รับเลือดบริสุทธิ์สักขวดมั้ย?
รับเลือดบริสุทธิ์สักขวดมั้ย?
บริจาคเลือดเพื่อตนเอง
เราสามารถจะบริจาคเลือดให้กับตนเองได้ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราโดยตรง เพราะ
1. เป็นเลือดบริสุทธิ์จากตัวเราเองที่ฝากเก็บไว้ ซึ่งจะปลอดภัยจากการติดเชื้อ แน่นอนกว่าการที่เราจะรับเลือดจากผู้บริจาคทั่วไป เช่น โรคตับอักเสบ โรคเอดส์ หรือมาเลเรีย แม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม
2. ไม่ต้องเสี่ยงกับการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านสิ่งแปลกปลอม ที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการได้รับเลือดของผู้บริจาคทั่วไป เช่นการแพ้เลือด หรือเม็ดเลือดแดงแตก
3. จะมีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาเร็ว ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้นได้เร็ว เพราะเป็นเลือดของเราเอง
4. ลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเลือด
5. มีเลือดสำรองของตนเองไว้ใช้เองในกรณีที่จำเป็น เพราะในบางช่วงเวลาอาจจะไม่มีเลือดบริจาคสำรองกรุ๊ปของเราเอาไว้ใช้กับตัวเรา และเมื่อบริจาคแล้ว ธนาคารเลือดจะสำรองเลือดของเรานั้นไว้นาน จนกว่าจะไม่จำเป็นต้องใช้กับเราแล้ว จึงจะนำไปมอบให้ผู้รับบริจาคท่านอื่น
ผู้ที่เหมาะสมกับการบริจาคเลือดเพื่อตนเอง
1. เป็นผู้ที่กำหนดวันทำการผ่าตัดได้แน่นอน (ผ่าตัดไม่ฉุกเฉิน)
2. เป็นผู้ที่มีหมู่เลือดที่หายาก
3. เป็นผู้ที่เคยมีประวัติ เคยได้รับเลือดแล้วเกิดอาการแพ้ขณะให้เลือด
คุณสมบัติของผู้ที่จะบริจาคเลือดเพื่อตนเอง
1. น้ำหนักมากกว่า 45 กิโลกรัม
2. อายุอยู่ระหว่าง 17-60 ปี
3. เพศหญิงหรือชายก็ได้ แต่ถ้าเป็นเพศหญิงต้องไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์
4. ต้องไม่เป็นโรคที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ
5. ผู้ป่วยไม่ซีดไม่อ่อนเพลียเกินไป
ปริมาณเลือดที่จะเจาะ
ปริมาณเลือดที่จะเจาะในแต่ละครั้ง คือ 350-450 ซีซี ( 1 หน่วย ) ซึ่งแล้วแต่ความแข็งแรงของแต่ละบุคคล ที่จะไม่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ..อย่างไรก็ตามในบางครั้งอาจจะเกิดอาการเวียนศีรษะบ้าง แต่ถ้าได้พักผ่อนสักครู่อาการก็จะดีขึ้นได้เอง
ก่อนที่จะบริจาคเลือด
แพทย์มักจะให้ยาเพิ่มธาตุเหล็ก รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 1 เดือน หลังจากบริจาคเลือดครั้งสุดท้าย เพื่อให้ร่างกายได้นำไปสร้างเม็ดเลือด
ความถี่ของการเจาะเลือด
1. เจาะครั้งละ 1 หน่วย ( ยูนิต )
2. หน่วยสุดท้าย จะต้องเจาะก่อนวันผ่าตัดอย่างน้อย 72 ชั่วโมง
3. ปริมาณเลือดที่เตรียมไว้ก่อนผ่าตัด ไม่ควรจะเกิน 3 หน่วย เพื่อไม่ให้เลือดของหน่วยแรกหมดอายุเสียก่อน
เรียบเรียงจาก การบริจาคโลหิต เพื่อการผ่าตัดของตนเอง โดยคุณ หมอพนมกร
ผมต้องขออภัยเพื่อนๆที่ยังหาข้อมูลในเรื่องนี้ให้ไม่สมบูรณ์
ข้อมูลที่ยังขาด ก็เช่นว่า จะไปติดต่อที่ไหนได้บ้าง? จะต้องมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
เพื่อนคนใดรู้ กรุณาช่วยคอมเมนต์ให้เพิ่มเติมด้วย
ต้องการติดต่อ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
. 1871 ถนนอังรีดูนังต์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
.โทรศัพท์ 0-2252-4106-9, 0-2252-4211-3, 0-2252-8181-9 ต่อ 4303-5
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2548 |
Last Update : 8 มิถุนายน 2551 11:51:51 น. |
|
41 comments
|
Counter : 2399 Pageviews. |
|
|
|
ในเลือดที่เหลืออยู่ในสายสะดือส่วนที่ติดกับรก ซึ่งจะถูกตัดทิ้งไปพร้อมกับรก จะมีเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรก ซึ่งเปรียบเสมือนกับไขกระดูก
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ในการสร้างเม็ดเลือดและระบบภูมิคุ้นกัน และสามารถนำไปปลูกถ่ายรักษาผู้ป่วยโรคไขกระดูก โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กได้
เดิมที การปลูกถ่ายจะใช้ไขกระดูกจากบุคคลอื่นที่มีลักษณะที่เข้ากันได้ แต่ด้วยความจำกัดหลายประการ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรกจึงได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะข้อดีของการต่อต้านกับสารแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายต่ำ หาได้ง่าย และควบคุมการติดเชื้อได้ดี
ขณะคลอดแม้ว่า เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดส่วนมาก จะเคลื่อนไปอยู่ในไขกระดูกเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไหลเวียนอยู่ภายในเลือดของสายสะดือลูกและรก โดยหลังจากคลอดลูกเรียบร้อยแล้ว สูติแพทย์จะทำการผูกสายสะดือลูกแล้วจึงหนีบ(Clamp) แล้วตัดสายสะดือ เมื่อส่งลูกให้กุมารแพทย์ดูแลเรียบร้อยแล้ว สูติแพทย์จึงเริ่มดำเนินการเก็บเลือดจากสายสะดือตามขั้นตอน
หลังจากได้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรกตามปริมาณที่เหมาะสมแล้ว สูติแพทย์ก็จะนำไปแช่แข็งในถังไนโตรเจน(อุณหภูมิ 196 องศาเซลเซียส) เลือดตัวอย่างจากเซลล์ต้นกำเนิดนี้จะถูกนำไปตรวจการติดเชื้อและ HLA
หาก HLA ของผู้ป่วยและเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากรกที่ได้จากการรับบริจาคตรงกัน แพทย์จึงจะนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยต่อไป
การบริจาค
คุณแม่สามารถจะบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรกได้ หากมีคุณสมบัติครบถ้วนตั้งแต่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ตั้งครรภ์เดี่ยว มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 37 สัปดาห์ขึ้นไป ผ่านการตรวจกรองการติดเชื้อ เช่น เชื้อซิฟิลิส ตับอักเสบ บี ซี และโรคเอดส์ โดยให้ผลเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ) ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะให้กำเนิดลูกที่ผิดปกติ และน้ำหนักของทารกโดยประมาณไม่ต่ำกว่า 2,500 กรัม
ถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นพาหะของโรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมียทั้งสองฝ่าย ทารกจะมีอัตราเสี่ยงเป็นโรคสูง ทางแพทย์จะไม่รับบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรก แต่ถ้าเป็นเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็สามารถจะรับบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากรกได้
ขั้นตอนการบริจาค
เริ่มโดยแพทย์จะให้ข้อมูลเรื่องการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากรกแก่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ โดยคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะได้รับการร้องขอจากแพทย์ให้กรอกรายละเอียดในหนังสือแสดงความยินยอมการบริจาค เพื่อการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตให้กับผู้ป่วย เมื่อถึงวันคลอด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะทำการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากรก
นอกจากเลือดจากรกของลูกคุณแม่จะมีประโยชน์มหาศาล คุณแม่สามารถจะเก็บเลือดจากรกไว้ใช้ในโอกาสหน้า เผื่อลูกของคุณแม่อาจจะมีโรค ที่ต้องการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดอีกด้วย
หากต้องการรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต ศูนย์บริจาคโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยได้ หรือที่หน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมายเลขโทรศัพท์ 0 2256 4824, 0 2256 4830
เรียบเรียงจากธนาคารเลือดจากรก
เขียนโดย รศ นพ ธีระพงศ์ เจริญวิทย์
เรื่องนี้ ผมนำมาลงในBlogไว้ด้วย เพราะมีลักษณะใกล้เคียงกันกับ
การบริจาคโลหิตเพื่อตนเอง