"The single best way to grow a better brain is through challenging problem solving." - Eric Jensen (1998), Teaching with the Brain in Mind
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 กรกฏาคม 2548
 
All Blogs
 
อยากเป็นนักเขียน

13 พ.ย. 2545

ผมว่ามีหลายคนที่อยากเป็นนักเขียน อยากเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่าน ผมก็อยากเป็นกับเขาเหมือนกัน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าต้องไปติดต่อกับหนังสือพิมพ์ฉบับไหน นิตยสารเล่มใด หรือต้องติดต่อกับใครถึงจะได้เป็น แต่ผมรู้อย่างหนึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่เริ่มเขียนสักทีก็คงไม่มีทางเป็นได้ ทีนี้จะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี เรื่องเกี่ยวกับตัวเองน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุด

เข้าใจว่าการที่ชอบอ่านหนังสือทำให้เกิดอยากเขียนหนังสือเองขึ้นมาบ้าง จำได้ว่าตั้งแต่สมัยเป็นเด็กประถมก็เข้าแต่ห้องสมุดแล้ว ถ้าไม่ไปเล่นกับเพื่อนก็จะมีที่เดียวที่จะไปคือ ห้องสมุด อ่านหนังสือทุกอย่างทุกประเภทที่มีในนั้น ห้องสมุดที่โรงเรียนประถมของผมจะมีขนาดเท่ากับห้องเรียนสองห้องเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาหกปีที่เรียนอยู่ก็เลยทำให้ได้อ่านหนังสือเกือบจะหมดทุกเล่ม ฟังดูเหมือนจะพูดเกินจริงไป แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะหนังสือก็มีอยู่แค่ในสองห้องนั้นเท่านั้น พื้นที่ประมาณเกือบครึ่งหนึ่งที่กันไว้เป็นห้องเล่นเกมส์ยิ่งทำให้พื้นที่วางชั้นหนังสือก็เหลือเพียงประมาณหนึ่งห้อง ชั้นหนังสือก็วางห่างกัน แล้วผมเข้าไปยืมหนังสือเกือบทุกวัน อ่านหมดห้องก็ไม่น่าจะแปลก

อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง สมรรถนะทางร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กอายุเท่าๆ กัน วิ่งก็ไม่เร็ว กีฬาก็ไม่ชอบ (ซึ่งผิดกับปัจจุบันเป็นคนละเรื่องเพราะผมชอบดูกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ) ทำให้ไม่ได้ไปเตะฟุตบอลหรือเล่นบาสเหมือนเพื่อนคนอื่น ก็เลยมีเวลาไปหาหนังสือมาอ่านมาก ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก ได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้จากหนังสือแต่ละประเภทก็ยิ่งเพลิน ก็ยิ่งทำให้อยากอ่านอยากรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะอย่างนี้ ทุกวันนี้ผมก็เลยติดนิสัยอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจในเรื่องต่างๆ ไปเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่ในแง่อยากรู้เรื่องชาวบ้าน แต่อยากรู้เหตุผล ที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทำไมฝนจึงตก โลกเกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วไปไหน ตับทำหน้าที่อะไร ควายธนูทำอย่างไร ทำไมคนต้องเอาเปรียบกัน เด็กติดยาเพราะอะไร ทำนองนี้เป็นต้น

พอสอบเข้า ม.1 ได้ที่โรงเรียนมัธยมแถวปากคลองตลาด คิดว่าคงพอจะเดาได้ว่าเป็นโรงเรียนอะไร (ถึงตรงนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาเขียนหนังสือแล้ว ผู้เขียนมักจะไม่ค่อยระบุชื่อบุคคลหรือสถานที่ให้เฉพาะเจาะจงลงไป มีเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์หรือกลัวถูกฟ้องหมิ่นประมาทก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ถือว่าเป็นประเพณีไปก็แล้วกัน) ผมก็ได้พบกับห้องสมุดที่ผมอยากจะเรียกว่าดีที่สุดในโลก ว่ากันตามจริงผมก็เคยไปห้องสมุดไม่เกินห้าแห่ง และห้องสมุดที่โรงเรียนมัธยมก็เป็นแห่งที่สองในชีวิตเท่านั้น แต่เผอิญว่าเป็นห้องสมุดที่ประทับใจผมมาก ประการแรกห้องสมุดมีขนาดใหญ่มาก กินพื้นที่เกือบครึ่งชั้นสองของตึกยาว นับเป็นห้องเรียนก็ประมาณเจ็ดแปดห้องได้ ถึงแม้ว่าต่อมาจะได้มาพบกับห้องสมุดในมหาวิทยาลัยที่เรียกว่าห้องไม่ได้ ต้องเรียกเป็นหอสมุดเพราะกินพื้นที่เท่ากับตึกทั้งหลังก็ตาม ห้องสมุดที่โรงเรียนก็ยังคงใหญ่ในความรู้สึกผมอยู่ดี ประการต่อมาคือมีหนังสือหลากหลายประเภทมาก ทั้งหนังสือเรียน นิยาย หนังสือภาษาอังกฤษนอกตำรา วิธีเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิธีทำสวน วิธีเลี้ยงปลาตู้ หนังสือหัดเขียนอ่านภาษาขอม แม้กระทั่งหนังสือไสยศาสตร์ที่เล่าถึงวิธีการทำรักยมหรือการทำมีดหมอก็ยังมี ซึ่งประการหลังนี่เอง (ประการหลังหมายถึงการมีหนังสือหลายประเภท ไม่ใช่วิธีทำมีดหมอ) ที่ยิ่งทำให้ผมกลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นจนทุกวันนี้

ที่โรงเรียนมัธยมนี้ ถ้าเป็นนักเรียน ม.ต้น จะมีบัตรห้องสมุดสามใบ หมายถึงว่าจะยืมหนังสือได้สามเล่ม ถ้าเป็น ม.ปลาย จะมีบัตรสี่ใบยืมได้สี่เล่ม โดยธรรมชาติแล้วบัตรห้องสมุดจะไม่เคยอยู่ติดตัวผมเลยเพราะจะอยู่ที่ห้องสมุดตลอด สูตรปรกติของหนังสือที่ยืมคือ หนึ่งถึงสองเล่มจะเป็นนิยาย อีกหนึ่งเล่มจะเป็นประเภทภาษาอังกฤษนอกตำรา อีกเล่มที่เหลือจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ เบ็ดเตล็ด จิปาถะ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่จะยืมหนังสือเรียนเป็นหลัก พวกรวมเลข ม.ต้น เคมี 4-5-6 หรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมไม่ค่อยได้ยืมหนังสือเรียนจนกระทั่งเทอมสุดท้ายก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยโน่นเลย ช่วงนั้นสำนึกได้ว่าถ้าไม่อ่านคงสอบเข้าไม่ได้แน่ เพราะเอาวุฒิสอบเทียบไปสมัครสอบ เหลือความรู้ ม.หก ที่ไม่เคยเรียนและต้องอ่านเอาเอง

ถามว่าทำไมไม่อ่านหนังสือเรียนจะได้เก่งๆ เก่งกว่าเพื่อน สอบเทียบหรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอน ตอนนั้นผมกลับคิดว่าเรียนหนังสือก็เรียนในห้องเรียนอยู่แล้ว ทำไมอยู่นอกห้องเรียนยังต้องเอาหนังสือเรียนมาเพิ่มความปวดหัวให้ตัวเองอีก ผมว่าผมได้ประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างที่ไม่มีทางที่จะได้เจอในชีวิตจริงจากการอ่านนิยายหรืออ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมากมาย สมัยนั้นโรงเรียนมัธยมไม่มีการสอนเขียนภาษาเบสิคสำหรับเครื่องแอ๊ปเปิ้ล ผมก็อ่านจนคิดว่าผมเขียนโปรแกรมเป็นถึงแม้ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นจนกระทั่งได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม ใครจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองอยากใช้จริงๆ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมากมายเหมือนตัวละครในเรื่องพันธุ์หมาบ้า ผมรู้จัก ฟูล มูน ปาร์ตี้ ก็จากเรื่องนี้เอง การริรักในวัยเรียนอาจทำให้ชีวิตเสียหายไปทั้งชีวิตเหมือนในเรื่องกว่าจะรู้เดียงสา (ถึงแม้ว่าเมื่อนำมาทำเป็นหนังหรือละครจะดูเป็นเรื่องน้ำเน่า แต่ชีวิตจริงมันก็เป็นอย่างนี้จริงไหมครับ) คนที่ลำบากกว่าเราก็ยังมีอีกมากมายดูได้จากเวลาในขวดแก้วหรือสุดแต่ใจจะไขว่คว้า ภาษาอังกฤษที่เขาใช้กันในชีวิตประจำวันเขาพูดว่าอย่างไรกันบ้าง แล้วยันตร์ที่เขียนไว้หลังพระเครื่องหรือบนผนังโบสถ์เป็นภาษาขอมอ่านว่าอะไร ให้ย้อนกลับไปสมัยนั้นอีกผมก็ยังคงจะอ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียนมากๆ อย่างนั้นอยู่ดี ทุกวันนี้ถ้าผมถามเพื่อนผม หลายคนยังไม่รู้ว่านั่งทอดหุ่ยหมายถึงอากัปกิริยาอย่างไร พื้นดีพื้นเสียหมายถึงอารมณ์ดีอารมณ์เสีย หรือคำว่า “เป็น” เคยสะกดว่า “เปน”

ผมอ่านหนังสือเกือบทุกเวลาว่างที่มี ไม่ว่าจะเป็นบนรถเมล์ (ซึ่งแน่นอนว่าถ้าได้นั่งจึงจะอ่านได้ ยืนอ่านไม่ไหวเพราะมือหนึ่งต้องโหน อีกมือหนึ่งก็ต้องถือสมบัติประเภทหนังสือเรียน หนังสือเรียน และหนังสือเรียนอีกเป็นกอง) เวลาดูโทรทัศน์ เวลากินข้าว เวลาเข้าห้องน้ำ แม้กระทั่งในห้องเรียนถ้าพระเอกกำลังต่อสู้กับผู้ร้ายต่อเนื่องกันเป็นวันที่สาม ผ่านไปแล้วคนละแปดหมื่นกระบวนท่า และผลแพ้ชนะกำลังจะรู้ในอีกยี่สิบหน้าถัดไป นิสัยที่ชอบอ่านหนังสือไปด้วยพร้อมกับทำอย่างอื่นไปด้วยน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ชอบทำอะไรอย่างเดียวในขณะใดขณะหนึ่ง ผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์นานๆ เพราะผมจะโทรศัพท์ได้เพียงอย่างเดียว อ่านหนังสือก็ไม่ได้ ทำงานก็ไม่ได้ รู้สึกว่าเสียเวลา หรือผมจะรู้สึกเบื่อกับการขับรถในกรุงเทพฯ มากเพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางนานโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย อ่านหนังสือก็ได้อย่างไม่ต่อเนื่อง จะทำงานก็ไม่รู้ว่าจะเขียนไปด้วยมองถนนไปด้วยได้อย่างไรโดยที่ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่พวกที่ชอบสิงอยู่ในห้องสมุดนิยมคือ การซ่อนหนังสือ พวกนี้ส่วนใหญ่จะใช้บัตรห้องสมุดหมดแล้ว พอมีหนังสือใหม่เข้าห้องสมุดซึ่งมักจะได้จากการบริจาคจากศิษย์เก่าเป็นประจำ หรือไปเจอหนังสือที่อยากอ่านแต่ไม่มีบัตรเหลือแล้ว ก็จะต้องเอาหนังสือไปซ่อนไว้ก่อน ผมก็ทำเช่นกัน เป็นการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองว่าซ่อนเก่งแค่ไหน จะมีนักเรียนคนอื่นหรืออาจารย์บรรณารักษ์หาเจอแล้วเอาไปคืนที่หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครเจอ บางครั้งผมเห็นคนอื่นกำลังซ่อนหนังสือ ผมก็จะทำเฉยไว้ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่พอคนนั้นเดินจากไป ผมก็จะไปเอาหนังสือที่ซ่อนออกมาแล้วไปวางไว้ในรถขนหนังสือของห้องสมุด ซึ่งหนังสือก็จะถูกนำไปเก็บไว้ที่เดิมโดยเจ้าหน้าที่ของห้องสมุด ไม่มีเหตุผลใดนอกจากอยากแกล้งคนอื่นเพื่อหาความสนุกส่วนตัวเท่านั้นเอง

อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องมีการซ่อนหนังสือกันคือ พยายามจะยืมหนังสือเป็นคนแรกของวัน ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้แก่ตัวเอง เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่พอหาได้ เรื่องของเรื่องคือ ห้องสมุดจะต้องประทับวันที่กำหนดคืนหนังสือและลำดับที่ของการยืมภายในแต่ละวัน การได้เห็นเลข 001 บนบัตรยืมเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ก่อนเวลาเจ็ดโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ห้องสมุดเปิด จะมีนักเรียนจำนวนหนึ่งรออยู่หน้าประตูแล้ว พอเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูก็จะมีพวกที่ตั้งเป้ากับการยืมหนังสือเป็นคนแรกของวันออกตัวกันไปก่อน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปตามจุดที่ตัวเองซ่อนหนังสือไว้แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะยืมหนังสืออย่างรวดเร็ว จะวิ่งก็ไม่ได้เพราะจะเป็นการออกอาการมากเกินไป ผมเองก็ได้เลข 001 อยู่หลายครั้งเหมือนกัน อย่างที่บอกไว้คือเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่งสำหรับผมในการเริ่มวันใหม่

นิสัยการอ่านหนังสือของผมหายไปหลายปีตั้งแต่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัยต่อเนื่องมาจนถึงเริ่มทำงาน เพราะเมื่อเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะต้องเรียนหนักขึ้น จะไปเร่งอ่านตอนใกล้สอบเหมือนตอนประถมหรือมัธยมไม่ได้ ต้องอ่านสะสมไปเรื่อยๆ ส่วนเมื่อมาทำงานจนถึงปัจจุบัน ผมรู้สึกว่าพอเป็นผู้ใหญ่ ก็เลยต้องรับรู้เรื่องต่างๆ รอบตัวเพิ่มขึ้น ต้องรับผิดชอบมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการสังสรรค์สมาคมกับเพื่อนฝูงอีก ทำให้ไม่มีเวลาหรือไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ยังพยายามอยู่ในการที่จะอ่านหนังสือที่ไม่ใช่เพื่องานหรือไม่ใช่หนังสือพิมพ์เท่าที่เวลาจะอำนวย

เล่ามาตั้งนานก็ยังไม่เห็นมีส่วนไหนที่จะบอกชัดเจนว่าทำไมผมจึงอยากเป็นนักเขียนกับเขาบ้าง แต่ทั้งหมดโดยเฉพาะนิสัยชอบอ่านหนังสือที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับอายุ ประสบการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พบมาในชีวิต ทำให้มีบางครั้งที่รู้สึกว่าอยากจะถ่ายทอดความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ออกมาบ้าง เมื่อเราพูด คำพูดก็จะอยู่ได้นานเท่าที่ความสามารถของสมองจะเอื้ออำนวย แต่เมื่อเราเขียน ทุกอย่างที่เขียนก็ยังจะคงอยู่


Create Date : 11 กรกฎาคม 2548
Last Update : 11 กรกฎาคม 2548 22:14:34 น. 9 comments
Counter : 1053 Pageviews.

 
เห็นด้วยทุกประการกับสิ่งที่อาจารย์เขียนครับ

เพราะผมเองก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาตลอด อ่านมาก รู้มาก และอ่านได้แทบทุกประเภท ตั้งแต่นิยายรักหวานแหวว ไปจนถึงอาชญนิยาย นิยายจีนกำลังภายใน อ่านได้หมด ไม่มีแบ่งแยก "แบ่งเขาแบ่งเรา" เหมือนคนอ่านหนังสือคนอื่นๆ

นิยายของโบตั๋นนี่ผมชอบมากครับ แต่ไม่ค่อยมีเวลาจะตามเก็บอ่านมากเท่าไหร่ อาชญนิยายของนักเขียนดังๆดีๆ มีไม่กี่คน ที่หนึ่งของผม(มีคนเดียวอ่ะครับ) คืออ.วสิษฐ์ เดชกุญชร


โดย: แจ้น วันที่: 2 สิงหาคม 2548 เวลา:23:17:11 น.  

 
ขอบคุณมากครับ email มาก็ได้นะครับ ถ้าได้พิมพ์อีกครั้ง ผมจะแก้ไขปรับปรุงเยอะพอสมควร ให้ออกแนวขบขัน และให้รักชาติน้อยลงครับ ^^ บางคนบอกว่า ออกแนวไสยศาสตร์ไป แรงไป หรือเครียดเกินไปครับ


โดย: BigNose IP: 221.128.98.178 วันที่: 23 ธันวาคม 2548 เวลา:23:56:53 น.  

 
ต่ออีกนิดครับ ผมว่าคุณคนทับแก้ว น่าจะมีงานเขียนสักเล่มนะครับ เพราะตอนนี้คนไทยยังอ่านหนังสือน้อย รวมถึงงานเขียนให้คนเลือกอ่านก็น้อยมากๆด้วยครับ


โดย: BigNose IP: 221.128.98.178 วันที่: 24 ธันวาคม 2548 เวลา:0:00:02 น.  

 
Image Hosted by ImageShack.us


โดย: erol วันที่: 13 มกราคม 2549 เวลา:14:33:22 น.  

 
ได้อ่านข้อคิดเห็นแล้ว เห็นด้วยกับที่ว่า
" พอเป็นผู้ใหญ่ ก็เลยต้องรับรู้เรื่องต่างๆ รอบตัวเพิ่มขึ้น ต้องรับผิดชอบมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการสังสรรค์สมาคมกับเพื่อนฝูงอีก ทำให้ไม่มีเวลาหรือไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือเหมือนเมื่อก่อน "
เพราะตอนนี้มีหนังสือนอนรอให้อ่านประมาณ 4-5 เล่ม บางเล่มซื้อมา เกือบปีแล้ว ก็ยังอ่านไม่จบ (ประเภทปรัชญา ศาสนา)ไม่รู้ว่า เพราะเราโตขึ้น งานเยอะขึ้น หรือเรากำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองก็ไม่รู้สินะคะ


โดย: talak1978 IP: 203.156.186.243 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:18:42:18 น.  

 
อยากให้มีงานเขียนออกมาซักเรื่องครับจาก แว่น


โดย: แว่น IP: 203.113.22.129 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:51:10 น.  

 
ลองชม Stand by me ซีครับผมว่าน่าจะชอบน่ะ


โดย: penny lane IP: 61.91.188.190 วันที่: 17 ตุลาคม 2553 เวลา:3:55:38 น.  

 


โดย: สมาชิกหมายเลข 5728186 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา:16:23:22 น.  

 
สวัสดีน๊าาา ทักทายจ้าาาา อิอิ สปาชา sparsha A Moment of Bride เจ้าสาว เสริมจมูก ศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมจมูก Freeze Shaping สลายไขมันด้วยความเย็น ลดเซลลูไลท์ Leg Squeezing ผิวเปลือกส้ม FIS หน้าท้องใหญ่ ตัวเล็กแต่มีพุง Body Contouring ลดสัดส่วนทั้งตัว ลดปีกด้านหลัง เนื้อปลิ้นรักแร้ เนื้อปลิ้น Build Muscle สร้างกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหน้าท้อง TM Former สลายไขมันหนา สลายไขมัน ลดไขมัน Lock Shape รักษารูปร่าง Renew Perfect Body สลายไขมัน ลดสัดส่วน Oxy Peel ทำความสะอาดหน้า ทำความสะอาดหน้าแบบล้ำลึก ยกกระชับ Ulthera ปรับรูปหน้า ปัญหาผิวหย่อนคล้อย Beauty Shape สลายไขมันแบบเร่งด่วน ลดไขมัน ลดเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม Anti Cellulite & Slim Program Hip Shape สลายไขมันสะโพก กระชับผิว Sexy Mama แม่หลังคลอด รอยแตกลาย ปรับรูปร่าง ด็อกเตอร์ไลฟ์ doctorlife ศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูก Cellulysis สลายไขมัน ulthera ยกกระชับ Acne Clear รักแร้ขาวเนียน เลเซอร์กำจัดขนถาวร กำจัดขน ร้อยไหม Freeze V Lift กำจัดไขมันด้วยความเย็น PRP ผิวหน้า PRP ผมบาง ผมร่วง เลเซอร์กระชับช่องคลอด กระชับช่องคลอด Love Fit Freeze Shaping สลายไขมันด้วยความเย็น Cell Repair ผิวขาวใส ลดสัดส่วน ปรับรูปร่าง TM Former Perfect Shape สลายไขมันแบบเร่งด่วน ฟิลเลอร์ Filler รักษาหลุมสิว Subcision Dual Yellow เลเซอร์หน้าใส Love Fit ปัญหาปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะเล็ด Oxy Bright ทำความสะอาดรูขุมขน Bye Bye Fat ลดไขมัน Luminous แสงสีฟ้า รักษาสิว ฆ่าเชื้อสิว ABO Active 3D Toxin IV Drip เพื่อสุขภาพและความงาม Viva Lift ยกกระชับผิว ให้ใจ สุขภาพ


โดย: สมาชิกหมายเลข 6102669 วันที่: 15 กันยายน 2563 เวลา:10:52:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทับแก้ว
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ศิลปิน: เฉลียง
เพลง: หวาน
ชุด: ปรากฏการณ์ฝน
ปี: 2525



Friends' blogs
[Add คนทับแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.