วันนี้ยืนอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือมือสองร้านประจำ
พบเนื้อหานี้ในหน้าหนังสือเล่มหนึ่ง
เนื้อหาช่างกินใจเหลือเกิน น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
และเชื่อว่ามีอยู่จริงในสังคมทุกสังคม
ย้อนหลังกลับไปนานหลายปีมากเหมือนกัน
ที่ตัวผมเองทุก ๆวันจะพบกับหญิงชราท่านหนึ่ง
นั่งขายพวงมาลัยมะลิสดอยู่บนสะพานลอย
ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนและผู้คนเดินผ่านไปมาไร้อาการสนใจ
พวงมาลัยมะลิสดที่ต้องแสงแดดดูหมองดำ
ใครเล่าจะต้องการ
ผมมักจะซื้อเหมายายเสมอ ๆ นำไปบูชาพระด้วยจิตคิดบูชา
แม้ตัวผมเองนั้นก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
หากแต่เมื่อพิจารณาตัวเอง
ก็น่าจะมีความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้องมากกว่ายายคนนั้น
ผมไม่ได้ซื้อด้วยความสงสาร
หากแต่ซื้อด้วยจิตนับถือความยิ่งใหญ่ของใจยายยิ่งนัก
แม้ยายจะแก่ชรามาก แต่ไม่เคยงอมืองอเท้า
ให้ตัวเองเป็นภาระของใคร
และไม่ได้ทำตัวให้น่าสงสาร เพียงเพื่อต้องการเงินทองของใครฟรี
หากแต่หาเลี้ยงปากท้องตน ด้วยปัญญาที่ตัวเองยังสามารถทำได้
เมื่ออ่านหน้าหนังสือหน้านี้
ภาพของยายคนนั้น เด่นชัดในความทรงจำของผม
วันนี้...ไม่มียายคนนั้นแล้วเช่นกัน
......................
ปล. ท้ายที่สุด ก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้เลยว่า
เมื่อถึงเวลาแห่งกาลสังขารโรยล่วง
ตัวผมเองจะทำได้ดีเท่าอาแป๊ะแก่ ๆตามเรื่องเล่าในหน้าหนังสือ
หรือหญิงชราที่ผมประสบพบเจอหรือไม่
บางท่านอาจบอกว่าผมคิดมากเกินไปป่าว หรืออาจบอกว่าฟุ้งซ่าน
แต่ผมก็ยังคงคิด
เพราะกาลแห่งสังขารโรยล่วงนั้น
มันมีอยู่จริง และคืบคลานเข้าใกล้เราเข้ามาทุกขณะ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
อ่านแล้วคิดแบบคุณเทียนเลย
ยังไม่ทันแก่เท่าคุณยาย เท่าอาแป๊ะ
แต่รู้สึกว่าเราต้องพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด
ทุกอย่างมันห่างตัวเราไปทุกที
เราจะทำได้เหมือนอาแป๊ะและคุณยายรึเปล่า???