มีคำถามน่าสนใจจากเด็กน้อยแสนฉลาดคนหนึ่ง เธอถามเมื่อคราวที่ปอป้าไปสอนให้สวดมนต์ว่า คุณยาย..คะ ดอกไม้จันทน์เป็นยังไง..คะ เพื่อนหนูบอกว่าเอาไว้เผาคนตาย แล้วทำไมต้องใช้ดอกไม้จันทน์ด้วย..คะ..?? ทำไมเอาอย่างอื่นเผาไม่ได้เหรอ..คะ..?? ....เออ..นังหนูช่างถามดีจัง ถามเป็นชุดเชียวลูกเอ๊ย...ท่าทางจะอัดอั้นไว้นาน..(อิ อิ) อธิบายเด็ก ๆ ไปแล้ว..ค่ะ วันนี้ก็เลยนำมาเป็นหัวข้อเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนตาย-พิธีกรรม และดอกไม้จันทน์
ฝากไว้ให้อ่านกัน..นะคะ
บทความที่เขียนนี้ ปอป้าคิดว่าหลาย ๆ ท่านอาจจะไม่ค่อยชอบทั้งเนื้อเรื่องและภาพประกอบสักเท่าไรนัก แต่อยากจะขอให้มองทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ สรรพสัตว์ในโลกนี้ ล้วนต้องมีเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น
หากเข้าใจในวัฏะสงสารเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ประมาท การเรียนรู้และเตรียมพร้อมเรื่องความตาย เป็นสิ่งที่ควรระลึกถึงและกระทำอยู่เสมอ ดั่งพระพุทธวจนะที่ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า
" อานนท์ ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก "
ประเพณีงานศพ
ตามปกติ เมื่อมีคนตายไม่ว่าจะตายที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล ญาติต้องไปแจ้งอำเภอเป็นอันดับแรก แล้วเขาก็มีวิธีการชันสูตรศพตามระเบียบกฎหมายของบ้านเมือง เมื่อไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ญาติก็สามารถนำร่างไร้วิญญาณนั้นมาประกอบพิธีตามศาสนาใครศาสนามันได้ สำหรับชาวพุทธก็มีการสวดศพ บำเพ็ญกุศล เริ่มตั้งแต่มีการรดน้ำศพ บรรจุศพลงโลง สวดพระอภิธรรม ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ เผาศพ เก็บอัฐิ และการทำบุญครบรอบวันตาย ตามแต่วัฒนธรรมและกำลังทรัพย์ของแต่ละบ้านจะเอื้ออำนวย
พิธีการเรื่องงานศพนั้น เริ่มต้นจากการอาบน้ำแต่งตัวให้ผู้ตาย สมัยก่อนนิยมใช้น้ำอบ ประแป้ง แต่งตัวตามยศศักดิ์ที่มี ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ก็เลือกชุดที่ผู้ตายชอบใส่ แต่บางบ้านนิยมใช้เสื้อผ้าใหม่ ๆ สวย ๆ ด้วยมีความคิดว่าอยากให้ผู้ตายดูดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็นำศพขึ้นนอนบนตั่ง โดยหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก เพื่อให้ญาติพี่น้อง มิตรสหายเข้ามารดน้ำศพเพื่อแสดงความเคารพและขอขมากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะทำการมัดตราสังบรรจุลงหีบศพต่อไป ถ้าเป็น
ข้าราชการมียศถาบรรดาศักดิ์ ญาติสามารถทำเรื่องขอน้ำหลวงพระราชทานเพื่อนำมาอาบน้ำศพได้ วิธีมัดตราสังนั้นโบราณเขาจะทำเป็นกรวยดอกไม้สดใส่ในมือผู้ตายที่จัดท่าให้พนมมือไหว้ระหว่างอก แล้วก็นำเงินใส่ไปในปากผู้ตาย
พิธีรดน้ำศพ และเตาเผาสมัยใหม่
ประเพณีการใส่เงินในปากคนตายนั้น เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีการบันทึกเอาไว้ แต่จากการกล่าวอ้างว่ามีหลักฐานปรากฏอยู่ในประเพณีของชนหลายชาติไม่ว่าจะเป็น กรีก ฮินดู จีน ยิว ฯลฯ สำหรับคนไทยแต่โบราณทำเป็นประเพณีสืบกันมานั้น มีเล่ากันมาว่า สมัยก่อนนิยมเย็บเป็นถุงผ้าเล็ก ๆ นำเงินหรือของมีค่าบรรจุใส่ถุงแล้วยัดใส่ไปในปากผู้ตายอีกทีหนึ่ง โดยให้เชือกที่มัดปากถุงผ้านั้นห้อยออกมานอกปากเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงนั้นร่วงหล่นเข้าไปในคอผุ้ตาย จึงมีคำเรียกกันว่า เงินปากผี เจ้าเงินปากผีนี้เองที่ผู้สร้างหนังไทย นำมาเป็นพล๊อตเรื่องสร้างเป็นหนังเป็นละคร หรือเขียนเป็นนวนิยายให้อ่านกันมานักต่อนักแล้ว นอกจากนี้ พวกบ้าวัตถุอาถรรพ์ทั้งหลาย ต่างก็พยายามแสวงหาเงินปากผีมาไว้ครอบครอง นัยว่ามันเฮี้ยนดีนักแล เอ้า...ความเชื่อของแต่ละคน ก็ว่ากันไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเพณีเอาเงินใส่ปากผู้ตายนั้น เป็นเคล็ดในการสอนสั่งญาติมิตรสหายของผู้ตายให้เห็นว่า คนเราเมื่อตายแล้ว แม้แต่เงินที่อยู่ในปากตัวเองยังเอาไปไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่จะสามารถติดตามไปได้ก็คือความดี บุญกุศลที่ได้สะสมเอาไว้เมื่อยามมีชีวิตอยู่ ซึ่งสาระสำคัญในส่วนนี้มักจะเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ที่จะต้องมาเทศน์ให้ญาติโยมฟัง
เมื่อบรรจุศพลงโลงเรียบร้อยแล้ว ตอนหัวค่ำนิยมบำเพ็ญกุศลให้ผู้ตาย โดยการนิมนต์พระ ๔ รูป มาสวดพระอภิธรรมในแต่ละวัน จำนวนกี่วันก็แล้วแต่เจ้าภาพจะจัดให้มี ซึ่งนิยมทำกันเป็นวันคี่ คือ สวด ๓ คืน ๕ คืน หรือ ๗ คืน แล้วบรรจุศพเก็บไว้ในสุสานเป็นเวลาที่นิยมกันคือ ๑๐๐ วัน หรือบางรายเมื่อสวดครบจำนวนวันที่กำหนดแล้วก็เผาศพให้เสร็จเรียบร้อยไปเลย อันนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเจ้าภาพ ส่วนพิธีเผาศพของคนไทยพุทธนั้น มักจะนิยมให้ลูกหลานบวชหน้าศพเพื่อให้พระหรือเณรที่บวชเดินจูงศพขึ้นเมรุเผา การบวชอย่างนี้เรียกว่า บวชเณร (พระ) หน้าไฟ เมื่อบวชพระหรือเณรเรียบร้อยแล้ว ก็มีการเลี้ยงอาหารพระทั้งใหม่และเก่า จากนั้นเป็นการให้พระสงฆ์ทำการเทศนาอย่างน้อย ๑ กัณฑ์ เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานและเณร (พระ) ใหม่ได้ฟังถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่และดับไปของสรรพสัตว์ในโลกใบนี้ เมื่อพระสงฆ์เทศน์เสร็จแล้ว ก็นำศพของผู้ตายที่บรรจุอยู่ในโลงมาเดินวนรอบเมรุ ๓ รอบ โดยให้เณร (พระ) ที่บวชหน้าไฟเป็นผู้จับสายสินธุ์ที่เปรียบเสมือนเชือกจูงพาผุ้ตายสู่เมรุ แล้วก็มีการทอดผ้าบังสุกุล
เผาศพแล้วก็เก็บอัฐิในวันรุ่งขึ้น เวลาเก็บอัฐิก็ต้องเตรียมน้ำอบ น้ำหอม ดอกไม้ ธูปเทียน ผ้าขาวสำหรับห่ออัฐิ ก่อนที่จะเก็บก็ต้องมีพิธีบุงสุกุลโดยพระสงฆ์เป็นผู้ทำให้ แล้วญาติก็นำอัฐิทั้งหมดไปลอยอังคาร คือลอยน้ำคืนสู่แม่พระคงคา ซึ่งนิยมไปลอยที่ปากแม่น้ำใหญ่ หรือลอยในทะเล บางบ้านก็เก็บอัฐิไว้ที่บ้านหรือบรรจุในสถูปเจดีย์ที่วัด เพื่อให้ลูกหลานมากราบไหว้ หลังจากลอยอังคารแล้ว ต่อไปก็มีการทำบุญ ๗ วัน หรือ ๕๐ หรือ ๑๐๐ วัน พอถึงเทศกาลสงกรานต์ก็มีการทำบุญอัฐิ
อีกสิ่งหนึ่งที่เมื่อก่อนนิยมทำกันก็คือ การแต่งตัวไว้ทุกข์ จะกี่วันแล้วแต่ตกลงกันเองในหมู่ญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่แล้วก็เป็น ๑๐๐ วัน บางบ้านจัดสวดศพ ๕ วัน แล้วเผา พอเผาเสร็จรุ่งขึ้นออกทุกข์เลยก็มี ขึ้นอยู่กับประเพณีของแต่ละบ้านนิยมทำกัน ไม่ได้มีเป็นกฎตายตัว เพราะสมัยนี้ อะไร ๆ ก็ให้ง่ายรวบรัดเข้าไว้ก่อน
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือประเพณีงานศพอย่างคร่าว ๆ ทีนี้ก็มาถึงปัญหาของนังหนูช่างถามที่ว่า ทำไมต้องดอกไม้จันทน์
ดอกไม้จันทน์
ตามคติความเชื่อของคนไทยพุทธแต่โบราณ ถือว่าการจัดงานศพให้ผู้ตายเป็นการแสดงความเคารพและไว้อาลัยครั้งสุดท้าย ทุกสิ่งที่จัดทำจะต้องประณีตและดีที่สุดเท่าที่ฐานะจะเอื้ออำนวย เพราะเชื่อว่าผู้ตายจะได้ไปสู่สุขคติและเมื่อเกิดใหม่ก็จะพบแต่สิ่งที่ดีงาม
ไม้จันทน์ ถือเป็นไม้มงคลที่เป็นของสูง คนสมัยก่อนที่จะใช้ไม้จันทน์ได้ต้องเป็นเจ้าขุนมูลนายหรือหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ เพราะเป็นไม้ที่หายาก ราคาไม่ต้องพูดถึง ด้วยคุณสมบัติและความหอมของไม้จันทน์นี้เอง จึงมีการนำมาทำเป็นหีบศพบ้าง ใช้เป็นฟืนในการเผาศพบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโกศสำหรับบรรจุศพเจ้านายชั้นสูง ล้วนแต่ใช้ไม้จันทน์ทั้งสิ้น จากคติความเชื่อเรื่องการเผาเครื่องหอม กำยาน ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า หรือแม้แต่ถวายพระพุทธรูปด้วยธูปหอมที่ทำจากไม้จันทน์ นอกจากนี้ไม้จันทน์ยังถูกนำมาใช้ทำเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น พัดไม้จันทน์ หีบใส่เสื้อผ้า (สมัยก่อนไม่มีตู้เสื้อผ้า) แม้แต่เครื่องหอมต่าง ๆ ก็มีไม้จันทน์เป็นส่วนผสมปนอยู่ด้วย โดยนำไม้จันทน์มาบดให้เป็นผงแล้วนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องใช้ที่ต้องการ เช่น ธูป เทียนอบขนม เทียนอบผ้า กำยาน น้ำอบไทย ฯลฯ
ต่อมาไม้จันทน์มีน้อยลง ๆ จึงนำไม้จันทน์มาใช้ในงานศพเพียงเล็กน้อยโดยผสมปนกับฟืนที่ใช้เผาศพ ตราบจนถึงปัจจุบันนี้ ไม้จันทน์ถูกขึ้นทะเบียนเป็นไม้สงวนอันดับหนึ่ง จึงมีการนำวัสดุอื่นมาทดแทนไม้จันทน์และมีการริเริ่มประดิษฐ์ออกมาในรูปแบบของดอกไม้เป็นช่อรวมกับธูปและเทียนเล็ก ๆ เพื่อความสวยงาม บางแห่งมีการใส่น้ำปรุง น้ำหอมลงไปในช่อดอกไม้นั้นด้วย เพื่อทดแทนความหอมของไม้จันทน์ และต่อมาการเผาศพมีความทันสมัยขึ้น โดยไม่ต้องใช้ฟืนเผาเหมือนในสมัยก่อน จึงเป็นที่มาของการเรียกช่อดอกไม้ที่ใช้แทนฟืนนี้ว่า ดอกไม้จันทน์ ปัจจุบันนี้ไม้ที่นิยมนำมาทำดอกไม้จันทน์ได้แก่ ไม้โมก ไม้มะม่วงป่า เป็นต้น เพราะมีคุณสมบัติคล้ายไม้จันทน์คือ มีสีเหลืองนวล เหนียว และเก็บไว้ได้นานไม่ดำคล้ำ
ปัจจุบันนี้ งานศพไม่ยุ่งยากวุ่นวายเหมือนสมัยก่อนแล้ว เมื่อรับศพได้ ก็นำมาบำเพ็ญกุศลกันที่วัดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ การเผาศพก็ไม่อุจจาดตาหรือน่ากลัวสำหรับคนขี้กลัวทั้งหลายแล้ว เพราะมีเตาเผาทันสมัย ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ อะไร ๆ ก็ดูทันสมัย สะดวกสบายไปเสียทุกอย่าง จนบางครั้งผู้ที่เป็นเจ้าภาพหรือผู้ที่มาร่วมงานละเลยความระมัดระวังสำรวม ดังจะเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้ งานศพมักจะกลายเป็นงานรวมรุ่น ผู้ที่มาร่วมงานไม่ค่อยได้พบปะเพื่อนฝูงหรือญาติมิตรสักเท่าไร มาถึงก็เอาแต่คุย ๆ เมาท์ ๆ พระสวดก็ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ ฟังสักเท่าไร อย่างนี้เป็นกิริยาที่ไม่มีมารยาท หาความงดงามไม่ได้ อีกทั้งเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ตายด้วย
อีกประการหนึ่ง คือเรื่องการแต่งกายไปงานศพ โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งหลาย ด้วยความที่สังคมสมัยนี้ยึดถือความสะดวกสบายเป็นที่ตั้ง จึงมักจะเห็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมาะสมมาในงานศพ สาวบางคนแต่ง
ชุดดำก็จริง แต่สวมกระโปรงสั้นเต่อ คอเสื้อเว้าหน้าเว้าหลัง บางคนก็นุ่งกางเกงรัดติ้วเอวต่ำ จะลุกจะนั่งแต่ละที ทำเอาพระสงฆ์กลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน ตกลงไม่รู้ว่าพระน้องนางจะมางานศพหรือมาเดินแฟชั่นโชว์ เอ๊ะ..หรือว่าจะมาสึกพระ..(เฮ้ออออ...) ปอป้าขอรบกวนฝากไว้ตรงนี้ด้วย มีลูกช่วยกันสอนลูก มีหลานช่วยกันสอนหลาน..นะคะ วัฒนธรรมประเพณีอันงดงามของไทยจะไม่เหลือแล้ว..ค่ะ
ก็เป็นอันจบเรื่องพิธีงานศพของชาวไทยพุทธและดอกไม้จันทน์แต่เพียงเท่านี้ ยังมีบล๊อกที่น่าอ่านเกี่ยวกับเรื่องความตายซึ่งเป็นธรรมเทศนาของท่านปัญญานันทภิกขุ ถ้าสนใจตามไปอ่านได้ ที่นี่เลย..ค่ะ
ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง จากกูเกิ้ล
เพลง ธรณีกรรแสง
ผู้ขอ ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ถูกขอ
เดินสายมา ๓ วัน....
ขอนำความสุขที่ได้รับ ทั้งทางโลกและทางธรรม
มาฝากเพื่อนบล๊อกทุกท่าน...นะคะ