กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล



กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล





เรื่องของสุขภาพและอาหารการกิน เดี๋ยวนี้ใครๆก็ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ใช้การนึ่งหรือต้มแทนการใช้วิธีทอด ทานผักครึ่งหนึ่งทานอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง ทานเนื้อปลาแทนเนื้อไก่หรือเนื้อหมู ไม่ทานอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างเดียวซ้ำซากจำเจ ใช้น้ำมันข้าวโพดหรือน้ำมันจากเมล็ดดอกทานตะวันแทนการใช้น้ำมันหมู รวมไปถึงการลดการกินกะทิจากธรรมชาติ เพราะมีโคเลสเตอรอล(Cholesterol)สูง


ภิรมณ ชูประภาวรรณ



นางสาวภิรมณ ชูประภาวรรณ นักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านอาหาร ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทั่วไปบริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของไอเดีย กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล หรือ กะทิธัญพืช เล่าถึงแนวความคิดดังกล่าวว่า เกิดขึ้นจากการสังเกตบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีโคเลสเตอรอลสูง และทุกคนที่รู้จักจะถูกคุณหมอสั่งห้ามรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า


“ทำอย่างไรที่จะสามารถกินกะทิได้ตามที่เคยกิน แต่ไม่มีโคเลสเตอรอล”


จากนั้นจึงได้ไปปรึกษากับนักโภชนาการ เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ที่ถูกคุณหมอห้ามทานกะทิว่า จะต้องทานอะไรทดแทน และจะต้องทำตัวอย่างไร แล้วจากข้อมูลที่ได้ จึงนำมาพัฒนาเป็นสูตรของ กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล หรือกะทิธัญพืช ขึ้น เมื่อได้มาแล้วก็รีบขอจดอนุสิทธิบัตร กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเลย



“กะทิธัญพืช” หรือ กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว และโปรตีนจากถั่วเหลือง โดยไม่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย ไม่มีการเติมสีและแป้ง และที่สำคัญไม่มีส่วนผสมของกะทิจากมะพร้าว


กะทิธัญพืช มีลักษณะสีขาว มีกลิ่นหอมเหมือนกับกะทิจากมะพร้าว แต่มีความเข้มข้นมากกว่า จนสามารถใช้แทนหัวกะทิได้ แต่ถ้าต้องการให้กะทิธัญพืช มีความเข้มข้นน้อยลงเพื่อใช้ปรุงอาหารเหมือนกับกะทิทั่วไป ก็สามารถจะเติมน้ำเปล่าลงไปได้ ยิ่งเติมน้ำมากเท่าใด ก็จะเป็นหางกะทิเจือจางเท่านั้น


ข้อสำคัญ ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลเรื่องของโคเลสเตอรอลที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจอีกต่อไป เพราะกะทิธัญพืชนี้ จะมีไขมันไม่อิ่มตัว (ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย) อยู่มาก อีกทั้งยังมีวิตามินอี (สารต้านอนุมูลอิสระ) จากธรรมชาติสูงด้วย


อย่างไรก็ตาม กะทิธัญพืชไม่ควรจะตั้งไฟนาน(เคี่ยวไฟ) เพราะมิฉะนั้นวิตามินอีจากธรรมชาติจะถูกทำลายไปได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงโดยให้โดนความร้อนน้อยที่สุด


เคยมีคำถามถามว่า ถ้าจะต้องหลีกเลี่ยงความร้อน แล้วจะใช้กะทิธัญพืชปรุงอาหารอย่างไร?


คำตอบก็คือ ในการทำแกง ให้ใช้เครื่องแกงผัดกับน้ำมันพืชก่อน จากนั้นจึงเติมน้ำและเครื่อง (เช่น เนื้อไก่ หรือ โปรตีนเกษตร) ผัดให้สุก แล้วจึงค่อยเติมกะทิธัญพืช ใส่ผัก แล้วยกลงจากเตา ทั้งนี้แกงที่ทำจากกะทิธัญพืชจะไม่แตกมันนัก แต่ดีต่อสุขภาพ


สำหรับขนมหวาน ให้ต้มน้ำกับน้ำตาลก่อน โดยต้มให้เดือด แล้วจึงค่อยใส่กล้วย หรือ ฟักทอง (กรณีที่จะทำกล้วยบวดชี หรือ ฟักทองแกงบวด) แล้วจึงค่อยเติม กะทิธัญพืช ลงไปในหม้อ คนสักพัก เมื่อยกลงมา ก็รับประทานได้เลย ทั้งสะดวกและสะอาดเพราะกะทิธัญพืช บรรจุอยู่ภายในกล่องที่ปิดมิดชิด ดีกว่าไปซื้อกะทิธรรมชาติมาคั้นเองซึ่งจะไม่สะดวกและไม่สะอาด


ยังมีคำถามถามอีกว่า ทำไมกะทิธัญพืชมีสีขาวมากนัก ใส่สีหรือเปล่า?


กะทิธัญพืชไม่มีส่วนผสมของสี แป้ง หรือวัตถุกันเสีย แต่ที่มีสีขาวเพราะส่วนหนึ่งในกะทิธัญพืช มีส่วนผสมของโปรตีนจากถั่วเหลืองและผ่านกระบวนการที่เรียกว่า โฮโมจิไนเซชั่น (Homogenization) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตนมสด ทำให้ไขมันมีขนาดที่เล็กลง และสามารถรวมตัวอยู่กับน้ำได้ จึงไม่แยกชั้นเป็นน้ำมันออกมาให้เห็น ทั้งนี้ด้วยขนาดของไขมันที่เล็กลงนี้ จึงสะท้อนแสงและทำให้ตาของเรามองเห็นเป็นสีขาว

(เช่นเดียวกับการที่เราตีน้ำที่มีผงซักฟอกให้เป็นฟอง ฟองนั้นคืออากาศขนาดเล็กๆ เมื่อสะท้อนแสง ทำให้ตาเราเห็นเป็นสีขาว)


แล้วการใช้กะทิธัญพืช มาปรุงอาหารจะดีกว่าการใช้น้ำนมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนยได้อย่างไร?


สาเหตุก็เพราะกะทิธัญพืช มีความหอมเหมือนกะทิธรรมชาติ และให้ความข้นมันมากกว่ากะทิธรรมชาติ 3 เท่า จึงทำให้อาหารและขนมที่ใช้กะทิธัญพืชปรุง จะมีความหอมและความมันเหมือนกับการใช้กะทิจากมะพร้าว มากกว่าที่จะใช้น้ำนมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนย

(ทั้งนี้อาหารและขนมที่ใช้นมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนยปรุง จะมีลักษณะใสๆ เหลวๆ ไม่อร่อย และยังต้องใช้ในปริมาณที่มากอีกด้วย)



หลังจากที่เราได้สูตรกะทิธัญพืช อย่างลงตัวแล้ว ก็เริ่มใช้กันเองภายในบ้านก่อน และก็เริ่มคิดผลิตออกจำหน่ายเป็นถุงขนาดใหญ่ โดยเน้นขายตามโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่โดดเด่นทางด้านการรักษาโรคหัวใจ


ทางเราได้นำไปเสนอให้กับทางโรงพยาบาล เพื่อให้นำไปปรุงอาหารให้กับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ ปรากฏว่า กะทิของเราซึ่งไม่มีโคเลสเตอรอล ผ่านเกณฑ์ของนักโภชนาการของโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญโรคหัวใจ แถมยังเป็นที่ถูกปากถูกใจของคนไข้ที่เข้ามาทำการรักษา สุดท้ายก็มีการขอแบ่งซื้อเพื่อนำไปรับประทานที่บ้าน แบ่งซื้อจากทางโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากนั่นแหละ


นักโภชนากรจึงแนะนำเราว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะผลิตออกวางจำหน่ายแบบบรรจุลงในขวด เพื่อสะดวกกับลูกค้าในการพกพาและในการใช้งาน จากตรงจุดนี้เองที่ทำให้เราทำเป็นธุรกิจออกจำหน่ายอย่างจริงจัง โดยจดทะเบียนเป็นบริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด เมื่อปีพ.ศ. 2545 วางขายกะทิธัญพืชตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป


มีทั้งแบบพาสเจอร์ไรท์และยูเอชที ในรูปแบบบรรจุขวดและแบบบรรจุกล่อง



ในระยะแรกที่ผลิตเพื่อวางจำหน่าย ทางเราได้ผลิตแบบพาสเจอร์ไรท์บรรจุขวด ราคาขวดละ 34 บาท ซึ่งจะแนะนำให้ลูกค้าเก็บไว้ในที่เย็น และมีอายุในการใช้งานไม่นานนัก ลูกค้าก็เรียกร้องให้ผลิตออกมาในแบบ ยูเอสที บ้าง เพื่อจะได้เก็บไว้นานๆ


ดังนั้นจึงเกิดกะทิธัญพืช ในรูปแบบของกล่อง ราคากล่องละ 19 - 20 บาท ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น เก็บไว้ได้นานหลายเดือน


มีคำถามถามอีกว่า กะทิธัญพืชแบบพาสเจอร์ไรท์บรรจุขวด ถ้าใช้ไม่หมดจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหรือไม่? แล้วจะเก็บไว้ได้นานแค่ไหน?


คำตอบคือ เมื่อเปิดใช้กะทิธัญพืชแล้ว แต่ยังใช้ไม่หมดขวด ควรเก็บเข้าตู้เย็นทันที เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ซึ่งโดยทั่วไปกะทิธัญพืชเมื่อเปิดใช้แล้วและเก็บเข้าตู้เย็นทันทีก็สามารถจะเก็บไว้ใช้ได้อีกเป็นเดือน ทั้งนี้เพราะกะทิธัญพืช มีปริมาณของไขมันอิ่มตัวต่ำ จึงสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้โดยไม่จับตัวเป็นก้อนหรือเป็นไข




สำหรับขั้นตอนของการผลิตกะทิธัญพืช ทุกวันนี้ทางเรายังเป็นบริษัทเล็ก ยังไม่สามารถมีโรงงานผลิตเองได้ จึงได้มีการจ้างให้โรงงานที่ทันสมัยมีความเชี่ยวชาญสูงช่วยผลิตให้ โดยทางฟอร์แคร์ จะเป็นผู้ที่เข้าไปควบคุมคุณภาพ และดูแลส่วนผสม เพื่อให้ตรงกับมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามกำลังการผลิตไม่ใช่เป็นปัญหาหลักของเรา เพราะฟอร์แคร์สามารถจะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา หากสินค้ามีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น


เรื่องความคิดที่จะตั้งโรงงานเพื่อผลิตเองนั้น ขณะนี้ทางเรายังไม่มีความคิดในเรื่องนี้ เพราะเรายังไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารโรงงานพอ จึงคิดจะให้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการผลิตช่วยผลิตให้จะดีกว่า


และอีกอย่างหากเรามีโรงงานผลิตเอง เราจะต้องแบ่งเวลาเพื่อเข้าไปดูแลในส่วนของขั้นตอนการผลิตเป็นเวลาจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เราไม่มีเวลาไปดูเน้นเฉพาะตรงคุณภาพของสินค้าได้เต็มที่ และไม่มีเวลาเพื่อการบุกเบิกตลาดได้อย่างเต็มที่ด้วย จึงคิดว่าเราชำนาญเรื่องไหน ควรจะทำตรงจุดนั้นอย่างเต็มที่จะเหมาะกว่า


ที่ผ่านมาทางเรา ได้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กะทิธัญพืชทั้งในรูปของพาสเจอร์ไรท์ และยูเอชที ตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย เช่น ท็อปส์, เทสโก โลตัส, ห้างตั้งฮั่วเส็ง, ร้านเลมอนฟาร์ม, และที่ร้านโกลเด้นเพลส เป็นต้น พร้อมทั้งบุกตลาดในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ อินเดีย และประเทศในแถบตะวันออกกลาง โดยจะส่งออกในรูปแบบของยูเอชที เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง


แผนการตลาด ขณะนี้ทางเรากำลังพัฒนาตลาดเพิ่มเติมไปสู่กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องการรักษาสุขภาพ คือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยประมาณอายุ 35 ปี นอกเหนือไปจากกลุ่มคนอายุวัยทองขึ้นไป ซึ่งสนใจผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประจำอยู่แล้ว


ขณะเดียวกันก็เตรียมวางตลาดกะทิธัญพืช ในขนาดกล่องยูเอชที 2 พันมิลลิลิตร เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังร้านอาหาร ภัตตาคาร และโรงแรม ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณมากๆ โดยจะขยายช่องทางจำหน่ายไปยังห้างค้าส่งต่างๆ เช่น แม็คโคร โลทัส นอกเหนือจากการนำส่งตรงถึงกันและกันกับลูกค้าบางรายที่ใช้อยู่เป็นประจำ


และล่าสุดทางเรามีโครงการร่วมมือกับ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ของเดอะมอลล์ ในการนำกะทิธัญพืช และครีมทดแทนนม สินค้าตัวใหม่อีกตัวของเรา มาทำเป็นอาหารและขนมพร้อมรับประทาน วางขายภายในห้าง เพียงสังเกตหาป้าย(ตามรูปข้างล่าง) และสติ๊กเกอร์ที่ติดที่ภาชนะอาหาร









แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เราเน้นที่การสนับสนุนรายการโทรทัศน์ เช่น รายการเงาะถอดรูป รายการขบวนการแสนสุข และสื่อนิตยสารต่างๆ รวมทั้งมีกิจกรรมอีกหลายกิจกรรมเพื่อกระตุ้นตลาด


สภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวในปัจจุบัน แต่เราโชคดีที่ไม่มีผลกระทบกับยอดขายของเราเลย อาจจะเพราะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม และมีลูกค้าประจำอยู่ก็ได้ ปัจจุบันมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศประมาณ 10 - 15% ของกำลังการผลิต และในปีนี้คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 100 - 150% เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีขนาดเล็ก และยังไม่มีคู่แข่งขัน



รสชาติใกล้เคียงกะทิ และง่ายต่อการปรุงอาหารและของหวาน




โดยขั้นตอนของการนำไปปรุงอาหารและขนม จะต่างกับการใช้กะทิจากธรรมชาติเล็กน้อย คือใส่กะทิธัญพืช ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุงอาหาร หรือหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อน เพื่อที่จะช่วยรักษาคุณค่าของวิตามินอีและกรดไขมันที่ดีต่อร่างกายที่มีอยู่ในกะทิธัญพืช


ถือได้ว่า “กะทิธัญพืช” มีความเข้มข้นที่ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้แทนหัวกะทิได้ ซึ่งเมื่อนำไปประกอบเป็นอาหารหรือขนม จะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกับกะทิจากมะพร้าวมาก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย แต่ต้องการจะกินแกงกะทิ ต้มกะทิ หรือของคาวของหวานที่เข้ากะทิ


เมนูอาหารและขนมอร่อยที่ผลิตด้วยกะทิธัญพืชเชิญคลิกที่นี่มีรูปประกอบให้ดูด้วย


ผลิตภัณฑ์ “ฟอร์แคร์ กะทิธัญพืช” ได้รับการรับรองภายใต้โครงการ “อาหารไทยหัวใจดี” จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อหัวใจ ซึ่งจะสังเกตตราสัญลักษณ์ได้ จากข้างฉลากผลิตภัณฑ์








บริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด 57-57/1 หมู่ 5 ถนนร่มเกล้า แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 0-2919-4460-2 โทรสาร 0-2919-4463
เว็บไซด์www.4Care.co.th











มูลนิธิหัวใจ



มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า
มีปัจจัย 10 ประการ ที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดมีปัญหา
สิ่งเหล่านั้นได้แก่


1. บุหรี่

2. ความดันโลหิตสูง

3. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

4. โรคเบาหวาน

5. ความเครียดเรื้อรัง

6. ความอ้วน

7. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

8. เกลือ

9. น้ำตาล

10. ผลจากการไม่ออกกำลังกาย



ปัจจุบันผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าของผักผลไม้มากขึ้น เทรนด์ของการบริโภคอาหารของชาวโลกในปัจจุบัน จึงเปลี่ยนมากินผักหลายหลากสี ชนิดแบบสีรุ้ง มีผักสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ซึ่งสีในผักส่วนใหญ่ก็เป็นตัวยับยั้งการเกิดโรคจากอนุมูลอิสระ


อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารที่ชาญฉลาดจะต้องรู้ถึงข้อมูลทางวิชาการด้วย ไม่หลงเชื่อแต่คำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะตัวต้านอนุมูลอิสระ เดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์ผักบรรจุแคปซูลออกมาวางขาย ซึ่งแทนที่จะได้ผลดี แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจจะเป็นพิษต่อตับได้


หรือการมุ่งมั่นหันมาบริโภคแต่น้ำผักผลไม้ตามแฟชั่น ที่นิยมปั่นแยกกาก กินแบบนี้จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง เพราะดูดซึมได้เร็ว ที่จริงการบริโภคให้สมดุลสำหรับสุขภาพที่แข็งแรงจะต้องกินกากตามไปด้วย เพื่อให้กากไปช่วยดูดซึมน้ำตาล น้ำตาลจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ



ในกรณีมีน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อจัดการเก็บกวาดน้ำตาล แจกจ่ายไปยังเซลล์ที่ต้องการใช้ จากนั้นส่วนที่เหลือก็จะถูกส่งไปยังตับเพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นไขมัน ไขมันที่เกินความต้องการจะมีส่วนร่วมให้เกิดตะกรันไขมันในหลอดเลือด เกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้


ผลร้ายของการรับประทานอาหารหวานมาก ส่งผลให้ตับอ่อนทำงานหนัก และยิ่งไม่ออกกำลังกาย ตับก็จะสร้างไขมัน เก็บไว้เป็นถุงผูกไว้ที่พุง คนที่กินมากกว่าใช้ จึงมักจะอ้วนลงพุง


หลักที่สำคัญอีกด้าน ที่ทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้คำแนะนำไว้ คือการกินให้พอเหมาะ และออกกำลังกายให้พอดีในทุกรูปแบบตามถนัด ไม่ว่าจะวิ่ง เดิน เล่นกีฬา


ถ้าต้องการให้ถึงหัวใจ ต้องใช้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือมีการใช้ออกซิเจนจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ออกแรงเป็นจังหวะ จะมีผลทำให้มีการหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น กำหนดให้มีความเหนื่อยประมาณร้อยละ 60 - 80 ของความสามารถ สังเกตได้โดยหายใจเร็วขึ้น ในระดับที่จะคุยสบายต่อเนื่องไม่สะดวก แต่ไม่มากจนกระทั่งหอบตัวโยน



การเลือกกินอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวได้ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงร่วมกับภาคโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงให้บริการใช้ตราสัญลักษณ์ อาหารไทยหัวใจดีขึ้น ภายใต้ชื่อ “อาหารรักษ์หัวใจ”

ในปี พ.ศ. 2549 มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยเชิญชวนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหาร ช่วยกันผลิตอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยให้นำอาหารมาตรวจสอบ แล้วขอรับตราอาหาร สัญลักษณ์ “อาหารรักษ์หัวใจ” เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองโดย มูลนิธิโรคหัวใจฯ และภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


ล่าสุด มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ด้วยกัน 11 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่



1. น้ำมันรำข้าวตราคิง

2. น้ำมันรำข้าวตราชิม

3. ข้าวโอ๊ค Quaker ชนิดสุกเร็ว

4. ข้าวโอ๊ค Quaker ปรุงสำเร็จ

5. ทูน่าเนื้อขาวชนิดก้อน ในน้ำแร่ตรา TCB

6. ทูน่าสเต็กในน้ำแร่ ตราซีเล็ค

7. นมพร่องไขมัน UHT ตราไฮ หนองโพ

8. น้ำนมถั่วเหลือง วี- ซอย สูตรน้ำตาลต่ำ

9. น้ำนมถั่วเหลือง วี-ซอย สูตรไม่มีน้ำตาล

10. กะทิธัญพืช ฟอร์แคร์

11. เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป กลิ่นวานิลลา ตรา Good Time




ทั้งนี้ การได้รับตราสัญลักษณ์ “อาหารรักษ์หัวใจ” แสดงว่าอาหารนี้มี ชนิดของกรดไขมันใน สัดส่วนที่เหมาะสม มีเกลือและน้ำตาลไม่มาก มีใยอาหารสูง เมื่อบริโภคในปริมาณที่ให้พลังงานเหมาะสม จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด

โดยตราสัญลักษณ์ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ อนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ได้ในระยะเวลา 2 ปี






ประโยชน์ของพืชผัก



รับประทานผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง



1. ข้าวโอ๊ตและอาหารที่ทำจากข้าวโอ๊ต มีใยอาหารและมี Beta-glucan ช่วยลดโคเลสเตอรอล

2. ถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง มีโปรตีนถั่ว ช่วยลดโคเลสเตอรอล

3. งา มีแคลเซียม และมีวิตามินเอ ช่วยเสริมสร้างกระดูก ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

4. มังคุด มีสาร Xanthone ช่วย
- ลดอาการบวมน้ำ และความเจ็บปวดจากการบวม
- ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ
- ลดโคเลสเตอรอล
- ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งในตับและตับอ่อน
- ป้องกันอาการท้องร่วง
- ป้องกันการแพ้
- ป้องกันการสั่นที่ปลายประสาทจากโรคพาร์กินสัน
- ลดอาการผิวหนังอักเสบและอาการแพ้ที่ผิวหนัง


5. ส้ม ช่วยบรรเทาอาการหวัด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการรวมตัวของแคลเซียมที่ทำให้เกิดนิ่ว และช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

6. กระเจี๊ยบแดง ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ช่วยลดโคเลสเตอรอล

7. ดอกคำฝอย บำรุงเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิต

8. ใบหม่อน ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็ง บำรุงร่างกาย

9. พริกไทย แก้ท้องอืดเฟ้อ เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย ช่วยลดโคเลสเตอรอล

10. ชาดำและชาเขียว มี Catechins ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

11. บร๊อกโคลี่ มี ซัลโฟราเฟน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

12. มะเขือเทศ มี ไลโคพีน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

13. สตรอเบอรี่ มีสารป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง และป้องกันการจับตัวกันของไขมันในเส้นเลือดแดง

14. กะหล่ำปลี คะน้า มีสารประกอบไนโตรเจนสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

15. มันเทศ มีเบตาแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

16. กระเทียม มีสารประกอบกำมะถัน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจ

17. แอปเปิล มีวิตามินซีน้อย แต่มีสารที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และ ฟลาโวนอย ที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาของวิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจ

18. น้ำองุ่นม่วง มีสารประกอบโพลีฟีโนลิค ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย

19. แตงโม มีน้ำ 92% มีสารกลูตาไทโอนสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีไลโคพีน ที่ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระ มีวิตามินซี และโปแตสเซียม

20. ฝรั่งและมะละกอ มีวิตามินซีสูง ฝรั่งมีใยอาหารสูง มะละกอ มีสารเบตาแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา

21. โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักนม มีโพรไบโอติก ช่วยปรับระบบการย่อยอาหาร

22. กีวี มีโปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามินอี ใยอาหาร และมีวิตามินซีปริมาณมากกว่าส้ม

23. สาหร่ายทะเล มีเบตาแคโรทีน โปรตีน มีวิตามินบี 12 มีคลอโรฟิลล์ มีเกลือแร่ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

24. เกสรผึ้ง มีกรดอะมิโน และแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นอนหลับสบาย ป้องกันโรคโลหิตจาง สร้างภูมิคุ้มกัน


25. เก๊กฮวย ให้ความสดชื่น บำรุงสายตา แก้ร้อนใน ป้องกันนิ่ว เจริญอาหาร

26. กระชาย แก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง

27. ขมิ้นชัน ช่วยบำรุงผิวให้อ่อนนุ่ม บรรเทาอาการแพ้ สมานแผลทั้งภายในและภายนอก แก้โรคกระเพาะอาหาร และช่วยต้านอนุมูลอิสระ

28. แครอท ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด และมลภาวะ ช่วยบำรุงผิว ช่วยให้สดชื่น มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา

29. เตย บำรุงหัวใจ ดับพิษไข้

30. ตะไคร้ แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต

31. แตงกวา ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม

32. บัวบก บำรุงสมอง ลดความดันโลหิต บำรุงผิวพรรณ แก้ช้ำใน ลบรอยแผลเป็น

33. บอระเพ็ด แก้ไข้ แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงตับ

34. แปะก๊วย เสริมสร้างสมรรถภาพทางสมอง ป้องกันความจำเสื่อม ป้องกันอาการมือสั่น

35. ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้เจ็บคอ แก้ร้อนใน ท้องเสีย

36. มะขาม มีวิตามินซี มีกรด AHA ช่วยให้ระบายท้อง

37. มะตูม ช่วยย่อยอาหาร แก้ร้อนใน กระหายน้ำ

38. มะระขี้นก แก้ไข้ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด.





โดย yyswim




Create Date : 28 กรกฎาคม 2549
Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 13:13:49 น. 43 comments
Counter : 10735 Pageviews.

 
ลุงกล้วยมารับสาระดีๆ วันหน้าต้องหามาทดลองทำรับประทานแล้วครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:23:27 น.  

 
น่านดิสงสัยต้องลองนำมาทำอาหารทานบ้างแล้ว


โดย: ณ มน (ณ มน ) วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:56:13 น.  

 
โอ้..เวิร์คค่ะ

สงสัยต้องลองให้แม่เอามาทำอาหารแล้วล่ะค่ะ น่าสนๆ

แม่เราก็มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลเหมือนกัน


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:03:50 น.  

 


โห ดีจังค่ะอย่างคนที่กินของมันๆ ก็ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ อาหารในแพ็คดูเหมือนขนมจีน แกงเขียวหวานเลยค่ะ อยากกินๆๆๆ เดี๋ยวต้องทำซะหน่อยแล้ว


โดย: Malee30 วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:15:26:55 น.  

 
หิวเลยค่ะ แต่กะทิ นี่ทานแล้วอ้วนเหรอคะ ถึงต้องไม่มีคอเรสเตอรอล เพราะว่า จุชอบกินมากเลยนะ พวกแกงกะทะ ขนมที่ใส่กระทิ ของหวานที่ราดด้วยกะทิ กินหมดเลย

แต่หุ่นก็ยังดีอยู่เล๊ยยยย


โดย: ju IP: 125.24.81.44 วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:03:38 น.  

 
วันก่อนพึ่งคุยกับเพื่อนเรื่องนี้เลยอ่ะค่ะ
เพื่อนบอกเดี๋ยวนี้กินกะทิไม่อ้วนแล้ว

ฉันเองยังงงๆเลย
เพื่อนคงได้รับข่าวนี้มาเหมือนกัน
จริงๆเป็นคนไม่ชอบกินอะไรมันๆอยู่แล้ว

ขอบคุณข้อมูลมากนะคะ
ได้ไปคุยกับเพื่อนได้อีกเยอะเลย



โดย: prncess วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:32:09 น.  

 
จริงเหรอคะ? ฉลองกันจนชำรุดเลยเหรอ

ขอบคุณที่แวะไปเที่ยวที่บล็อกนะคะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:15:27 น.  

 
ผมเองเป็นคนที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องไขมันในเส้นเลือดมาก ไม่ทานอาหารตามปากที่อยากกิน และสามารถลดน้ำหนักจาก 70 กว่า กก. มายืนพื้นอยู่ที่ 65 กก. มานานประมาณ 4-5 ปีแล้ว
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆเช่นนี้ครับ


โดย: หนุ่มร้อยปี (หนุ่มร้อยปี ) วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:13:20 น.  

 
เสียดายที่ไม่ได้ซื้อ เนคไท ฝากพ่อบ้านเหมือนในหนัง Pretty Women...เพราะฝนดันไปซื้อ นาฬิกา ให้เค้าน่ะซีคะ

เรื่อง ชุดว่ายน้ำ (ฝนก็ชอบว่ายน้ำค่ะ) ฝนมีอยู่หลายชุดแล้ว เลยไม่ซื้อให้เปลืองเงินน่ะ อิอิ งกเป็นเหมือนกันน๊า


โดย: Malee30 วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:58:04 น.  

 
ปกติชอบกินแกงกะทิเป็นทุนเดิม คราวนี้คงกินได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไขมันแล้ว ขอบคุณที่เอาเรื่องดีๆ มาฝากครับ


โดย: H2O IP: 82.27.231.225 วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:15:43 น.  

 
เรื่องดีมาก ๆ ค่ะคุณสิน
เป็นเรื่องสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามเพราะโคเลสเตอรอลนี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจริง ๆ

อ่านเรื่องนี้แล้วต้องใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้นอีกเท่าตัว

กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล แต่มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว และโปรตีนจากถั่วเหลือง
ต้องไปหาซื้อมาทานแล้วละค่ะ






เรื่องนี้ให้ประโยชน์กับทุกคน
ให้ใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น


กินผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง

ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้มาก ๆ นะคะ
ขอเป็นอีก 1 แรง ต้องช่วยกันค่ะ


โดย: ซออู้ วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:21:41 น.  

 
ขอบคุณครับ ที่ให้ข้อมูลดีๆ เลยมาเก็บข้อมูลไปเพิ่มเติมหน่อยครับ


ช่วงนี้ผมกำลังเปลี่ยนนิสัยการกินของตัวเองอยู่ครับ เริ่มมาได้สักพักแล้ว สุขภาพดีอย่างเห็นได้ชัดเลยจริงๆครับ



โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:45:04 น.  

 
ช่วงนี้ก็พยายามกินอะไรที่ดีต่อสุขภาพ ลดอาหารขยะไปบ้างเหมือนกันครับ


โดย: ตงเหลงฉ่า วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:00:07 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูล "กะทิที่ไม่มีคอเรสเตอรอล" นะครับ
ตอนนี้ผมกำลังมองหา "กะปิที่ไม่มีกลิ่น" อยู่ พอจะมีไหมครับ ?

มาแล้วก็ไป...


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:2:51:46 น.  

 
มีความสุขกับวันหยุดนะครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:06:14 น.  

 


น่าซื้อมาลองทำบ้างจังค่ะ หาซื้อง่ายด้วย







โดย: มาริอา วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:15:42:05 น.  

 
เอ้อ
อ่านแล้วไม่มีคอมเมนต์ครับ
..
ผม มีหน้าที่กินอย่างเดียว
อิอิ


โดย: เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:24:27 น.  

 
เยี่ยม
นิสิ สิ่งที่ผมใฝ่หา....
จะรีบไปหาซื้อเลย
ส่วน เกร็ด ประโยชน์ผลไม้ ดีมากๆๆ
ขอเซฟไว้เลยครับ
ขอบคุณๆๆๆ


โดย: แร้ไฟ วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:3:08:22 น.  

 
ผมมีจ้อสงสัยสองสามอย่างครับ

1.เรื่องกลิ่น กลิ่นที่ได้อาจจะมีความหอมรูปแบบหนึ่ง แต่ยังไงก็ไม่เหมือนกะทิจากมะพร้าวนะครับ ต้องให้ได้ชิมก่อน จะได้รู้ว่าดีไม่ดี 555

2.เรื่องกระบวนการHomogenizationที่ทำให้ไขมันแตกตัวเล็กลงจนเป็นเนื้อเดียวกับน้ำกระทั่งเกิดเป็นสีขาวข้นคล้ายสีกะทิ คุ้นว่าต้องผ่านกระบวนความร้อนสูงรึเปล่าครับ? เรียนมานานมากกกกกแล้ว ชักลืมๆๆ

ผ่านความร้อนระดับนี้วิตามินA ไม่สลายเหรอครับ?


โดย: นายเบียร์ วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:12:14 น.  

 

ขอโทษนะครับที่ตอบเมนต์ทุกท่านช้า เพราะผมมัวแต่ไปค้นข้อมูล ที่จะนำมาเขียนเรื่องใหม่ เลยไม่ค่อยว่าง


ลุงกล้วย……ต้องหามาทดลองทำรับประทาน เหรอคร้าบ

เป็นน้ำพริก หรือส้มตำละครับ ไม่มีโคเลสเตอรอลทั้งสองอย่างนะ เพราะไม่เข้ากะทิ …พูดเล๊นนน

ขอบคุณนะครับมาเยี่ยมสองครั้งเลย


คุณ ณ มน…..จะนำมาลองทำเหรอครับ ดีครับ

เชื่อว่าคนใกล้ๆ จะมีสิทธิหลง (หลงใหลดิ มะช่ายหลงทาง)



โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:07:57 น.  

 

คุณสาวไกด์……คุณแม่ของคุณสาวไกด์คงทำอาหารอร่อยแน่

และผมเชื่อว่า คุณแม่ของคุณคงจะปรุงได้หลากหลายเมนู
ขอบคุณนะครับมาเยี่ยมสองครั้งเลย


คุณน้ำฝน…..ผมคาดเดาว่า หากตอนนี้กะทิแบบนี้ยังไม่มีขายที่นอรเวย์ เพราะค่าขนส่งแพง

แต่ในอนาคต คงจะพัฒนาเป็นผงก็ได้ ทีนี้แหละ คงจะส่งกะทิแบบนี้ เป็นซองส่งขายทั่วโลก

โอ้โฮ ซื้อนาฬิกา มอบให้พ่อบ้านครบรอบวันแต่งงาน วันนั้นต้อง โม-แรน-ติกแน่ๆ จะมีดนตรีมาขับกล่อมให้ถึงโต๊ะไหมเนี่ย หากอยู่กรุงเทพ ผมจะช่วยไปบอกให้ทางร้านพูดออกกระจายเสียงทั่วทั้งร้าน บอกว่ามาฉลองวันเกิดและมาฉลองครบรอบวันแต่งงาน เอาให้คนปรบมือให้ทั้งร้านเลยยย

ขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยมสองครั้ง



โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:10:14 น.  

 

คุณจุ…..กะทิคงไม่ใช่ตัวทำให้อ้วนหรอกครับ แต่น้ำกะทิของหวาน ที่ผสมน้ำตาลปี๊บ อันนั้นน่ะ ไม่แน่ และของที่ทำให้อ้วนมีอีกคร้าบบ เหอ เหอ ก็พวก แป้ง ไขมัน น้ำตาล กับ การกินเยอะๆแล้วไม่ยอมออกกำลังกาย

กะทิธรรมชาติ คุณหมอมักจะห้ามไม่ให้กินบ่อยๆ ไม่ให้กินทุกวัน ถ้าไม่ค่อยออกกำลังกาย เพราะจะเกิดโคเลสเตอรอล แต่ถ้ากินแค่อาทิตย์ละครั้ง สองครั้ง คุณหมอเขาไม่ว่าหรอกครับ


ทีนี้ที่ผมเขียนกะทิแบบนี้ เพราะต้องการจะบอกเพื่อนๆที่ไม่ว่าง ไม่ถนัด ไม่ชอบออกกำลังกาย แต่ยังชอบจะกินแกงกะทิ ต้มกะทิ ของหวานพวกมีกะทิ จะเป็นแกงบวด ข้าวเหนียวถั่วดำ รวมมิตรทับทิมกรอบ ทุกวัน เผื่อว่าจะไม่เกิดโคเลสเตอรอลเร็ว


คุณเจ้าหญิง…..กะทิไม่อ้วน เป็นคำพูดของคนทั่วไปกับกะทิธัญพืชนะครับ

ที่จริง กะทิธรรมชาติ ไม่ใช่มีผลรุนแรงให้อ้วน แต่มีผลเรื่องไขมันอิ่มตัว กินบ่อยจะเกิดโคเลสเตอรอล แต่พวกน้ำกะทิที่ใส่ของหวาน เช่นลอดช่องน้ำกะทิ ข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน พวกนี้ล่ะอ้วน เพราะผสมน้ำตาลลงไป



โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:11:27 น.  

 

คุณหนุ่มร้อยปี…..คงจะมีสุขภาพที่ดีมาก ตลอด 4-5 ปี น้ำหนักคงที่ตลอด น่าชื่นชมจริงๆครับ


คุณH2O……ยินดีด้วยครับ ที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากเรื่องนี้




โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:12:18 น.  

 

คุณซออู้……ที่ต่างจังหวัดมีผักสดที่ชาวบ้านนำมาขาย น่ากินเนาะ ดีกว่ากินพวกพิซซ่า พวกโดนัท ซะอีก

ผมขอแนะนำให้นำความคิดเรื่อง ทานผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง ไปให้นักศึกษารณรงค์ทานกัน อาจจะสัปดาห์ละ 3-4 วัน และอาจจะขยายไปถึงคนในครอบครัว

ขอบคุณที่ชอบอ่านเรื่องนี้ครับ


พ่อน้องโจ….ผมยินดีด้วยที่คุณมีสุขภาพดีเยี่ยม แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยนะครับ




โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:13:38 น.  

 

ตง…..ผมเดาว่า ตง ไม่ดื่มและไม่สูบ
แค่นี้ก็พื้นฐานที่ดีของอายุยืนแล้ว

ถ้าได้มีการเลือกอาหาร ก่อนกินเข้าไป ก็เป็นการต่อยอด


ดำฮา…..ความคิดไม่พิลึกครับ คงจะมีคนคิดค้น กะปิที่ไม่มีกลิ่น แต่ยังมีรสชาติ วิตามินเหมือนเดิมก้อได้ครับ

เดี๋ยวนี้ กะปิส่งออกจะมีขนาดเป็นก้อน ขนาดก้อนละประมาณ ก้อนปรุงรสที่เติมในแกงจืด แถมห่อด้วยกระดาษฟอยส์ หรือบรรจุภัณฑ์สุญญากาศ ซึ่งก็ช่วยลดกลิ่นขณะขนส่งกะปิได้



โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:14:47 น.  

 

คุณมาริอา…..จะลองทำเหรอครับ หาซื้อได้จากหลายที่นะครับ

ผมอยากให้พ่อครัวและแม่ครัวตามร้านอาหาร เขารู้จักกะทิแบบนี้มากๆ จะได้นำไปผสมในของคาวและของหวานเพื่อขาย


เมฆ…….กินอย่างเดียว อิอิ มีคนป้อนด้วยมั๊ย



โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:16:09 น.  

 

แร้…….จะไปซื้อมากินเอง…หรือกินกะใครอ่ะ

ดีครับ ร่วมแรงกันกินแต่ของดี


นายเบียร์…….ต้องขออภัยที่ต้องขอบอกว่า ไม่รู้ ทั้งสองคำถาม คือ

1. ผมยังไม่เคยลองชิมเลย

2. เขาจดสิทธิบัตรกรรมวิธีเอาไว้ ก็คงจะกลัวถูกก๊อป น่ะ เขาจึงไม่เผยแพร่ความรู้ที่คุณถาม ผมก็เลยแบ๊ะแบ๊ะ เลยไม่รู้ดิครับ ขอโทษด้วย



โดย: yyswim วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:17:26 น.  

 
คิดถึงนะคะ ยังจำกันได้อยู่รึเปล่าเอ่ย....


โดย: HACKER HUNTING in The City วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:55:30 น.  

 
เย้...พี่สินเขียนเรื่องเยี่ยมเลย
ข้อมูลเพียบ
ผมจะเอาไปให้แม่อ่าน
เห็นแม่บอกว่ามีโคเลสเตอรอลสูง
เพราะแม่อ้วนนิดหน่อยครับ


โดย: basbas วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:38:50 น.  

 
นะ..ใช้แทนแก้วเหล้า


เหอๆ แล้วไม่โดนฟีฟ่าปรับเอาบ้างเหรอนั่น


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:08:44 น.  

 
ประเด็นที่สำคัญ ... ต้องเก็บเข้าตู้เย็น..
ไม่มีตู้เย็นให้เก็บค่ะ..
ต้องหลีกเลี่ยง อาหารกะทิ โดยปริยาย...


โดย: MDA วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:04:19 น.  

 
ง่ะ ไม่ได้เข้าครัวอ่ะค่ะ เวลาทำงานกับเดินทางก็หมดแย้ว
รอคุณสินมาทำให้กินแล้วกัน เหอๆๆ
ขอกล้วยบวชชีหย่อยๆ นะก้า


โดย: ladybear วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:18:25 น.  

 
แวะเข้ามาเยี่ยมครับ แฮะๆ มาที่นี่ท่าทางจะสุขภาพดี อิอิ


โดย: GayKrub IP: 203.121.150.135 วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:50:20 น.  

 

ทำไมไม่ขึ้นชื่ออ่า ฮือๆๆๆๆ


โดย: designalert IP: 203.121.150.135 วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:52:16 น.  

 
ไม่อยากจะเชื่อ ว่าต้องการหาสิ่งใด เข้ามา bl นี้มักจะได้สิ่งนั้นๆ แบบชนิดที่ว่า "มันช่างบังเอิญจริงๆ"

ตอนนี้กำลังมีความอยากรู้เกี่ยวกับโรค เบาหวาน และโรคหลอดเลือดตีบตัน เข้ามาปั๊บ เจอข้อมูลปุ๊บ ... สุดยอดจริงๆ

ขอบคุณคร้าบบบ ท่าน สิน


โดย: merf1970 IP: 124.120.5.237 วันที่: 31 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:00:21 น.  

 
อ่า......... งั้นผม โจน้อย
ต้องไปลดพุงกาทิน้อย ๆ ของผมแล้วละเนี่ย
ไม่งั้นสาว ๆ คงไม่กล้ากินผม..เพราะคอเรสเตอรอลสูงงงงงงงงงงง ....ฮี่ ๆๆ
.
.
.
แวะมาบ๊อก ๆ นี้บ่อย ๆ ก็ดีแฮะ
ได้สุขภาพดี

ปล. เจ้าของบ๊อกสบายดีป่าวครับ
วันนี้ผมอารมณ์ดีค้าบบบ


โดย: little-joe วันที่: 1 สิงหาคม 2549 เวลา:8:56:41 น.  

 
โชคดีที่เป็นคนไม่ชอบกินของหวานและกะทิ

แต่ต้องไปหาผักตามที่แนะนำมากินเยอะๆซะแระ จะได้ห่างไกลโรค


โดย: err_or วันที่: 1 สิงหาคม 2549 เวลา:10:40:54 น.  

 
Photobucket - Video and Image Hosting

น่าสนใจครับคุณสิน

แต่คนที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารเองอย่างผม

ก็อดไปตามระเบียบ


โดย: Marvellous Boy วันที่: 1 สิงหาคม 2549 เวลา:11:12:51 น.  

 

น้องกอล์ฟ……จำคนสวยได้เสมอ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยม


น้องbas……นำไปให้คุณแม่อ่านหรือครับ ดีครับน้อง แต่จะดียิ่งขื้น ถ้าน้องจะซื้อที่เขาปรุงเป็นแพคสำเร็จไปให้คุณแม่ชิมดูด้วย มีขายที่ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตครับ



โดย: yyswim วันที่: 5 สิงหาคม 2549 เวลา:15:02:29 น.  

 

คุณสาวไกด์…..ข่าวลึกๆของถ้วยบอลโลก ผมยังไม่ได้อ่านครับ


MDA…..ที่บ้านไม่มีตู้เย็น แล้วจะแช่อะไรเก็บที่ไหนล่ะ

ในBlogบอกว่า มีแบบ UHT ด้วยครับ ไม่ต้องแช่ตู้เย็น ประเภทกล่องน่ะครับ



โดย: yyswim วันที่: 5 สิงหาคม 2549 เวลา:15:04:46 น.  

 

คุณLady Bear…ผมยินดีซื้อให้ครับ

ผมไม่ได้ปรุงกินเอง เพราะอยู่แฟลตคนเดียว ซื้อกินสะดวกกว่า
มีขาย แถวท๊อปส์


คุณGayKrab……ที่นี่เขียนเรื่องไว้หลายแนวครับ

ถ้าชอบโจ๊ก ก็มีนะครับ…. โจ๊กรสทาลึ่ง โฮะโฮะ



โดย: yyswim วันที่: 5 สิงหาคม 2549 เวลา:15:05:38 น.  

 

คุณ designalert……ขอบคุณที่พยายาม
คงจะเพราะคุณยังไม่เคยสมัครเว๊ปพันติ๊บน่ะครับ

สมัครไม่ยากครับ ลองสมัครนะครับ แล้วจะได้หลังไมค์คุยกันด้วย


Merf…..ทุกอย่างเสิร์ชได้ที่ Google นะคร้าบ
เบาหวาน หรือ โรคหลอดเลือด…ที่ต้องการค้น
ค้นเจอแน่ครับ เชิญที่ Google นะคร้าบ

ผมก็พึ่งพาอยู่ทุกวัน

ขอบคุณที่ ชม
แต่มะค่อยจะกล้ารับ โฮะโฮะ ยังไม่เก่ง



โดย: yyswim วันที่: 5 สิงหาคม 2549 เวลา:15:06:25 น.  

 

โจเล็ก…..แวะมานะครับ แวะมานั่งอ่านอะไรเล่นๆ

ผมก็จะขอไปเยี่ยมคุณบ่อยๆด้วย


ม๋าเอ๋อ…..ดีซิ กินผัก กินปลา จะได้ไม่อ้วนและมีสุขภาพดี


เอก……ผมก็ไม่ได้ปรุงเอง อยู่เดี่ยวเหมือนกัน

ทานผักเยอะๆนะครับ



โดย: yyswim วันที่: 5 สิงหาคม 2549 เวลา:15:07:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
28 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.