ความชอบที่แตกต่าง







ความชอบที่แตกต่าง














คนเรามีความคิดเห็น มีความชอบที่แตกต่างกัน ..แม้จะอยู่ในสังคมเดียวกัน



บางคนไม่ชอบทุเรียน บางคนไม่ชอบปลาร้า บางคนไม่ชอบดื่มเหล้า บางคนไม่ชอบดื่มกาแฟ



บางคนไม่รับประทานหมู บางคนไม่รับประทานของเผ็ด



บางคนไม่ชอบเพลงร๊อก บางคนไม่ชอบดูมวย บางคนไม่ชอบซื้อหวย บางคนไม่ชอบเที่ยวต่างจังหวัด



หากถามว่า ทำไม???????



คำตอบ บางทีก็ตอบยากเหมือนกัน















ทำไมจึงไม่ชอบดูซีรีย์หนังเกาหลี น่านซิ ....ทำไมจึงไม่ชอบอ่านหนังสือธรรมะ น่านซิ ...ทำไมจึงไม่ชอบทีมลิเวอร์พูล น่านซิ ....หรือทำไมจึงชอบนอนหลับโดยไม่ยอมสวมท่อนล่าง น่านซิ โฮะโฮะโฮะ



ที่บอกว่าตอบยาก ก็เพราะบางทีต้องตอบยาว และบางทีก็ไม่รู้ว่า จะตอบยังไงดี จึงจะไม่ให้ขัดใจกัน !!!!



อาจจะเป็นเพราะความเคยชินมานาน จนตัวเองก็ไม่รู้เหตุผลและไม่รู้คำตอบ หรือเป็นเพราะเหตุผลมันซับซ้อนจนยากจะอธิบาย...เป็นคำตอบที่เหมาะ ก็ได้




ผมเองก็มีความชอบบางอย่าง และมีความไม่ชอบบางอย่าง เหมือนคนอื่น



คนเราจะให้คิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน คงจะไม่ได้



แม้พ่อกะลูก ก็ยังชอบกีฬา ไม่เหมือนกัน ..และแม้แม่กะลูก ก็ยังชอบแนวเสื้อผ้า ไม่เหมือนกันเลย



แต่ในความชอบที่ไม่เหมือนกัน ก็ไม่ได้แปลว่า คนทั้งสองจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ หรือจะต้องทะเลาะกัน....





ใคร ชอบอะไร ต่างก็สนใจอ่าน สนใจทำกิจกรรม หรือสนใจรับประทาน หรือสนใจดื่มสิ่งที่ตนชอบ โดยไม่ได้ไปรบกวนผู้อื่น และไม่ได้ไปหยิบยืมสมอง มือ ดวงตา หรือปากของผู้อื่นมาใช้งาน ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างชอบ ไม่ได้รบกวนกันและกัน



ซึ่งผมเอง ก็มีความชอบที่เหมือนกัน และแตกต่างกันกับท่าน





อย่างหนึ่งที่ผมชอบ คือ อดีตท่านนายกทักษิณ



ผมไม่ได้บอกว่า อดีตท่านนายกทักษิณ ดีไปเสียหมด ..หากแต่ผมชอบสิ่งดีๆบางอย่าง ที่ท่านคิด











คำสอน ท่านพุทธทาส








บล็อกวันนี้ อาจจะเป็นเรื่องแนวส่วนตัวของเจ้าของบล๊อก นิดหน่อย ..เพราะต้องการจะนำเอาความชอบของตัวเอง นำมาลงไว้ในบล็อกของตัวเอง




ท่านที่ไม่ชอบ ปิดจอได้เลยครับ ไม่เป็นไรครับ.....







“พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จัก”





ตัดตอนจากปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง"


โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร


จัดโดยมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2542


ณ หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์







“นมัสการพระคุณเจ้า เรียนท่านวิทยากร ท่านผู้จัดงาน โดยเฉพาะท่านประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ท่านวิโรจน์ ศิริอัฐ ที่กรุณาให้เกียรติผมเป็นองค์ปาฐกในวันนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมมีความเต็มใจและมีความตั้งใจที่มาร่วมงานวันนี้ เพราะต้องการมีส่วนสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านพุทธทาส




ตามที่ท่านบอกว่า ‘พุทธทาสจักไม่ตาย’ นั่นคืออยากให้ปรัชญาที่ท่านพุทธทาสได้ค้นพบนั้น ได้รับการเผยแพร่ ได้รับการปฏิบัติตลอดไป มุ่งไปสู่จุดหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาของเราคือ ‘การดับทุกข์’



ผมอยากให้คนไทยทุกคน ชาวพุทธทุกคน ได้มีโอกาสเห็นพระพุทธเจ้า ดังที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสกับพระวักกลิ ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"



เพราะฉะนั้น ‘การเห็นธรรม’ จึงถือเป็นหัวใจสำคัญมากของสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทย



ทุกวันนี้ เป็นสังคมที่วิกฤติในหลายด้าน เรากำลังต้องการธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ต้องการธรรมะที่เป็นลักษณะบิดเบือน หรือชักจูงไปในทางที่ผิด เราต้องการธรรมะที่ทำให้คนไทยสามารถดับทุกข์ได้ โดยคนไทยปราศจาก ซึ่ง "ตัวกู-ของกู" คือ การปราศจากจากกิเลสนั่นเอง





ผมจะขอเริ่มต้นตรงนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะเคยฟังประวัติของท่านพุทธทาสมาบ้างแล้ว แต่ผมอยากกล่าวถึงท่าน ในสิ่งที่เป็นปรัชญา ผมคิดว่าท่านเป็นปัญญาวิมุติบุคคล คือบุคคลที่บรรลุธรรมด้วยปัญญาที่หลุดพ้นจากกิเลส ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่า อยู่กับธรรมชาติ เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ และศึกษาพระไตรปิฏก ศึกษาธรรมะ ศึกษาศาสนาต่างๆเพื่อเปรียบเทียบ ซึ่งมีน้อยคนนัก ที่จะสามารถค้นคว้าศึกษาและเป็นนักคิดนักอ่านเช่นท่านได้











ชีวิตของท่าน ได้สะท้อนหลายสิ่งหลายอย่าง ที่น่าจะเป็นประโยชน์และเป็นบทเรียนที่ดีของสังคมไทย ท่านได้เปรียญ 3 ประโยค พอจะขึ้นเปรียญ 4 ท่านเข้าใจไปว่า ท่านสอบตก เนื่องจากคณะกรรมการสมัยนั้น ตีความภาษาบาลีไม่เหมือนกับท่าน ซึ่งท่านเองได้ไปค้นคว้าและพิสูจน์ให้เห็นว่า ภาษาบาลีของท่านนั้น ได้นำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆหลายอย่าง คือท่านมีความจัดเจน




สิ่งนี้ได้บอกอะไรเราบางอย่างว่า การศึกษานอกระบบนั้น สามารถทำให้คนฉลาดและเก่งได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการศึกษาในระบบเท่านั้น เพราะการศึกษาในระบบ บางครั้งอาจผิดพลาดได้ อาจทำให้เด็กของเราเติบโตขึ้นมาในทางที่มีปัญหาต่อวิธีคิดและวิธีปฏิบัติมากพอสมควร



เพราะฉะนั้นการศึกษานอกระบบในบางครั้งก็เป็นประโยชน์มาก




มีตัวอย่างมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้กระทั่ง คนดังอย่าง บิลล์ เกทส์ เรียนหนังสือไม่ทันจบ ก็ออกไปทำงานของตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้กลายเป็น มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ด้วยวัยเพียง 40 ต้น ๆ เท่านั้น





สิ่งที่ผมศรัทธาท่านพุทธทาสอีกประการหนึ่ง และอยากจะให้สังคมได้ทราบคือ ท่านพุทธทาสเป็นนักคิดที่กล้าคิดนอกกรอบ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า think out of box











ท่านพูดว่า ถ้าจะศึกษาพระไตรปิฏก ต้องกล้าที่จะคิดนอกกรอบของพระไตรปิฏก คือต้องเอาตัวเองหลุดพ้นออกมาจากพระไตรปิฏกเสียก่อน



นั่นคืออย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ท่านศึกษาจากธรรมะ จากข้อเขียนหลากหลาย ที่รวมทั้งพระไตรปิฏกด้วย ผลสุดท้ายท่านได้ข้อสรุปหลายเรื่อง




ยกตัวอย่างวิธีคิด ที่ท่านได้สอนสังคมไทยอย่างหนึ่งคือ ในพระบาลีเรื่องของกาลามสูตร 10 ข้อ ท่านพุทธทาสไม่อยากให้เรา ไปเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด ไปเชื่อเพราะว่าคนที่เราศรัทธาพูด โดยที่เราไม่กลับไปคิดค้นอีกทีว่า สิ่งที่พูดมานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า





ดังนั้น การที่เราไปเชื่ออะไรง่ายๆ ทำให้เราอาจจะไม่ได้ค้นพบ หรือประวัติศาสตร์ของความรู้ จะพูดถึงเรื่องศาสนาต่างๆ ที่มาของศาสนาต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของความรู้ ....ตรงส่วนของพุทธศาสนา เขาบอกว่า พระพุทธศาสนานั้น เป็นความคิดทางจริยธรรมที่ยิ่งใหญ่ และยังมีพลวัตทางความคิดที่ทันสมัยอยู่ การอธิบายของศาสนาพุทธ จึงมีความหมายในเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่งกว่าศาสนาอื่น ซึ่งตอนนี้กลับไปมีอิทธิพลในตะวันตก




ผมเชื่อว่า งานของท่านพุทธทาสส่วนหนึ่ง มีส่วนผลักดันให้เกิดขึ้น เพราะท่านได้เขียนหนังสือหลายเรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษ ได้สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติที่มาฟังธรรมกับท่านเป็นประจำ ท่านเองไม่ได้เรียนหนังสือมาก แต่ท่านศึกษาด้วยตนเอง จนกระทั่งภาษาอังกฤษของท่านอยู่ในขั้นที่สามารถจะเทศน์และสนทนาธรรมกับฝรั่งได้ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก






ปรัชญาโดดเด่นอีกประการของท่านคือ ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ ที่ท่านสามารถสืบทอดเจตนารมณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ‘การตรัสรู้หรือความรู้ที่มีอยู่ทั่วไปนั้น เปรียบเสมือนใบไม้ทั้งป่า แต่หลักที่จะจำและนำเอาไปปฏิบัติในชีวิตนั้น เท่ากับใบไม้เพียงกำมือเดียว’




นี่ละครับ เป็นสิ่งที่ผมมองว่า วิเศษสุด เพราะยิ่งเรามาดูในหนังสือ History of Knowledge จะยิ่งรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เป็นผู้เขียนพระไตรปิฏกด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นการแปลธรรมะต่างๆ ก็แปลออกไปในหลายรูปแบบ แล้วแต่ใครจัดเจนหรือถนัดตรงไหน หรือ อยากให้คนที่มาฟัง เชื่ออย่างไร โดยมีวิธีการที่จะทำให้เขาเชื่อได้แบบไหน บ้างก็ทำถูกวิธี บ้างก็ทำอย่างไม่เหมาะสม




แต่ผลสุดท้าย คำที่พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ว่า สิ่งที่จะเป็นความรู้ เป็นปรัชญาจริงๆ นั้น มีเพียงกำมือเดียว เท่านั้นเอง




ตรงนี้ละครับ คือหัวใจกำมือเดียว ที่ท่านพุทธทาสท่านหยิบยกขึ้นมานั้นน่าสนใจมาก




ท่านบอกว่า ศาสนาพุทธ มีหลักพื้นฐานคือ การดับทุกข์ และความไม่ยึดมั่นถือมั่น เหล่านี้คือจุดที่ต้องการให้คนหลุดพ้นจากกิเลส หลุดพ้นจากความเป็น "ตัวกู-ของกู"



เพราะว่าการหลุดพ้นได้แล้วนั้น จะทำให้จิตว่าง




"จิตว่าง" ที่ท่านพยายามเน้นคือ ว่างจากการเป็นตัวตน ว่างจากการปรุงแต่ง ว่างจากการรบกวนทางอารมณ์ อันนี้เป็นจุดที่เป็นหัวใจ หากเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว คนทุกคนจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ทุกข์ ขณะเดียวกันก็สามารถจะทำให้ตัวเองและผู้อยู่ร่วมด้วย มีความสุขได้ เป็นปรัชญาที่สั้น แต่มีความสำคัญ











สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ ท่านได้เปรียบเทียบ ‘ธรรมะคือธรรมชาติ’… ให้คำจำกัดความของ ‘ธรรมชาติ’ ใน 4 ลักษณะ ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ เป็นลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส ผมมีเวลาเพียง 25 นาที คงไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้



ท่านพุทธทาสได้มองการเมืองว่า ‘การเมืองคือธรรมะ ธรรมะคือการเมือง’





เพราะ ‘การเมืองเป็นหน้าที่’ การเมืองคือ การจัดให้คนในสังคมหมู่มากได้อยู่กันอย่างสันติ โดยไม่ต้องใช้อาชญา มันตรงกับทฤษฎี social contract theory หรือ ทฤษฎีสัญญาประชาคม ที่นักปราชญ์รุ่นเก่าอย่าง มองเตส กิเออร์, รุสโซ, จอห์น ล็อค, โทมัส ฮอบบ ได้พูดไว้ ...ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเรื่องของ การจัดการให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ให้มีการรังแก หรือเอาเปรียบซึ่งกันและกัน



ในเมื่อ ‘การเมืองเป็นหน้าที่’ มันก็ตรงกับธรรมะข้อที่สาม คือเรื่องของการ ‘ทำหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ’ นั่นเอง เป็นสิ่งที่ฟังแล้วมีเหตุผลมาก





สิ่งที่ท่านมักเน้น โดย วกเข้าสู่การเมืองคือ ‘ธรรมะเป็นความถูกต้องที่อยู่บนรากฐานของความไม่เห็นแก่ตัว’



ความไม่เห็นแก่ตัว เป็นรากฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย ถ้าผู้คนในระบอบประชาธิปไตยมีความเห็นแก่ตัว ท่านบอกว่าจะเป็นประชาธิปไตยในแบบที่เรียกว่า ประชาธิปตาย



คนเราถ้าขาดคุณธรรมแล้ว สังคมจะยุ่งเหยิง การเมืองที่มีธรรมะ คือการเมืองของสัตบุรุษ





ท่านยังบอกอีกว่า ‘สภานั้น คือที่ชุมนุมของสัตบุรุษ หรือที่ชุมนุมของนักการเมืองที่มีธรรมะ แต่ถ้าสภาใด มีการทะเลาะกัน ด่าทอกัน หรือทำลายล้างกัน มัวแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตน ...สภานั้น ไม่น่าจะเป็นการเมืองของสัตบุรุษ ที่นั้นจึงไม่น่าจะเรียกว่า สภา’



เหมือนกับท่านพุทธทาส กำลังจะบอกกับนักการเมืองว่า ...เราควรจะพิจารณากันให้ดี เราเองต้องเข้าใจว่า การเมืองในปัจจุบันของบ้านเรานั้น ได้รับอิทธิพลมาจากการเมืองของอังกฤษ



การเมืองแบบอังกฤษ คือมีการโต้แย้งกันในแบบของนักกฎหมาย ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านต้องการเห็น ที่ว่าสภา คือที่รวมของสัตบุรุษ





อย่างไรก็ตาม การเมืองต้องเก็บเอาตรงนี้ไปคิด ว่าเมื่อไหร่การเมืองจะเป็นการเมืองของสัตบุรุษ



ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีนักโกงเมือง นักกินเมือง เราเรียกการเมืองนั้นเป็น ‘การเมืองเนื้องอก เป็นการเมืองที่ไม่มีธรรมะ เป็นการเมืองที่โกงเมือง กินเมือง’




ท่านพุทธทาส พูดการเมืองในภาษาธรรม เพื่อจะให้นักการเมืองทำในสิ่งเหล่านี้คือ



ทำการเมืองที่สร้างสรรค์ เลิกทำลายกัน ท่านต้องการเน้นไม่ให้มีการคอร์รัปชั่น ท่านต้องการให้นักการเมืองหรือคนที่เกี่ยวข้องกับการเมือง รู้จักคำว่า ‘กตัญญู’ ซึ่งคำนี้กินความหมายกว้างมากเหลือเกิน




ท่านพุทธทาสบอกว่า ‘ศัตรูนั้นเรายังต้องกตัญญูต่อศัตรู เพราะถ้าไม่มีศัตรู เราก็ไม่มีสมรรถภาพ เพราะมีศัตรู เราจึงต้องปรับปรุงสมรรถภาพ เพื่อให้สู้ศัตรูได้’



ความกตัญญูของท่านพุทธทาสนั้น จะเห็นว่า ท่านใจกว้างมาก ท่านไปไกลถึงขนาดนั้น





เพราะฉะนั้น นับประสาอะไรกับนักการเมืองที่จะต้องกตัญญูต่อประชาชน ทำไมต้องกตัญญู ก็เพราะประชาชนให้ศรัทธาแก่นักการเมือง เราต้องกตัญญูต่อศรัทธาของประชาชน ต้องกตัญญูต่อเงินเดือนที่ได้รับจากภาษีอากรของประชาชน ต้องกตัญญูกับการที่ประชาชนให้โอกาสเรามาแสดงผลงาน มาทำงานให้เป็นที่ประจักษ์



ต้องกตัญญู เพราะเราได้เกียรติยศที่สังคมยอมรับเราในความเป็นนักการเมือง





เพราะฉะนั้น ‘การกตัญญู’ ตรงนี้ ต้องมีนอกเหนือจากการ กตัญญูต่อแผ่นดินเกิด กตัญญูต่อองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณมากล้นต่อแผ่นดิน อันนั้นเป็นความกตัญญูที่นักการเมืองจะต้องเน้น












ท่านพุทธทาส ยังได้พูดถึงลักษณะธรรมะ 2 ข้อ ที่ผมพยายามเข้าใจให้ตรงกับสิ่งที่เป็นปัญหาในทางการเมืองมาโดยตลอด คือท่านพูดถึงเรื่องของ ‘ธรรมิกสังคมนิยม’




ท่านเอาคำ 2 คำ คือ สังคมนิยม กับธรรมิก มารวมกัน ....ไม่ใช่ลัทธิการเมือง แต่ท่านต้องการเห็นการเมืองที่นึกถึงประโยชน์ของสังคมเป็นที่ตั้ง มากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล ...การนึกถึงประโยชน์ของสังคมนั้น จะอยู่บนพื้นฐานของการมีธรรมะ




ผมอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสมาตลอด ได้ค้นพบว่าท่าน มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก ท่านพูดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2513 ที่สวนโมกข์ วันนี้ก็ยังใช้ได้และเป็นความจริงอยู่



ท่านพูดว่า “อย่ามองประเทศไทยเป็นแค่ประเทศไทย เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก โลกติดต่อกันง่ายยิ่งขึ้นทุกวัน”



ท่านพูดถึงเรื่อง โลกาภิวัตน์ ตั้งแต่ปี 2513 แต่ไม่ได้บัญญัติศัพท์ว่า โลกาภิวัตน์ เท่านั้นเอง



วันนี้เราเพิ่งมาคิดกันได้ตอนที่ปี 2000 กำลังมา เราเพิ่งมาตกใจตื่นกัน แต่ท่านเตือนเรามาตั้งแต่ปี 2513 แล้ว




อันนี้คือวิสัยทัศน์ที่ไม่น่าเชื่อ สำหรับท่านพุทธทาสที่แยกตัวออกไปอยู่ในป่าโมกข์ ศึกษาอยู่ตรงนั้น แต่กลับมองล่วงหน้าและเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยวิสัยทัศน์ที่เกิดจากการอ่านและเป็นนักคิดของท่าน












ผมขอโยงเรื่องของตัวผม กับคำสอนของท่านพุทธทาสสักนิดหนึ่ง ซึ่งจะสะท้อนปรัชญาของท่านที่มีผลต่อสังคม ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงและมีผลต่อตัวผมมาแล้ว




ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของท่าน เรื่อง Danger of I หรือเรื่อง ‘อันตรายซึ่งตัวกู’ เป็นหนังสือที่ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ



ท่านไม่ต้องการให้คนทุกคน มีชีวิตที่มันกัดเจ้าของของมัน ท่านใช้คำว่า ‘ชีวิตที่กัดเจ้าของ’ เป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวมาก





ท่านแยกความป่วยเจ็บของคน ออกเป็น 3 อย่าง ...เดิมพระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ 2 อย่างคือ ทางกายกับทางจิต ...แต่ท่านพุทธทาสเห็นว่า ทางจิตสมัยนี้ มีจิตแพทย์ด้วย ท่านกลัวปนกัน ..ท่านจึงเรียกว่าทางกาย ทางจิต และทางวิญญาณ



มีการป่วยทางวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า spiritual disease





ผมยอมรับว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมป่วยเป็นโรคทางวิญญาณ ช่วงนั้นผมเป็นรองนายกฯ ในสมัยที่คุณบรรหารเป็นนายกฯ



ผมป่วยทางวิญญาณต่อเนื่องเป็นปี จนผมพักจากการเมืองไปช่วงหนึ่ง ภรรยาผมนี่ละครับเป็นคนบอกว่า ‘ผมป่วย แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร’



ป่วยตรงนั้น คือว่าผมมีคำว่า self





ท่านพุทธทาสได้พูดคำว่า self ที่ในภาษาลาติน เรียกว่า ego ภาษากรีก เรียกว่า เซนทีกอน ที่แปลว่า center นั่นก็คือว่า คนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่มีความรู้สึกเป็น ตัวกูของกู คนที่มีการปรุงแต่งทางอารมณ์ จิตวุ่น นั่นคือภาวะของ ความป่วยของผมในช่วงนั้น





ภรรยาผมบอกว่า “เธอป่วยแน่’ เธอพูดคำว่า ‘self ขึ้นมา”



ผมจึงเริ่มรู้สึกว่า ผมป่วยจริง ผมจึงไปหาแพทย์ แพทย์ของผม ชื่อ พระอิสระมุนี ซึ่งเป็นพระรูปหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส



ท่านอิสระมุนี ใช้คำสอนของท่านอาจารย์อย่างแม่นยำ ท่านได้เทศน์ให้ผมฟัง โดยที่ผมไม่ได้นัดหมายกับท่านเลยว่า ผมไปหาท่านด้วยเรื่องอะไร



อยู่ ๆ ท่านก็เทศน์ให้ผมฟัง ท่านพูดถึง ตถตา มันเป็นอย่างนั้นเอง ท่านพูดถึงเรื่องของ ปฏิจจสมุทปบาท ท่านพูดเรื่อง อิทัปปัจจยตา ท่านพูดถึง ตัวกูของกู การยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง





ผมสว่างเลยครับ ก่อนหน้านั้น ผมยอมรับเลยว่า ความจำที่เคยแม่น กลับไม่แม่นตรงกับที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ‘ถ้าเราวุ่น คือ จิตไม่ว่าง สมาธิไม่เกิด ปัญญาจะหายไป ถ้าจิตว่าง สมาธิมี ปัญญาเข้ามาหา’











ปรากฏว่า หลังจากนั้น ผมคลายลงอย่างง่ายๆ เลยครับ หลังจากนั้น ชีวิตผมมีความสุขมาก คิดอะไรก็ง่าย จำแม่น สมองโปร่ง ผมบอกได้เลยว่า คาถาบทนี้ คือ ‘ความรู้ที่เป็นหลักที่เปรียบเสมือนใบไม้เพียงกำมือเดียวนั้น ถ้าเราพยายามเข้าใจกับหลักแล้ว จะทำให้ชีวิตเรา มีความสุขมาก ไม่เครียด และปัญญาจะเกิด แล้วเราจะแก้ปัญหาชีวิตได้’




อันนั้นคือสิ่งที่ผมอยากจะมาสื่อให้ฟังว่า นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์





สิ่งที่ท่านพุทธทาสได้บอกอีกอย่างหนึ่ง คือ ‘เหงื่อของเรานี้ คือน้ำมนต์ที่ดีที่สุด’



อย่าคิดไปวิ่งหาน้ำมนต์ที่ไหนเลย เหงื่อ คือความรักงาน เอาใจใส่งาน มุ่งมั่นทำงานเพื่อสร้างตัวเองให้ดีที่สุด






ท่านยังบอกอีกว่า ‘โง่ เพื่อฉลาด ถ้าไม่โง่ก็ไม่มีฉลาด จงเอาความโง่มาใช้เหมือนมีไฟ ไฟมันมีอันตรายเพราะมันร้อน แต่สามารถเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากมาย’



นั่นคือ เอาความโง่ในอดีต มาเป็นครู มาเป็นบทเรียนที่ดี สำหรับอนาคต



เพราะฉะนั้น ใครที่เจอวิกฤติในวันนี้ ขอให้เอาคาถา 3 – 4 ข้อนี้ละครับไปใช้กับชีวิต



พยายามเข้าถึงธรรมะที่เป็นธรรมชาติ โดยการหลุดพ้นจาก ‘ตัวกูของกู’ ให้มากที่สุด





ที่สำคัญ ให้เริ่มต้นจากสังคมในครอบครัวก่อน สังคมเล็ก ๆ นี้ละครับ ท่านบอกว่า ทุกคนเป็นนักการเมือง ทั้งนั้น หัวหน้าครอบครัวก็ต้องเป็นนักการเมือง เพราะต้องจัดครอบครัวให้มีความสุข หัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นนักการเมือง เพราะต้องจัดหมู่บ้านให้คนในหมู่บ้านมีความสุข



เพราะฉะนั้น จะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ถ้าเราหลุดพ้นจาก ตัวกูของกูในครอบครัว ครอบครัวก็จะมีสันติ มีความสุข





ท่านพุทธทาสบอกว่า ‘คนขาดสติ จะเป็นคนที่วิ่งหาธรรมะ แต่ธรรมะ จะวิ่งหาคนที่มีสติ’



เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านปราศจากความเป็น ‘ตัวกูของกู’ และจงมีสติ เพื่อให้เกิดปัญญา คิดหาทางแก้ไขปัญหาของท่านและครอบครัวต่อไป



ถึงแม้ว่า เราอยู่ในโลกประชาธิปไตย แต่ขอให้เข้าใจว่า เป็นประชาธิปไตยที่มีทุนนิยมปนอยู่ เพราะเรารับสังคมของตะวันตกมาเต็มที่ อย่างที่คุณหมอประเวศ ท่านเขียนหนังสือไว้ว่า “ความสุขตามคำสอนของท่านพุทธทาสกับความสุขในค่านิยมทางตะวันตกนั้นแตกต่างกัน”



ตะวันตกถือว่า ความสุขคือ การที่สามารถตอบสนองกิเลสของตัวเองได้



ส่วนท่านพุทธทาสนั้น ท่านสอนให้หลุดพ้นจากการเป็น ‘ตัวกูของกู’ หลุดพ้นจากกิเลส เพื่อให้จิตว่าง ถ้าจิตว่างอย่างที่สุดนั้น ท่านเรียกว่า ‘นิพพาน’



ซึ่ง ‘นิพพาน’ นั้น อาจจะอยู่ในวัฏสงสารได้ เป็นอะไรที่เป็นข้อโต้แย้งที่สนุกดีเหมือนกัน ..






สุดท้ายคงจำได้ สมัยที่เราเรียนหนังสือตอนเด็กๆ เรื่องที่พระพุทธเจ้าโปรด องคุลิมาล ...ผมอยากให้คำโปรด ของพระพุทธเจ้าครั้งนั้น เหมือนกับเป็นการโปรดให้แก่นักการเมืองทั่วไปด้วย



องคุลิมาล เรียกให้ท่านหยุด ...พระพุทธเจ้าท่าน จึงทรงตรัสว่า เราหยุดแล้ว ตัวท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด



องคุลิมาล ก็ครุ่นคิดในคำว่า ‘หยุดว่า คืออะไร’ เพราะจะหยุดได้อย่างไร ในเมื่อยังเห็นพระพุทธเจ้ายังเสด็จต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ



หยุดของพระพุทธเจ้า ที่โปรดองคุลิมาล ในที่นี้คือ “หยุดความเป็นตัวกู-ของกู หยุดกิเลส และจงหลุดพ้นจากกิเลส”



ซึ่ง องคุลิมาล ก็หยุดได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นถ้านักการเมืองทุกคนสามารถหยุด "ตัวกู-ของกู" ปราศจาก "ตัวกู-ของกู" ได้ ประเทศชาติจะมีความสุขมาก ถ้าเราทำอะไรเพื่อคนอื่น เพื่อเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิด ร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย ได้นั้น ย่อมทำให้สังคมมีสุข และมีสันติสุขตลอดไป












ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดไป ขอขอบคุณ สวัสดี.






ตัดตอนจากปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง"


โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร


จัดโดยมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2542


ณ หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์








โดย yyswim









Create Date : 29 พฤษภาคม 2551
Last Update : 29 พฤษภาคม 2551 14:29:12 น. 8 comments
Counter : 12094 Pageviews.

 
น่านซินะ คนเราชอบไม่เหมือนกัน
ใช่ว่าจะคบหา หรือพูดคุยกันไม่ได้

อย่างที่ชัดเจนเลย คือท่านอดีตนายก' ที่ท่านสินเอ่ยถึง
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่มีความคิดตรงข้ามกับท่านสิน
แต่ผมใช่ว่าจะไม่ชอบท่านสินซักหน่อย
ซ้ำผมยังนิยมชมชอบท่านสินมากกว่าอตีดนายก'ซ่ะอีก (ฮา)


ความชอบหรือไม่ชอบของผม มักจะอยู่เหนือเหตุผลน่ะครับ (แต่ก็ไม่ทุกเรื่องนะครับ)

เคยไหมครับ ที่เวลาไม่ชอบแล้วแสร้งทำเป็นชอบ?

ผมนี่เมื่อก่อนไม่เคยเลยที่จะกฎบต่อจิตใจตัวเอง... แต่เดี๋ยวนี้ทำเป็นแล้ว

คนเราพอโตขึ้น มีอายุมากขึ้น ความคิดความอ่านก็ย่อมเปลี่ยน จากที่เคยชอบ อาจะกลายเป็นเฉยๆ หรือไม่ก็เป็นไม่ชอบไปเลยก็มี

ทุกวันนี้ดูข่าวอ่านข่าวแล้วหดหู่ใจยังไงไม่รู้ คนในบ้านเรารู้สึกจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันมากขึ้น
ไอ้ความคิดเห็นแตกต่าง มันไม่เท่าไหร่หรอก
แต่การไม่ยอมกันของผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างนี่ซิ ... มันดูแล้วหนักหน้าขึ้นทุกวัน



โดย: merf1970 วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:34:39 น.  

 


ป้าแอ๊ดก็ชอบอ่านหนังสือคำสอนของท่านพุทธทาสค่ะ

ป้าแอ๊ดเชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น

เชื่อในคำที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ทุกวันนี้ป้าปฏิบัติตัวเองให้อยู่ในศีลห้าข้อได้ทุกวัน เท่านั้น ก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ






(ช่วยลบความเห็นของป้าแอ๊ดด้านบนนั้นด้วยค่ะ )


โดย: ป้าเเอ๊ด (addsiripun ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:36:43 น.  

 
ขอบคุณครับพี่สินที่ให้ข้อมูลที่ดีกับทุกคน รวมทั้งที่บล้อกผมด้วย
คนชอบไม่เหมือนกันจริงๆครับ ถ้าชอบเหมือนกัน คงแก่งแย่งกันน่าดู
เรื่องท่านพุทธทาสดีมากๆครับ ผมอ่านนานหน่อย คำสอนของท่านมีคุณค่ามากๆครับพี่สิน


โดย: basbas วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:49:11 น.  

 
แวะมาเยี่ยมดูผลงาน
สวย ๆ งาม ๆ ทั้งภาพและเรื่องราว


โดย: chanaw2485 (chanaw2485 ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:23:04 น.  

 
ความชอบ .. ขึ้นอยู่กับจริต จะด้วยเหตุผล หรือว่าไม่มี
ก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่คนๆ นั้นจะคิดยังไง

ทัศนคติ .. เป็นเรื่องของชอบไม่ชอบ ที่ได้ฟัง ได้อ่าน และรับรู้มา ... จะยังไงก็คงแล้วแต่คน

ส่วนนู๋ ก็เรียกว่าชอบและไม่ชอบไม่เหมือนคนอื่นอยุ่บ้าง
เช่นกันคะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ชอบคือการเกลียด
และปิดหูปิดตา ไม่รับฟังเหตุผลเลย ...


ทั้งหมดเหมือนดังที่ท่านพุทธทาสท่านได้กล่าวเอาไว้ล่ะคะ
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ... ชอบ ไม่ชอบ รัก ไม่รัก
ก็ด้วยสติ ทั้งนั้นล่ะค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:1:10:54 น.  

 
สวัสดีครับ คุณสิน
ขอบคุณมากนะครับ ที่ได้กรุณา ไปอวยพรวันเกิด ให้กับ น้องโรส

ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่หาดใหญ่ แต่เย็นนี้ จะกลับมาที่สงขลา ครับ

ผมได้รับ cd ที่คุณสินได้กรุณาส่งไปให้เรียบร้อยแล้วครับ ผมเพิ่งให้ คุณผมชาว และัี่น้องรินฟัง และเย็ัี้นนี้ จะนำเอาไปไว้ที่มูลนิํธิ 1 กอปปี้ด้วยครับ

คิดว่าจะทำให้ น้องๆที่ตาพิการ ไ้ด้รับรู้อะไรเพิ่มเติม อีกมากครัย

ขอขอบคุุุุณอีกครั้งครับ



โดย: ทวีศักดิ์ ถาวรรัตน์ (คนตาพิการ ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:14:08:18 น.  

 
เห็นสภาพสังคมปัจจุบันแล้วก็เศร้าครับ ถ้าหลายคนเข้าใจความสุขแบบที่ท่านพุทธทาสพูดไว้ก็คงดีนะครับ

พี่สินสบายดีนะครับ? ต้องขอโทษด้วยครับที่นานๆ มาเยี่ยมที


โดย: Due_n วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:16:17:04 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน "จริงค่ะ"
ความเชื่อของคนเราก้อไม่เหมือนกัน ใช่มั้ยคะ...

ปอเป็นคนนึงที่ชอบนโยบายคุณทักษิณ ที่ปราบปรามยาเสพติด และให้ทุนเด็กนักเรียนได้เรียนฟรีไม่จำกัดจนจบป.ตรี อันนี้ของจริงเลย เพราะเด็กแถวบ้านได้เรียนฟรีกันหลายคน และเท่าที่เห็นนั้นส่วนใหญ่เค้าไม่มีตังค์ค่ะ
ทุกคนดีใจกันมาก...แต่ตอนนี้ เด็กๆ เหล่านั้น แม้กระทั่งนักศึกษาที่ได้ทุน...ถูกลอยแพ ไม่มีใครสานต่อ

หมดยุคคุณทักษิณ ยาบ้าเกลื่อนเมือง....
ไม่มีใคร หรือพรรคการเมืองไหน ยกปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ หรือแม้กระทั่งเอามาหาเสียงเลือกตั้ง...ทำไมนะ????

ส่วนดี และไม่ดี ล้วนมีกันอยู่ในทุกคน..จริงค่ะ
แม้กระทั่งคุณทักษิณ ก้อไม่ใช่ว่าจะดีไปเสียทั้งหมด
..............
อย่างที่หลวงพ่อพุทธทาส ท่านกล่าวไว้ว่า
"เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย" ........

ปอศรัทธา และเคารพหลวงพ่อพุทธทาสมากค่ะ
ท่านเป็น"พระแท้" เป็น"พระอรหันต์"...
หลวงพ่อพุทธทาสอ่านหนังสือมาก ปอเคยเห็นรูปหนังสือที่ท่านอ่าน กองสูงท่วมศรีษะ...ทึ่งมากเลยค่ะ

......................
ปอแวะมาเยี่ยมค่ะ

พี่สบายดีนะคะ งุงิ

ของฝากยามเย็นๆ ค่ะ


glitter-graphics.com



โดย: Butterflyblog วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:08:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.