างหลังคาสูงมาก ทองอร่อมไปหมดและตรงกลางมีมณฑปแล้วมีคนมุงทำกิจกรรมอะไรกันอยู่ รอบนอกทุกด้านพุทธศาสนิกชนนั่งพนมมือสวดมนต์ตามกันพรึมพรำ ผมก็ตรงเข้าไปดูทันทีว่าเค้าทำอะไรกัน เป็นการปิดทองสิ่งสักการาสำคัญสูงสุดสักอย่างครับ ลูกกลมๆ บรรยายไม่ถูกเหมือนกันดูจากภาพกันนะครับ กลับมาเสริซกูเกิ้ลก็พบว่าวัดนี้เป็นวัดสำคัญมากของชาวรัฐฉาน หรือฉานเสตรท เอาะ ลืมบอกไป ขณะนี้ที่อินเลนี่เราอยู่ในดินแดนของรัฐฉานแล้ว และลูกกลมๆ เหล่านี้ที่เห็นกลางมณฑปแท้จริงก็คือพระพุทธรูป 5 องค์ที่ถูกปิดทองด้วยแรงศรัทธาจนกลายเป็นลูกกลมๆ ไปหมด ทุกปีในเดือนกันยายนจะมีพิธีแห่ 4 ใน 5 ขององค์พระนี้ไปทางเรือแห่ออกไปสู่ท้องน้ำทะเลสาบอินเล น่าจะเป็นเรือลำนี้ ที่จอดในอู่ข้างวัด ที่ใช้ในพิธีแห่ ไปกันต่อครับ มาลุ้นกันนายเรือของเราจะพาไปไหนต่อ ไปไหนก็ไปอย่าพาไปช็อปปิ้งผมเน้น เรือติดเครื่องขึ้นอีกครั้งทิ้ง Phaung Daw Oo pagoda ไว้เบื้องหลัง เดินหน้าทิศทางเดินไม่ย้อนทางเก่า มุ่งหน้าไปบนคลองใหญ่อีกที แล่นบรื๋อตรงไปอีกราวสองกิโลเมตรครึ่งตะวันออกเฉียงใต้ก็มาโผล่ยังหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ! จุดเที่ยวที่ 28 หมู่บ้านลอยน้ำ Floating Village
นี่ครับ แผนที่ดาวเทียม แสดงภาพลักษณะการตั้งบ้านเรือนอยู่กลางผืนน้ำของหมู่บ้านลอยน้ำ แหม่ ลืมบินโดรน เสียดาย หมู่บ้านนี้ถ้ามองสูงๆ จากแผนที่ตำแหน่งจะอยู่ตรงก้นสุดหรือใต้สุดของทะเลสาบอินเล ก็แล่นเรือช้าๆ วนๆ ล่องชมลึกไปในหมู่บ้านอยู่สักกิโลเศษๆ ดูบ้านเรือนเค้าไปเพลินๆ กับวิถีบนผืนน้ำของชาวอินทา มีคนอาบน้ำริมหัวบันไดบ้าง เด็กหนุ่มเล่นอยู่ในน้ำบ้าน ชาวเรือกำลังรุมกันช่วยซ่อมแซมเรือบ้าน นานากิจกรรม จากนั้นเรือก็วนออกจากหมู่บ้านลอยน้ำล่องใต้ต่อไปสุดมุดเข้าคลองอีก ได้กิโลนึงก็เลี้ยวหักศอกขวาเข้าคลองแยก มาอีกเกือบๆ กิโลก็ชะลอเข้าไปเทียบท่าที่นี่ เอาแล้วไง ม่ายยย นายเรือของเราพามาช็อปเข้าอีกแล้ว ขึ้นฝั่งไปก็เจอการประกบพาเดินชมการทอผ้าจากเส้นใยของบัว อธิบายนั่นนี่ ประกบแบบ one by one ดูตั้งแต่ไปดึงบัวขึ้นจากน้ำ เอามาแตกแล้วแยกเส้นขยี้ๆ แล้วก็ปั่นเป็นใยออกมาจากนั้นก็ไปทอๆๆ เป็นผืนผ้า เส้นทางก็จะพาเราตรงไปสู่โชว์รูมที่ผลิตภัณฑ์รอขาย อยากอุดหนุนแต่ไม่รู้จะซื้อไปทำไมก็ได้แต่ส่ายหัวลูกเดียวแล้วบอกเค้าไปตามตรงว่าไม่ซื้อ ไม่อยากให้เค้าเสียเวลามาพาชมด้วย เดินตามประกบยิ่งกว่าขายประกัน 555 ก็เลยชมๆ แป๊บเดียวแล้วรีบกลับ ไหนๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรแล้ว จุดเที่ยวที่ 29 ดูการทอผ้าจากเส้นใยบัว
มุ่งหน้ากลับ ออกสู่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่อีกครับ อินเล เลค ชื่นใจกับแผ่นน้ำผืนฟ้ากว้างๆ สุดลูกหูลูกตา เห็นเรือแล่นสวนไปสวนมาก็เล่นเทคนิคถ่ายสะบัดเลนส์เข้าเป้าบ้างไม่เข้าเป้าบ้างเพลินๆ ไป แผนที่ INLE LAKE และเส้นทางที่ทัวร์เรือของเรารูทเรือจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน อย่างถ้าตัดวัดชเวอินเต็ง (Shwe Inn Dein) ที่อยู่ไกลสุดออกไป ( Highlight เลยเนี่ย ไม่อยากให้ตัด )
ราคาเรือจะอยู่ที่ 15,000 จ๊าด ถ้ารวมชเวดินเต็งก็ 18,000 จ๊าด สำหรับรูทที่ผมใช้ระยะทางไปกลับทั้งสิ้น 60 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 8 ชั่วโมง ออกเรือกันตั้งแต่ตีห้ากว่า กลับมาถึงท่าเรือบ่ายกว่า จริงๆ เรือยังจะพาไปต่อ แต่ว่าตอนนั้นเที่ยงๆ มันร้อนจัดเพลียแดด เรือไม่มีหลังคา ไปต่อไม่ไหว รู้สึกลำอื่นจะมีร่มแจก ลำผมนายเรืออาจจะมีร่มรอบริการก็ได้แต่คงนึกว่าลูกทัวร์อึดไม่ขอก็ไม่ให้ เหอะๆ ดูเวลาก็ปาไปเที่ยงแล้ว ก็บอกนายเรือพาหาไรกินหน่อย เรือก็หันหัวเข้ามาหาร้านอาหารริมน้ำนี้ อยู่ริมทะเลสาบใกล้ๆ กับหมู่บ้านลอยน้ำ นั่งฆ่าเวลาไปเป็นชั่วโมง กินข้าวเคล้าบรรยากาศจิบเมียนมาร์เบียร์ไปอีกสองขวดโทษฐานแดดข้างนอกร้อน จากนั้นก็บอกคนเรือว่ากลับเหอะ ไม่ไหวละ ง่วง ( ก็ตั้งแต่ตีสี่มานี่ยังไม่ได้นอนเลย ) เจอภาพเรือชาวอินทาเค้าออกมาหาปลากันหรือนั่น สุ่มไปไหน สงสัยสุ่มมีไว้โชว์อย่างเดียว อิอิ ชอบๆ ภาพนี้ ดีใจเปลี่ยนเลนส์กดชัตเตอร์ทัน แล้วก็นึกได้ว่าน่าจะบินโดรนสักหน่อยไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เพิ่งหัดบินแท้ๆ ยอมเสี่ยงเทคออฟบนเรือ บินหวือไปทีเดียวหายไปในอากาศเลยเพราะโดรนผมมันตัวเล็กมาวิคโปร บังคับยากชะมัด กลับมาบ้านเปิดดูเอ้อโชคดีได้ภาพมาบ้าง ทะเลสาบอินเล INLE LAKE เว้งว้างกว้างใหญ่ น้ำมองจากบนฟ้านี่มันออกจะเขียวๆ หน่อยครับ บ่ายวันนั้นก็พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียวครับ กำหนดการคือเช้าพรุ่งนี้อันเป็น day สุดท้ายเราก็จะจับรถบัสกลับมัณฑะเลย์แล้วนั่งเครื่องกลับไทย จองไว้แล้วให้มารับหน้าเกสเฮาส์ เย็นก็กินข้าวร้านข้างเกสเฮาส์เนี่ยแหละ ภาพไม่ได้ถ่ายจากกล้องใหญ่แล้ว ปล่อยสโลไลฟถ่ายมือถือเอา หน้าเกสเฮาส์เป็นวัด และภาพล่างสุดนั่นห้องนอนผม พัดลมงี้เสีย นอนหลับไปทั้งร้อนๆ นั่นแหละจนทนไม่ไหวตื่นมาขอเปลี่ยนพัดลม คือมันหมุดฉิวๆ แต่ให้ตายไม่มีลมโดนตัวซักแอ่ะผลิตมาได้ไงฟร๊ะ และก็เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงว่าจะเกิดในที่สุด เราเอาตั๋วรถบัสยื่นให้เกสเฮาส์ช่วยโทรคอมเฟริ์มให้อุ่นใจว่าพรุ่งนี้อย่าลืมมารับน้า ปรากฏว่าเพิ่งจะเห็นว่าวันที่ในตั๋วผิด และเป็นวันที่ที่ผ่านมาแล้ว ตายห่ รีบโทรเปลี่ยนตั๋วก็ไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว บัสเจ้าอื่นก็เต็มหมด สุดท้ายเกสเฮาส์แนะนำให้ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมัณฑะเลย์แทน ราคาพอกับจ้างแท๊กซี่แต่ประหยัดเวลากว่า เซ็งชะมัดโดนค่าเครื่องไปอีก 45*2 USD แง แง วันรุ่งขึ้นก็จ้างแท๊กซี่ที่เกสเฮาส์เรียกไว้ให้ (เกสเฮาส์ยังช่วยจองตั๋วเครื่องบินให้ด้วย ขอบคุณมา ณ ที่นี้) ค่าแท๊กซี่ไปส่งสนามบิน HEHO เมืองเฮโฮ อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อขามาจากพุกามก็ผ่านทีนึง ระยะทางไปหนามบินประมาณ 30 กิโล ทางขึ้นเขาลงเขากว่าครึ่ง บรรยากาศเส้นทางเหมือนภาคเหนือบ้านเรา คนขับเป็นชาวไต ใจดี คุยไทยได้นิโหน่ย ระหว่างทางพอลงเขาเข้าพื้นราบผ่านสามแยกนึงแกก็ชี้บอกว่าเลี้ยวขวาไปนี่ 500 โลจะถึงแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ไทย คงขับกันสักสองวันได้ เขาทั้งนั้น ผมคิด ส่วนเราก็เลี้ยวซ้ายไปหนามบิน ใช้เวลาบินไปมัณฑะเลย์แค่ 30 นาทีถึงแล้ว จองเครื่องไฟล์ทเย็น โถๆๆ หมดงบเที่ยว นั่งแก่วไปในเทอร์มินอลที่ค่อนข้างประหยัดแอร์นั่นแหละ จนหกโมงเย็นถึงได้เวลา แอร์เอเชียพากลับเมืองไทย นี่ถ้ารู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าล่ะก็จองไฟล์ก่อนบ่ายไปละ 555
ก็จบทริปเมียนมาร์แต่เพีียงเท่านี้นะครับ ทั้งหมดยาวยืดกว่าสองตอน แต่เป็นทริปที่รวมความแล้วประทับใจพม่ามาก ทั้งมัณฑะเลย์และพุกามที่เป็นราชธานีเก่า ทั้งทะเลสาบอินเลแห่งรัฐฉานทีี่ทั้งหมดทุกที่ชาวเมียนมาร์นั้นนิสัยใจคอดีมาก ยิ้มง่าย เป็นมิตร ทำให้พม่ามีเสน่ห์มากๆ ในการที่จะต้องหาโอกาสหวนกลับไปเที่ยวอีกครั้ง
Create Date : 01 มิถุนายน 2560 |
|
7 comments |
Last Update : 5 มิถุนายน 2560 20:51:15 น. |
Counter : 4232 Pageviews. |
|
|
|
สวยงามมากถึงมากที่สุด ขอบคุณ
ที่พาไปเที่ยวพุกามแบบเจาะลึกนะคุณหยี