มัวแต่พาเที่ยววัดโน้นวัดนี้เสียเพลินไปเลย ลูกหลานถามว่า " ตกลงบล๊อกป้า เป็นบล๊อกท่องเที่ยวไปแล้วเหรอ "
แหมม..ก็ไม่ถึงกับ ๑๐๐% หรอกจ้า แค่สลับกับบทความมั่ง ไม่งั้นเบื่อแย่เลย..เนอะ วันนี้ก็เลยต้องกลับเข้าสู่บทความกันเสียที พอดีมีคำถามที่ฝากไว้ทางอีเมล์ (นานแล้ว ไม่รู้ป่านนี้คนถามลืมหรือยัง) คำถามว่าอย่างนี้..ค่ะ
สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา คืออะไร
วันนี้ ปอป้า ขอนำเรื่องนี้มาพูดในบล๊อกเสียเลย..นะคะ
ความจริงสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนานั้น มีหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท ต้นโพธิ์ ใบโพธิ์ ธงธรรมจักร รูปธรรมจักร ธงฉัพพรรณรังสี แต่สัญลักษณ์ที่ได้รับการรับรองให้เป็นสัญลักษณ์สากล คือ รูปธรรมจักร คนต่างชาติบางแห่งก็เรียกว่า วงล้อแห่งชีวิต หรือวงล้อแห่งพระธรรม ( Dharmachakra, Wheel of Dhamma ) ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งวัฐฐจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาในยุคแรก ๆ นั้น คือ ต้นโพธิ์ ใบโพธิ์ เนื่องจากพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ที่ใต้ต้นไม้ที่ชื่อว่า อัสสัตถะ ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ต้นโพธิ์ เพราะคำว่า โพธิ หรือ โพธิ์ แปลว่า ตรัสรู้ จึงมีการเรียกกันว่า ต้นไม้ตรัสรู้บ้าง แต่ถ้าเรียกอย่างเป็นทางการหน่อย ก็ว่า โพธิพฤกษ์
ต่อมาได้มีการสร้างรอยพระพุทธบาท อันถือเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญรอยตามพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในสมัยก่อนสร้างเพื่อเป็นองค์แทนของพระพุทธองค์ ให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา เนื่องจากสมัยนั้น ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป รอยพระพุทธบาทจึงหมายถึงรอยพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะที่เสด็จออกผนวช บางแห่งทำเป็นรูปม้าทรงเครื่อง แต่ไม่มีคนขี่ ส่วนตอนตรัสรู้ก็ทำเป็นรูปแท่นที่ประทับ และตอนแสดงปฐมเทศนาทำเป็นธรรมจักร โดยมีกวางหมอบอยู่ด้วย เพื่อสื่อถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นป่าสวนกวางนั่นเอง
เมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นแล้ว ความหมายของการบูชารอยพระพุทธบาท เปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงดินแดนที่พระพุทธองค์ได้เคยเสด็จดำเนินไปถึง ตามตำนานกล่าวว่ารอยพระพุทธบาทที่พระองค์ได้เสด็จไปประทับไว้มี ๕ แห่ง คือ ที่เขาสุวรรณมาลิก, เขาสุวรรณบรรพต, เขาสุมนกูฏ, เมืองโยนกบุรี และที่หาดทรายในลำน้ำ
นัมมทานที
ส่วนการสร้างพระพุทธรูปอันเป็นองค์แทนแห่งองค์พระศาสดานั้น ในยุคแรก นิยมสลักลงหิน หรือไม้ ต่อมาได้มีการวิวัฒนาการใช้วัสดุอื่น ๆ อีกมากมาย พระพุทธรูปรูปแรกในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือ เมนันเดอร์ที่ ๑ เป็นชาวกรีกที่เข้ามาครอบครองแคว้นคันธารรษฎร์ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๕๐๐-๕๕๐ ดังนั้นจึงเรียกรูปแบบพระพุทธรูปนี้ว่า คันธารราษฎร์ โดยนำเทวรูปที่พวกกรีกโบราณนับถือมาเป็นต้นแบบ พระพุทธรูปคันธารราษฎร์จีงมีใบหน้าเหมือนฝรั่งชาวกรีก จีวรเป็นริ้วเหมือนเครื่องนุ่งห่มของเทวรูปกรีก ต่อมาภายหลัง ราวพุทธศตวรรษที่ ๔-๑๒ จึงมีคตินิยมสร้างพระพุทธรูปขนาดเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่า พระเครื่อง ในปัจจุบันนี้เอง
สำหรับธรรมจักร อันหมายถึงวงล้อพระธรรมที่หมุนไปนั้น เริ่มหมุนเมื่อพระพุทธองค์ทรงเริ่มประกาศพระธรรมอันประกอบด้วยอริยสัจ ๔ ในการศาสนา รู้จักคำว่า ธรรมจักร เป็นครั้งแรกเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือป่าสวนกวาง อันเป็นวันที่ถือว่าครบ ๓ แห่งพระรัตนตรัย รูปแบบของธรรมจักร ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ ๒ ประการ คือ
๑. วงล้อ มีลักษณะกลม กล่าวว่า มี ๒ ความหมาย คือ หนึ่ง-กระแสแห่งการหมุนไปของพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ, สอง-วัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก
๒. ซี่ล้อ ในธรรมจักรมีซี่ล้อ เรียกว่า กำ จำนวนกี่กำนั้น สุดแล้วแต่คติความเชื่อของผู้สร้าง แต่โดยปกติมีตั้งแต่ ๔ กำขึ้นไป สวนความหมายของจำนวนกำนั้น กล่าวไว้ว่า
๔ กำ หมายถึง อริยสัจ ๔
๘ กำ หมายถึง มรรคมีองค์ ๘
๑๒ กำ หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท ๑๒
๑๖ กำ หมายถึง ญาณ ๑๖
๒๔ กำ หมายถึง ปัจจัย ๒๔
๘๐ กำ หมายถึง พระชนมายุของพระพุทธองค์ ๘๐ พรรษา
ธรรมจักร ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทหยุดนิ่ง ที่มักจะสร้างเป็น ๔ กำ และประเภทหมุนที่นิยมสร้างตั้งแต่ ๔ กำขึ้นไป ส่วนธรรมจักรที่ได้รับการรับรองให้เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนานานาชาติ คือธรรมจักร ๘ กำ แต่ไม่ว่าธรรมจักรจะมีกี่กำ สิ่งที่ต้องมีเหมือนกันทุกโครงสร้างคือ จะต้องเป็นวงกลมแบบไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ ซึ่งรูปวงกลมนี้ แทนความสมบูรณ์แบบของพระธรรม ส่วนแกนกลางนั้น แทนคำสอนซึ่งเป็นแก่นของการฝึกปฏิบัติเพื่อก้าวไปสุ่นิพพาน ส่วนขอบที่เชื่อมซี่ของธรรมจักรนั้น หมายถึงความสถะ มั่นคง
สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ ธงธรรมจักร ซึ่งคณะสงฆ์ไทยได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ลักษณะธงคือมีพื้นธงเป็นสีเหลือง และมีรูปธรรมจักรสีแดงอยู่ตรงกลาง มีซี่ ๑๒ กำ
ส่วนธงฉัพพรรณรังสี เป็นธงแห่งพระพุทธศาสนาระหว่างชาติ คำว่า ฉัพพรรณรังสี แปลว่า พระรัศมีทั้ง ๖ ที่แผ่ออกมาจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า ได้แก่ สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีแสด และสีเหลื่อมประภัสสร กล่าวคือ เมื่อสีทั้ง ๕ รวมกัน จะมีลักษณะเหลื่อมแพรวพรายเหมือนแก้วผลึก หรือที่เรียกว่าเหลื่อมประภัสสรนั่นเอง ในการออกแบบธงนี้ ได้มาจากคติความเชื่อที่ว่า ไม่ว่าองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จไป ณ ที่แห่งใด พระองค์จะเปล่งพระรัศมี อันอาจเรียกได้ว่า แสงแห่งปัญญา และสันติสุข ไปสู่มวลมนุษย์ทั้ง ๖ ทิศ คือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ
ทิศใต้ เบื้องบน และเบื้องล่าง
เรื่องสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนามีเพียงเท่านี้ สำหรับการสร้างพระพุทธรูปอันเป็นรูปเคารพที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบันนั้น ปอป้า กำลังรวบรวมข้อเขียนพร้อมเกร็ดประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก จะนำมาให้เพื่อนบล็อกได้อ่านในโอกาสต่อไป..ค่ะ
ก่อนจบ ปอป้าขอฝากข้อคิดไว้ว่า สัญลักษณ์เป็นเพียงเครื่องหมายอย่างหนึ่งเท่านั้น การจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่การประกาศในเอกสารราชการหรือเอกสารทั่ว ๆ ไป ว่าเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ หากแต่การเป็นพุทธศาสนิกชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้พื้นฐานของศาสนาที่ตนเองประกาศว่านับถือ อย่างน้อยเมื่อพบปะคนต่างศาสนา หรืออบรมลูกหลาน ก็จะสามารถพูดได้ว่าศาสนาของตนเป็นอย่างไร ดีอย่างไร และให้ประโยชน์อะไรกับชีวิตได้บ้าง
ในอดีต กระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุวิชาหน้าที่ศึลธรรมไว้เป็นวิชาหนึ่งของการเล่าเรียนภาคบังคับ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนี้ เจ้ากระทรวงยุคใหม่สมัยใหม่ มองว่าวิชาหน้าที่ศีลธรรมล้าสมัย จึงได้ถอดออกจากหลักสูตรการเรียนการสอน แล้วพอเวลามีปัญหาในบ้านเมืองขึ้นมาทีหนึ่ง บรรดาผู้มีตำแหน่งและนักวิชาการทั้งหลายต่างก็ออกมาโก่งคอบ่นว่า เดี๋ยวนี้คนไทยขาดคุณธรรมจริยธรรม ได้แต่ป่าวร้องว่าจะต้องแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เห็นท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายเข้าไปแก้ไขอย่างจริงจังเสียที เพราะการที่จะให้คนมีคุณธรรมจริยธรรมได้นั้น จะต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก อย่างน้อยการปลูกฝังให้เด็กรู้จักเกรงกลัวและละอายต่อการทำบาป เมื่อเขาเติบโตมาเป็นกำลังของชาติ เขาย่อมมีคุณธรรมจริยธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม อันจะนำพาให้สังคมนั้น ๆ เจริญก้าวหน้าอย่างเข้มแข็งต่อไป
เมื่อผู้มีอำนาจของรัฐไม่ทำ เห็นทีพวกเราควรจะลงมือทำกันเอง ด้วยการเริ่มต้นจากในบ้านของเรา อบรมสั่งสอนลูกหลานของเราให้เป็นคนที่มีคุณภาพ รู้จักและรู้คุณค่าของคุณธรรมจริยธรรม หากทุกครอบครัวสามารถทำได้อย่างนี้ เชื่อว่าในอนาคต เด็กที่เป็นเยาวชนในวันนี้ จะเติบใหญ่เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศสืบไปในภายภาคหน้า..ฝากด้วย..นะคะ
ขอบคุณ ข้อมูลและภาพบางส่วน จากกูเกิ้ล
เพลง ลาวเจริญศรี
ขอความสงบ สุข ปราศจากทุกข์ใด ๆ จงเป็นของเพื่อนบล็อก ตลอดไป..นะคะ