2เท้าจะก้าวไป ตามหาหัวใจของสายน้ำ..เปรโต๊ะลอซู(ปิ๊ตุ๊โกรลอซู) ตอนสอง
2 เท้าจะก้าวไปตามหาหัวใจของสายน้ำ ตอนที่ 2 (ตอนจบ)
ในที่สุดมันก็อยู่ตรงหน้า หลังนอนพักเหนื่อยเต็มอิ่มฟังเสียงฝนตลอดคืน ณ แค้มป์คืนแรกปลายธารน้ำตกเปรโต๊ะ เช้าตรู่เราก็ลุยย้อนทางน้ำตัดลำธารเชี่ยวเล็กน้อยขึ้นสู่หัวใจของสายน้ำ แต่สีหน้าเวลานี้ปั้นยากแท้! มันทั้งดีใจทั้งว้าวุ่นใจกับสายฝนที่โปรยปรายไม่เลิกรา ดีแต่ว่าเริ่มเพลาๆ แต่ดูยังไงก็ไม่มีทางขาดเม็ด เอาวะ พังเป็นพัง หึหึ! ว่าแล้วก็คว้ากล้องออกจากถุงพลาสติก ^^
นาทีนี้พังเป็นพังสิครับพี่น้อง เพราะมันคือช็อทบังคับ จำเป็นต้องงัดอุปกรณ์ถ่ายภาพตัวท็อปสุดของแต่ละคนออกมาสู้ฝน ลำพังฝอยน้ำตกตรงหน้าก็แทบแย่แล้ว นี่สองเด้งเลย ต่างก็ใช้กลวิธีสุดแต่ใครจะคิดได้
และภาพส่วนใหญ่ของทริปนี้ผมก็ยังคงใช้บริการเจ้าโอลี่จิ๋วกันน้ำกันกระเทือนยืมมาจากลูกสาวตัวนี้ เกือบจะเหมาผลงานภาพทั้งทริปกันเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นไม่มีภาพมาเล่าเรื่องแน่
กำหนดการคร่าวๆที่เหลือสายวันนี้เราจะย้ายแคมป์ขยับสูงขึ้นสู่แคมป์2 จากระดับความสูง 811 เมตร สู่ความสูง 1,114 เมตรเปลี่ยนบรรยากาศจากหุบน้ำตกสู่บรรยากาศสันเขาเชิงดอยดอยมะม่วงสามหมื่น ใช้เวลาช่วงบ่ายๆเย็นๆไต่ขึ้นชมวิวเหนือแคมป์2 และเก็บสัมภาระทั้งหมดเดินทางกลับในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยใช้เส้นทางอีกเส้นหนึ่งที่ไม่ต้องย้อนกลับไปที่น้ำตก
รายละเอียดเส้นทาง จุดStart ถึง แคมป์1 ระยะทาง 6 กิโลเมตร แคมป์1 ถึง น้ำตกเปรโต๊ะลอซู ใกล้ๆ ^ ^ แคมป์1 ไต่ขึ้น แคมป์2 ระยางทาง 1.9 กิโลเมตรสั้นแต่ชัน แคมป์2 ไต่ขึ้น จุดชมวิวเหนือแคมป์ 600 เมตร ชันแคบเหว! เส้นทางลงกลับสู่กุยเลอตอ 6.4 กิโลเมตรเดินตามทางน้ำ
ย้ายแคมป์ได้เวลาทิ้งน้ำตกไว้เบื้องหลัง จำเป็นต้องตัดใจทิ้งเปรโต๊ะลอซูไว้เบื้องหลัง เพื่อให้ทริปดำเนินไปบนกำหนดการตามตารางเวลา ไม่อาจอ้อยอิ่งต่อได้ อยากรอแสงแดดส่องก็ดูเลื่อนลอย อยากจะรอฝนซาก็ดูท่าอาจยาวนาน
1.9 กิโล แคมป์น้ำตกสู่แคมป์สันดอยสั้นสั้นแต่ชันยาว ยกเข่าก้มหน้าย่างย่ำฝ่าฝนกันต่อไป เราไต่ทางราว 640 เมตรขึ้นพ้นจากหุบน้ำตก มาอยู่ที่เมื่อวานยืนถ่ายรูปน้ำตกในจุดแรกที่มองเห็น จากนั้นก็บ่ายหน้าขึ้นทิศเหนือตามสันดอย ทำเวลาเดินได้ช้าลงเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
ที่ความสูง 1,070 เมตรจากระดับน้ำทะเลสูงกว่าจุดสูงสุดของน้ำตก2 ชั่วโมงเต็มๆกับการชันเข่าขึ้น เราก็มาถึงเนินโล่งรกๆก่อนถึงแคมป์สันดอยราวสิบนาทีที่ระยะทางราว 1.80 กิโลเมตร แลเห็นสายน้ำตกเปรโต๊ะอีกฝั่งด้านของทิวเขาอย่างชัดเจน
Dslr ยังคงซุกน่ิงในถุงพลาสติก เพราะฝนเจ้ากรรมยังคงมุ่งมั่นตกเอาๆ เฮ้อ ปล่อยน้องโอลี่สีม่วง รักษาตำแหน่งกล้องหลักต่อไป
เปรโต๊ะลอซู ในม่านหมอกฝน
ไหล่ดอยมะม่วงสามหมื่น ระดับสายตา ณ แคมป์สอง
พักเมื่อยเสร็จเราก็รุดหน้าต่อ ก้มหน้าหมุดฝนไต่ระดับมายังสันดอยกว้างที่ 1,114 เมตรจากระดับน้ำทะเล สันเขาเชิงดอยมะม่วงสามหมื่น นัยว่าเป็นลานราบแหล่งสุดท้ายถัดสูงขึ้นไปจากนี้คงเหลือแต่ความชันและสันดอยแคบๆ นายโดมกับนายเอกสองจอมพรานนำทางของคณะเรา สองผู้มุ่งมั่นระห่ำแบก !
คนนี้ก็อีกหนึ่งระห่ำแบก นับถือ _ _"
มื้อเพิ่มพลังเติมพละกำลังก่อนไต่ทางชันยาวสุดท้าย กับมื้ออาหารเที่ยงง่ายๆ ณ บ่ายสาม หลังลูกหาบของเราล่วงหน้ามาทำเพิงปักเต็นท์กันเป็นที่เรียบร้อย สองพรานใหญ่ของเราตามขึ้นมาสบทบปั๊บก็ใช้พลังก๊อกสองจัดการมื้อเร่่งด่วนให้ลูกทัวร์ทั้งที่ยังไม่หายเหนื่อยจากการแบกสัมภาระอย่างเกินพิกัด!
เส้นทางสายฝัน เนินชันยาว 600 เมตรสุดท้าย สู่ความสูง 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดชมวิวดอยมะม่วงสามหมื่น
อิ่มหนำก็เดินทางต่อสู่จุดชมวิวเบื้องบน คุณฝนเธอก็ยังตกไม่เลิก ตกตกหยุดหยุด แต่ส่วนใหญ่จะตกลืมหยุด _ _" เมฆหมอกฝนปลิวปะทะร่างพร้อมลมโชยอ่อนๆ หนาวสะท้านไปบ้างไรบ้าง พรานนำทางบอกเราว่าเส้นทางช่วงนี้บางครั้งลมแรงมาก แรงกระทั่งต้องหมอบเดิน และบางครั้งถึงกับเดินกันไปต่อไม่ได้ทีเดียวเนื่องจากเกรงกระแสลมจะหอบลูกทัวร์และกระเป๋าตังค์ของลูกทัวร์ตกดอยกันเป็นที่ระทึก ^^
ถึงจนได้ในที่สุด ที่พิกัดN15.870239 E98.618501 alt.1,300m. มุมมองทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฝนขาดเม็ดทันเวลา ช่วงเวลาธรรมชาติมอบรางวัล
ความงามตรงหน้าพาให้ทุกคนหายเมื่อย หายเหนื่อย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ได้เวลาตักตวงความสุข
เหลื่ยมดอยมะม่วงสามหมื่น นาทีฟ้าเปิด ก่อนตะวันจะลับฟ้าชั่วโมงเศษ
ทุกคนกุลีกุจอคว้าอุปกรณ์บันทึกภาพความสุข ออกมาเก็บเกี่ยวความทรงจำกันอย่างเต็มเหนี่ยว ท่ามกลางบรรยากาศหมอกฝน สายลม และความเปียกปอน ฝนขาดเม็ดก็จริงแต่ก็เพียงทิ้งช่วง ตกๆหยุดๆสลับกันไปพอให้ทุลักทุเลบ้างเล็กน้อย
photo by พี่สวาสดิ์ คนแบกหมู
อิจฉาตัวเองจริงจริงเลยเฟ้ย
photo by นู๋ซุมมี่
โอ้ว ว้าว กรี๊ดด ดด กรี๊ดดดด จู่จู่ดูนั่น! โบนัสชิ้นใหญ่จากธรรมชาติ รุ้งกินน้ำตัวอ้วน สองตัว วะวะว้าวกรี๊ดสลบ
หายเหนื่อย เป็นปลิดทิ้ง
รุ้งตัวอ้วนจ้ำหม่ำปรากฏตัวอยู่นานนับสิบนาที พวกเราทุกคนต่างตื่นเต้น ตื่นตา และตื่นใจ ถ่ายรูปรัวกันอย่างลืมความเหนื่อย
สายน้ำเปรโต๊ะลอซูสองสายบนหน้าผาฝั่งตรงข้าม 13 สิงหา 15 องศาเหนือ 98 องศาตะวันออก ดวงอาทิตย์จะลาลับฟ้าเวลา 18:51 นาฬิกา หลายคนลืมพกไฟฉายขึ้นมาด้วย รวมทั้งตัวผม เฮ้อ แถมลากอีแตะขึ้นมาอีกอีกต่างหากพร้อมน่าดู ทำให้จำต้องล่าถอยไต่ความชันและลื่นกลับลงแคมป์ ปล่อยเพื่อนที่มีไฟฉายและไฟในหัวใจอยู่เป็นตัวแทนเก็บภาพแสงสุดท้ายกันต่อไป
และนี่คือผลงานบางส่วนจากเพื่อนๆ เห็นภาพจากFull Frame และเลนส์โปรแล้วกลับจากทริปนี้ผมถึงกับยกเครื่องปลดเลนส์คิทหันไปคว้าเลนส์คุณภาพที่สูงกว่าเข้าประจำการเพิ่มสองตัว อุอุ ฝีมือไม่ดีโทษกล้องโทษเลนส์ไว้ก่อน
photo by พี่สวาสดิ์ คนแบกหมู
photo by พี่สวาสดิ์ คนแบกหมู
photo by น้องฝน fonpj@hotmail.com
photo by น้องฝน fonpj@hotmail.com
แล้วเราก็ผ่านคืนไร้ดาวแต่ไม่ไร้สายฝนไปอีกหนึ่งราตรี
เช้าวันใหม่ วันส่งท้าย กับแสงอำไพจับปลายฟ้า photo by พี่สวาสดิ์ คนแบกหมู
ความสุขอีกหนึ่งระลอก กับทะเลหมอกยามเช้า
ดวงตะวันพ้นขอบฟ้าที่ 6:10 น. ตื่นไม่ทันตะวันอีกตามเคย _ _"
ทั้งที่เสียงคนโหวกเหวกอยู่ไม่ห่างจากหน้าเต็นท์นัก ว่าทะเลหมอก ทะเลหมอก แต่ความขี้เกียจก็ทำให้กว่าจะอิดออดโผล่ออกจากเต็นท์ได้ก็พลาดแสงขอบฟ้าสวยๆไปอย่างโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง อยากเป็นนักถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีอย่างแรกที่ต้องฝึกเลยคือฝึกตื่นก่อนตะวันให้ได้ ทริปนี้เลยต้องยืมภาพประกอบบางส่วนจากเพื่อนร่วมชาติตามระเบียบ ยกความดีความชอบให้กับสองมือโปรพี่สวาสดิ์ คนแบกหมู และน้องฝน fonpj@hotmail.com ไว้ ณ ที่นี้ด้วยเด้อค้าบ
แปดโมงกว่า ได้เวลาอำลาอาลัยไม่อยากบอกว่าจะกลับมาอีก เพราะยังมีที่ต้องไปอีกเยอะ แต่อยากจะบอกว่านี่เป็นทริปประทับใจมากอีกทริปหนึ่ง คงเพราะเส้นทางที่ต้องลุยหล่ม ลุยโคลน ลุยฝน เดินลุยไปตามลำน้ำ คันนา ปีนรั้ว ฝ่าน้ำเชี่ยว บวกปลายทางที่เป็นน้ำตกใหญ่สวยรูปหัวใจกลางผืนป่าและวิวเหลี่ยมดอยที่สวยงามด้วยหมอกฝน รุ้งตัวอ้วนสองตัวนั่น และทะเลหมอกยามเช้า นับว่าเป็นทริปกลมกล่อมลงตัวและตรึงใจพวกเราทุกคน
เอาล่ะ เอาล่ะโบกมือลา ส่งจูบเปรโต๊ะ จูจุ๊บมะม่วงสามหมื่น เป่านกหวีดปี๊ดดด กลับ กลับ ได้เวลาเดินดงลงดอยสู่เบื้องล่าง สู่บ้านกุยเลอตอ ระยะทางเดินลงหลงจ้ง 6.4 กิโลเมตร
ฝ่าป่ารกทึบคันคะเย้อ
ย่ำยวบยาบผ่านหล่มเลอะเลอะ เอ๊ะ! มันเละตุ้มเป๊ะกว่าตอนขามาหรือปะเน่ีย
เจอทางหล่มโคลนแบบนี้ยกขาลำบากแท้ มันบั่นทอนกำลังจริงไรจริง ดีว่ายังพอเจอโคลนสลับลำน้ำไปเรื่อยพอได้ลุยน้ำล้้างโคลนกันไปบ้าง จังหวะไหนเจอแดดส่องเปรี้ยงๆมาก็เพลียกันไปยามนี้ก็คิดถึงแต่น้ำอัดลมเย็นๆแระ
มารวมเท้ากันหน่อย After and Before
photo by น้องฝน fonpj@hotmail.com
photo by ใครไม่รู้ครับ จำคนถ่ายไม่ได้ ขออนุญาตเจ้าตัว ณ ที่นี้เลยนะ อิอิ จับจังหวะได้ดีเยี่ยมไปเลย
ลุยห้วย สีสันประจำทริป ความสนุกอีกแบบหนึ่งประจำทริปเปรโต๊ะลอซูคือการได้เดินข้ามลำห้วยที่เชี่ยวแบบนี้
6.4 กิโลเมตร กับเวลา 4 ชั่วโมงเศษ ทำเวลาเดินเฉลี่ย 40 นาทีต่อหนึ่งกิโลเมตร ก็นับว่าไม่เลวสำหรับคนนานๆเข้าป่า และทริปตามหาหัวใจของสายน้ำครั้งนี้ก็สำเร็จลงด้วยดี มีคำถามว่าทำไมต้องมากันกลางฤดูฝนแบบนี้ เราได้คำตอบจากสองพรานของเราว่า เปรโต๊ะลอซูจะสวยงามเฉพาะยามหน้าฝนแบบนี้เท่านั้น หน้าแล้งหรือหน้าร้อนสายน้ำจะน้อยมาก
ลากันไปด้วยภาพอุปกรณ์แดดเดียว พบกันใหม่ทริปต่อไปครับ
ฝากคอมเม้นท์ไว้เป็นกำลังใจ หรือทิ้งร่องรอยให้รู้ว่าท่านมาเยี่ยมเยือนเรา น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา ด้วยนะจ๊ะ
ฉบับหน้ารอพบกับเอนทรี่แนะนำZizzee.com และภูวนาลีรีสอร์ท ซึ่งผมได้มีโอกาสเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการในนามBloggang Zizzee มาแรงแค่ไหนคือเวปอะไรใครมีโอกาสขับรถบนทางด่วนช่วงนี้คงสังเกตเห็นคัทเอ๊าท์ขนาดใหญ่สาวน้อยหันหลังในชุดลำลองเบาหวิว แล้วพบกันเร็วๆนี้ฮว้าบบ
Create Date : 19 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 15:36:42 น. |
|
75 comments
|
Counter : 12207 Pageviews. |
|
|
ยินดีมากๆ ที่บล็อกตอนสองของเปรโต๊ะลอซู คลอดเสียที หลังจากปล่อยให้แฟนๆ บล็อกแก๊งค์ ปูเสื่อรอเก้อมานานเกือบสามเดือน และก็ดีใจกับการกลับมา up บล็อกของ น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา เชื่อว่า หลายๆ คนก็คงรอคอยอยู่ช่นกัน .....
บล็อกเอนทรี่นี้ ยังสวยแจ่มเช่นเดิมทั้งภาพและเทคนิคการจัดหน้าบล็อก อ่านจบแล้วรู้สึกเต็มอิ่มคุ้มค่ากับการรอคอยเป็นอย่างมาก ระดับนี้ไม่ควรเรียกว่าบล็อกเฉยๆ แล้วล่ะครับ ควรจะเรียกว่านิตยสาร online ซะมากกว่า เพราะจัดหน้า Artwork เหมือนได้อ่านนิตยสารจริงๆ เลยทีเดียว .....