ตอบคำถามคุณเศษเสี้ยว..ค่ะ สวัสดียามดึกครับ พี่ปอป้าผมและพี่เนตร (นาฬิกาสีชมพู) มีข้อสงสัยว่า" ข้าราชการที่มีสิทธิ์เบิกยา เบิกยาไปทำบุญ หรือเอาไปให้คนอื่นบาปหรือไม่ "ขอบคุณล่วงหน้าครับโดย: เศษเสี้ยว 9 กันยายน 2553 23:58:44 น. การนำยาไปทำบุญหรือให้คนอื่น ถือเป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง ซึ่งค่ำว่า ทาน แปลว่า การให้, สิ่งที่ให้, ให้ของที่ควรให้แก่คนที่ควรให้เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น มักหมายถึงเงิน หรือสิ่งของที่ให้แก่คนยากจนบริจาคทาน คือให้เพื่อเป็นการชำระกิเลส คือความตระหนี่ในใจ หมายถึงให้ด้วยการเสียสละ โดยไม่สนใจว่าผู้รับจะเป็นใครมาจากไหน ส่วน อนุคหทาน คือให้เพื่ออนุเคราะห์ หมายถึงให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนด้วยจิตมีความเมตตาสงสารที่เห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม ไม่สำคัญว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ เห็นแล้วก็ช่วยเหลือเขาไปตามกำลังความสามารถที่เราจะทำได้ในทางพระพุทธศาสนาสอนให้การให้ทานเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์กล่าวคือ สิ่งของวัตถุที่จะให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์ มีเจตนาให้บริสุทธิ์ และผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ก่อนให้ก็ต้องมีจิตใจดีบริสุทธิ์อยากให้จริง ๆ ไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องให้ ในระหว่างกำลังให้นั้น ก็ทำจิตให้เกิดความเลื่อมใสในการให้ของตนเอง ครั้นให้แล้วก็ต้องมีความเบิกบานใจ มีความสุขใจที่ได้ให้ อย่างนี้ถือว่าได้บุญมาก การทำทาน ถือว่าเป็นการเสียสละอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นทรัพย์สิ่งของที่เรามีอยู่แล้วหรือหาซื้อมาเพื่อนำไปให้แก่ผู้อื่น รวมทั้งการให้ธรรม โดยมีวัตถุประสงค์ด้วยหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ผู้รับ ในทางพระ ท่านว่า ทานนั้นจะสำเร็จ ได้บุญมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ๓ ประการ คือ๑. วัตถุสิ่งของที่เป็นทานนั้น จะต้องบริสุทธิ์... คำว่า บริสุทธิ์ หมายถึงการได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ หาซื้อมาด้วยเงินที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ไปคดโกงหรือขโมยใครมา ไม่ได้ไปเบียดเบียนรีดไถใครมา เรียกว่า ไม่ใช่ได้มาด้วยทางทุจริต ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปล้นชิง วิ่งราวเขามา สิ่งของต่าง ๆ ไม่จำเป็นจะต้องมีปริมาณมาก มีราคามาก ประณีตงดงาม อยู่ที่กำลังศรัทธาที่เรามีอยู่เป็นสำคัญ๒. เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์... จุดมุ่งหมายของการให้ทานโดยแท้จริงแล้ว เป็นไปเพื่อขจัดความโลภ ความตระหนี่ขี้เหนียวของเรา และเพื่อสงเคราะห์ให้ผู้อื่นได้รับความสุขด้วยความมีเมตตาของเรา เจตนาที่บริสุทธิ์จะต้องถึงพร้อมด้วย ๓ ขณะ คือ ๒.๑ ขณะก่อนที่จะให้ทาน มีจิตเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน อยากสงเคราะห์ให้เขามีความสุขด้วยสิ่งของที่เราจะมอบให้๒.๒ ขณะที่กำลังลงมือให้ทาน เป็นไปด้วยความปีติยินดีที่กำลังให้ทานอยู่๒.๓ ขณะหลังจากที่ให้ทานแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อคิดถึงทานที่เราได้ให้ไปแล้วนั้น มีจิตใจแช่มชื่น มีความสุขใจ พูดได้ว่าคิดถึงเมื่อไรก็มีความสุขเมื่อนั้นทีนี้พระท่านก็บอกไว้อีกว่า หากทานที่เราให้ไปนั้น เป็นไปด้วยวิปัสสนาปัญญา คือ พิจารณาสิ่งของเหล่านั้นว่า แท้จริงเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่งในโลกเท่านั้น หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ แม้เราตายไปก็ไม่สามารถนำติดตัวไปด้วยได้ จึงไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้เลยแม้แต่น้อย คิดพิจารณาเช่นนี้ พร้อมระยะเวลาทั้ง ๓ ขณะดังกล่าว ย่อมทำให้ทานนั้นมีอานิสงค์มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ การทำทานก็ต้องไม่ให้เดือดร้อนด้วย คือไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดหรือทำให้ใครเดือดร้อนแม้แต่ตัวเราเอง กำลังทรัพย์พอมีเจือจานได้เท่าไรก็ทำไปตามนั้นส่วนปัญหาที่ถามว่า " ข้าราชการที่มีสิทธิ์เบิกยา เบิกยาไปทำบุญ หรือเอาไปให้คนอื่นบาปหรือไม่ " นั้น ถ้ามองตามหลักสิทธิของข้าราชการอันพึงได้รับจากรัฐก็ถือว่าผิดแล้ว เพราะวัตถุประสงค์ที่รัฐให้สิทธิการเบิกยานั้น เพราะรัฐต้องการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขแก่ข้าราชการเท่านั้น (หรืออาจรวมให้บิดามารดา บุตรภรรยาด้วย) ไม่ได้ให้สิทธิข้าราชการเบิกสิ่งของไปให้ผู้อื่น นอกเหนือจากที่รัฐกำหนด ในความเป็นจริง ยาที่ข้าราชการสามารถเบิกใช้ได้นั้น ถือเป็นสมบัติส่วนกลางที่หน่วยงานราชการนั้น ๆ มีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน หากคนหนึ่งใช้สิทธิ์เกินความจำเป็น นับได้ว่าคนนั้นเบียดเบียนเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่เขาอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ยามากกว่าตนเอง การกระทำเช่นว่านี้ เป็นการกระทำของคนมักง่าย เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง ตามปกติ ปีหนึ่ง ๆ รัฐจะต้องมีงบประมาณค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นจำนวนเงินมากอยู่แล้ว ลองนึกภาพดูว่า หากข้าราชการทุกคนละเมิดกฎ กระทำการใช้สิทธิ์อย่างผิดระเบียบวินัยแบบนี้กันทุกหน่วยงาน รัฐจะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มากขึ้นเพียงใด และเงินที่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการนี้นั้น ก็มาจากภาษีของราษฎรทั้งประเทศ ในขณะที่ราษฎรบางคนที่เสียภาษีอย่างเต็มที่ หรือคนยากไร้ กลับไม่มีสิทธิ์อย่างข้าราชการนั้น ๆ แต่ก็นับว่ายังโชคดี ที่มีโครงการ ๓๐ บาทรักษาได้ทุกโรคจากหน่วยงานของรัฐ มารองรับช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนไปได้บ้างเรามาลองคิดดูว่า หากข้าราชการไม่พากันถลุงเงิน ด้วยการใช้สิทธิ์ของตนเองอย่างเกินความจำเป็น เงินงบประมาณค่ายาสำหรับข้าราชการคงจะมีเหลือมากมาย และเงินส่วนนี้ก็อาจจะสามารถกระจายไปช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข สารธารณูปโภค ฯลฯ ซึ่งเรื่องราวของหน่วยงานราชการนั้น ปอป้าไม่ค่อยมีความรู้ หรือทราบรายละเอียดมากเท่าไรนัก นี้เป็นเพียงการมองในมุมมองของตัวเองท่านั้น ผิดถูกอย่างไรก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยกรณีข้าราชการคนนั้น.. ถ้าหากเห็นว่าคนอื่นเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือเรื่องยา คิดอยากช่วยจริง แต่ตนเองไม่สามารถช่วยได้เพราะไม่มีเงินเพียงพอ ก็มีวิธีอีกตั้งหลายวิธีที่จะทำได้ เช่นการบอกบุญให้เพื่อนร่วมงาน หรือญาติมิตรสหาย ช่วยกันคนละเล็กละน้อย หรือแม้กระทั่งทำเรื่องถึงหน่วยงานของรัฐให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เป็นต้น ไม่เห็นจะต้องกระทำการเช่นว่านั้น ซึ่งถือว่าเข้าข่ายทุจริต ผิดวินัยหันกลับมามองในแง่ของพระพุทธศาสนาบ้าง การใช้สิทธิ์อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะหลักของการทำทานที่แท้จริงนั้น เป็นไปเพื่อขูดกิเลสของผู้ให้ ให้เบาบางลง ด้วยการเสียสละทรัพย์หรือสิ่งของของตนเองแก่ผู้อื่น ไม่ใช่ไปเอาของส่วนกลางไปให้อย่างนั้น นอกจากนี้ เหตุปัจจัยในการทำทานก็ต้องเป็นไปด้วยประการต่าง ๆ ข้างต้น ไม่ว่าสิ่งของนั้นต้องบริสุทธิ์ เจตนาในการให้ต้องบริสุทธิ์ นอกจากนี้ การให้ทานก็ต้องเป็นไปด้วยวิปัสสนาปัญญา จึงจะถือว่าเป็นการให้ทานที่มีอานิสงค์มากถามปอป้าว่าบาปหรือไม่..??.. บาป หรือไม่ พระท่านว่า ให้ดูที่เจตนาและการกระทำ ประกอบกัน..ถ้าข้าราชการคนนั้นมีเจตนาดี คิดอยากช่วยเหลือ ทำบุญคนยากไร้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่างจริงใจ..ขอย้ำว่า อย่างจริงใจ ถือว่าเจตนาดี บริสุทธิ์ แต่วิธีการกระทำ เอาเปรียบเพื่อนร่วมองค์กร ทำผิดกฎระเบียบที่เขาตั้งไว้ ซึ่งถือว่าผิด ใช้ไม่ได้..บาป..ค่ะ แต่บาปไม่มาก เหมือนคิดฆ่าหรือทำร้ายใครแต่ถ้าคิดแค่อยากเอาไปให้ญาติ ให้เพื่อน ให้คนรู้จักไว้ใช้ โดยที่คนเหล่านั้นยังไม่มีความจำเป็นใช้แต่อย่างใด แค่อยากใช้สิทธิ์ของตัวเองให้เต็มที่ อย่างนี้ ถือว่าไม่บริสุทธิ์ทั้งเจตนาและการกระทำ..บาปมากว่าประการแรกแน่นอนคนเรา ทำผิด ทำถูก ย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดี อยู่ที่ว่าจะยอมรับความเป็นจริงนั้น ๆ หรือไม่ บาป บุญ คุณ โทษ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก มาประณามหรอก..ค่ะ ถ้าเป็นคนที่ไม่เลวร้ายจนเป็นกมลสันดาน ใจของตัวเองนั่นแหละ ที่จะคอยย้ำเตือน ประณามตัวเองไปตลอดชีวิต..ฝากไว้ด้วย..ค่ะเพลง เสียแรงรักใคร่
การนำยาไปทำบุญหรือให้คนอื่น ถือเป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง ซึ่งค่ำว่า ทาน แปลว่า การให้, สิ่งที่ให้, ให้ของที่ควรให้แก่คนที่ควรให้เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น มักหมายถึงเงิน หรือสิ่งของที่ให้แก่คนยากจนบริจาคทาน คือให้เพื่อเป็นการชำระกิเลส คือความตระหนี่ในใจ หมายถึงให้ด้วยการเสียสละ โดยไม่สนใจว่าผู้รับจะเป็นใครมาจากไหน ส่วน อนุคหทาน คือให้เพื่ออนุเคราะห์ หมายถึงให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนด้วยจิตมีความเมตตาสงสารที่เห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม ไม่สำคัญว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ เห็นแล้วก็ช่วยเหลือเขาไปตามกำลังความสามารถที่เราจะทำได้ในทางพระพุทธศาสนาสอนให้การให้ทานเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์กล่าวคือ สิ่งของวัตถุที่จะให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์ มีเจตนาให้บริสุทธิ์ และผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ก่อนให้ก็ต้องมีจิตใจดีบริสุทธิ์อยากให้จริง ๆ ไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องให้ ในระหว่างกำลังให้นั้น ก็ทำจิตให้เกิดความเลื่อมใสในการให้ของตนเอง ครั้นให้แล้วก็ต้องมีความเบิกบานใจ มีความสุขใจที่ได้ให้ อย่างนี้ถือว่าได้บุญมาก การทำทาน ถือว่าเป็นการเสียสละอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นทรัพย์สิ่งของที่เรามีอยู่แล้วหรือหาซื้อมาเพื่อนำไปให้แก่ผู้อื่น รวมทั้งการให้ธรรม โดยมีวัตถุประสงค์ด้วยหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ผู้รับ ในทางพระ ท่านว่า ทานนั้นจะสำเร็จ ได้บุญมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ๓ ประการ คือ๑. วัตถุสิ่งของที่เป็นทานนั้น จะต้องบริสุทธิ์... คำว่า บริสุทธิ์ หมายถึงการได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ หาซื้อมาด้วยเงินที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ไปคดโกงหรือขโมยใครมา ไม่ได้ไปเบียดเบียนรีดไถใครมา เรียกว่า ไม่ใช่ได้มาด้วยทางทุจริต ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปล้นชิง วิ่งราวเขามา สิ่งของต่าง ๆ ไม่จำเป็นจะต้องมีปริมาณมาก มีราคามาก ประณีตงดงาม อยู่ที่กำลังศรัทธาที่เรามีอยู่เป็นสำคัญ๒. เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์... จุดมุ่งหมายของการให้ทานโดยแท้จริงแล้ว เป็นไปเพื่อขจัดความโลภ ความตระหนี่ขี้เหนียวของเรา และเพื่อสงเคราะห์ให้ผู้อื่นได้รับความสุขด้วยความมีเมตตาของเรา เจตนาที่บริสุทธิ์จะต้องถึงพร้อมด้วย ๓ ขณะ คือ ๒.๑ ขณะก่อนที่จะให้ทาน มีจิตเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน อยากสงเคราะห์ให้เขามีความสุขด้วยสิ่งของที่เราจะมอบให้๒.๒ ขณะที่กำลังลงมือให้ทาน เป็นไปด้วยความปีติยินดีที่กำลังให้ทานอยู่๒.๓ ขณะหลังจากที่ให้ทานแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อคิดถึงทานที่เราได้ให้ไปแล้วนั้น มีจิตใจแช่มชื่น มีความสุขใจ พูดได้ว่าคิดถึงเมื่อไรก็มีความสุขเมื่อนั้นทีนี้พระท่านก็บอกไว้อีกว่า หากทานที่เราให้ไปนั้น เป็นไปด้วยวิปัสสนาปัญญา คือ พิจารณาสิ่งของเหล่านั้นว่า แท้จริงเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่งในโลกเท่านั้น หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ แม้เราตายไปก็ไม่สามารถนำติดตัวไปด้วยได้ จึงไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้เลยแม้แต่น้อย คิดพิจารณาเช่นนี้ พร้อมระยะเวลาทั้ง ๓ ขณะดังกล่าว ย่อมทำให้ทานนั้นมีอานิสงค์มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ การทำทานก็ต้องไม่ให้เดือดร้อนด้วย คือไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดหรือทำให้ใครเดือดร้อนแม้แต่ตัวเราเอง กำลังทรัพย์พอมีเจือจานได้เท่าไรก็ทำไปตามนั้น
ส่วนปัญหาที่ถามว่า " ข้าราชการที่มีสิทธิ์เบิกยา เบิกยาไปทำบุญ หรือเอาไปให้คนอื่นบาปหรือไม่ " นั้น ถ้ามองตามหลักสิทธิของข้าราชการอันพึงได้รับจากรัฐก็ถือว่าผิดแล้ว เพราะวัตถุประสงค์ที่รัฐให้สิทธิการเบิกยานั้น เพราะรัฐต้องการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขแก่ข้าราชการเท่านั้น (หรืออาจรวมให้บิดามารดา บุตรภรรยาด้วย) ไม่ได้ให้สิทธิข้าราชการเบิกสิ่งของไปให้ผู้อื่น นอกเหนือจากที่รัฐกำหนด ในความเป็นจริง ยาที่ข้าราชการสามารถเบิกใช้ได้นั้น ถือเป็นสมบัติส่วนกลางที่หน่วยงานราชการนั้น ๆ มีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน หากคนหนึ่งใช้สิทธิ์เกินความจำเป็น นับได้ว่าคนนั้นเบียดเบียนเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่เขาอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ยามากกว่าตนเอง การกระทำเช่นว่านี้ เป็นการกระทำของคนมักง่าย เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง ตามปกติ ปีหนึ่ง ๆ รัฐจะต้องมีงบประมาณค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นจำนวนเงินมากอยู่แล้ว ลองนึกภาพดูว่า หากข้าราชการทุกคนละเมิดกฎ กระทำการใช้สิทธิ์อย่างผิดระเบียบวินัยแบบนี้กันทุกหน่วยงาน รัฐจะต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มากขึ้นเพียงใด และเงินที่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการนี้นั้น ก็มาจากภาษีของราษฎรทั้งประเทศ ในขณะที่ราษฎรบางคนที่เสียภาษีอย่างเต็มที่ หรือคนยากไร้ กลับไม่มีสิทธิ์อย่างข้าราชการนั้น ๆ แต่ก็นับว่ายังโชคดี ที่มีโครงการ ๓๐ บาทรักษาได้ทุกโรคจากหน่วยงานของรัฐ มารองรับช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนไปได้บ้างเรามาลองคิดดูว่า หากข้าราชการไม่พากันถลุงเงิน ด้วยการใช้สิทธิ์ของตนเองอย่างเกินความจำเป็น เงินงบประมาณค่ายาสำหรับข้าราชการคงจะมีเหลือมากมาย และเงินส่วนนี้ก็อาจจะสามารถกระจายไปช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข สารธารณูปโภค ฯลฯ ซึ่งเรื่องราวของหน่วยงานราชการนั้น ปอป้าไม่ค่อยมีความรู้ หรือทราบรายละเอียดมากเท่าไรนัก นี้เป็นเพียงการมองในมุมมองของตัวเองท่านั้น ผิดถูกอย่างไรก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยกรณีข้าราชการคนนั้น.. ถ้าหากเห็นว่าคนอื่นเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือเรื่องยา คิดอยากช่วยจริง แต่ตนเองไม่สามารถช่วยได้เพราะไม่มีเงินเพียงพอ ก็มีวิธีอีกตั้งหลายวิธีที่จะทำได้ เช่นการบอกบุญให้เพื่อนร่วมงาน หรือญาติมิตรสหาย ช่วยกันคนละเล็กละน้อย หรือแม้กระทั่งทำเรื่องถึงหน่วยงานของรัฐให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เป็นต้น ไม่เห็นจะต้องกระทำการเช่นว่านั้น ซึ่งถือว่าเข้าข่ายทุจริต ผิดวินัยหันกลับมามองในแง่ของพระพุทธศาสนาบ้าง การใช้สิทธิ์อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะหลักของการทำทานที่แท้จริงนั้น เป็นไปเพื่อขูดกิเลสของผู้ให้ ให้เบาบางลง ด้วยการเสียสละทรัพย์หรือสิ่งของของตนเองแก่ผู้อื่น ไม่ใช่ไปเอาของส่วนกลางไปให้อย่างนั้น นอกจากนี้ เหตุปัจจัยในการทำทานก็ต้องเป็นไปด้วยประการต่าง ๆ ข้างต้น ไม่ว่าสิ่งของนั้นต้องบริสุทธิ์ เจตนาในการให้ต้องบริสุทธิ์ นอกจากนี้ การให้ทานก็ต้องเป็นไปด้วยวิปัสสนาปัญญา จึงจะถือว่าเป็นการให้ทานที่มีอานิสงค์มากถามปอป้าว่าบาปหรือไม่..??.. บาป หรือไม่ พระท่านว่า ให้ดูที่เจตนาและการกระทำ ประกอบกัน..ถ้าข้าราชการคนนั้นมีเจตนาดี คิดอยากช่วยเหลือ ทำบุญคนยากไร้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่างจริงใจ..ขอย้ำว่า อย่างจริงใจ ถือว่าเจตนาดี บริสุทธิ์ แต่วิธีการกระทำ เอาเปรียบเพื่อนร่วมองค์กร ทำผิดกฎระเบียบที่เขาตั้งไว้ ซึ่งถือว่าผิด ใช้ไม่ได้..บาป..ค่ะ แต่บาปไม่มาก เหมือนคิดฆ่าหรือทำร้ายใครแต่ถ้าคิดแค่อยากเอาไปให้ญาติ ให้เพื่อน ให้คนรู้จักไว้ใช้ โดยที่คนเหล่านั้นยังไม่มีความจำเป็นใช้แต่อย่างใด แค่อยากใช้สิทธิ์ของตัวเองให้เต็มที่ อย่างนี้ ถือว่าไม่บริสุทธิ์ทั้งเจตนาและการกระทำ..บาปมากว่าประการแรกแน่นอนคนเรา ทำผิด ทำถูก ย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดี อยู่ที่ว่าจะยอมรับความเป็นจริงนั้น ๆ หรือไม่ บาป บุญ คุณ โทษ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก มาประณามหรอก..ค่ะ ถ้าเป็นคนที่ไม่เลวร้ายจนเป็นกมลสันดาน ใจของตัวเองนั่นแหละ ที่จะคอยย้ำเตือน ประณามตัวเองไปตลอดชีวิต..ฝากไว้ด้วย..ค่ะ
ระวังรักษากายใจให้อบอุ่น เป็นสุขสงบ ตลอดไป..นะคะ