ยิ่งกว่านิยาย - เกิดเป็นคน อย่าดูถูกคน
2 ต.ค. 2549
วันนี้จะมาชวนให้ไปอ่านเรื่องที่อ่านแล้วสบายใจกันครับ
เป็นปกติที่ทุกเช้าวันจันทร์ ผมจะต้องรีบเข้าไปอ่าน นสพ. มติชน ฉบับวันอาทิตย์ บนอินเตอร์เน็ต ในส่วนของ อาทิตย์สุขสรรค์ (คำนี้ ถ้าให้ผมสะกดเอง ผมจะสะกดว่า "อาทิตย์สุขสันต์" !) เพราะมักจะมีเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกสบายใจอยู่เสมอๆ
สัปดาห์นี้ผมก็ไม่ผิดหวังอีกเช่นเคย
เรื่องแรกมาจากคอลัมน์ "โลกพิกล คนพิสดาร" โดยคุณเสกสรร กิตติทวีสิน เป็นเรื่องของฝาแฝดที่พลัดพรากจากกันไปถึง 67 ปี คือ ไม่ได้พบหน้ากันตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนกระทั่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งในวัย 71 ปี หลังจากที่ได้ใช้ความพยายามตามหากันมาตลอดชีวิต
อ่านเรื่องนี้แล้วต้องบอกว่า เป็นเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย ชนิดที่นิยายไม่ใช่แค่ชิดซ้าย แต่อาจต้องถึงกับลงไหล่ทางไปเลยทีเดียว
อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจดี
เรื่องที่สองมาจากคอลัมน์ "เรื่องเล่ารายทาง" โดยคุณ วารุ วิชญรัฐ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วก็ต้องระวังเรื่องการดูถูกเหยียดหยามคนอื่นเอาไว้ให้มาก ไม่ว่าคนอื่นนั้นจะแตกต่างไปจากเราหรือผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมากสักเท่าไรก็ตาม เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปปรามาสเขาเหล่านั้นโดยเอาความรู้สึกอคติของเราเป็นที่ตั้ง
เรื่องราวเป็นอย่างไรก็เข้าไปอ่านกันได้ครับ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วสบายใจอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าขี้เกียจคลิกเข้าไปอ่านตามลิงค์ ก็เลื่อนลงไปอ่านข้างล่างได้ครับ เพราะผมลอกมาแปะไว้ที่นี่ด้วย
สุดท้ายก่อนจาก...
ส่วนนี้ผมไม่ได้เอามาลงไว้ที่นี่ เพราะอ่านพบคำประกาศขอความร่วมมือจากทาง bloggang ให้งดเขียนเกี่ยวกับการเมืองโดยเด็ดขาด ก็เลยต้องลบทิ้ง เซ็นเซอร์ตัวเองไปเสียก่อน
เพราะถ้า bloggang โดนปิดไปโดยมีสาเหตุมาจากใครคนใดคนหนึ่งเขียนพาดพิงการเมืองอย่างไม่เหมาะสม (ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าระดับไหนถึงจะเรียกว่าเหมาะสม ระดับไหนถึงจะเรียกว่ามากเกินไป) คงต้องมีคนลงแดงกันบ้างล่ะ (และผมก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น...)
แต่ถ้าสนใจจะอ่านจริงๆ สามารถคลิกเข้าไปอ่านได้ที่นี่ครับ
ฝาแฝดที่พลัดพราก คอลัมน์ โลกพิกล คนพิสดาร โดย เสกสรรค์ กิตติทวีสิน อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนออนไลน์ วันที่ 1 ต.ค. 2549
เป็นเวลาเนิ่นนานมากสำหรับ เชอร์ลี่ย์ แม็คไกวร์ กับ แพ็ต กูดินาส 2 พี่น้องฝาแฝดชาวอเมริกันวัย 71 ปี ที่ได้กลับมาเจอกันอีกอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งคู่ถูกแยกขาดจากกันตั้งแต่ยังเด็ก และใช้เวลาตามหาอย่างเอาจริงเอาจังตลอด 8 ปีที่ผ่านมา กระทั่งได้พบกันก่อนที่ดินจะกลบหน้าฝังเธอทั้งสอง
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1920 สาววัยรุ่นคนหนึ่งชื่อ แมรี่ ได้หนีออกจากบ้านในเควอนี และเดินทางมาที่มิลวอกี ก่อนจะปักหลักหางานทำเพื่อประทังชีวิต เธอได้พบกับชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว และทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนแมรี่ตั้งท้องขึ้นมา ให้กำเนิดลูกแฝดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ปี 1935 ฝ่ายสามีก็ได้หนีหน้าไปไม่มารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองกระทำ ปล่อยให้แมรี่เผชิญกับโลกที่เปลี่ยนไป เธอไม่สามารถเลี้ยงดูลูกแฝดได้ จนต้องส่งลูกเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
ทั้งแพ็ต และ เชอร์ลี่ย์ ต่างมิได้อยู่ด้วยกัน ต้องแยกกันอยู่กันคนละที่ ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกส่งตัวมาอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเซนต์โจเซฟ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมิลวอกี ถึงจะอยู่ที่เดียวกันแต่ไม่เคยได้นอนห้องเดียวกัน
พอทั้งคู่อายุ 4 ขวบ แพ็ตก็ถูกพ่อแม่บุญธรรมนำไปเลี้ยงดู ส่วนเชอร์ลี่ย์ต้องอยู่ที่เดิมจนถึงอายุ 7 ขวบ ทั้งสองไม่มีโอกาสได้เจอกันหน้าอีกเลย และต่างแยกย้ายกันไปแต่งงานมีลูกมีเต้ากัน จนทุกวันนี้กลายเป็นคุณย่าคุณยายด้วยกันทั้งคู่
แต่แพ็ตซึ่งปัจจุบันพักที่รัฐเท็กซัสได้เริ่มค้นหาคู่แฝดเธอตั้งแต่อายุ 21 ปี โดยได้กลับไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเซนต์โจเซฟเพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอและคู่แฝด แต่แม่ชีไม่สามารถสืบค้นข้อมูลได้ ทำให้การเดินหน้าหาความจริงต้องชะงักไป จนแพ็ตอายุล่วงเข้าสู่วัย 60 เธอและดอน ผู้เป็นสามีได้เดินไปที่ทำการรัฐวิสคอนซิน เพื่อขอข้อมูลทะเบียนราษฎรของเธอ ก่อนได้รับคำแนะนำให้ไปค้นหาข้อมูลที่อัครสังฆมณฑลมิลวอกี และเอกสารเก่าๆ ก็ถูกปัดฝุ่นสามารถบอกได้ว่า ผู้ให้กำเนิดคือใคร
แพ็ตเริ่มแกะรอยค้นหาไปทางผู้สืบตระกูลของผู้เป็นพ่อ และได้จ้างนักสืบค้นประวัติวงศ์ตระกูล รวมทั้งการประกาศลงในหนังสือพิมพ์ จนในที่สุด แพ็ตได้ข่าวดีจากนักสืบ สามารถค้นพบเชอร์ลี่ย์ คู่แฝดตัวจริงแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ข้อเข่าไม่ดี ต้องนั่งรถเข็นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา แพ็ตได้พบเชอร์ลี่ย์เป็นครั้งแรกที่ลานจอดรถร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเวสต์ อัลลิส รัฐวิสคอนซิน อันเป็นเมืองที่เชอร์ลี่ย์พักอยู่ แม้ไม่เจอหน้าค่าตากันเลย แต่ทั้งคู่ก็ยังมีความเหมือนทั้งใบหน้า สีผิว ทั้งคู่มีผมสีบลอนด์ เพียงแต่แพ็ตเป็นคนถนัดมือซ้าย และเชอร์ลี่ย์ถนัดมือขวาแถมเป็นหม้าย ส่วนแพ็ตยังมีสามีอยู่เคียงข้าง
เรื่องราวการเดินทางไกลของฝาแฝดคู่ทุกข์คู่ยากได้จบลงด้วยรอยยิ้มและน้ำตา เพราะไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เจอกันอีก
สองแรงแข็งขัน คอลัมน์ เรื่องเล่ารายทาง โดย วารุ วิชญรัฐ อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนออนไลน์ วันที่ 1 ต.ค. 2549
ต้นฤดูหนาวคราวหนึ่ง ท่ามกลางจราจรวุ่นวายของกรุงเทพฯ ฉันมาถึงขนส่งหมอชิตช้าไปกว่าสิบห้านาที เมื่อขึ้นไปบนรถได้ ประตูรถทัวร์ก็ปิดปัง ท่ามกลางสายตาเขียวปี๋ของผู้โดยสารคนอื่นๆ เพราะทั้งคันรอฉันอยู่คนเดียว
เก็บข้าวของแล้ว ก็นั่งลงถอนหายใจเฮือกใหญ่ บนรถทัวร์สายกรุงเทพฯ-ลำปาง คันนี้เป็นบริษัทที่ฉันนั่งอยู่เสมอ ครั้งนี้บัสโฮสเตสประจำรถสวมชุดสีชมพูดูหวาน ปากสีแดงอวบอิ่ม บนใบหน้าขาวผ่อง และผมสลวยสวยเก๋ เดินมาขอตรวจบัตรโดยสาร หน้ายิ้มละไมไม่พูดอะไร
ออกรถมาได้สักครู่ มีประกาศ พลันเสียงแหบห้าวที่ดูดัดนิดๆ ก็ก้องไปทั้งคัน (ลองทำเสียงตามดูก็ได้) "สวัสดีค่ะ บริษัทของเรายินดีที่ได้นำท่านผู้โดยสารสู่จังหวัดลำปาง โดยมีคุณสมชายเป็นพนักงานขับรถ และดิฉันณัฐนิยา เป็นพนักงานประจำรถ ระหว่างทางท่านจะได้รับบริการของว่าง และจะแวะรับประทานอาหารและพักรถที่สลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร นะคะ อีกสักครู่ขอเชิญรับประทานของว่างและพักผ่อน หากไม่ได้รับความสะดวกแจ้งดิฉันได้ค่ะ"
มีผู้โดยสารบางคนมีน้ำเสียงแปลกใจระคนเยาะหยัน แม้เป็นเสียงเบาๆ แต่หนักหน่วงด้วยถ้อยคำบาดใจว่า "กะเทยนี่หว่า"
แล้วคุณโฮสเตสชุดชมพูก็แบกถาดขนาดใหญ่พูนสูงด้วยของว่างร่วมยี่สิบกล่อง ด้วยสองแขนอันทรงพลังของเธอ เดินทรงตัวตรงไม่มีเอียงไปตามรถที่โยกเยกเล็กน้อย และที่สำคัญคือ เธอมาเที่ยวเดียวก็ได้รับของว่างครบทุกที่นั่ง เที่ยวต่อมาเธอแบกถ้วยน้ำดื่ม และด้วยการเดินเพียงเที่ยวเดียวผู้โดยสารก็ได้รับครบอีกเช่นกัน ไม่ต้องคอยชะเง้อชะแง้ว่าเมื่อไรจะได้กิน เพราะบางคนก็หวังจะฝากท้องบนรถเพราะกลัวมาไม่ทัน ถ้าช้าบางทีอาจมีค้อนขวับ
หลังจากดูหนังมันๆ ที่เขาฉายให้ดู ก็เริ่มปิดไฟนอน สะดุ้งตื่นอีกทีก็เพราะพี่โฮสเตสแสนสวยคนนี้แหละ เธอขยับไมค์ก๊อกแก๊ก เปิดไฟเปิดเพลงลูกทุ่ง ประกาศว่ามาถึงสลกบาตรแล้ว ให้ทุกคนเตรียมลงไปกินอาหารมื้อดึกระหว่างทางที่นี่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง
ระหว่างที่รอรถออกจากสลกบาตร ฉันเดินเตร่อยู่ใกล้ๆ ก็เห็นพี่โฮสเตสคนนี้ แบกของขึ้นลงรถได้อย่างสบาย ด้วยแขนแมนอันล่ำบึ้กของเธอ บางทีก็ช่วยคุณยายคนหนึ่งหยิบกระเป๋าจากชั้นวางข้างบนหัวให้คุณป้าหนึ่งค้นของใช้จำเป็น เธอหยิบขึ้นลงอย่างคล่องแคล่วแต่ยิ้มแย้มตลอดเวลา
เพราะนี่เป็นรถวีไอพี จึงมีอาหารว่างอีกรอบแน่นอนว่าพี่โฮสเตสชุดชมพูผู้มีมาดห้าวหาญหากหวานอ่อนก็ไม่ใช้เวลานานเกินที่จะเสิร์ฟให้ทุกคนได้ด้วยการเดินแบกถาดมาเที่ยวเดียว
แน่นอนที่สุดอีกว่าเมื่อรถใกล้ถึงที่หมาย เธอก็ประกาศปลุก เสิร์ฟกาแฟ และด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม แถมยังช่วยคุณป้าคนเดิมยกกระเป๋าไปไว้บนชานชาลาอย่างคล่องแคล่วอีกด้วย
ฉันเฝ้าทบทวนว่าแม้โลกจะเปลี่ยนมาถึงวันนี้ที่เรามีสนามบินใหม่ใหญ่สุด แต่กว่าที่คนที่มีลักษณ์ทางเพศแบบหนึ่งจะได้รับการยอมรับว่าเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนอื่นๆ นั้นช่างยากเย็น ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็เห็นเต็มตาว่าเธอสามารถทำงานได้ทุกอย่างดังที่คนมีอาชีพบัสโฮสเตสควรทำ ไหนจะมีทั้งแรงกาย หัวใจบริการ และไหนจะความสวยที่แม้ไม่เท่านางงามจักรวาล แต่เธอก็พยายามไม่น้อยที่จะสวยในแบบของเธอ สองแรงในคนเดียวว่างั้น
มีคนมากมายบอกว่า คนที่ "เป็น" เช่นนี้ล้วนแต่เก่งๆ ทั้งนั้น ซึ่งฉันว่ามีส่วนจริงไม่น้อย (แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเก่งเพราะเป็นเช่นนี้) และกล้ามากพอที่กล้าคิดนอกกรอบที่คนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตธรรมดาไม่อาจคิดได้หรือคิดอยู่แต่ไม่กล้าลงมือทำสักที ที่สำคัญ ความดีความชั่วในหัวใจก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าตัวเองปกติ
วันกลับ ฉันไปซื้อตั๋วรถตั้งแต่กลางวันที่สำนักงานรถทัวร์ ใครคนหนึ่งสวมผ้าถุงเสื้อยืด นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว หน้าคุ้นๆ ไร้การแต่งแต้มในยามกลางวันนั้นร้องทัก
"อะไรก๊าน มาเที่ยวลำปางแป๊บเดียว จะรีบกลับไปไหน" เธอแซว แปลว่าเธอจำได้ว่าฉันนั่งรถบริษัทนี้เมื่อสองสามวันก่อน ฉันจึงถามเธอว่ารถคืนนี้จะมีเธอเป็นบัสโฮสเตสด้วยไหม "แน่นอน อ้อ แล้วอย่ามาสายนะ ลำปางรถไม่ติดจ้า" เธอแซวอีก
คืนนั้น ฉันจึงได้เห็นคนงามชุดชมพู บริการผู้โดยสารอย่างแข็งขันอีกครั้ง
บางทีโลกของเราจะได้ "กำไร" เพิ่มขึ้น เพราะเลิกบีบคั้นคนที่ดูแตกต่าง หากมีที่ทางให้คนทุกคนได้ใช้ศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ที่มีอยู่ได้อย่างเท่าเทียมกัน
Create Date : 02 ตุลาคม 2549 |
|
27 comments |
Last Update : 3 ตุลาคม 2549 10:21:50 น. |
Counter : 1441 Pageviews. |
|
|
|
A4754819 ขอระบายความน้อยเนื้อต่ำใจ...เพื่อนๆสาวประเภทสองทั้งหลายระวังตัวดีๆนะคะ ไปเที่ยวผิดที่อาจถูกเชิญ(ไล่)ออกมาง่ายๆ!!!