กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล
กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล
เรื่องของสุขภาพและอาหารการกิน เดี๋ยวนี้ใครๆก็ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ใช้การนึ่งหรือต้มแทนการใช้วิธีทอด ทานผักครึ่งหนึ่งทานอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง ทานเนื้อปลาแทนเนื้อไก่หรือเนื้อหมู ไม่ทานอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างเดียวซ้ำซากจำเจ ใช้น้ำมันข้าวโพดหรือน้ำมันจากเมล็ดดอกทานตะวันแทนการใช้น้ำมันหมู รวมไปถึงการลดการกินกะทิจากธรรมชาติ เพราะมีโคเลสเตอรอล(Cholesterol)สูง
ภิรมณ ชูประภาวรรณ
นางสาวภิรมณ ชูประภาวรรณ นักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านอาหาร ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทั่วไปบริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของไอเดีย กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล หรือ กะทิธัญพืช เล่าถึงแนวความคิดดังกล่าวว่า เกิดขึ้นจากการสังเกตบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีโคเลสเตอรอลสูง และทุกคนที่รู้จักจะถูกคุณหมอสั่งห้ามรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า
ทำอย่างไรที่จะสามารถกินกะทิได้ตามที่เคยกิน แต่ไม่มีโคเลสเตอรอล
จากนั้นจึงได้ไปปรึกษากับนักโภชนาการ เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ที่ถูกคุณหมอห้ามทานกะทิว่า จะต้องทานอะไรทดแทน และจะต้องทำตัวอย่างไร แล้วจากข้อมูลที่ได้ จึงนำมาพัฒนาเป็นสูตรของ กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล หรือกะทิธัญพืช ขึ้น เมื่อได้มาแล้วก็รีบขอจดอนุสิทธิบัตร กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเลย
กะทิธัญพืช หรือ กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว และโปรตีนจากถั่วเหลือง โดยไม่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย ไม่มีการเติมสีและแป้ง และที่สำคัญไม่มีส่วนผสมของกะทิจากมะพร้าว
กะทิธัญพืช มีลักษณะสีขาว มีกลิ่นหอมเหมือนกับกะทิจากมะพร้าว แต่มีความเข้มข้นมากกว่า จนสามารถใช้แทนหัวกะทิได้ แต่ถ้าต้องการให้กะทิธัญพืช มีความเข้มข้นน้อยลงเพื่อใช้ปรุงอาหารเหมือนกับกะทิทั่วไป ก็สามารถจะเติมน้ำเปล่าลงไปได้ ยิ่งเติมน้ำมากเท่าใด ก็จะเป็นหางกะทิเจือจางเท่านั้น
ข้อสำคัญ ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลเรื่องของโคเลสเตอรอลที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจอีกต่อไป เพราะกะทิธัญพืชนี้ จะมีไขมันไม่อิ่มตัว (ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย) อยู่มาก อีกทั้งยังมีวิตามินอี (สารต้านอนุมูลอิสระ) จากธรรมชาติสูงด้วย
อย่างไรก็ตาม กะทิธัญพืชไม่ควรจะตั้งไฟนาน(เคี่ยวไฟ) เพราะมิฉะนั้นวิตามินอีจากธรรมชาติจะถูกทำลายไปได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงโดยให้โดนความร้อนน้อยที่สุด
เคยมีคำถามถามว่า ถ้าจะต้องหลีกเลี่ยงความร้อน แล้วจะใช้กะทิธัญพืชปรุงอาหารอย่างไร?
คำตอบก็คือ ในการทำแกง ให้ใช้เครื่องแกงผัดกับน้ำมันพืชก่อน จากนั้นจึงเติมน้ำและเครื่อง (เช่น เนื้อไก่ หรือ โปรตีนเกษตร) ผัดให้สุก แล้วจึงค่อยเติมกะทิธัญพืช ใส่ผัก แล้วยกลงจากเตา ทั้งนี้แกงที่ทำจากกะทิธัญพืชจะไม่แตกมันนัก แต่ดีต่อสุขภาพ
สำหรับขนมหวาน ให้ต้มน้ำกับน้ำตาลก่อน โดยต้มให้เดือด แล้วจึงค่อยใส่กล้วย หรือ ฟักทอง (กรณีที่จะทำกล้วยบวดชี หรือ ฟักทองแกงบวด) แล้วจึงค่อยเติม กะทิธัญพืช ลงไปในหม้อ คนสักพัก เมื่อยกลงมา ก็รับประทานได้เลย ทั้งสะดวกและสะอาดเพราะกะทิธัญพืช บรรจุอยู่ภายในกล่องที่ปิดมิดชิด ดีกว่าไปซื้อกะทิธรรมชาติมาคั้นเองซึ่งจะไม่สะดวกและไม่สะอาด
ยังมีคำถามถามอีกว่า ทำไมกะทิธัญพืชมีสีขาวมากนัก ใส่สีหรือเปล่า?
กะทิธัญพืชไม่มีส่วนผสมของสี แป้ง หรือวัตถุกันเสีย แต่ที่มีสีขาวเพราะส่วนหนึ่งในกะทิธัญพืช มีส่วนผสมของโปรตีนจากถั่วเหลืองและผ่านกระบวนการที่เรียกว่า โฮโมจิไนเซชั่น (Homogenization) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตนมสด ทำให้ไขมันมีขนาดที่เล็กลง และสามารถรวมตัวอยู่กับน้ำได้ จึงไม่แยกชั้นเป็นน้ำมันออกมาให้เห็น ทั้งนี้ด้วยขนาดของไขมันที่เล็กลงนี้ จึงสะท้อนแสงและทำให้ตาของเรามองเห็นเป็นสีขาว
(เช่นเดียวกับการที่เราตีน้ำที่มีผงซักฟอกให้เป็นฟอง ฟองนั้นคืออากาศขนาดเล็กๆ เมื่อสะท้อนแสง ทำให้ตาเราเห็นเป็นสีขาว)
แล้วการใช้กะทิธัญพืช มาปรุงอาหารจะดีกว่าการใช้น้ำนมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนยได้อย่างไร?
สาเหตุก็เพราะกะทิธัญพืช มีความหอมเหมือนกะทิธรรมชาติ และให้ความข้นมันมากกว่ากะทิธรรมชาติ 3 เท่า จึงทำให้อาหารและขนมที่ใช้กะทิธัญพืชปรุง จะมีความหอมและความมันเหมือนกับการใช้กะทิจากมะพร้าว มากกว่าที่จะใช้น้ำนมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนย
(ทั้งนี้อาหารและขนมที่ใช้นมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนยปรุง จะมีลักษณะใสๆ เหลวๆ ไม่อร่อย และยังต้องใช้ในปริมาณที่มากอีกด้วย)
หลังจากที่เราได้สูตรกะทิธัญพืช อย่างลงตัวแล้ว ก็เริ่มใช้กันเองภายในบ้านก่อน และก็เริ่มคิดผลิตออกจำหน่ายเป็นถุงขนาดใหญ่ โดยเน้นขายตามโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่โดดเด่นทางด้านการรักษาโรคหัวใจ
ทางเราได้นำไปเสนอให้กับทางโรงพยาบาล เพื่อให้นำไปปรุงอาหารให้กับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ ปรากฏว่า กะทิของเราซึ่งไม่มีโคเลสเตอรอล ผ่านเกณฑ์ของนักโภชนาการของโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญโรคหัวใจ แถมยังเป็นที่ถูกปากถูกใจของคนไข้ที่เข้ามาทำการรักษา สุดท้ายก็มีการขอแบ่งซื้อเพื่อนำไปรับประทานที่บ้าน แบ่งซื้อจากทางโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากนั่นแหละ
นักโภชนากรจึงแนะนำเราว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะผลิตออกวางจำหน่ายแบบบรรจุลงในขวด เพื่อสะดวกกับลูกค้าในการพกพาและในการใช้งาน จากตรงจุดนี้เองที่ทำให้เราทำเป็นธุรกิจออกจำหน่ายอย่างจริงจัง โดยจดทะเบียนเป็นบริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด เมื่อปีพ.ศ. 2545 วางขายกะทิธัญพืชตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป
มีทั้งแบบพาสเจอร์ไรท์และยูเอชที ในรูปแบบบรรจุขวดและแบบบรรจุกล่อง
ในระยะแรกที่ผลิตเพื่อวางจำหน่าย ทางเราได้ผลิตแบบพาสเจอร์ไรท์บรรจุขวด ราคาขวดละ 34 บาท ซึ่งจะแนะนำให้ลูกค้าเก็บไว้ในที่เย็น และมีอายุในการใช้งานไม่นานนัก ลูกค้าก็เรียกร้องให้ผลิตออกมาในแบบ ยูเอสที บ้าง เพื่อจะได้เก็บไว้นานๆ
ดังนั้นจึงเกิดกะทิธัญพืช ในรูปแบบของกล่อง ราคากล่องละ 19 - 20 บาท ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น เก็บไว้ได้นานหลายเดือน
มีคำถามถามอีกว่า กะทิธัญพืชแบบพาสเจอร์ไรท์บรรจุขวด ถ้าใช้ไม่หมดจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหรือไม่? แล้วจะเก็บไว้ได้นานแค่ไหน?
คำตอบคือ เมื่อเปิดใช้กะทิธัญพืชแล้ว แต่ยังใช้ไม่หมดขวด ควรเก็บเข้าตู้เย็นทันที เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ซึ่งโดยทั่วไปกะทิธัญพืชเมื่อเปิดใช้แล้วและเก็บเข้าตู้เย็นทันทีก็สามารถจะเก็บไว้ใช้ได้อีกเป็นเดือน ทั้งนี้เพราะกะทิธัญพืช มีปริมาณของไขมันอิ่มตัวต่ำ จึงสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้โดยไม่จับตัวเป็นก้อนหรือเป็นไข
สำหรับขั้นตอนของการผลิตกะทิธัญพืช ทุกวันนี้ทางเรายังเป็นบริษัทเล็ก ยังไม่สามารถมีโรงงานผลิตเองได้ จึงได้มีการจ้างให้โรงงานที่ทันสมัยมีความเชี่ยวชาญสูงช่วยผลิตให้ โดยทางฟอร์แคร์ จะเป็นผู้ที่เข้าไปควบคุมคุณภาพ และดูแลส่วนผสม เพื่อให้ตรงกับมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามกำลังการผลิตไม่ใช่เป็นปัญหาหลักของเรา เพราะฟอร์แคร์สามารถจะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา หากสินค้ามีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
เรื่องความคิดที่จะตั้งโรงงานเพื่อผลิตเองนั้น ขณะนี้ทางเรายังไม่มีความคิดในเรื่องนี้ เพราะเรายังไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารโรงงานพอ จึงคิดจะให้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการผลิตช่วยผลิตให้จะดีกว่า
และอีกอย่างหากเรามีโรงงานผลิตเอง เราจะต้องแบ่งเวลาเพื่อเข้าไปดูแลในส่วนของขั้นตอนการผลิตเป็นเวลาจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เราไม่มีเวลาไปดูเน้นเฉพาะตรงคุณภาพของสินค้าได้เต็มที่ และไม่มีเวลาเพื่อการบุกเบิกตลาดได้อย่างเต็มที่ด้วย จึงคิดว่าเราชำนาญเรื่องไหน ควรจะทำตรงจุดนั้นอย่างเต็มที่จะเหมาะกว่า
ที่ผ่านมาทางเรา ได้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กะทิธัญพืชทั้งในรูปของพาสเจอร์ไรท์ และยูเอชที ตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย เช่น ท็อปส์, เทสโก โลตัส, ห้างตั้งฮั่วเส็ง, ร้านเลมอนฟาร์ม, และที่ร้านโกลเด้นเพลส เป็นต้น พร้อมทั้งบุกตลาดในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ อินเดีย และประเทศในแถบตะวันออกกลาง โดยจะส่งออกในรูปแบบของยูเอชที เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง
แผนการตลาด ขณะนี้ทางเรากำลังพัฒนาตลาดเพิ่มเติมไปสู่กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องการรักษาสุขภาพ คือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยประมาณอายุ 35 ปี นอกเหนือไปจากกลุ่มคนอายุวัยทองขึ้นไป ซึ่งสนใจผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประจำอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันก็เตรียมวางตลาดกะทิธัญพืช ในขนาดกล่องยูเอชที 2 พันมิลลิลิตร เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังร้านอาหาร ภัตตาคาร และโรงแรม ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณมากๆ โดยจะขยายช่องทางจำหน่ายไปยังห้างค้าส่งต่างๆ เช่น แม็คโคร โลทัส นอกเหนือจากการนำส่งตรงถึงกันและกันกับลูกค้าบางรายที่ใช้อยู่เป็นประจำ
และล่าสุดทางเรามีโครงการร่วมมือกับ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ของเดอะมอลล์ ในการนำกะทิธัญพืช และครีมทดแทนนม สินค้าตัวใหม่อีกตัวของเรา มาทำเป็นอาหารและขนมพร้อมรับประทาน วางขายภายในห้าง เพียงสังเกตหาป้าย(ตามรูปข้างล่าง) และสติ๊กเกอร์ที่ติดที่ภาชนะอาหาร
แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เราเน้นที่การสนับสนุนรายการโทรทัศน์ เช่น รายการเงาะถอดรูป รายการขบวนการแสนสุข และสื่อนิตยสารต่างๆ รวมทั้งมีกิจกรรมอีกหลายกิจกรรมเพื่อกระตุ้นตลาด
สภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวในปัจจุบัน แต่เราโชคดีที่ไม่มีผลกระทบกับยอดขายของเราเลย อาจจะเพราะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม และมีลูกค้าประจำอยู่ก็ได้ ปัจจุบันมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศประมาณ 10 - 15% ของกำลังการผลิต และในปีนี้คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 100 - 150% เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีขนาดเล็ก และยังไม่มีคู่แข่งขัน
รสชาติใกล้เคียงกะทิ และง่ายต่อการปรุงอาหารและของหวาน
โดยขั้นตอนของการนำไปปรุงอาหารและขนม จะต่างกับการใช้กะทิจากธรรมชาติเล็กน้อย คือใส่กะทิธัญพืช ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุงอาหาร หรือหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อน เพื่อที่จะช่วยรักษาคุณค่าของวิตามินอีและกรดไขมันที่ดีต่อร่างกายที่มีอยู่ในกะทิธัญพืช
ถือได้ว่า กะทิธัญพืช มีความเข้มข้นที่ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้แทนหัวกะทิได้ ซึ่งเมื่อนำไปประกอบเป็นอาหารหรือขนม จะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกับกะทิจากมะพร้าวมาก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย แต่ต้องการจะกินแกงกะทิ ต้มกะทิ หรือของคาวของหวานที่เข้ากะทิ
เมนูอาหารและขนมอร่อยที่ผลิตด้วยกะทิธัญพืชเชิญคลิกที่นี่มีรูปประกอบให้ดูด้วย
ผลิตภัณฑ์ ฟอร์แคร์ กะทิธัญพืช ได้รับการรับรองภายใต้โครงการ อาหารไทยหัวใจดี จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อหัวใจ ซึ่งจะสังเกตตราสัญลักษณ์ได้ จากข้างฉลากผลิตภัณฑ์
บริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด 57-57/1 หมู่ 5 ถนนร่มเกล้า แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 0-2919-4460-2 โทรสาร 0-2919-4463 เว็บไซด์www.4Care.co.th
มูลนิธิหัวใจ
มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า มีปัจจัย 10 ประการ ที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดมีปัญหา สิ่งเหล่านั้นได้แก่
1. บุหรี่
2. ความดันโลหิตสูง
3. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
4. โรคเบาหวาน
5. ความเครียดเรื้อรัง
6. ความอ้วน
7. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
8. เกลือ
9. น้ำตาล
10. ผลจากการไม่ออกกำลังกาย
ปัจจุบันผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าของผักผลไม้มากขึ้น เทรนด์ของการบริโภคอาหารของชาวโลกในปัจจุบัน จึงเปลี่ยนมากินผักหลายหลากสี ชนิดแบบสีรุ้ง มีผักสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ซึ่งสีในผักส่วนใหญ่ก็เป็นตัวยับยั้งการเกิดโรคจากอนุมูลอิสระ
อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารที่ชาญฉลาดจะต้องรู้ถึงข้อมูลทางวิชาการด้วย ไม่หลงเชื่อแต่คำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะตัวต้านอนุมูลอิสระ เดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์ผักบรรจุแคปซูลออกมาวางขาย ซึ่งแทนที่จะได้ผลดี แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจจะเป็นพิษต่อตับได้
หรือการมุ่งมั่นหันมาบริโภคแต่น้ำผักผลไม้ตามแฟชั่น ที่นิยมปั่นแยกกาก กินแบบนี้จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง เพราะดูดซึมได้เร็ว ที่จริงการบริโภคให้สมดุลสำหรับสุขภาพที่แข็งแรงจะต้องกินกากตามไปด้วย เพื่อให้กากไปช่วยดูดซึมน้ำตาล น้ำตาลจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ
ในกรณีมีน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อจัดการเก็บกวาดน้ำตาล แจกจ่ายไปยังเซลล์ที่ต้องการใช้ จากนั้นส่วนที่เหลือก็จะถูกส่งไปยังตับเพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นไขมัน ไขมันที่เกินความต้องการจะมีส่วนร่วมให้เกิดตะกรันไขมันในหลอดเลือด เกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้
ผลร้ายของการรับประทานอาหารหวานมาก ส่งผลให้ตับอ่อนทำงานหนัก และยิ่งไม่ออกกำลังกาย ตับก็จะสร้างไขมัน เก็บไว้เป็นถุงผูกไว้ที่พุง คนที่กินมากกว่าใช้ จึงมักจะอ้วนลงพุง
หลักที่สำคัญอีกด้าน ที่ทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้คำแนะนำไว้ คือการกินให้พอเหมาะ และออกกำลังกายให้พอดีในทุกรูปแบบตามถนัด ไม่ว่าจะวิ่ง เดิน เล่นกีฬา
ถ้าต้องการให้ถึงหัวใจ ต้องใช้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือมีการใช้ออกซิเจนจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ออกแรงเป็นจังหวะ จะมีผลทำให้มีการหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น กำหนดให้มีความเหนื่อยประมาณร้อยละ 60 - 80 ของความสามารถ สังเกตได้โดยหายใจเร็วขึ้น ในระดับที่จะคุยสบายต่อเนื่องไม่สะดวก แต่ไม่มากจนกระทั่งหอบตัวโยน
การเลือกกินอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวได้ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงร่วมกับภาคโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงให้บริการใช้ตราสัญลักษณ์ อาหารไทยหัวใจดีขึ้น ภายใต้ชื่อ อาหารรักษ์หัวใจ ในปี พ.ศ. 2549 มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยเชิญชวนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหาร ช่วยกันผลิตอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยให้นำอาหารมาตรวจสอบ แล้วขอรับตราอาหาร สัญลักษณ์ อาหารรักษ์หัวใจ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองโดย มูลนิธิโรคหัวใจฯ และภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ล่าสุด มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ด้วยกัน 11 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่
1. น้ำมันรำข้าวตราคิง
2. น้ำมันรำข้าวตราชิม
3. ข้าวโอ๊ค Quaker ชนิดสุกเร็ว
4. ข้าวโอ๊ค Quaker ปรุงสำเร็จ
5. ทูน่าเนื้อขาวชนิดก้อน ในน้ำแร่ตรา TCB
6. ทูน่าสเต็กในน้ำแร่ ตราซีเล็ค
7. นมพร่องไขมัน UHT ตราไฮ หนองโพ
8. น้ำนมถั่วเหลือง วี- ซอย สูตรน้ำตาลต่ำ
9. น้ำนมถั่วเหลือง วี-ซอย สูตรไม่มีน้ำตาล
10. กะทิธัญพืช ฟอร์แคร์
11. เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป กลิ่นวานิลลา ตรา Good Time
ทั้งนี้ การได้รับตราสัญลักษณ์ อาหารรักษ์หัวใจ แสดงว่าอาหารนี้มี ชนิดของกรดไขมันใน สัดส่วนที่เหมาะสม มีเกลือและน้ำตาลไม่มาก มีใยอาหารสูง เมื่อบริโภคในปริมาณที่ให้พลังงานเหมาะสม จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด
โดยตราสัญลักษณ์ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ อนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ได้ในระยะเวลา 2 ปี
ประโยชน์ของพืชผัก
รับประทานผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง
1. ข้าวโอ๊ตและอาหารที่ทำจากข้าวโอ๊ต มีใยอาหารและมี Beta-glucan ช่วยลดโคเลสเตอรอล
2. ถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง มีโปรตีนถั่ว ช่วยลดโคเลสเตอรอล
3. งา มีแคลเซียม และมีวิตามินเอ ช่วยเสริมสร้างกระดูก ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
4. มังคุด มีสาร Xanthone ช่วย - ลดอาการบวมน้ำ และความเจ็บปวดจากการบวม - ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ - ลดโคเลสเตอรอล - ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา - ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งในตับและตับอ่อน - ป้องกันอาการท้องร่วง - ป้องกันการแพ้ - ป้องกันการสั่นที่ปลายประสาทจากโรคพาร์กินสัน - ลดอาการผิวหนังอักเสบและอาการแพ้ที่ผิวหนัง
5. ส้ม ช่วยบรรเทาอาการหวัด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการรวมตัวของแคลเซียมที่ทำให้เกิดนิ่ว และช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
6. กระเจี๊ยบแดง ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ช่วยลดโคเลสเตอรอล
7. ดอกคำฝอย บำรุงเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิต
8. ใบหม่อน ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็ง บำรุงร่างกาย
9. พริกไทย แก้ท้องอืดเฟ้อ เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย ช่วยลดโคเลสเตอรอล
10. ชาดำและชาเขียว มี Catechins ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
11. บร๊อกโคลี่ มี ซัลโฟราเฟน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
12. มะเขือเทศ มี ไลโคพีน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
13. สตรอเบอรี่ มีสารป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง และป้องกันการจับตัวกันของไขมันในเส้นเลือดแดง
14. กะหล่ำปลี คะน้า มีสารประกอบไนโตรเจนสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
15. มันเทศ มีเบตาแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง 16. กระเทียม มีสารประกอบกำมะถัน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจ
17. แอปเปิล มีวิตามินซีน้อย แต่มีสารที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และ ฟลาโวนอย ที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาของวิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจ
18. น้ำองุ่นม่วง มีสารประกอบโพลีฟีโนลิค ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
19. แตงโม มีน้ำ 92% มีสารกลูตาไทโอนสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีไลโคพีน ที่ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระ มีวิตามินซี และโปแตสเซียม
20. ฝรั่งและมะละกอ มีวิตามินซีสูง ฝรั่งมีใยอาหารสูง มะละกอ มีสารเบตาแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา
21. โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักนม มีโพรไบโอติก ช่วยปรับระบบการย่อยอาหาร 22. กีวี มีโปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามินอี ใยอาหาร และมีวิตามินซีปริมาณมากกว่าส้ม 23. สาหร่ายทะเล มีเบตาแคโรทีน โปรตีน มีวิตามินบี 12 มีคลอโรฟิลล์ มีเกลือแร่ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง 24. เกสรผึ้ง มีกรดอะมิโน และแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นอนหลับสบาย ป้องกันโรคโลหิตจาง สร้างภูมิคุ้มกัน
25. เก๊กฮวย ให้ความสดชื่น บำรุงสายตา แก้ร้อนใน ป้องกันนิ่ว เจริญอาหาร 26. กระชาย แก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง
27. ขมิ้นชัน ช่วยบำรุงผิวให้อ่อนนุ่ม บรรเทาอาการแพ้ สมานแผลทั้งภายในและภายนอก แก้โรคกระเพาะอาหาร และช่วยต้านอนุมูลอิสระ 28. แครอท ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด และมลภาวะ ช่วยบำรุงผิว ช่วยให้สดชื่น มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา 29. เตย บำรุงหัวใจ ดับพิษไข้ 30. ตะไคร้ แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต 31. แตงกวา ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม 32. บัวบก บำรุงสมอง ลดความดันโลหิต บำรุงผิวพรรณ แก้ช้ำใน ลบรอยแผลเป็น 33. บอระเพ็ด แก้ไข้ แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงตับ 34. แปะก๊วย เสริมสร้างสมรรถภาพทางสมอง ป้องกันความจำเสื่อม ป้องกันอาการมือสั่น 35. ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้เจ็บคอ แก้ร้อนใน ท้องเสีย 36. มะขาม มีวิตามินซี มีกรด AHA ช่วยให้ระบายท้อง 37. มะตูม ช่วยย่อยอาหาร แก้ร้อนใน กระหายน้ำ 38. มะระขี้นก แก้ไข้ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด.
Create Date : 28 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 13:13:49 น. |
|
43 comments
|
Counter : 10735 Pageviews. |
|
|