1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28
ทุนนิยม มหันตภัยสังคมไทยยุคใหม่ โดย สมยศ สมวิวัฒน์ชัย
28 ก.พ. 2549 วันนี้ผมมีบทความน่าสนใจมาฝากครับ ไปอ่านเจอในสารสภาวิศวกร เห็นว่าน่าสนใจและมีข้อคิดที่เหมาะกับสภาพสังคมไทยในขณะนี้ก็เลยนำมาฝากกัน แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องสังคม ก็ขอแวะเข้าเรื่องการเมืองสักเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เป็นการล้าสมัย ใครอยากอ่านก็อ่านนะครับ ค่อนข้างจะยาวสักหน่อย แต่ถ้าไม่อยากอ่านก็ข้ามหมายเลข 1 ไปอ่านหมายเลข 2 และ 3 ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ผมอยากจะคุยได้เลย เรื่องปัญหาการเมืองนั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรื่องปัญหาสังคมนั้นเป็นอยู่อย่างไรก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นครับ ผมจึงเห็นว่าน่าจะให้ความสำคัญกับปัญหาสังคมมากกว่าปัญหาการเมือง
1. ผมไม่ค่อยตื่นเต้นกับเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นสักเท่าไรเลย ออกจะรู้สึกเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ ลองวิเคราะห์ตัวเองดูก็คิดว่า สาเหตุที่ทำให้ผมเบื่อหน่ายน่าจะเป็นเพราะผมเคยตั้งความหวังกับคณะผู้บริหารชุดนี้ไว้มาก ในช่วงสี่ปีแรกของการบริหาร มีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นมากมาย ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง บางอย่างก็ออกจะเหลือเชื่อเสียด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค คนที่เป็นชาวบ้านก็คงจะดีใจที่สามารถรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่แสนแพงด้วยเงินแค่ 30 บาท แต่สำหรับคนที่คิดมากขึ้นมาหน่อยก็จะเริ่มสงสัยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร จ่ายแค่ 30 บาทกับการรักษาที่มีมูลค่าเป็นหมื่นเป็นแสน หมายความว่าจะต้องมีการยักย้ายเงินจากแหล่งโน้นแหล่งนี้มาโปะกันให้วุ่นวายไปหมดน่ะสิ แต่ก็ช่างเถอะ ใครจะค่อนขอดว่าเป็นนโยบายประชานิยม มันก็ทำให้หัวใจของคนไทยหลายล้านคนแช่มชื่น มีความสุขกันขึ้นมาบ้าง เทียบเป็นมูลค่าเงินก็คงจะไม่ได้ ผมก็ได้แต่หวังไว้ในใจว่า หลังจากนโยบายประชานิยมเพื่อทำคะแนนแล้ว นโยบายที่เป็นของจริงจะตามมา ผมเองชอบในความสามารถของท่านผู้นำและคณะผู้บริหารชุดนี้ตรงความกระชับฉับไวในการบริหารงานแบบบริษัทเอกชน ที่ตรงกันข้ามกับการทำงานแบบเช้าชามเย็นชามของราชการแต่ดั้งเดิม ชอบที่มีการประกาศสงครามกับปัญหาต่างๆ และมีการแสดงผลงานให้เห็นกันเป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการสร้างภาพบ้าง ไม่สร้างภาพบ้างก็ตาม แต่มันก็ทำให้เกิดความหวังว่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกเหนือจากการที่ดีแต่พูด แต่ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดขึ้นจริงเหมือนแต่ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากการเริ่มบริหารงานในสมัยที่สอง ไม่มีนโยบายของจริงที่รออยู่ มีแต่ปัญหา การแฉ และการเปิดโปงต่างๆ แทบไม่มีเรื่องอะไรดีๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศออกมาจากคณะผู้บริหารเลย มีแต่การปัดป้องรับมือกับปัญหาที่รุมเร้าเข้ามา แล้วสุดท้าย คณะผู้บริหารที่ผมหวังว่าจะสร้างอะไรใหม่ๆ ให้กับประเทศ ก็เป็นเหมือนคณะผู้บริหารยุคก่อนๆ ก็คือ ตักตวงผลประโยชน์ให้กับตัวเอง พวกพ้อง และบริวารเป็นหลัก ก็เลยทำให้ผมรู้สึกผิดหวังและเบื่อหน่ายกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังเกิดขึ้น มันก็เป็นแบบนี้มาทุกยุคสมัยนั่นล่ะครับ เพียงแต่ครั้งนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเพราะมีคนเอาข้อมูลที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก ออกมาตีแผ่กันทุกวันศุกร์นั่นเอง เรื่องมันถึงได้ใหญ่โตกว่าคณะผู้บริหารยุคก่อนๆ แต่โครงเรื่องมันก็ยังคงเหมือนเดิม ผมว่าไล่ท่านผู้นำออกไปก็เท่านั้น เพราะมันก็จะมีคนหน้าใหม่ที่ประพฤติเหมือนเดิมขึ้นมาแทนอยู่ดี ฝ่ายค้านเองก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นความหวังแต่อย่างใด สมัยก่อน ตอนที่ฝ่ายค้านยังเป็นรัฐบาล ก็มีปัญหาเรื่องตักตวงผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องเหมือนกันนั่นล่ะ แล้วตัวเองจะไปว่าใครเขาได้ คราวนี้ อุตส่าห์งัดเอาไม้เด็ดเรื่องจะคว่ำบาตรการเลือกตั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ออกอาการลังเลไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดไปในตอนแรก อาจเป็นด้วยมีเสียงสะท้อนกลับมาจากประชาชนบางส่วนว่าไม่เห็นด้วยกับการคว่ำบาตร ควรที่จะสู้ต่อไปให้ถึงที่สุดตามกติกา หรือจะเป็นด้วยไม่ต้องการตัดช่องทางหวนกลับคืนสู่อำนาจของตัวเองก็เป็นได้ ตอนนี้คงจะสังเกตกันได้ว่า เรื่องระหว่างพรรคการเมืองนั้นประเด็นการไล่ท่านผู้นำไม่ใช่ประเด็นหลักอีกต่อไปแล้ว คงเหลือเพียงแต่การช่วงชิงจังหวะการเป็นผู้นำในการปฏิรูปทางการเมืองเท่านั้น ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคตัวเอง เท่านั้นเองจริงๆ ส่วนกลุ่มผู้นำการเคลื่อนไหวเองก็เก่งครับ เอาปัญหาของบ้านเมืองมาเป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาส่วนตัวได้อย่างแนบเนียน ข้อมูลที่นำมาตีแผ่ก็ชัดเจน มีน้ำหนัก และน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้เถียงว่าไม่เป็นความจริงครับ เพราะถ้าไม่จริง ป่านนี้ก็คงโดนโต้กลับจนยับไปแล้ว เพียงแต่อยากจะบอกผู้ที่ออกไปร่วมเคลื่อนไหวกับเขาว่า หากเราจะเคลื่อนไหวอะไรตามที่หัวแถวเขานำไป เราก็ควรจะเคลื่อนไหวด้วยสติและความคิดที่พิจารณาดีแล้วว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราเชื่อจริง สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ไม่ใช่เคลื่อนไหวไปตามกระแสที่หัวแถวเขาสร้างขึ้น ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างหลัง เราก็จะมีสภาพเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของคนอื่นเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่เราไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 นี้ จะมีหรือไม่ยังไม่รู้ แต่ผมก็มีช่องที่ผมอยากจะกาไว้ในใจแล้วครับ ช่องที่ไม่มีหมายเลขกำกับอยู่ข้างๆ นั่นไงครับ ถ้าจำนวนคนที่กาช่องนี้มีมากพอ ก็อาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้นักการเมืองคิดถึงตัวเองและพวกพ้องน้อยลง แล้วหันมาทำประโยชน์ให้กับประเทศและคนที่เลือกเขาเข้าไปมากขึ้นก็เป็นได้ ไม่แน่นะครับ ถ้ากลุ่มคนบางกลุ่มเลือกที่จะเดินออกมาจากหลังกองหนังสือหรือเดินออกมาจากหลังไมโครโฟน แล้วก็อาสาลงมาทำงานบริหารบ้านเมืองแทนนักการเมืองแบบเดิมๆ ผมอาจจะกาหมายเลขนั้นก็ได้2. มาถึงเรื่องบทความที่นำมาฝากครับ ที่จริงแล้วผมคิดจะบ่นเรื่องนี้มานานแล้วครับ เรื่องที่คนไทยปล่อยชีวิตไปตามกระแสสังคม รอบตัว โดยที่ไม่เคยใช้สติ หรือความคิด ของตัวเองพิจารณาดูว่า สิ่งที่เราทำหรือไขว่คว้าหามานั้น มันจำเป็น หรือเหมาะสม ต่อชีวิตเราจริงหรือไม่ การที่วัยรุ่นผู้หญิงใส่เสื้อสายเดี่ยว เกาะอก ใส่เสื้อกล้าม นุ่งกางเกงขาสั้นเต่อ หรืออยู่กับผู้ชายตั้งแต่วัยเรียน มันเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือ ผมเคยถามญาติที่ยังเป็นวัยรุ่นว่า ทำไมถึงใส่เสื้อสายเดี่ยว โชว์เนื้อหนังขนาดนั้น มันดูไม่ดีเลยสำหรับผู้หญิง คนอื่นเขาจะมองว่าแต่งตัวเหมือนผู้หญิงหากินเสียด้วยซ้ำ เขาก็ตอบว่าไม่เห็นเป็นไรเลย เขาก็แต่งกันแบบนี้ทั้งนั้น ผมก็เลยถามต่อว่าแล้วที่เขาแต่งกันแบบนี้น่ะ เขาแต่งกันไปทำไม ญาติวัยรุ่นก็ตอบว่าไม่รู้สิ มันสวยดีมั้ง ตรงที่ตอบว่าไม่รู้นี่ล่ะสำคัญ ตกลงเราไม่เคยคิดว่าเราทำไปทำไม เราทำตามที่คนส่วนใหญ่ทำก็เท่านั้น การที่เราจะต้องมีโทรศัพท์มือถือกันแทบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่นักเรียนมัธยมหรือนักเรียนประถม ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขาจะเอาโทรศัพท์มือถือไปทำอะไรกันด้วยวัยขนาดนั้น เคยถามนักศึกษาในชั้นเรียนหรือเด็กนักเรียนที่มีโอกาสคุยด้วยเหมือนกัน บางคนตอบว่ามีไว้ใช้ติดต่อกับทางบ้านที่อยู่ต่างจังหวัด อันนี้ผมว่าเข้าใจได้ บางคนบอกว่าเวลาแม่ขับรถมารับหน้าโรงเรียนก็จะได้ออกไปขึ้นรถได้จังหวะกันพอดี ไม่ต้องจอดรอทำให้รถติด อันนี้ก็ยังพอเข้าใจได้ (แต่ผมเองไม่เห็นด้วยตั้งแต่การขับรถไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้วครับ) แต่บางคนตอบว่าเอาไว้คุยกับเพื่อน ไว้ตามตัวเพื่อนได้สะดวกทันใจดี อันนี้ผมว่าเกินความจำเป็น โทรศัพท์บ้านก็เพียงพอแล้ว วางแผนกันสักหน่อยว่าแต่ละวันจะทำอะไร จะไปไหน เมื่อไร แล้วก็นัดแนะกับเพื่อนเมื่อเจอหน้ากันในห้องเรียน หรือไม่ก็โทรไปบอกกันที่บ้านหรือที่หอพักก็พอแล้ว บางคนยิ่งไปกว่านั้นก็คือตอบว่า เห็นเพื่อนมีก็เลยอยากมีบ้าง อันนี้ไร้สติโดยสิ้นเชิงครับ น่าเป็นห่วงอนาคตของชาติที่ดีแต่ทำตามคนอื่น แต่ไม่คิดว่าที่จริงแล้วจำเป็นหรือไม่ ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะบ่นเกี่ยวกับการปล่อยตัวไปตามกระแสสังคม โดยไม่ใช้สติปัญญาของตัวเองคิดเสียก่อนว่ามีเหตุผลอันสมควรที่จะทำตามกระแสนั้นหรือเปล่า แต่ก็ได้มีโอกาสไปอ่านบทความเรื่อง "ทุนนิยม... มหันตภัยสังคมไทยยุคใหม่" ในสารสภาวิศวกร ปีที่ 3 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2548 เขียนโดยคุณสมยศ สมวิวัฒน์ชัย แล้วก็เห็นว่าท่านผู้เขียนเขียนไว้ได้กว้างขวาง และครอบคลุมเรื่องที่ผมจะบ่นอยู่ด้วย ก็เลยขอถือวิสาสะยกบทความมาลงไว้ที่นี่เพื่อให้ทุกท่านได้อ่านกัน แทนที่จะจำกัดวงอยู่เฉพาะวิศวกรที่จะได้เห็นบทความนี้เท่านั้น บทความนี้มีความยาวประมาณ 2 หน้ากระดาษ A4 ถ้าท่านมีเวลาก็อยากจะแนะนำให้อ่านทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีเวลาก็ขอแนะนำให้ข้ามไปอ่านหัวข้อ "สังคมไทยกำลังติดเชื้อร้ายแรงจากระบบทุนนิยม" และ "บทสรุป" เลย ก็จะไม่เสียประเด็นสำคัญของเรื่องที่ต้องการจะสื่อสักเท่าไร (หมายเหตุ : ผมได้ไปค้นหาบทความต้นฉบับในเว็บไซต์ของสภาวิศวกร แล้ว แต่พบว่ามีสารสภาวิศวกรฉบับล่าสุดถึงแค่ปีที่ 3 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม 2548 เท่านั้น ก็เลยต้องพิมพ์คัดลอกบทความนี้ด้วยตัวเอง หากมีคำที่พิมพ์ผิดหรือข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ก็เป็นเพราะความสามารถในการพิมพ์ของผมเอง ไม่เกี่ยวกับต้นฉบับแต่อย่างใด)3. ทุนนิยม... มหันตภัยสังคมไทยยุคใหม่ โดย สมยศ สมวิวัฒน์ชัย (ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิคอนคอนกรีตโปรดักส์ จำกัด อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชุดที่ 1) เราทุกคนล้วนเกิดและเติบโตมาภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า แก่นแท้แล้วทุนนิยมคืออะไร? มีความเป็นมาอย่างไร? ดีจริงหรือ? แล้วมีอันตรายหรือไม่? ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งในจำนวนหลายๆ คนที่สงสัย ด้วยเกิดความขัดแย้งในแนวคิดภายในของตนมานาน จึงให้ความสนใจ ศึกษาค้นคว้า เพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผล มีทฤษฎีมารองรับ มีข้อสนับสนุนเชิงวิชาการ และหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดที่จะมีต่อท่านอาจารย์เศรษฐศาสตร์กระแสหลักทุกท่านและท่านอื่นๆ ที่มีแนวคิดเหมือนกัน ที่กำลังบอกพวกเราว่า อย่าฝืนกระแสทุนนิยมโลก เราต้านกระแสไม่ได้ เราต้องปรับตัวตามอย่างรวดเร็วและรู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัตน์ มิเช่นนั้นประเทศเราจะล้าหลังและพลาดโอกาสจากสังคมโลกที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้ว บทความนี้จึงประสงค์ที่จะนำเสนอข้อคิดเห็นของผู้เขียนต่อสิ่งที่ปรากฏในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2544-2548) มุมมองถึงภยันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรื่องของระบบ "ทุนนิยม" ตามเส้นทางของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ณ ปัจจุบันทุนนิยมตามเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเป็นอย่างไร ทุนนิยมได้เริ่มวิวัฒนาการมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 หรือเมื่อประมาณ 229 ปีที่ผ่านมา เมื่อ Adam Smith นักปราชญ์ชาวสกอตแลนด์ ได้เขียนหนังสือและตีพิมพ์แนวคิดของเขาเกี่ยวกับระบบเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อว่า "The Wealth of Nations" เมื่อปี ค.ศ. 1776 หนังสือเล่มนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างความมั่งคั่งของชาติอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยนำเสนอมาก่อน หนังสือดังกล่าวยังได้วางแนวคิดที่สำคัญในเรื่องของการแบ่งงานกันทำตามความถนัด (Division of Labor) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าการทำงานทุกอย่างด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Invisible Hand หรือมือที่มองไม่เห็น ซึ่งหมายถึงการผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างหน่วยผลิต ณ มูลค่าที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกตลาด ซึ่งส่งผลให้เกิดพลวัตขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในองค์รวม แนวคิดดังกล่าวจึงเป็นรากฐานสำคัญของการปฏิวัติการจัดแบ่งงาน ซึ่งภายหลังได้ถูกนำมาปรับใช้อย่างกว้างขวางในระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และยังเป็นต้นธารของระบบทุนนิยมกระแสหลัก ซึ่งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยผลประโยชน์ส่วนตน (Self Interest) อีกด้วย หนังสือของ อดัม สมิธ ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปอย่างใหญ่หลวง เมื่อความมั่งคั่งของชาติเกิดขึ้นจริง ลัทธิการล่าอาณานิคมก็ตามมา อังกฤษกลายเป็นประเทศที่มีอาณานิคมมากที่สุดในโลก มีดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลจนเรียกได้ว่าพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ประเทศอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย ล้วนเป็นมรดกที่คนรุ่นนั้นได้สร้างความยิ่งใหญ่เอาไว้ ส่วนประเทศอินเดีย พม่า ก็เพิ่งจะได้รับเอกราชเมื่อไม่นานมานี้เอง หลังจากต้องตกเป็นเมืองเขึ้นของประเทศอังกฤษเป็นเวลายาวนานมหันตภัยของทุนนิยมต่อสังคมไทยและประเทศไทย ในอดีต ยุคที่ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส ต่างมีความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยของเราก็เคยตกเป็นเหยื่อของลัทธิการล่าอาณานิคม เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในโลก เดชะบุญ ด้วยพระปรีชาญาณของบุรพกษัตริย์ ในหลวงรัชการที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ยอมเสียดินแดนบางส่วนทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส จึงสามารถประนอมยอมความได้ ส่วนทางใต้นั้น พระองค์ยอมตัดไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ให้กับอังกฤษไป จึงเหลือเพียงแผ่นดินขวานทองตามแผนที่ในปัจจุบัน ซึ่งมีขนาดลดลงจากพื้นที่เดิมถึงหนึ่งเท่าตัว แต่อย่าเพิ่งตกใจกับเรื่องในอดีตอันแสนเจ็บปวด ที่เราถูกกระทำโดยชาติที่ได้ชื่อว่าเจริญ พัฒนา และมั่งคั่ง เพราะที่ผ่านมา เรื่องราวเหล่านี้ได้กลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครสนใจจะพูดถึงหรือคิดถึง ขณะนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับ "เวอร์ชั่นใหม่ที่เหนือกว่าเก่า" ของรากเหง้าแห่งความคิดที่ตกผลึกของกลุ่มชนผู้มั่งคั่งในอดีต แนวคิดในการยึดดินแดนนั้นยังคงอยู่ แต่ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปมาก ไม่ต้องมายึดดินแดนให้เสียอาวุธและทหารโดยไม่จำเป็น สมัยนี้เขายึดประเทศกันด้วยการค้า และมิได้มาแค่สองประเทศอย่างในอดีต หากแต่มากันเป็นกลุ่มที่รู้ทันกันเองจนกินกันเองยากมาก ร่วมมือร่วมใจกันไปยึดประเทศโลกที่ 3 ที่เรียกกันว่า "ประเทศด้อยพัฒนา" ต่อมา เพื่อให้ประเทศโลกที่ 3 ไม่ต้องอัปยศอดสูมากกว่านั้น จึงเรียกกันเสียใหม่ว่าเป็น "ประเทศกำลังพัฒนา" ให้ดูโก้กว่าเดิม แม้จะถูกเรียกอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เพียงแต่เรามีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศพม่า เขมร ลาว เท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่อย่างใด หากเรากลับไปศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยเมื่อ 100 ปีก่อน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยนั้นเคยมีขนาดเศรษฐกิจสูงติดอันดับต้นในเอเชีย ชนะญี่ปุ่นเสียอีก นี่ก็เป็นเรื่องอดีตที่น้อยคนนักจะทราบถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้สังคมไทยกำลังติดเชื้อร้ายแรงจากระบบทุนนิยม สังคมไทยกำลังป่วยด้วยโรคทุนนิยมขึ้นสมอง ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้ 1. ติดสังคมบริโภคมากเกินตัว เกินกำลังของตนเอง เช่น เป็นหนี้จากบัตรเครดิต หนี้ภาคชนบทจากกองทุนหมู่บ้าน 2. เกิดสังคมวัตถุนิยมมากขึ้น สะสมวัตถุและทรัพย์สินมากเกินไป มากเกินกว่าจะเก็บรักษาได้ด้วยตนเอง จนต้องแบ่งภาระให้คนรถ คนใช้ คนใกล้ตัว ช่วยเก็บรักษาแทน 3. ติดสังคมสุขนิยม บริโภคความสุขสั้นๆ อะไรใกล้ตัวเอาไว้ก่อน เดี๋ยวมันจะหลุดลอยไป 4. เกิดมายาชีวิต คือ อยู่กับความจริงน้อยในชีวิตประจำวัน นานๆ เข้าก็พาชีวิตเข้าสู่โลกมายาเช่นเดียวกับนักแสดงมืออาชีพ แม้แต่ผู้นำของเราก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 5. เกิดลัทธิบูชาเงิน เงินคือพระเจ้า คุณค่าของคนวัดกันที่มีเงินมากเท่าใด ใครมีมากก็ได้รับการยกย่องมาก เบียดสังคมคนดีแต่มีเงินน้อยต้องเหี่ยวเฉา เหลือพื้นที่แคบๆ ให้ยืนอย่างน่าสงสัยในชีวิตของตน 6. ความเชื่อมั่นในคุณงามความดีเสื่อม เกิดความสงสัยว่าทำดีแล้วจะได้ดีจริงหรือ? เพราะคนทำถูกใจเจ้านายได้ดีวิ่งแซงไปก่อน จะปรับตัวกันอย่างไรดี? 7. เกิดอำนาจนิยม ลัทธิแสวงหาอำนาจจากแหล่งอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางการเมือง แต่พอได้มากลับใช้อำนาจนั้นอย่างน่าสงสัย น่าสนเท่ห์ และน่าเสียดายแทนบทสรุป เชื้อโรคร้ายแรงที่สังคมไทยติดมาจากลัทธิทุนนิยมตะวันตกคือการบริโภคนิยมเกินตัว ทำให้ชีวิตขาดความสมดุล ต้องเวียนว่ายอยู่ในวงจรมายา ใช้ชีวิตตามกระแสทุนนิยม อยากเป็นเศรษฐี หมกมุ่นในการหารายได้ที่ไม่เคยเพียงพอกับรายจ่าย เสพย์ติดหนังสือประเภท "พ่อรวยสอนลูก" ชี้ช่องทางรวย และไม่เคยพบกับความสุขที่แท้จริง อย่างไรก็ดี ผู้เขียนขอสรุปว่า สิ่งที่ทุกคนปรารถนา ไม่ใช่เป็นความผิดหรือความไม่ดี เพราะเราเกิดมาเป็นปุถุชนคนธรรมดา ย่อมมีรัก โลภ โกรธ หลง ประเด็นที่อยากนำเสนอคือ การรักษาและสร้างสมดุลให้กับตนเองและครอบครัว ด้วยความรู้ ความเข้าใจ มีสติ ไม่ลุ่มหลงตามกระแสจนหลุด หันมาให้ความสำคัญกับการใช้สติเตือนตนเอง ศึกษาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มากๆ และศึกษาธรรมของท่านพุทธทาส เพื่อการดำเนินวิถีชีวิตด้วยความพอดี และพอ...ดีข้อเสนอเป็นประเด็นสาธารณะ การบริโภคเกินตัวอันสืบเนื่องมาจากลัทธิทุนนิยม เป็นปัญหาสำหรับสังคมไทย ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ นโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเพื่อความอยู่ดีกินดีของคนในชาติเป็นหลัก ด้วยการรีบเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ การเร่งรีบจัดทำ FTA โดยเฉพาะกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลอดจนการขยายตัวของการส่งออกอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะดี แล้วดีจริงหรือไม่? ผู้เขียนเองมีความเป็นห่วงอย่างยิ่งถึงผลกระทบของกระแสทุนนิยมโลกที่มีต่อสังคมไทย คนไทยกำลังปรับตัวไม่ทัน ทำให้เหล่าชนชั้นกลาง ชั้นแรงงาน และกลุ่มเกษตรกรชนบท ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังติดเชื้อรุนแรงทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวข้อเสนอต่อองค์กรของสังคม ผู้เขียนขอแนะนำสมาคมวิชาชีพสาขาต่างๆ ของวิศวกรให้มีการเปิดเวทีสาธารณะ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกระแสทุนนิยมได้อภิปราย ถกปัญหา ค้นหาข้อเท็จจริงให้เกิดปัญญา เกิดองค์ความรู้ และสรุปแนวทางแก้ไขเพื่อใช้ในทางปฏิบัติในแต่ละเวทีทั้งเล็กและใหญ่อย่างกว้างขวาง เพื่อรักษาการติดเชื้อที่รุนแรงและกำลังทำลายคนในแต่ละสังคมอย่างรวดเร็ว พวกเราชาววิศวกรต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาให้ทันกาล ทันเวลา ก่อนที่สังคมจะล่มสลาย วิศวกรจะได้ไม่ตกกระบวนการแก้ปัญหาของชาติที่กำลังวิกฤตทางด้านสังคมด้วย
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2549
11 comments
Last Update : 1 มีนาคม 2549 15:03:05 น.
Counter : 2375 Pageviews.
โดย: ju (กระจ้อน ) 28 กุมภาพันธ์ 2549 19:02:46 น.
โดย: ชายคา 28 กุมภาพันธ์ 2549 20:40:16 น.
โดย: yyswim 1 มีนาคม 2549 11:55:22 น.
โดย: แจ้น IP: 202.133.177.184 4 มีนาคม 2549 21:29:18 น.
โดย: อร IP: 49.237.47.184 3 พฤษภาคม 2558 7:46:44 น.
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
วัฒนธรรมทักษิณ....วัฒนธรรมที่ยากจะขจัดออกไป
บทความในบล็อก จุว่ามันก็ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ว่านี้
ไม่รู้จะไปทิศทางไหน นะ ประเทศไทย
ลืมตอบไปเรื่อง หนุ่มโซดานั่น... ก็คงจะหึงจุนั่นแหละ แต่จุมารู้หลังจากนั้น 3-4 ปีต่อมา กรำ จริงๆ