วันที่ ๑๖ กันยายน ของทุกปี เป็นวันโอโซนโลก ( World Ozone Day ) ปกติ ปอป้าได้แต่เพียงรับรู้และพยายามปฏิบัติตัวเพื่อให้ตนเองมีส่วนร่วม ช่วยลดภาวะโลกร้อนกับเขาด้วยอย่างเงียบ ๆ แต่ปีนี้มีความพิเศษเกิดขึ้น เนื่องจากได้รับเกียรติจากคุณดี (มัชชาร) ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนด้วยกัน ตามแนวถนัดของแต่ละคน สำหรับปอป้าแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องธรรมะใกล้ตัว ก็เลยขอนำเรื่อง โทสะ มาฝากไว้ให้ช่วยกันคลายโลกร้อนด้วย...นะคะ
เมื่อพูดถึง โทสะ เรามักจะนึกถึงสภาวะอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว บางครั้งอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า โมโหจนลมออกหู ถ้าลองโมโหได้ขนาดนั้น แสดงว่าความร้อนในร่างกายย่อมพลุ่งพล่าน สับสน หาระเบียบไม่ได้ ทางการแพทย์บอกว่า ภาวะโกรธของมนุษย์ก่อให้เกิดอันตรายต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น
นอกจากความโกรธจะก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพของตัวเองแล้ว บางกรณีก็เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อผู้ที่อยู่รอบข้างด้วย หากไม่สามารถระงับความโกรธได้ คำว่า บันดาลโทสะ ก่อให้เกิดเป็นคดีความกันมานักต่อนักแล้ว บางคนโกรธแล้วทำร้ายผู้อื่น ในขณะที่บางคนโกรธแล้วทำร้ายตัวเอง ทำลายข้าวของก็มี ดังนั้น ทั้งทางธรรมและทางโลกวิทยาศาสตร์ จึงให้ระมัดระวังความโกรธ ไม่ให้เกิดขึ้นในตัวเอง เมื่อ โทสะ มีแต่ผลร้ายทั้งทางตรงและทางอ้อม วันนี้ เรามาทำความรู้จักเจ้าตัวโทสะอันร้ายกาจกันดีกว่า
โทสะ แปลว่า ความโกรธ, ความฉุนเฉียว เป็นความขัดเคือง ไม่พอใจ ซึ่งถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในบรรดากิเลสใหญ่ทั้ง ๓ (โลภะ-โทสะ-โมหะ)
โทสะ เกิดจากมานะ คือความถือตัวถือตนเป็นใหญ่ นับเป็นกิเลสจำพวกทำให้จิตใจร้อนรุ่ม หากปล่อยให้เกิดขึ้น มีโทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เวลาโกรธแล้วไม่รู้จักระงับ ย่อมมองเห็นคนที่มีความคิดต่างไปจากตนเองเป็นศัตรูไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง ลูก สามี ภรรยา บางครั้งความโกรธนั้นก็ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท ทำร้ายกันและกัน จากเบาไปหาหนัก ตามแต่อารมณ์จะพาไป
เมื่อเกิดโทสะ อุณหภูมิในร่างกายของเราจะสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น กระแสความร้อนจะกระจายออกจากร่างกายสู่ภายนอก ทำให้สภาวะอากาศและบรรยากาศรอบตัวร้อนไปด้วย บางคนเวลาโกรธมาก ๆ ดวงตาเบิกกว้างถมึงทึง แทบจะถลนออกมานอกเบ้า ถ้าสายตาในเวลานั้นสามารถแปรสภาพเป็นเปลวไฟได้ คนที่เป็นคู่กรณีคงจะมอดไหม้ไปได้ในพริบตา ลองนึกภาพดูว่า ณ เวลาเดียวกัน หากมีคนบนโลกใบนี้อยู่ในอารมณ์โกรธ เรียกว่าโกรธพร้อม ๆ กันทีเดียวสักล้านหรือสองล้านคน อุณหภูมิของโลกจะสูงมากขึ้นขนาดไหน
เรื่องโทสะนี้ มีกล่าวอยู่ในเวปจิตติสูตร ว่าพระพุทธองค์ทรงยกย่องสรรเสริญขันติธรรม ซึ่งมีเรื่องย่อดังนี้
เมื่อครั้งที่เกิดสงความระหว่างเทวดากับอสูร ท้าวเวปจิตติจอมอสูรตรัสกับพวกอสูรลูกน้องทั้งหลายว่า ถ้าหากพวกอสูรชนะการศึก ให้จับท้าวสักกะจอมเทวดา มัดห้าแห่ง อันมีคอเป็นที่ ๕ แล้วให้นำมายังอสูรบุรี ส่วนท้าวสักกะจอมเทวดาก็กล่าวกับพวกเทวดาว่า ถ้าหากพวกเทวดาชนะสงคราม ให้จับท้าวเวปจิตติจอมอสูรมัดในลักษณะเดียวกัน แล้วนำมายังสุธรรมาสภา ในสำนักของท้าวสักกะจอมเทวดา
ปรากฏว่าพวกอสูรแพ้สงคราม ท้าวเวปจิตติจอมอสูรถูกมัดด้วยการมัดห้าแห่ง อันมีคอเป็นที่ ๕ ท้าวเวปจิตติได้บริภาษด่าว่าท้าวสักกะจอมเทวดา ด้วยวาจาอันหยาบคาย แต่ท้าวสักกะฯ หาได้โต้ตอบไม่ มาตลีเทพบุตรอดรนทนไม่ไหว ก็เลยทูลถามท้าวสักกะฯ ว่า ที่ไม่โต้ตอบเพราะกลัว หรือเพราะไม่มีกำลังโต้ตอบ ท้าวสักกะฯ ตอบว่า ที่พระองค์ต้องอดทนต่อคำด่าหยาบคายนั้น เพราะไม่ต้องการโต้ตอบกับคนพาล มาตลีเทพบุตรบอกว่า อย่างนั้น คนพาลก็ได้ใจ ยิ่งกำเริบหนักขึ้นได้
ท้าวสักกะฯ กล่าวตอบว่า ผู้ใดรู้ว่าคนอื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติ สงบ ระงับได้ เราเห็นว่าการสงบระงับได้ของผู้นั้นแล เป็นการกำราบคนพาล
แต่มาตลีเทพบุตรกลับไม่เห็นด้วยกับพระองค์ ด้วยคิดว่า ยิ่งต้องอดทนมากเท่าไร ยิ่งทำให้คนพาลสำคัญตัวผิด คิดว่าคนทั้งหลายกลัวเกรงตัวเอง จะข่มขู่มากยิ่งขึ้น
ท้าวสักกะฯ ตรัสตอบว่า บุคคลจะสำคัญเห็นว่า ผู้ที่อดกลั้นด้วยความกลัวหรือหาไม่ก็ตามที ประโยชน์ทั้งหลาย มีประโยชน์ของตนเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติไม่มี ผู้ใดแลเป็นคนมีกำลัง อดกลั้นต่อคนผู้ทุรพลไว้ได้ ความอดกลั้นของผู้นั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าเป็นขันติอย่างยิ่ง คนทุรพลจำต้องอดทนอยู่เป็นนิตย์ บัณฑิตทั้งหลายกล่าว กำลังของผู้ซึ่งมีกำลังอย่างคนพาลว่ามิใช่กำลัง ไม่มีผู้ใดที่จะกล่าวโต้ต่อผู้มีกำลัง ผู้ซึ่งธรรมคุ้มครองแล้วได้เลย เพราะความโกรธนั้น โทษที่ลามกจึงมีแก่ผู้ที่โกรธตอบต่อผู้ที่โกรธ บุคคลผู้ไม่โกรธตอบต่อผู้ที่โกรธ ย่อมชื่อว่าชนะสงครามซึ่งเอาชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและคนอื่น คนที่ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญเห็นผู้รักษาประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย คือของตนและของคนอื่น ว่าเป็นคนโง่ ดังนี้
พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญท้าวสักกะจอมเทวดา ผู้มีความยิ่งใหญ่ด้วยความเป็นอิสระแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ ยังพรรณนาคุณของขันติ และโสรัจจะได้ พระองค์จึงทรงตรัสเตือนบรรดาภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พวกเธอบวชแล้วในธรรมวินัยที่เรากล่าวชอบแล้วเช่นนี้ เป็นผู้อดทนและสงบเสงี่ยมนี้ จะพึงงามในธรรมวินัยโดยแท้
จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไว้เสมอว่า ให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ชนะความตระหนี่ด้วยการให้ ชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
ชีวิตของเรานั้น ย่อมมีทั้งขึ้นและลง อุปสรรคต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามานั้น เราต้องรู้จักใช้สติและปัญญาในการแก้ไข อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องตกเป็นทาสของอารมณ์ ถ้าเรามีความอดทน จนสามารถฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ วันหนึ่ง เมื่อเรามองย้อนกลับมา เราจะเกิดความภาคภูมิใจที่เราสามารถเอาชนะใจตนเองได้ ขจัดได้ซึ่งความโกรธ ความร้อนรุ่มที่รุมเร้าอยู่ในใจในกาย
ความโกรธ ไม่เคยให้ประโยชน์กับใคร พระท่านเปรียบความโกรธไว้ว่าเหมือนไฟ ที่มีแต่ความร้อนรุ่ม หากไม่รู้จักระงับและให้อภัย ย่อมก่อให้เกิดความทุกข์สุมอยู่ในใจ ถ้าไม่รู้จักปล่อยวางยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจากความโกรธธรรมดา ๆ ที่เกาะเกี่ยวอยู่ในใจ นานวันเข้าก็จะกลายเป็นความเกลียดชัง เคียดแค้น รอวันเวลาที่จะแก้แค้นเอาคืน หาความสุขใจไม่ได้ เมื่อความสุขใจไม่มี ผลกระทบก็จะมาออกที่ร่างกายของตัวเอง ทำให้เกิดโรคภัยคุกคาม ซ้ำยังส่งผลต่อคนที่อยู่รอบข้าง เพราะคนที่มีความโกรธแค้นสุมอยู่ในใจ สีหน้าแววตาย่อมไม่แจ่มใส หน้าบูดบึ้ง ใครเห็นก็ไม่อยากเข้าใกล้
มีข้อแนะนำง่าย ๆ ให้ปฏิบัติในยามที่เกิดอารมณ์โกรธ ในธรรมปฏิบัติ ท่านบอกว่าให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา ยืน-เดิน-นั่ง ดีใจ-เสียใจ-โกรธ ให้รู้ตัวเอง รู้อารมณ์ตัวเองตลอดเวลา ยามใดที่รู้ตัวว่ากำลังจะโกรธ ให้สูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ ช้า ๆ เป็นการเรียกสติตัวเองให้มั่นคง ไม่ให้หลงไปกับความร้อนในโทสจริตที่กำลังจะพุ่งพล่าน ควบคุมความโกรธด้วยความนิ่ง แล้วบอกกับตัวเองว่า ฉันกำลังจะโกรธแล้วนะ ความโกรธไม่ดีเลย จะโกรธไปทำไม นิ่งสักนิดดีกว่านะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า ถ้าเป็นคนรักสวยรักงาม รักมาดหล่อ มาดเท่ห์ ให้บอกตัวเองทันทีว่า โกรธแล้วไม่สวย ไม่หล่อ ถ้ามันยังระงับไม่ค่อยจะอยู่ ก็ขอตัวเดินออกไปจากเหตุการณ์นั้น ๆ ก่อน ไปยืนมองต้นไม้ใบไม้สีเขียว ๆ จะได้เย็นตา พาให้ใจเย็นไปด้วย เพราะทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่า สีเขียวทำให้เรารู้สึกเย็นได้ ส่วนสีแดง สีส้มแสบ ๆ อย่าไปมองล่ะ ประเดี๋ยวระเบิดเถิดเทิงกันไปใหญ่ (อิ อิ)
บอกตัวเองบ่อย ๆ ว่า ชีวิตของเรา จะสุขหรือทุกข์ เราเป็นผู้กำหนดให้ตัวของเราเอง อย่าให้คนอื่นหรือการกระทำของคนอื่นมากำหนดชีวิตของเรา การมีขันติ หรือความอดทนนี้ มีประโยชน์ทั้งกับตัวของเราเองและกับผู้อื่น แม้แต่กับสังคมรอบด้าน วันนี้ เรามาช่วยกันลดภาวะโลกร้อน ด้วยการสร้างขันติธรรมให้มีขึ้น เกิดขึ้นในใจตนกัน..นะคะ
ฝากท้ายไว้นิดหนึ่งว่า...
ระยะนี้ ปอป้าอาจจะไปเยี่ยมเพื่อน ๆ ไม่ทั่วถึง..นะคะ
เพราะต้องเดินสาย แจกการ์ดและเตรียมงานแต่งลูกสาว
ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ตะแว๊บได้เมื่อไร จะรีบไปเยี่ยมทันที..ค่ะ
เพลง วิมานสีชมพู
ลิงค์ธรรมะคลายโลกร้อนของปอป้า ที่บ้านคุณดี..ค่ะ
ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง
มีความสุขกับความคุ้นเคยในทุกสิ่งรอบตัวเรา ตลอดไป..นะคะ