ไตรสรณคมน์ ถ้าบอกว่าต่อไปเราจะสวดบทไตรสรณคมน์กันนะ..เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะงง ว่าเป็นบทอะไร แต่ถ้าผู้นำสวดขึ้นบทสวดปุ๊บ หลาย ๆ คนที่งงอยู่ก็จะถึงบางอ้อ ว่าอ๋อที่แท้ก็คือบทพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ...นั่นเอง ตำราบางแห่งก็เรียกสั้น ๆ ว่า สรณคมน์ ซึ่งมีบทสวดเต็มอย่างนี้...ค่ะพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ คำแปลข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะความเป็นมา ไตรสรณคมน์ในบทนี้คือ พุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ สังฆรัตนะ ครบสมบูรณ์ในวันแห่งการประกาศพระธัมมะจัก อาสาฬหมาสเพ็ญ เดือน ๘ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นปฐม ได้ดวงตาเห็นธรรม ทรงโปรดให้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในครั้งนั้นนับได้ว่ามีพระรัตนตรัยครบสมบูรณ์ทั้ง ๓ ประการ ในกาลต่อมา หลังจากพระผู้มีพระภาคแสดงธรรมครั้งแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ในสมัยต้นพุทธกาล เมื่อคราวที่ทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ไปประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก โดยตรัสให้ใช้ไตรสรณคมน์เป็นวิธีบรรพชาและอุปสมบทของกุลบุตร เรียกว่า ติสรณคมนูปสัมปทา เหตุที่ตรัสติสรณคมนูปสัมปทานี้ เพราะมีกุลบุตรผู้เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนา ปรารถนาจะบรรพชาอุปสมบทตามเหล่าพระสาวก การที่เหล่าพระสาวกจะพากุลบุตรเหล่านั้นมาเฝ้าขอบรรพชาอุปสมบทกับพระผู้มีพระภาคโดยตรงเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ดังนั้นเพื่อให้สะดวกในการประกาศพระศาสนา และให้พระศาสนาเจริญแพร่หลายได้รวดเร็วขึ้น พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทวิธีนี้ พระรัตนตรัยจึงเป็นสรณะที่พึ่งระลึกถึง อันพระคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ ระลึกถึงพระธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ยังการรักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปสู่ที่ชั่ว พระสงฆ์ คือสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ฟังคำสอน และสอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตามด้วย พระรัตนตรัยทั้ง ๓ นี้ จึงเป็นหลักสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธษความเชื่อความเลื่อมใสให้มั่นคงต่อพระรัตนตรัย
ธรรมปริทรรศน์ สรณะ หมายถึง ที่พึ่ง ขจัดปัดเป่า บรรเทาทุกข์ ความหวาดสะดุ้ง ทุคติ และความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลาย เป็นชื่อของพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ พระพุทธเจ้า ชื่อว่าสรณะ เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการให้ถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ และนำออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พระธรรม ชื่อว่าสรณะ เพราะให้สัตว์ข้ามพ้นกันดาร คือภพ และให้สัตว์โปร่งใจ พระสงฆ์ ชื่อว่าสรณะ เพราะทำสักการะที่หมู่ชนทำไว้ให้มีผลไพบูลย์ จิตเกิดความเลื่อมใส และความเคารพอย่างแน่วแน่ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย สามารถกำจัดกิเลสได้ เรียกว่า สรณคมน์ ด้วยเหตุที่สรณคมน์เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้นที่แสดงความมั่นใจ ปราศจากความกลัวในการเข้ามาเป็นชาวพุทธ และเป็นเครื่องประดับชาวพุทธในการเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นดุจนักปราชญ์ผู้ให้แต่ความไม่มีภัย พระธรรมเป็นดุจความไม่มีภัย พระสงฆ์เป็นผู้บรรลุความไม่มีภัยอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น สรณคมน์จึงถูกจัดไว้อันดับแรก นักปราชญ์ท่านมีข้ออุปมาไว้ควรแก่การยังศรัทธาให้งอกงามว่า พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนผู้ชี้ทาง พระธรรมเปรียบเหมือนทางดีหรือพื้นที่ที่ปลอดภัย พระสงฆ์เปรียบเหมือนผู้เดินทางถึงที่ที่ปลอดภัย พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนป่าหิมพานต์ พระธรรมเปรียบเหมือนโอสถที่เกิดแต่ป่าหิมพานต์นั้น พระสงฆ์เหรียบเหมือนชนผู้ไม่มีโรคเพราะใช้ยา พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนผู้ชึ้ขุมทรัพย์ พระธรรมเปรียบเหมือนขุมทรัพย์ พระสงฆ์เปรียบเหมือนชนผู้ได้ขุมทรัพย์พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าสรณะ เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลาย โดยการให้ดำเนินไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พระธรรมได้ชื่อว่าสรณะ เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลาย โดยการให้ข้ามกันดาร คือภพ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ได้รับความแช่มชื่น พระสงฆ์ได้ชื่อว่าสรณะ เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลาย โดยการเป็นาบุญอันยิ่ง ให้ผลอันไพบูลย์ พระพุทธเจ้า เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้มีสติปัญญาความสามารถที่อาจฝึกปรือ หรือพัฒนาให้บริบูรณ์ได้ สามารถหยั่งรู้สัจธรรม บรรลุความหลุดพ้นเป็นอิสระไร้ทุกข์ลอยเหนือโลกธรรม และมีความดีสูงเลิศทีแม้แต่เทพเจ้าและพรหมก็เคารพบูชา พระธรรม เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า ความจริงหรือสัจธรรมเป็นภาวะที่ดำรงอยู่โดยธรรมดา สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้ารู้จักมองดู รู้ เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามสภาวะที่มันเป็นจริง นำความรู้ธรรม คือความจริงมาใช้ประโยชน์ ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายด้วยความรู้เท่าทันสภาวะ และกระทำที่ตัวเหตุปัจจัย ก็จะแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด เข้าถึงธรรมและมีชีวิตที่ดีที่สุด พระสงฆ์เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า สังคมดีงามมีธรรมเป็นรากฐาน ประกอบด้วยสมาชิกผู้มีจิตใจไร้หรือห่างทุกข์เป็นอิสระเสรี แม้มีพัฒนาการแห่งจิตปัญญาในระดับแตกต่างกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันด้วยดี มีความเสมอกันโดยธรรม มนุษย์ทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ร่วมสร้างสังคมด้วยการรู้ธรรม และปฏิบัติธรรมตามธรรม
แนวทางปฏิบัติ บรรดาหมู่ชนย่อมมีหลักที่บอกถึงสถานอันเป็นที่อยู่ จะสร้างบ้านสร้างเรือน ย่อมมีหลัก คือเสาเป็นที่ตั้งของขื่อคาน บ้านเรือนจึงจะต่อก่อตั้งเป็นหลังพึ่งพิงอิงอาศัยได้ การเดินทางด้วยพาหนะย่อมมีหลักบอกเส้นทางที่อยู่และที่ไป เมื่อจับหลักได้ ก็ย่อมมั่นใจว่าเดินทางได้ไม่ผิด การเดินทางจึงต้องมีหลักดี จึงไม่เสียการ แต่ถ้ามีหลักที่เสีย หมายถึง การเสียหลัก ยานพาหนะนั้นย่อมไม่ไปสู่ที่หมายในพระพุทธศานาก็มีเสาหลักเป็นสรณะที่พึ่ง ๓ หลัก คือ พุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ สังฆรัตนะ ทั้ง ๓ นี้ ผู้นับถือพระพุทธศาสนาจะต้องเข้าถึงสามหลักนี้ก่อน จึงได้ชื่อว่ามีหลัก มีแบบ มีบท พระพุทธเจ้า คือหลักแห่งชีวิตของเรา พระธรรม คือแบบที่เป็นคำสอนให้ปฏิบัติ พระสงฆ์ คือผู้ช่วยบอกบท แนะนำสั่งสอน ให้เข้าใจการเรียนรู้ในพระประยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ จึงต้องเริ่มต้นจากความเข้าอกเข้าใจในพระรัตนตรัยก่อน ไตรสรณคมน์เป็นคำกล่าวอันทรงอานุภาพคือ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ความกึกก้องแห่งเสียงที่ถูกประกาศขึ้นที่ใด เสมือนหนึ่งกลองแห่งชัยชนะได้ประกาศขึ้น ณ ที่นั้น เป็นการบำรุงขวัญให้เกิด สร้างพลังแห่งดวงใจให้มั่นคงไม่หวั่นไหว นำทางสู่การก้าวไปอย่างอาจหาญ ในบทแห่งไตรสรณคมน์จึงเสมือนพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกบริกรรมและนำมาภาวนามากที่สุด เพราะเหตุว่าไตรสรณคมน์ ๓ บทนี้ เป็นการประกาศให้เห็นว่าพระบรมครูของเรา คือพระพุทธเจ้า ในบาทแห่งวิถีชีวิตของเราคุ้มครองรักษาด้วยพระธรรมของพระองค์ หมู่สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วนั้น คือผู้นำคำสอนของพระองค์มาถ่ายทอดให้เราได้เกิดความมั่นใจ เข้าใจ และซึ่งใจ การทำสิ่งใด ๆ ในกาลใด ๆ หากดวงใจของเรามีพระรัตนตรัยในไตรสรณคมน์อยู่ตลอดเวลา ย่อมเกิดความมั่นใจเสมือนหนึ่งพระบรมครูคอยคุ้มครองอยู่ไม่ห่างเลยการถึงไตรสรณะมี ๔ วิธี คือ อัตตะสันนิยยาตะนะ วิธีมอบกายถวายชีวิตแก่พระรัตนตรัย ๑ ตัปปะรายะนะตา วิธีมีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ทำอะไร ก็มีการระลึกถึงพระรัตนตรัยก่อน ๑ สิสสะภาวุปะคะมะนะ วิธีมอบตนเป็นศิษย์ ประพฤติตนอยู่ในโอวาทของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ๑ ปาณิปาตะ วิธีนอบน้อม ได้แก่ความเคารพอย่างยิ่งในพระรัตนตรัย กระทำการกราบไหว้ การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมแด่พระรัตนตรัย ๑ ขอท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท นับถือพระพุทธศาสนาจงเจริญในจิตสำนึกอยู่เสมอว่า เราคือสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราคือศิษย์พระตถาคต เราคือบุตรของพระพุทธองค์ เรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะตลอดชีวิต พระพุทธศาสนา คือศาสนาของข้าพเจ้า ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้เป็นมหาสมบัติที่เรารับมาด้วยลมหายใจต่อลมหายใจ ชีวิตต่อชีวิต ยุคสมัยต่อยุคสมัย จนถึงหมู่เราในวันนี้ก็ยังคงเป็นรัตนะ คือสมบัติอันล้ำค่าของพวกเราชาวพุทธ สมควรที่สุดที่จะธำรงรักษาไว้ด้วยการปฏิบัติตามพระบรมศาสดาทุกเมื่อ จักมีความเจริญในประโยชน์ทั้ง ๓ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต และประโยชน์สูงสุด คือพระนิพพาน การนำบทไตรสรณคมน์มาภาวนา เมื่อผ่านหรือพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งจิตภาวนาด้วยสงบว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ อานุภาพแห่งศรัทธามุ่งมั่นจักมีอานิสงส์ คือความปีติปราโมทย์ เติมความสุขจากความสงบให้เต็มพร้อม คราวเมื่อการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง การนำบทไตรสรณคมน์มาภาวนา ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจด้วยอธิษฐานในความตั้งใจด้วยดีมีกุศลเป็นที่ตั้ง จิตที่บริกรรมว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ จะได้รับความคุ้มกันวิตกจริต จะได้รับความคุ้มครองในกุศลอธิษฐานนั้น ผู้อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน การนำไตรสรณคมน์มาเป็นสื่อนำสติปัญญา อานุภาพแห่งภาวนานั้นจักเกิดแก่ผู้เจริญสติทุกเมื่อ การเมื่อผู้มีชราภาพปรากฎอยู่ คราวแห่งการเจ็บไข้เบียดเบียนเป็นที่สุดแล้ว การภาวนาในบทไตรสรณคมน์จักเป็นนาวา คือเครื่องนำจิตไปสู่สุคติอันเป็นที่หวังในที่สุดได้
อานิสงส์ ๑. ย่อมได้ความเป็นพุทธบริษัทโดยแท้ ๒. ย่อมได้สรณะอันเป็นที่พึ่งของผู้ระลึกถึงอยู่ทุกเมื่อ ๓. ย่อมได้รับความอาจหาญของศากยะบุตรในชนทุกหมู่เหล่า ๔. ย่อมได้ความบริบูรณ์แห่งทรัพย์คือรัตนตรัยสมปรารถนา ๕. ย่อมถึงซึ่งความประสงค์ในมรรค ผล สวรรค์ นิพพานอย่างฉับพลัน ๖. ย่อมเป็นผู้เทียบเท่าเทวดาโดยฐานะอันเป็นทิพย์ ๑๐ อย่าง คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ อธิปไตย รูป เสียง กลิ่น รส และโผฎฐัพพะข้อควรรู้ ๑. บทไตรสรณคมน์ เป็นบทที่มีในพุทธบัญญัติปรากฎในพระไตรปิฏก พระวินัยปิฏกมหาขันธกะ ๒. เป็นพุทธบัญญัติที่ทรงอนุญาตให้พระสาวกรับกุลบุตรผู้มีศรัทธาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา โดยวิธีรับไตรสรณคมน์ หรือติสรณคมนูปสัมปทา ๓. ปัจจุบันการเปล่งวาจารับไตรสรณคมน์ถือว่าเป็นการประกาศตนว่าเป็นพุทธมามกะ
เพลง หนึ่งในร้อย
จงอยู่อย่างมีหลักยึดเหนี่ยวใจ อย่าเป็นคนไร้ที่พึ่ง
(ขอบคุณภาพจากคุณหนูหล่อนะคะ)