"ความรู้" คู่ "ความงาม"
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Skincare Basic #9 : Treat your skin needs


หลังจากทำความสะอาด ปรับสภาพ และขจัดเซลล์เสื่อมสภาพไปแล้ว ผิวก็จะพร้อมที่จะได้รับการ Treat หรือบำรุงอย่างเต็มที่ด้วย “Treatment”

ทำไมต้อง Treat ผิวเป็นพิเศษด้วยล่ะ?


Photobucket


ถ้ายังเป็นเด็กหรือวัยรุ่น ร่างกายกำลังเจริญเติบโตและเซลล์ผิวก็ทำงานเต็มที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดี การทามอยซ์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดก็เพียงพอแล้วในแต่ละวัน แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นเซลล์ผิวของเราก็ทำงานได้ไม่ดีเหมือนเก่า และปัจจุบันนี้ทุกที่ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยมลภาวะที่ก่ออนุมูลอิสระทำลายผิว... การทาเพียงมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเคลือบให้ความชุ่มชื้นผิวก็คงไม่เพียงพอเสียแล้ว เราจึงต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีสารบำรุงอย่างวิตามินหรือสารแอนติออกซิแดนท์ในระดับที่เข้มข้นมากพอที่จะเสริมการทำงานของเซลล์ผิวและช่วยต้านอนุมูลอิสระ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่ง (ถ้าคุณมีอายุเลย 25 ขึ้นไป)

และเหตุผลที่ควร Treat ผิวหลัง Exfoliate นั่นก็เพราะถ้าเซลล์ผิวเสื่อมสภาพหรือขี้ไคลยังคงทับถมจนหนาเตอะอยู่ที่ผิวชั้นนอก เมื่อเราทา Treatment ลงไปมันก็จะไปกองอยู่ขี้ไคลเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผิวได้รับการบำรุงไม่เต็มที่จากผลิตภัณฑ์ที่เราทาลงไปนั่นเอง

รู้อย่างนี้แล้วทุกท่านก็คงอยากสรรหาเจ้า Treatment มาบำรุงผิวกันจนตัวสั่น แต่ก่อนที่จะออกไปถลุงเงินที่หามาด้วยความยากลำบาก ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลกันเสียหน่อย เพราะผลิตภัณฑ์ Treatment อย่างพวก Serum หรือ Concentrate ที่บรรดาบริษัทเครื่องสำอางขนออกมาวางจำหน่ายนั้น ไม่ใช่ทุกตัวจะดีหรือมีประสิทธิภาพสุดวิเศษอย่างที่เขาโฆษณา

พึงระลึกเอาไว้ว่า “วงการเครื่องสำอางนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับวงการมายาที่เต็มไปด้วยความสับสนและหลอกลวง”

เพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากขั้นตอนนี้มากที่สุดโดยไม่สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ก็ต้องมาทำความเข้าใจความจริงพื้นฐานที่ถูกชักนำให้มองข้ามกันไปสักหน่อย





“เครื่องสำอาง” ก็ยังคงเป็น “เครื่องสำอาง” อยู่วันยันค่ำ


เห็นกันเกลื่อนทั่วไปตามทีวีและนิตยสาร กับโฆษณาเครื่องสำอางที่อ้างว่า “สามารถย้อนเวลาให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์” “ชุบชีวิตให้ผิวเสียสะสมกลับมาแข็งแรงดั่งเดิม” “ยกกระชับผิวโดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม” “ให้ริ้วรอยลึกจางหายไปได้เหมือนการฉีด Derma Filler”

ดู ๆ ไปแล้วราวกับว่า เครื่องสำอางสมัยนี้สามารถดลบันดาลได้ทุกอย่าง...

แต่คำโฆษณาก็คือคำโฆษณา เพราะไม่ว่าเครื่องสำอางหรือ Skincare ที่เราใช้จะมีส่วนผสมที่ดีเยี่ยม เข้มข้น หรือฟังดูดีมากแค่ไหน เครื่องสำอางก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดริ้วรอยหรือซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นมาแล้วได้เหมือนกับการทำ Treatment จากแพย์ผิวหนังหรือการศัลยกรรม

คำนิยามของ "เครื่องสำอาง" ก็คือ สารหรือตำรับใด ๆ ที่มุ่งหมายสำหรับใช้สัมผัสกับส่วนต่าง ๆ ภายนอกของร่างกายมนุษย์ (ผิวหนังชั้นนอก รอบดวงตา เส้นผม เล็บ ริมฝีปาก ฟัน ในช่องปาก ส่วนภายนอกของอวัยวะสืบพันธุ์ ) โดยทำหน้าที่หลัก ๆ เพื่อการ ทำความสะอาด ทำให้มีกลิ่นหอม เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก แก้ปัญหากลิ่นกาย เพื่อปกป้องร่างกาย และเพื่อดูแลร่างกายให้อยู่ในสภาพดี

(สรุปจาก "บทบัญญัติเครื่องสำอางแห่งอาเซียน" หรือ "ASEAN Cosmetic Directive Requirements")

สารสำคัญที่มีฤิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือการทำงานของผิวได้นั้นทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับผู้ใช้ได้ (อย่าง Retinoic Acid) จะถูกขึ้นทะเบียนเป็น "ยา" สารที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาจะต้องขายหรือจ่ายให้โดยเภสัชกรหรือแพทย์เท่านั้นและไม่สามารถผสมในเครื่องสำอางได้ ดังนั้นเครื่องสำอางจึงไม่สามารถทดแทนหรือให้ผลได้เทียบเคียงกับ "ยา" "การทำศัลยกรรม" หรือ "การทำ Treatment โดยผู้เชี่ยวชาญ"

ปัจจุบันมีความพยายามที่จะสร้างความสับสนเพิ่มมากขึ้นด้วยคำว่า "เวชสำอาง" หรือ "Cosmeceutical" โดยทำขึ้นเพื่อชีนำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่า "เวชสำอาง" มีความพิเศษและมีประสิทธิภาพมากกว่า "เครื่องสำอาง"

แต่จริง ๆ แล้ว “เวชสำอาง” หรือ "Cosmeceutical" ก็เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลว่ามันควรจะแตกต่างจาก “เครื่องสำอาง” ยังไง การอ่านและเปรียบเทียบส่วนผสมแบบง่าย ๆ ก็สามารถบอกได้แล้วว่าส่วนผสมของ “เวชสำอาง” ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับยา (Pharmaceutical) หรือมีอะไรที่พิเศษแตกต่างจากเครื่องสำอาง (Cosmetics)

(รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ใน "สับแหลก 20 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับความงาม จริงชัวร์หรือมั่วนิ่ม?" Part : 1 ในหัวข้อย่อย Myth #3-2 : “บริษัทที่ผลิตเวชสำอาง”” หรือ “Cosmeceutical Companies” นั้นทำผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า “บริษัทที่ผลิตเครื่องสำอาง” หรือ “Cosmetics Companies”)

นี่เป็นสิ่งที่ควรรู้และจำขึ้นใจ เพื่อที่จะได้ไม่คาดหวังกับ "เครื่องสำอาง" มากจนเกินขอบเขตของมัน การทำความเข้าใจถึงข้อจำกัดนี้จะช่วยทำให้คุณไม่หลงมัวเมาไปกับคำโฆษณาสุดวิเศษที่บริษัทเครื่องสำอางพยายามล่อลวงให้คุณเข้าใจผิดและเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์





“เราต้องเลือกผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ให้ผลิตภัณฑ์มาเลือกเรา”


Concept พวกนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครหลายคนรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ที่คนจำนวนมากไม่ประสบความสำเร็จในการ Treat ผิวตามที่ต้องการ เพราะว่าเขาเหล่านั้น โดนกับดักและคำลวงของวงการเครื่องสำอางหลอกให้ไขว้เขว

บริษัทเครื่องสำอางจะกำหนด “กลุ่มเป้าหมาย” ก่อนออกสินค้ามาสักตัว โดยพยายามหว่านล้อมและใช้คำพูดเชิญชวนให้เรารู้สึกไปเองว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นคือสิ่งที่เราต้องการ

แต่แทนที่เราจะตกเป็นกลุ่มเป้าหมาย... ทำไมเราไม่มองว่าเป้าหมายของเราคืออะไร...

อย่าให้คำโฆษณาหรือพนักงานขายมาชี้นำบอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นตัวนี้จำเป็นกับเรา เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเองว่าผิวของเราต้องการอะไร





มองหา Treatment ที่สารสำคัญมีคุณสมบัติหลากหลาย


บริษัทเครื่องสำอางจะออกผลิตภัณฑ์มามากมายโดยชี้จุดขายที่แตกต่างกันเพื่อกระตุ้นให้เราซื้อผลิตภัณฑ์ที่มากเกินความจำเป็น อย่างเช่น

เซรั่มA ช่วยยกกระชับผิว เซรั่มB ลดริ้วรอย เซรั่มC ทำให้รูขุมขนเล็กลง เซรั่มD ลดเลือนจุดด่างดำ แบบนี้ถ้าเกิดเรามีปัญหาทั้ง 4 อย่าง ก็ต้องใช้เซรั่มทั้ง 4 ตัวนั้นเลยงั้นหรือ?...

จากประสบการณ์ที่ผ่านพบมา มีคนจำนวนมากประโคมโบก Treatment หลายอย่างในเวลาเดียวกันเพราะคิดว่ามันจะช่วยแก้สารพัดปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้ไปพร้อมๆ กัน แต่ที่จริงแล้วการโปะ Treatment หลาย ๆ ตัวไปพร้อมๆ กันจะทำให้ผิวเสี่ยงต่อการระคายเคืองได้มากขึ้น และจำนวนผลิตภัณฑ์ที่เราทาเพิ่มมากขึ้นก็หมายถึงทำให้โอกาสที่ผิวจะอุดตันก็มากขึ้นตามมา

ถ้าสมมุติว่าเรามีปัญหาผิวหลายอย่างที่ต้องการ Treat เราก็ต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่ผสม Active Ingredient ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย อย่างเช่นมีทั้งปัญหาจุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอย ในกรณีนี้ “วิตามินซี” คือสิ่งที่เราต้องมองหา เพราะวิตามินซีในความเข้มข้นมากพอ (อย่าง 5 – 10%) จะสามารถลดเลือนเมลานินทำให้จุดด่างดำจางหาย ช่วยกระตุ้นคอลาเจนทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลงไปได้ แถมเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ทรงประสิทธิภาพ

หรือถ้ามีปัญหาสิวอุดตัน จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอย ยากลุ่มกรดวิตามินเอ อย่าง Retin-A ก็สามารถบรรเทาหรือขจัดปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องประโคมโบกผลิตภัณฑ์หลายตัวให้ผิวระคายเคืองหรือหนักหน้าจนเป็นสิวอุดตันตามมา (แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เพื่อความปลอดภัย)

ในหลายกรณี การใช้ผลิตภัณฑ์ AHAs หรือ BHA ก็ถือเป็น Treatment ที่เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาอะไรมาเพิ่มเป็นพิเศษ ก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์เข้มข้นมาช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ (มีอธิบายอย่างละเอียดในบทต่อไป)

กระผมได้เคยทำบทความเอาไว้สองบทความ ที่ให้ข้อมูลของ Active Ingredients ต่าง ๆ ที่พบบ่อยว่ามีประโยชน์หรือใช้ได้ผลจริงหรือไม่อย่างไรเอาไว้ ซึ่งกระผมได้ทำการแก้ไขจัดรูปแบบให้อ่านได้ง่ายมากขึ้น โดยสามารถคลิกอ่านได้ที่นี่

"ขาวใสแบบไม่ไร้สมอง" สับแหลกเบื้องหลังผลิตภัณฑ์ Whitening


"หน้าตึงแต่กระเป๋าแฟบ ของแพงมันดีกว่างั้นหรือ?" สับแหลกเบื้องหลังคำโฆษณาสินค้า Anti-Aging






ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น “Serum” หรือ “Treatment” หรือ “Concentrate” ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพหรือเข้มข้นสมชื่อเสมอไป


เครื่องสำอางทุกแบรนด์ในโลกนี้จะโฆษณาผลิตภัณฑ์ Serum ของพวกเขาว่า “เข้มข้น” “อัดแน่น” “อุดม” ไปด้วยสารบำรุงที่แสนจะวิเศษเลอเลิศ ชุบชีวิตผิวที่ทรุดโทรมเป็นผีดิบตายซากให้กลับมาเปล่งปลั่งกระจ่างสว่างใสไร้ที่ติได้ภายในข้ามคืน (บ้างก็บ้ามากขนาดโม้ว่าเห็นผลในทันที)

ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้โดยอาศัยแค่คำโฆษณาและคำโปรยในการเลือกซื้อก็สำคัญผิดคิดในใจว่าชั้นได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวล้ำลึกถึงวิญญาณ แค่ทาปาดลงไปก็รู้สึกได้เลยว่าผิวกำลังทำงานอย่างเต็มที่เหมือนติดเทอร์โบ

แต่บ่อยครั้งทีเดียวที่เมื่ออ่าน Ingredient List แล้วพบว่า ผลิตภัณฑ์แบบ Serum ราคาแพงเหยียบหมื่นบางตัวมีสารบำรุงน้อยกว่ามอยซ์เจอไรเซอร์ราคาไม่กี่ร้อยบาทเสียอีก ไม่ได้มีวิตามิน สารสกัด หรือสารบำรุงที่เข้มข้นเป็นพิเศษแตกต่างจากมอยซ์เจอไรเซอร์แบบ Lotion หรือ Cream

เราจึงไม่ควรปักใจเชื่อว่าผลิตภัณฑ์แบบ Serum หรือ Concentrate หรือ Treatment เหล่านั้นจะเข้มข้นไปด้วยสารบำรุงเพียงเพราะมันโฆษณาว่าเป็นอย่างนั้น แต่เราควรจะอ่าน Ingredient List เพื่อตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีสารบำรุงในปริมาณที่มากพอจะแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่รึเปล่า





แล้วทำไมถึงหา Treatment ที่มี Active Ingredients เข้มข้นจริง ๆ ได้ยากในท้องตลาด?


เหตุผลง่าย ๆ ที่เหตุใดบริษัทเครื่องสำอางถึงได้ไม่ใส่พวกสารบำรุงมาเยอะ ๆ นั่นก็เพราะมันทำให้ต้นทุนของผลิตภัณฑ์สูงขึ้น และก็เป็นความจริงที่ว่า “ยิ่งเข้มข้นมาก โอกาสที่จะระคายเคืองหรือแพ้ก็มากขึ้นตามไปด้วย”

สารบำรุงบางอย่างเช่นวิตามินซีแบบ Ascorbic Acid จะมีประสิทธิภาพเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีค่า pH เป็นกรดและมีความเข้มข้นสูง (ประมาณ 10%) ในความเข้มข้นระดับนี้จะทำให้ผิวรู้สึกแสบยิบ ๆ ขณะใช้ ส่วน Retinol ที่เข้มข้นก็อาจทำให้ผิวลอกได้ เช่นเดียวกันกับ AHAs และ BHA ที่มีความเข้มข้นเหมาะสมและมีค่า pH ถูกต้องการมีโอกาสทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือแสบบ้างซึ่งถือเป็นอาการปกติ แต่ผู้บริโภคมักจะเข้าใจผิดไปว่าอาการที่เกิดขึ้นนี้เป็นอาการแพ้ และตีโพยตีพายไปว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นไม่ดี

เพื่อเป็นการตัดปัญหา เครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงใส่ Active Ingredients ในปริมาณไม่มาก เพื่อลดโอกาสที่จะก่อให้เกิดการระคายเคือง และเน้นทำเนื้อผลิตภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกดีเมื่อทาลงบนผิวมากกว่า (ซึ่งเป็นผลทางคอสเมติค)

แต่ต้องขอบคุณเทคโนโลยี Internet ที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลของส่วนผสมเหล่านี้ได้ง่ายกว่าแต่ก่อน ทำให้เครื่องสำอางที่มีแต่ราคาคุยไม่สามารถขายได้ดีเหมือนแต่ก่อน จึงเริ่มมี Treatment เข้มข้นออกมาวางตลาดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน





Treatment ที่ดีควรมีเนื้อเบาบางหรือเหลวที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้


เนื้อผลิตภัณฑ์แบบน้ำเหลว ๆ หรือเจลใส จะทำให้สารบำรุงที่ผสมอยู่ซึมลงผิวได้ดีที่สุด เนื้อผลิตภัณฑ์แบบซิลิโคนลื่น ๆ ก็ถือโอเคเหมือนกัน ควรหลีกเลี่ยง Treatment ที่มีเนื้อเข้มข้นจนเหมือน Lotion หรือ Cream เพราะปริมาณ Oil และ Emollients จะทำให้สารบำรุงต่าง ๆ ซึมลงผิวได้ไม่ดีนัก





คำพูดที่บอกว่า “Serum บำรุงผิวชั้นใน ส่วน Lotion กับ Cream จะบำรุงแค่ผิวชั้นนอก” นั้นไม่เป็นความจริง


พื้นฐานของ “มอยซ์เจอไรเซอร์” จะประกอบไปด้วย “Base” และ “Additive” ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นจะเรียกว่า Liquid, Gel, Serum, Lotion, Emulsion, Cream หรือ Balm ก็ถือเป็น “มอยซ์เจอไรเซอร์” ได้ทั้งหมด สิ่งที่แตกต่างกันหลัก ๆ ก็คือ “Base” หรือ “เนื้อของผลิตภัณฑ์” ส่วน “Additive” นั้นก็เป็นของที่เติมลงไปใน “Base” อย่างเช่นพวกวิตามิน สารสกัด สี น้ำหอม สารกันเสีย

มอยซ์เจอไรเซอร์ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Serumหรือ Liquid, Gel, Lotion, Emulsion, Cream, Balm ต่างก็ทำงานที่ผิวชั้นนอก (Epidermis) กันทั้งนั้น โดยหน้าที่หลัก ๆ คือการเคลือบผิวภายนอก เพิ่มหรือเก็บกักความชุ่มชื้น ส่วนจะมีประสิทธิภาพในการบำรุงหรือฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ลึกลงไปอย่างไรต้องมาดูกันที่ Additive ว่าเขาใส่สารตัวไหนลงมา มีประสิทธิภาพจริงไหม ใส่มาในความเข้มข้นเท่าไหร่

แต่อย่างไรก็ดี เนื้อผลิตภัณฑ์แบบ Serumนั้นส่วนใหญ่มักจะมีเนื้อบางเบา มีปริมาณน้ำเยอะ ทำให้ Additive พวกวิตามิน หรือสารที่ละลายในน้ำซึมลงผิวได้ดีกว่า Base แบบ Lotion, Emulsion, Cream หรือ Balm





มองหาส่วนผสมที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพจริง


Photobucket


ยิ่งการแข่งขันของบรรดาบริษัทเครื่องสำอางเพื่อแย่งลูกค้าและส่วนแบ่งทางการตลาดเข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะได้เห็นสารสกัดจากพืชประหลาด ๆ ที่มาจากแหล่งแปลก ๆ มีชื่อไม่คุ้นหูมากขึ้นเท่านั้น นั่นก็เพราะบริษัทเครื่องสำอางจะต้องหาจุดขายใหม่ ๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของตนนั้นดู Unique แตกต่างโดดเด่นไม่เหมือนของคู่แข่ง

แต่สารที่ถูกค้นพบใหม่เหล่านี้ยังไม่ได้รับการทดสอบหรือพิสูจน์ประสิทธิภาพกันอย่างกว้างขวาง และคำกล่าวอ้างเรื่องประสิทธิภาพก็มักมาจากตัวบริษัทผู้ผลิตเองทั้งนั้น ข้อมูลเหล่านี้จึงไม่มีความน่าเชื่อถือเอาเสียเลย

คงจะดีกว่าถ้าเราจะมองหาส่วนผสมที่ผ่านการทดสอบพิสูจน์ประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับกันในระดับสากลแล้วว่าดีจริงไม่อิงปาฏิหาริย์

โดยส่วนผสมที่ได้รับการทดสอบและยอมรับกันแล้วว่ามีประโยชน์กับผิวจริงก็มีอยู่มากมายหลายตัว แต่จะขอยกตัวอย่างและอธิบายอย่างละเอียดพร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านั้นมาให้ศึกษากันอย่างจุใจ โดยสามารถคลิกอ่านได้ตามหัวข้อด้านล่างนี้

- Skincare Basic #9-1 : Antioxidants

- Skincare Basic #9-2 : Vitamin A

- Skincare Basic #9-3 : Vitamin B3

- Skincare Basic #9-4 : Vitamin C

- Skincare Basic #9-5 : Vitamin E








Create Date : 10 ตุลาคม 2551
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 2:29:34 น. 20 comments
Counter : 12656 Pageviews.

 
ขอบคุณ คุณปูเป้ มากๆ เลยครับได้ความรู้อีกเเล้ว

เป็นกำลังใจให้นะครับ ไว้จะมาติดตามอีกเรื่อยๆ

ปล.สมัครเป็นเเฟนคลับ บล๊อคนี้เลยได้ป่ะคับ ^_^


โดย: pojzys IP: 58.8.17.87 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:13:50:05 น.  

 
โห นึกว่าจะมาเป้นคนแรกนะเนี่ย โดนแซงซะแล้วว อุตส่าห์หนีมาอู้งาน แหะๆ
คุณปูเป้ หวัดดีครับบ แวะมาทักทายนะ ขอบคุณเสมอสำหรับความรู้ดีๆ


โดย: อย่าิไปคิดมากกับชีวิต วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:14:25:51 น.  

 
สวัสดีค่ะ..

ข้อมูลเยอะดีนะค่ะ..

ในช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวาย..

อ้อมแอ้มขอชวนมาลดความเครียดกันค่ะ

ตามอ้อมแอ้มมาซิค่ะ..

zwani.com myspace graphic comments
มีความสุขมากๆนะค่ะ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:14:33:06 น.  

 
เกาะติด เกาะติด เกาะติด


โดย: sriwis IP: 61.7.137.66 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:15:47:28 น.  

 
ตีตั๋วรอเลยค่ะ


โดย: nadtha วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:16:33:09 น.  

 
สุดยอดฮะ รออ่านอย่างใจจดจ่อ :)


โดย: ตี๋ IP: 58.8.14.10 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:16:51:56 น.  

 
รอติดตามอ่านต่อไปค่า


โดย: pook_sb วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:18:04:19 น.  

 
กำลังเค้นสมองและความรู้เรื่องการเขียนอย่างเต็มที่เพื่ออธิบายเรื่อง อนุมูลอิสระอยู่ขอรับ

ตั้งใจว่าอยากให้เข้าใจง่ายแต่ได้ความหมายครบถ้วน เลยยากมาก ๆ ที่จะรวบรัด

แต่หลังจากพิมพ์แล้วแก้มาเกือบทั้งวันก็พอจะพบวิธีแล้ว ยังไงก็อดใจรอกันสักหน่อยนะขอรับ :)


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:18:57:48 น.  

 
แวะมาเชียร์คุณปูเป้ ขอบคุณมากๆครับที่รวบรวมความรู้พื้นฐานมาให้

ขอบคุณอีกครั้งครับ


โดย: Van IP: 124.120.228.8 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:21:02:34 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ
อ่านเข้าใจง่าน และที่สำคัญอ่านเพลินดีค่ะ


โดย: futomomo IP: 210.234.169.139 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:21:40:33 น.  

 
รออ่านอยู่ค่ะ Treament กำลังจะหมด เร็วๆ นะค่ะ


โดย: ki IP: 203.107.204.81 วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:6:03:00 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ตามอ่านประจำเลย เป็นประโยชน์มากๆ


โดย: brichea IP: 124.120.156.58 วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:12:20:22 น.  

 
ซุ่มอ่านมาตลอดค่ะ (^^)


โดย: jimkong IP: 58.9.104.200 วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:15:19:54 น.  

 
โอ้วว...สุดยอดไปเลยค่ะคุณปูเป้ อยากอ่านต่อจัง

เป็นกำลังใจให้นะคะ


โดย: num IP: 115.67.76.159 วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:22:00:49 น.  

 
พี่ปูเป้ค่ะ

รอยแดงจากสิว
จะทำวีบีม เลเซอร์ IPL มีอันตรายต่อผิวหรือเปล่าค่ะ?
หรือทำยังงัยดีค่ะ?

ฮืออออ TT


โดย: pun IP: 125.27.8.150 วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:12:50:21 น.  

 
รักษาสิวให้หายหมดก่อน ค่อยเริ่มรักษารอยสิวขอรับ

พวก V-Beam หรือเลเซอร์ทรีตเมนท์รักษารอยสิวนั้นช่วยได้จริง แต่ก็มีราคาสูงมาก ถ้าไม่รีบร้อนจริง ๆใช้พวกยาทาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ (ควบคู่ไปกับครีมกันแดด)


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:2:24:08 น.  

 
คุณปูเป้ อ่านจบแล้วอยากหาผลิตภัณฑ์ที่มี วิตามิน C มาใช้จังเลย 5555 ........ กิเลสเกิดอีกแล้วช้านนนนนนนนน


โดย: Modtanoy IP: 58.137.113.100 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:13:22 น.  

 
ขยันจังเลยนะขอรับ :D


โดย: PuPe_so_Sweet วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:13:07 น.  

 
รักเจ้าของบล็อกจังครับ


โดย: Newbie IP: 203.158.129.73 วันที่: 3 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:36:13 น.  

 


โดย: peter125 (steven1064 ) วันที่: 2 มกราคม 2555 เวลา:9:56:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PuPe_so_Sweet
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1829 คน [?]




Advertisement


About Pupe_so_Sweet
Pupe_so_Sweet on facebook
Pupe_so_Sweet on Youtube
vr AHA project


หากมีคำถามหรือต้องการคำปรึกษา
สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ที่หน้า Wall ของ Facebook ครับ



Web Counter


Counter Start on 29 September 2008


Search by Google

ค้นหาข้อมูลและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภายในBlog ของปูเป้ได้ไม่ยากด้วย Google Search Box ด้านล่างนี้เลยขอรับ

Custom Search

Friends' blogs
[Add PuPe_so_Sweet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.