เขาพระวิหาร
เขาพระวิหาร
เขาพระวิหาร ที่จะเขียนถึง คือ ปราสาทเขาพระวิหาร
ปราสาทเขาพระวิหาร หรือ ศรีศิขเรศวร เป็นเทวสถานแบบขอม บางเอกสารเรียกที่นี่ว่า ภวาลัย ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก หรือหากจะออกเสียงแบบเขมรจะต้องออกเสียงว่า ดองเร็ก ซึ่งหมายถึงคานหาบ ก็คงเป็นเพราะรูปทรงสัณฐานของเทือกเขาที่แบนราบคล้ายไม้คาน เทือกเขานี้กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยสร้างขึ้นก่อนนครวัดประมาณ 100 ปี อยู่ระดับความสูง 657 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในเขตจังหวัดพระวิหาร ของประเทศกัมพูชา ติดชายแดนไทยที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
กล่าวกันว่า ปราสาทเขาพระวิหาร ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงอำนาจของกษัตริย์แห่งเมืองพระนคร ที่มีความเชื่อถือในเรื่องเทวราชา อันหมายถึงกษัตริย์คืออวตารหนึ่งของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู จึงมีการสร้างปราสาทเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะและพระมหากษัตริย์
ท่านใด ประสงค์จะรู้จักเขาพระวิหารเพิ่มเติม ขอเชิญท่องเว๊ปได้ จะมีเขียนอยู่หลายเว๊ป ตัวอย่างเช่น ..จากวิกิพีเดีย (วิกิพีเดียเขียนไม่เยอะครับ) ..จากเว๊ป oceansmile .. จากเว๊ป travelfortoday และจากเว๊ปจังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้น
เมื่อปี พ.ศ.2483 เกิดสงครามอินโดจีน ตอนนั้นฝรั่งเศสอ่อนแอ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงพรมแดนไทย-อินโดจีน อันเป็นผลให้ ไทยได้ 4 จังหวัดฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามาครอบครอง
ปีพ.ศ.2487 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เนื่องจากไทยจะต้องปรับตัวเอง มิให้เป็นประเทศแพ้สงคราม จึงต้องคืนดินแดนที่ได้มานั้น คืนให้แก่ฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง
ปีพ.ศ.2502 รัฐบาลกัมพูชานำด้วยสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
พอปีพ.ศ.2505 ศาลโลก ก็มีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
และครั้นในปีพ.ศ.2550 กัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อองค์การยูเนสโก เสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
ที่จริง แผนผลักดันเขาพระวิหาร ให้เป็นมรดกโลกนั้น ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 ที่คณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา มีมติเห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหาร เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ศึกษาประวัติศาสตร์ และกำหนดให้มีการดำเนินการเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
แต่มาถึงปีปัจจุบัน ทางรัฐบาลกัมพูชาแอบเสนอชื่อ เขาพระวิหาร เป็นหนึ่งในนอมินี เพื่อรับการพิจารณาเป็นมรดกโลก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 ขององค์การยูเนสโก ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ โดยเสนอให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหาร ที่ตั้งอยู่ในเขตกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งทางฝ่ายไทยเห็นว่า การจะเป็นมรดกโลกควรจะมีส่วนอื่นๆในภูมิศาสตร์ของไทย รวมอยู่ด้วย เช่น ปราสาทโดนตวล, บรรณาลัย, สถูปคู่, สระตราว และทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร จึงควรที่จะเสนอร่วมทั้งสองประเทศ ไทยจึงยื่นประท้วงให้เป็นมรดกโลกร่วมกัน
และที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก มีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 ให้ไทยและกัมพูชากลับไปทำการตกลงกันให้ได้เสียก่อน พร้อมกับร่วมมือกันจัดทำแผนอนุรักษ์และบริหารจัดการบริเวณปราสาทพระวิหาร แล้วค่อยมาเสนอชื่อขอขึ้นทะเบียนอีกครั้ง ในการประชุมสมัยที่ 32 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2551 ที่ประเทศแคนาดา
แต่เมื่อมีการหารือของสองประเทศ นอกจากไม่มีอะไรคืบหน้าแล้ว ทางกัมพูชายังมีโครงการสร้างถนนจาก จ.พระวิหาร และ จ.กัมปงธม ขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหาร และยังมีโครงการสร้างกระเช้าขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหาร อีกด้วย
พ.อ.นพดล โชติศิริ นายทหารจากกรมแผนที่ทหาร ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่าเกิดขึ้นจากแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ คือเรายึดถือแผนที่กันคนละฉบับ จะเห็นได้ว่าตลอดแนวเขตแดนที่เป็นที่ตั้งของเขาพระวิหาร ยังไม่เคยมีการปักปันเขตแดน เนื่องจากยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้ว่าศาลโลกจะได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้ตัดสินให้เส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนอินโดจีน สยาม หรือแผนที่ที่ทำขึ้นโดยฝรั่งเศส
ประกอบกับแผนที่ดังกล่าว เขียนสันปันน้ำผิด ฉะนั้นสันปันน้ำตามแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนฯที่บอกไว้ จึงไม่มีปรากฏอยู่ในภูมิประเทศจริง หลังจากศาลโลกพิพากษาไปแล้ว รัฐบาลไทยจึงตัดให้กัมพูชาเฉพาะตัวปราสาทไป แล้วจัดทำรั้วลวดหนามกันพื้นที่ดังกล่าวไว้ ซึ่งทางกัมพูชาก็ยอบรับ ไม่เคยละเมิดดินแดนในรั้วลวดหนามที่ไทยกันไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2505
คือ ไทยยึดถือแผนที่ ที่เป็นฉบับอัตราส่วน 1:50,000 ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2505 ภายหลังที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ไทยแพ้คดี ก็ได้เฉือนเฉพาะส่วนปราสาทเขาพระวิหาร ให้กัมพูชาไปเท่านั้น แต่กัมพูชายึดถือแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นเมื่อครั้งได้ พระตะบอง ศรีโสภณ เสียมราฐ ไป ซึ่งกินอาณาบริเวณล้ำเข้ามาในฝ่ายไทย
หากมองกันตามแผนที่ของไทยที่ไทยถืออยู่ หากกัมพูชาเสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงลำพัง โดยไม่รวมเอาโบราณสถานทางฝั่งไทยเข้าไปด้วย เท่ากับว่าแผนที่ของฝ่ายกัมพูชาเป็นที่ยอมรับในหลักสากลทันที ตามกฎของการคุ้มครองมรดกโลก ซึ่งเท่ากับว่า ไทยจะต้องเสียดินแดนเพิ่มอีกประมาณ 1,500 ไร่
เขาพระวิหาร ถ้าจะเรียกตามภาษาเขมรจะเรียกว่า เปรี๊ยะ วิเฮียร์ ภาษาอังกฤษ Phrea vihear
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2551 ผู้สื่อข่าวจากจังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า ที่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และเป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะเอกอัครราชทูตจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ประเทศคิวบา, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, เวียดนาม, จีน, เกาหลีใต้ และประเทศไนจีเรีย ลงพื้นที่สำรวจอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร , เชิงเขาพระวิหาร และ สระตราว ซึ่งเป็นบริเวณที่มีร่องรอยของการตัดเอาหินขึ้นไปก่อสร้างปราสาทเขาพระวิหาร
โดยมีกำลังทหารพราน จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มาคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัย ซึ่งคณะทูตดังกล่าวนี้ ไม่มีใครเดินทางขึ้นไปสำรวจบนประสาทเขาพระวิหารแต่อย่างใด และปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆกับสื่อมวลชน เกี่ยวกับการเดินทางสำรวจพื้นที่เขาพระวิหารในครั้งนี้
นายธฤต จรุงวัฒน์ กล่าวว่า การที่นำคณะทูตจาก 7 ชาติ มาสำรวจพื้นที่โดยรอบบริเวณเขาพระวิหาร เนื่องจากประเทศไทยจะได้มีโอกาสอธิบายให้คณะทูตเข้าใจประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งการที่รัฐบาลกัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น ตนเห็นว่าจะเป็นการนำไปสู่การปักปันเขตแดนที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามประเทศไทยยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ตามคำพิพากษาของศาลโลกในปี พ.ศ.2505 แต่พื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารนั้น ศาลโลกไม่ได้นำเข้าไปพิจารณาตัดสินด้วย จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธ์ว่า เป็นเขตแดนของตัวเอง
การที่ฝ่ายกัมพูชาจะให้เขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ฝ่ายไทยก็ยินดี แต่อย่างไรก็ตาม ควรให้เกิดผลดีต่อดินแดนที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธ์ ไม่เป็นผลในทางบวกเพียงฝ่ายไดฝ่ายหนึ่ง และควรที่จะมีการเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางยุติปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย เป็นการป้องกันรอยร้าวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
หากท่านใดต้องการจะเดินชมรอบๆปราสาทเขาพระวิหาร ผมขอเชิญเดินร่วมไปกับทหารนะครับ ..เพราะผมเองเคยไปที่นี่แค่ครั้งเดียว แถมไปเมื่อหลายปีก่อน(ไปกับเพื่อนที่ทำงาน) ..ณ วันนี้ สภาพของที่นี่คงจะเปลี่ยนไปมากแล้ว จึงไม่ถนัดที่จะเป็นไกด์นำชม เชิญครับเชิญทางนี้ คลิกได้เลย...ทหารจะพาทัวร์
รูปข้างล่างนี้ นำมาจากเว๊ปอื่น
ตัวผมเมื่อหลายปีก่อน วันที่เดินเข้าไปชม วันนั้นแดดร้อนมากๆ เพราะเข้าไปชมในช่วงปลายเดือนเมษายน เรื่องเดินขึ้นบันไดหลายกิโลนี่ ไม่ค่อยเท่าไหร่ สู้ได้ บ่ยั่น ..แต่วันนั้นสวมเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ หมวกก็ไม่มี ...โห แดดเปรี้ยงตรงหัว เหงื่อโชกเลย เดินกลางแดดราวๆ3 ชั่วโมง ขาลงมาเนี่ย รีบหาน้ำดื่มสะอาดแบบชนิดขวดลิตรกระดกเข้าปากแบบอึ๊กอึ๊กอึ๊กไม่ยั้ง ผิวที่แขนนี่เกรียมแดด ชนิดแสบเทียวละ อุอุอุ
การเข้าชม เปิดให้เข้าได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด เวลา 08.00น. 16.30 น. ค่าเข้าชม ต้องเสียค่าธรรมเนียมสองด่าน คือด่านเขาพระวิหารของไทย ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท กับค่าเข้าชมเขาพระวิหารที่เป็นด่านของกัมพูชา ชาวไทย 50 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท.
Create Date : 01 เมษายน 2551 |
Last Update : 1 เมษายน 2551 0:02:18 น. |
|
37 comments
|
Counter : 7353 Pageviews. |
|
|
|
มาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ.... วันก่อนยังพูดถึงเขาพระวิหารกะพี่บ่าวอยู่เลยค่ะ
แบบว่าพี่บ่าวเค้าอยากไปค่ะ
.....................................
พี่สินสบายดีไม๊คะ..... ฝันดีค่ะ