บินลัดฟ้ามายล Amazing ตรัง
บล็อกนี้มีเสน่ห์ที่เลย์เอาท์ หากชมผ่านมือถือในโหมด moblie โปรดมาหาปุ่มคลิกกลับสู่โหมด Desktop Version เพื่อความว้าวในการรับชม จุ๊บุ๊ๆ
ป๊าดดด ฟ้าหน้าร้อนแจ่มมว้ากเพียง2 เท้าก้าวลงเครื่อง เหยียบพื้นท่าอากาศยานตรัง ใจก็เต้นรัวๆ ฟ้าแจ่มแบบนี้ทริปนี้รูปสวยตรึมแน่ วะฮะฮ่า วันนี้นายน้ำฟ้าขอลัดฟ้ามาเยือนตรัง มาเป็นสิบครั้งก็สัมผัสไม่ครบหรอกครับกับจังหวัดที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งทางบกทางทะเล เยอะจัด ทุกครั้งก็อาจเจอที่ซ้ำ แต่รับประกันทริปนี้มีที่ใหม่สำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้อย่างแน่นอน อ้อ และที่เน้นเป็นพิเศษของบล็อกนี้คือเราจะไปสัมผัสฟาร์มสเตย์มาตรฐานอาเซียนกัน แถ่นแท้น นั่นคือ
บ่อหินฟาร์มสเตย์
ปะไปกัน โย่ว
ออกจากหนามบินก็ตรงไปไหนก่อนดีครับ ติ๊กต่อกๆ ถูกต้อง ไปหาข้าวกิน 555 เมืองตรังของกินขึ้นชื่อลือลั่นยุทธจักรความอร่อยเยอะ นี่เลยมื้อแรกเราตรงไป ร้านพงษ์โอชา ติ่มซำชื่อดังเล่ายี่ห้อ อิ่มแล้วก็ไปต่อ ยังไม่เข้าฟาร์มสเตย์ เรามุ่งหน้าสู่บ้านนาหมื่นศรีกันก่อน ที่อ.นาโยง ห่างอ.เมืองไปเพียงสิบกว่ากิโล บ้านนาหมื่นศรีเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน มีที่เที่ยวมากพอจะเป็น half day trip มีที่เที่ยวอะไรมั่ง ลองอ่านคำขวัญ " ผ้าทอนาหมื่นศรีเลื่องลือ ขึ้นชื่อพระนอนวัดหัวเขา วัฒนธรรมเก่าประกวดลูกลม ถ้ำงามน่าชมเขาช้างหาย ผู้คนมากมายหลายวัฒนธรรม "
แกรก กรับ แกรก กรับ กลุ่มทอผ้านาหมื่นศรี จุดแรกเลยคือเรามาเยือนมายืนมองเค้าทอผ้า ฟังเสียงกี่ขยับสับฟีมดังกรับกรับ กระทบเส้นดายเป็นจังหวะๆ สลับเสียงแกรกๆ ของเท้าเหยียบ ตามองกระสวยพุ่งไปมา เพลินมาก กลุ่มทอผานาหมื่นศรีเกิดจากการรวมกลุ่มกันของชาวบ้านคนเก่าคนแก่ของที่นี่ช่วยกันรื้อฟื้นสืบสานวิถีชีวิตการทอผ้าที่เคยเลื่องชื่อแต่ได้หยุดชะงักไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งปี 2514 จึงนำกี่ทอผ้าในสมัยก่อนมาซ่อมแซม ฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่นและรักษาลายผ้าโบราณเอาไว้กว่า 32ลาย อันเป็นลวดลายเฉพาะถิ่นของที่นี่
ถ้ำเขาช้างหายN7° 35.397' E99° 40.136'ชมการทอผ้าแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ผ้าทอให้ได้ชม และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผาทอเป็นที่ระลึกกันด้วย จากนั้นก็แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติกัน อยู่ห่างออกไปเพียงสามโลกว่า นั่นคือถ้ำเขาช้างหาย เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม เค้าจัดไฟซ่อนส่องแบบ lighting technique ให้ดูสวยงามมากขึ้นพร้อมทำทางเดินเทรลราดคอนกรีตไว้ให้เดินได้อย่างสะดวกสบายพอควร มีมุดๆ บ้างบางช่วง ทางเดินเทรลเป็นวนรอบไม่ต้องย้อนกลับทางเดิม ตำนานถ้ำเขาช้างหายตำนานเล่าว่า คราวเมื่อขบวนช้างของเจ้าเมืองนครศรีฯ ไม่ร่วมงานก่อพระบรมธาตุเจดีย์ ผ่านมาทางนี้ ได้มีลูกช้างในขบวนวิ่งเตลิดหายเข้าไปในถ้ำ หมอควาญที่มีอาคม ใช้วิชาออกตามหา แต่ก็ไม่พบ จึงเรียกถ้ำแห่งนี้ว่าถ้ำเขาช้างหาย ภายในถ้ำยังมีรูปปั้นทวดไชยหาญ เป็นที่เคารถสักการะและเชื่อกันว่าถ้าเอาหินไปเคาะๆที่ทวดก็จะมีความโชคดี
บนยอดเขาเหนือถ้ำถ้าสังเกตดีดีจะเห็นลูกลมด้วย ส่งเสียงล้อลมดังหึ่งๆ ลูกลมหน้าตาเป็นอย่างไร คลิก ทุกปีราวเดือนกุมภาจะมีงานสมโภชน์ลูกลม มีการละเล่นประกวดแข่งขันกันด้วย บริเวณไม่ไกลจากหน้าถ้ำยังมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านให้ได้เข้าไปชม และในบ้านนาหมื่นศรีนี้ยังมีที่ท่องเที่ยวอื่นอีกเช่น สระพรุลำเพ็ง เป็นบ่อน้ำลึกขนาดใหญ่ และป่าพรุ เวลาจำกัดเราจำเป็นต้องเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ฟาร์มสเตย์จุดหมายเยี่ยมเยือนหลักของทริปนี้ ปะปะไปกันครับ บึ่งรถย้อนกลับเข้าเมืองและเลยต่อไปยังตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา ห่างจากที่นาหมื่นศรีไปราว 54 กิโล แต่ถ้าตรงไปจากสนามบินตรังก็ระยะทางราว 42.5 กิโลเมตร
บ่อหินฟาร์มสเตย์N7° 33.329' E99° 19.715'ถึงแล้ว ที่พักของเรา บ่อหินฟาร์สเตย์ โฮมสเตย์มาตรฐานระดับภูมิภาพอาเซียน ซึ่งเป็นฟาร์มสเตย์ที่เกิดขึ้นหลังความเสียหายจากเหตุการณ์ซึนามิถล่มเมื่อปี 2547 ซึ่งครั้งนั้นเกษตรกรละแวกนี้ก็ได้รับความเสียหายครั้งใหญ่เช่นกัน ต่อมาด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ และการรวมกลุ่มช่วยเหลือกันเองของชาวบ้าน ทำให้เกิดวิสาหกิจชุมชมเลี้ยงปลากระชังขึ้น และต่อยอดเป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จนที่สุดปี 2551 ก็ได้รับรางวัลกลุ่มเกษตรกรดีเด่น และจากนั้นก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมบ่อยๆ จนเกิดเป็นฟาร์มสเตย์ขึ้น
จุดเด่นของการได้มาสัมผัสบ่อหินฟาร์มสเตย์อย่างแรกเลยคือจะได้นั่งเรือชมความงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำสิเกาที่ไหลผ่านหน้าฟาร์มสเตย์ก่อนจะไหลออกสู่ทะเลที่ห่างออกไปเพียงสามกิโลเศษ ไปกันครับ สี่โมงครึ่งแล้ว ได้เวลาเหมาะสมที่จะออกล่องเรือกันพอดี ไปกันครับ
ปลูกป่าชายเลน
เรือร่องทิศทางสู่ทะเล เวิ้งน้ำสิเกากว้างใหญ่ ป่าโกงกางสองข้างทางยิ่งใหญ่กว่า ดูอุดมสมบูรณ์มากๆ ล่องออกห่างฟาร์มสเตย์มาได้สองกิโลเมตรก็เจอลำน้ำสาขาแยกซ้าย เรือหางทิ้งโค้งเข้าสู่แขนงของสิเกานั้นและเรือก็ลดความเร็วตรงดิ่งเข้าริมตลิ่งย่อมนึงที่เป็นดินเลนโล่งๆย่อมๆ คุณบรรจง นฤพรเมธี ประธานกลุ่มของบ่อหินฟาร์มสเตย์นำทีมมา กล่าวว่าความจริงปัจจุบันนี้ป่าชายเลนแถบนี้ก็ค่อนข้างหนาแน่นจนไม่ต้องปลูกเพิ่มแล้ว ผมก็เห็นจริงตามนั้นนะ มันทั้งหนาหนาทั้งสูงใหญ่ แต่กิจกรรมปลูกป่าชายเลนนี้มีความสำคัญตรงที่ปลูกจิตสำนึกลงในจิตใจเรานั่นเอง ให้เกิดความผูกพันหวงแหน อ่ะ มามา ปลูกป่ากัน โดดลงเรือย่ำเลนไม่ต้องกลัวตีนเละ เพราะก่อนจะกลับขึ้นบนเรือเราก็นั่งกาบเรือจุ่มเท้าล้างโคลนเท่านี้ก็หายเลอะแระ
สเน่ห์แห่งสายน้ำ .. สิเกา
ปลูกป่ากันเสร็จแล้วเรือนำห่างออกจากตลิ่งและนำดิ่งลึกเข้าไปในลำน้ำสาขาของแม่น้ำสิเกาอีกครั้ง ลึกเข้าไปๆ ราวๆ อีกหนึ่งกิโล เราก็มาเจอสถานที่สุดอเมซซิ่ง Unseen สิเกา คืออะไรเดี๋ยวได้เห็นกัน ก่อนอื่นเรือพาลงจอดริมตลิ่งอีกครั้ง คราวนี้ก้าวพ้นเรือก็ขึ้นบรรไดท่อนไม้นิดหน่อยแล้วก็เป็นทางเดินเทรลเล็กๆ เดินลึกเข้าไปนิดหน่อย ทางดูเหมือนจะวกๆ ย้อนๆ กลับไปโผล่ริมตลิ่งอีกจุดหนึ่ง และแล้วสิ่งที่เห็นตรงหน้า!!!บ่อน้ำร้อนกลางป่าชายเลนมหัศจรรย์ธรรมชาติN7° 33.250' E99° 18.715'
คุณบรรจงเล่าความเป็นมาว่า แต่ก่อนชาวบ้านแถวนี้ออกเรือผ่านมาสังเกตว่าแถวนี้แปลก น้ำร้อนผิดปกติมาก จนมีการออกสำรวจก็พบความมหัศจรรย์เมื่อน้ำลดเลนโผล่ปรากฏเป็นบ่อน้ำร้อนให้ได้เห็น กลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจนับแต่นั้นมา แปลกดีเน้อะว่ามะ บ่อน้ำร้อนใต้น้ำอีกทีหนึ่ง!
ความอะเมซซิ่งยังไม่หมดเท่านี้ เรือย้อนออกสู่สายน้ำหลักแห่งแม่น้ำสิเกาอีกครั้งแล้วมุ่งหน้าออกสู่ทะเล ผ่านดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่เป็นเนินทรายสวยงามซึ่งประเดี๋ยวเราจะมาจบทริปเทรลล่องแม่น้ำกันที่นั่น แต่ตอนนี้เรือมุ่งหน้าทะยานสู่ทะเล ตั้งแนวขนานชายฝั่งไปเรื่อยๆ ทิศทางมุ่งหน้าทิศตะวันตกและเฉียงใต้ ผ่านเวิ้งอ่าวหาดราชมงคลทางซ้าย แล่นผ่านเลยมาแล้วเลี้ยวเข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์ตาอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ ....
อ่าวบุญคง ธนาคารต้นกล้าหญ้าทะเล
ท่ีนี่เป็นแหล่งสำคัญในการปลูกอาหารให้พะยูน ใช่แล้ว พะยูนที่กำลังใกล้สูญพันธุ์ ที่อาหารหลักในการดำรงชีพและสืบทอดสายพันธุ์ของพวกเค้าคือหญ้าทะเล อ่าวบุญคงเป็นแหล่งเพาะต้นกล้าหญ้าทะเลเพื่อนำไปขยายพันธุ์ต่อไป นอกจากนี้เวิ่งอ่าวบุญคงยังมีภูมิประเทศที่สวยงามมากจากอ่าวที่โค้งเป็นวงจนแทบปิด และโอบล้อมด้วยม่านภูผาหินสูงชันงดงามมั่กๆ
ตะวันใกล้ลาลับ ขบวนเรือลาจากอ่าวบุญคงมุ่งหน้าสูดินแดนอะเมซซิ่งจุดต่อไป นั่นคือดอนทรายที่อยู่ ณ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสิเกาที่ตะกี๊นี้เราแล่นเรือผ่านมา เพียงแค่นี้ก็นับว่าเป็นเทรลที่คุ้มค่าแล้วนี่ยังมีจุดแวะอีกหรือนี่ วิเศษสุดๆ ปะไปกัน จุดต่อไปเหมาะยิ่งนักกับการยืนส่งตะวัน .... นั่นคือ
ทรายนุ่มมาก เหยียบยวบเท้าทุกย่างก้าว เหยียบยุบๆ ผืนทรายเว้งว้างว่างเปล่าราบกว้าง ดินดอนทรายสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสิเกา ที่โอบล้อมด้วยทัศนียภาพสวยงาม 360องศารอบตัว จุดส่งตะวันลาลับขอบฟ้าที่งามสุดแห่งหน่ึงของท้องทะเลจังหวัดตรัง
dinner
หม่ำอร่อยกับอาหารทะเลสดๆมื้อค่ำ
จากนั้นก็ส่งท้ายวันด้วย ลิเกป่า การแสดงที่หาดูยากมาก แต่หาดูได้ง่ายๆ ที่บ่อหินฟาร์มสเตย์ นั่งตั้งใจดูเค้ารับมุกส่งมุกกันฮาตลอดชั่วโมง
Good Morning สิเกา
อรุณสวัสดิ์สิเกา บ่อหินฟาร์มสเตย์ยามเช้า กับบรรยากาศสีสันท้องฟ้าหน้าร้อนที่สวยงาม กับฉากหน้ากระชังปลาและท้องน้ำแม่น้ำสิเกา
และมื้อเช้าโจ๊กร้อนๆ และอื่นๆ กินเสร็จก็เดินย่อยชมวิวเช้าๆ รอบๆ ฟาร์มสเตย์แห่งนี้
บ่อหินฟาร์มสเตย์ มีที่พัก 3 หลัง รองรับนักท่องเที่ยวได้ราว 50 คน
อัตราค่าบริการ ค่าบ้านพัก 120 บาทต่อคน, บริการอาหารเช้า 60 บาทต่อมื้อ อาหารกลางวัน/ค่ำ 150-250 บาท ต่อคน ดำน้ำดูปะการัง 700 บาทต่อคน นั่งเรือชมธรรมชาติประมงป่าชายเลน 150 บาทต่อคน
วันนี้เราจะเช็คเอาท์แล้วไปขึ้นเรือที่ปากเมงเพื่อจะไปทริปดำน้ำสุดฮิตของตรังกัน แต่ตอนนี้ขอเรื่อยๆ เฉื่อยๆ อ้อยอิ่งอยู่ฟาร์มสเตย์แห่งนี้ก่อน
ปลาเค็มกางมุ้งผลิตภัณฑ์ OTOP ของดีสิเกาN7° 34.156' E99° 20.166' สิเกาเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลมีชื่อเสีียงของภาคใต้ โดยเฉพาะการประยุกต์แปรรูปยืดอายุอาหารเก็บไว้บริโภคและจำหน่าย เราเช็คเอาท์ออกจากบ่อหินฟาร์มสเตย์แล้วคุณบรรจงประธานกลุ่มยังพามาแวะชมการทำปลาเค็มกางมุ้ง ซึ่งอยู่ละแวกใกล้ๆ กับฟาร์มสเตย์นั่นเอง มีทั้งปลาตาโต ปลาไส้ตัน ปลาเม็ดขนุน ฯลฯ
ศรีตรังต้นไม้ประจำจังหวัดตรังเรายังอยู่ในตัวอำเภอสิเกา และทริปนี้ก็ได้เห็นดอกม่วงบานสะพรั่งของศรีตรังไม้ประจำจังหวัดที่ปลูกเรียงรายสองข้างทาง ปกติศรีตรังจะออกดอกราวมกรา-มีนา วันนี้ 1 เมษา ยังทันเห็นความงามครับ เห็นแบบนี้อดใจไม่อยู่เรียกรถจอดๆๆด่วน ขอลงไปเก็บภาพเสียหน่อย
ปากเมงคลิกดูเส้นทาง > N7° 30.447' E99° 18.736'ถึงแล้วปากเมง ระยะทาง 16.4 กิโลเมตรจากบ่อหินฟาร์มสเตย์ ที่นี่นอกจากหาดปากเมงที่สวยงามแล้วยังเป็นที่ตั้งของท่าเรือท่องเที่ยว ที่จะนำสู่เส้นทางท่องเที่ยวทางทะเลเกาะมุก เกาะไหง เกาะเชือก เกาะกระดาน ฯลฯ ซึ่งเกาะเกือบทั้งหมดขึ้นกับอุทยานฯหาดเจ้าไหม ยกเว้นเกาะไหงที่ขึ้นตรงกับอช.หมู่เกาะลันตา มามา เรือรอเราอยู่ปลายท่าแล้ว ไปกัน
ออกจากฝั่ง เรือมุ่งหน้าทิศเจ็ดนาฬิกา สู่เกาะแรกสุด นั่นคือ เกาะมุก ระยะทางเพียง 14 กิโลเมตรเท่านั้น ไม่ไกลเลย เกาะมุกนอกจากมีถ้ำมรกตที่เป็นแม่เหล็ก เป็นอันซีนสุดๆ ของทะเลไทยแห่งหนึ่งแล้ว ยังเป็นจุดดำน้ำตื้นด้วย เรือพาเราไปลงดำน้ำก่อน วันนี้ฤกษ์ดำน้ำดีมากเพราะเป็นวันน้ำตายคลื่นลมสงบมากๆ น้ำทะเลใสแจ๋ว บริเวณดำน้ำนี้มีปะการังกัลปังหาให้ได้ดำชมด้วย เสร็จจากดำน้ำก็โดดน้ำลอยคอเกาะเชือกมุดถ้ำมรกตกันครับ ถ้ำมรกตN7° 22.400' E99° 17.112'
เต็มอิ่มกับถ้ำมรกตแล้วก็มุ่งหน้าทิศเจ็ดนาฬิกาต่อไปอีก 7 กิโล สู่เกาะหลักของอุทยานฯหาดเจ้าไหม นั่นคือเกาะกระดาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอช. หาดทรายบนนี้ขาวสวยยาวเหยียด มีปลาดาวด้วยเกาะกระดานN7° 18.649' E99° 15.513'
เกาะกระดาน
เกาะเชือก
จากนั้นก็ไปสู่เกาะที่สาม เกาะเชือก ตีวงกลับทิศสิบเอ็ดนาฬิกา ระยะ 11กิโลเมตรผ่านเกาะแหวนซึ่งเป็นเกาะเล็กมาก เกาะเชือกเป็นจุดดำน้ำที่สวยมากอีกจุดหนึ่ง ใช้เวลาดำน้ำที่นี่นานพอควร ทริปนี้ผมได้กล้องพวก active camera มาถ่ายใต้น้ำเล่นด้วย แต่ว่าบล็อกเอนทรี่นี้ยาวยืดแระ ลงคลิปไปอีกเกรงว่าจะมโหฬารโหลดยากขึ้นอีกมาก
เกาะเชือก N7° 24.375' E99° 13.924'
จบทริปทะเลก็มุ่งหน้ากลับฝั่ง ใช้เวลากันไปทั้งหมด 4 ชม. เหมาะกับ half day trip อีกเส้นทางนึง ข้างล่างเป็นแผนที่เส้นทางดำน้ำเกาะต่างๆ ที่เก็บจากจีพีเอสของผมครับ
จบทริปวันที่สอง เข้าพักผ่อนในรร.ธรรมรินทร์ธนา ตัวเมืองตรัง พักผ่อนสบายๆ และเช้าวันสุดท้ายของทริปก็ตีรถขึ้นอำเภอห้วยยอด ไปเที่ยวสถานที่สุดอะเมซซิ่งอีกแห่ง
ถ้ำเลเขากอบ N7° 47.623' E99° 34.325'
ถ้ำเลเขากอบอยู่ห่างเมืองตรังไปเพียงสามสิบกว่ากิโลเมตร ที่ว่าอะเมซซิ่งเพราะการเที่ยวถ้ำเลเราใช้วิธีนั่งเรือ บางช่วงต้องนอนราบไปกับเรือเพื่อเข้าชมความงามภายในถ้ำ เนื่องจากถ้ำเลเขากอบเป็นถ้ำที่มีลำธารไหลผ่านตลอดถ้ำ ความตื่นเต้นสนุกสนานจะอยู่ตรงที่ตอนนอนหมอบราบในเรือนั่นล่ะครับ ซึ่งต้องอาศัยทักษะความชำนาญและยอมเจ็บร่างกายของคนบังคับเรือ ที่ต้องคอยระวังไม่ให้ร่างกายของนักท่องเที่ยวกระแทกเบียดกันหินงอกหินย้อย ซึ่งบางช่วงเสียวมาก แทบจะเส้นยาแดงผ่าแปดเฉี่ยวปลายจมูกไปเลยก็มี
ถ้ำเลเขากอบ
ตรงข้ามกับปากทางเข้าถ้ำเลเขากอบ มีสถานที่น่าแวะอีกแห่ง ไปชมไม้มหัศจรรย์ที่
วังเทพทาโร N7° 48.408' E99° 34.307'
ไม้เทพทาโรเป็นไม้มงคล เปลือก ราก มีกลิ่นหอมคล้ายการบูร ปรุงอาหาร ทำยาได้ ดูออกกันมั้ยครับหน้าตาเหมือนมังกรเลย
ออกจากเทพทาโรก็นั่งรถลงเมืองตรัง ทะลุเมืองตรังไปโผล่อำเภอกันตังต่อ โฮะๆ มีความรู้สึกเหมือนตีรถย้อนไปย้อนมา แต่ก็ดีได้อาศัยงีบในรถยาวๆ ไป อำเภอกันตังอยู่ห่างจากอำเภอห้วยยอด 50-60 กิโลเมตรโดยประมาณ ได้นอนประมาณชั่วโมงนึงแล้วก็มาตื่นเอาพอดีมื้อเที่ยง หน้าร้านอาหารเล็กๆ ไม่ไกลจากสถานีรถไฟกันตังนัก ร้านล่อกุ้งซีฟู๊ดN7° 24.955' E99° 30.637'
ชื่อร้านฟังดูแปลกหู แต่เมนูในร้านแปลกตายิ่งกว่า เราสั่งราดหน้าทะเล พอเสริฟมาทีต๊กใจ จานใหญ่มั่ก
อิ่มราดหน้าซีฟู๊ดแล้วก็มาแวะที่นี่ต่อ สถานีรถไฟที่ใครๆมาตรังแล้วก็นิยมแวะมา
สถานีกันตังเป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลป์แล้ว ตัวอาคารสถานีทาสีเหลืองคาดน้ำตาลสวยคลาสสิค เปิดให้บริการมาตั้งแต่กลางปี 2456 นับนิ้วดูซิ โอ้ว 102 ปี นานจัด และสถานีแห่งนี้ยังนับเป็น 1 ใน 20 โบราณสถานของดีแห่งจังหวัดตรังด้วย ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปเล่น มีมุมกิ๊บเก๋ของร้านค้าข้างๆ ด้วย ตั้งชื่อร้านว่าสถานีรัก คิดดูขนาดชื่อยังเก๋ ผ่านมาแถวนี้อย่าพลาดแวะเวียนมาชมกันนะ
ออกจากสถานีรถไฟกันตังมาเลี้ยวซ้ายสองที 600 เมตร เจออีกหนึ่งที่แวะพิพิธภัณฑ์พระยารัษฏานุประดิษฐ์คอซิมบี๊ ณ ระนองN7° 24.448' E99° 30.924'พระยารัษฎาฯ เป็นบุคคลสำคัญของเมืองตรัง ของภาคใต้ฝั่งตะวันตก และของไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งเป็นเจ้าเมืองตรังได้พัฒนาเมืองตรังไว้เป็นอันมาก และเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปลูกต้นยางพาราจนกระทั่งกลายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทยมาจนทุกวันนี้ และบ้านพระยารัษฎาหลังนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญของการตั้งเมืองกันตัง ดังนั้นจึงมีการอนุรักษ์ รักษาไว้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์
เปิดอังคาร-อาทิตย์ 9:00-16:00น. ปิดวันจันทร์
ออกจากบ้านพระยารัษฎาฯ เลยมาอีกหน่อย กิโลเดียวบนนถนนสายหลักของกันตัง เรามาพบกับต้นยางพารา ต้นแรกของประเทศไทยN7° 24.578' E99° 31.373'พระยารัษฎาฯได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งยางพาราไทย ท่านเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปลูกยางกันอย่างจริงจังและยางพาราต้นแรกที่นำเข้ามาก็เข้ามาที่กันตังนี้เป็นพื้นที่แรก ต้นยางที่เราเห็นนี้ขนาดไม่ใหญ่นัก ไม่ใช่ต้นแรกต้นนั้น บ้างก็ว่านี่เป็นต้นชุดเดียวกับต้นแรกแต่ปลูกบนหินเลยโตช้า!! บ้างก็ว่าต้นแรกหน่ะตายไปนานแล้วแต่นี้ปลูกใหม่แทนที่เดิมที่เคยปลูกต้นแรก ส่วนจะเป็นหน่อเนื้อเดิมของต้นแรกหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบครับ
ดูต้นยางเสร็จก็ได้เวลาโบกมือลากันตัง มุ่งหน้าสนามบินตรังที่อำเภอเมือง แต่ก่อนจะถึงหนามบิน ราวๆ ซัก 7 กิโลเมตตรมีสถานที่สุดน่าแวะอีกแห่งหนึ่ง อะเมซซิ่งปิดท้ายทริปนี้นั่นคือสวนพฤกษ์ศาสตร์สากลภาคใต้
สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้นับเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติที่มีเทรลเดินที่น่าทึ่งมาก นั่นคืนเค้าจัดทางเดินเทรลเป็นสะพานสลิงลอยฟ้าเดินไต่ระดับเปลี่ยนความสูงขึ้นไปเรื่อยๆด้วยหอคอย 6 สถานี ไล่ระดับตั้งแต่ป่าภาคพื้นไปยันตัวเราเดินอยู่บนระดับเสมอเรือนยอดไม้ Canopy Walkway ตามหอคอยนอกจากจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนระดับแล้วยังทำนิทรรศการย่อยเป็นสถานีเรียนรู้ธรรมชาติป่าไม้บน เรียกว่าเดินแล้วประทับใจจากสิ่งที่เค้าทำขึ้นมามากๆ
สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ มีเนื้อที่กว่า 2,600 ไร่ อยู่ต.ทุ่งค่าย อ.ย่านตาขาว สภาพป่าส่วนใหญ่ที่เราเดินเทรลลอยฟ้ามาจะเป็นป่าดิบชื้น นอกจากนี้ยังมีป่าพรุให้ได้เดินศึกษาด้วย ระยะทางเดินเทรลลอยฟ้าไปกลับก็อยู่ที่ราวๆ 2-3 กิโลเมตร เดินแล้วต้องยอมรับว่าที่นี่เค้าทำดีถึงขั้นน่าทึ่ง ขอแนะนำเลยว่าหากผ่านมาและมีเวลาลองมาเดินดูกันครับ
ก็ขอจบรีวิวบล็อกตรังนี้แต่เพียงเท่านี้นะครับ บล็อกยืดยาวแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ อยากสรุปทิ้งท้ายว่าจังหวัดตรังมีอะไรดีดีน่าเที่ยวเยอะ สมเป็นหนึ่งใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด
ฝากคอมเมนท์ไว้เป็นกำลังใจ หรือทิ้งร่องรอยให้รู้ว่าท่านมาเยี่ยมเยือนเรา นายน้ำฟ้า นะครับ และขอขอบคุณ กรมการท่องเทียวและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ได้สร้างกิจกรรม FAM Trip นี้ขึ้น โครงการส่งเสริมเเละพัฒนาโฮมสเตย์ไทยเพื่อสร้างคุณค่าเเละมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยว ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในครั้งนี้
Create Date : 12 มิถุนายน 2558 |
|
47 comments |
Last Update : 17 มิถุนายน 2558 12:12:35 น. |
Counter : 6512 Pageviews. |
|
|
|