ธรรมอันทำให้งาม
เรามาเริ่มต้นปีใหม่ด้วย " ธรรมอันทำให้งาม " เพื่อชีวิตของเราจะได้ดำเนินไปด้วยความงดงามแห่งความสำเร็จกันดีกว่านะคะ ซึ่งธรรมอันทำให้งาม นี้ เป็นหลักธรรมหมวดหนึ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก มีอยู่ ๒ ประการ คือ
๑. ขันติ คือ ความอดทน, อดได้ ทนได้ เพื่อบรรลุความดีงาม และความมุ่งหมายอันชอบ
๒. โสรัจจะ คือ ความเสงี่ยม, อัธยาศัยงาม รักความประณีตหมดจดเรียบร้อยงดงาม
ในพระวินัย พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องของ ฑีฆาวุกุมาร ผู้ใช้ขันติโสรัจจะตามคำสั่งของพระเจ้าฑีฆีติโกศลราช ผู้เป็นพระราชบิดา ทรงเล่าเรื่องนี้เพื่อขจัดความบาดหมางแตกแยกกันของหมู่ภิกษุในเมืองโกสัมพี โดยพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชยกทัพไปยึดเมืองของพระเจ้าฑีฆีติ แล้วสังหารพระราชาและพระมเหสี มีเพียงพระราชกุมารเท่านั้นที่รอดไปได้ ต่อมา พระราชกุมารฑีฆาวุมีโอกาสสังหารพระเจ้าพรหมทัต แต่ไม่ทำ เพราะประพฤติตามโอวาทของพระราชบิดา ที่ตรัสสั่งไว้ว่า....
เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว หมายความว่า เจ้าอย่าได้จองเวรให้ยืดเยื้อ
เจ้าอย่าเห็นแกสั้น หมายความว่า เจ้าอย่าแตกร้าวกับมิตรเร็วนัก
พระพุทธเจ้ารับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันติโสรัจจะเห็นปานนี้ ได้มีแล้ว แก่พระราชาเหล่านั้น ผู้ถืออาชญา ผู้ถือศัตราวุธ ก็การที่พวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แน่
จะเห็นว่า ขันตินี้มีบทบาทในการควบคุมความโกรธ เรียกว่า อธิวาสนขันติ ส่วนโสรัจจะ มีบทบาทต่อจากการควบคุมความโกรธไว้ได้ เช่น ยิ้มหรือพูดเป็นปกติ เป็นต้น
ลักษณะของผู้มีขันติ
ปรมตฺถโชติกา กล่าวถึงขันติว่า ขันติในที่นี้หมายเอาอธิวาสนขันติ ภิกษุผู้ประกอบด้วยขันติแล้ว ย่อมไม่ม่อาการผิดปกติ มั่นคง เป็นผู้เหมือนไม่ได้ยินเสียงด่า ที่บุคคลด่าด้วยอักโกสวัตถุ (เรื่องสำหรับด่า) ๑๐ คือ มีการด่าถึงชาติกำเนิด ชื่อ โคตร รูปพรรณ หรือสัณฐาน เป็นต้น
และเป็นเหมือนไม่เห็นคนผู้เบียดเบียนตนเอง เหมือนท่านขันติวาทีดาบส ผู้ถูกพระเจ้ากาสีทรมาน และปลิดชีวิตด้วยความไม่พอใจที่นางสนมกำนัลทั้งหลายไปนั่งล้อมฟังธรรมกถาเรื่องขันติของท่านขันติวาทีดาบส จึงสั่งราชบุรุษตัดแขนทั้งสองแล้วถามประชดว่า ท่านถืออะไร ดาบสตอบว่า ขันติ จึงสั่งตัดขาทั้งสอง ดาบสก็ยังตอบเหมือนเดิม คือถือขันติ สุดท้ายจึงคว้าเอามีดดาบแทงหน้าอกดาบสจนสิ้นใจ แผ่นดินไม่อาจรับร่างพระเจ้ากาสีได้ ธรณีได้แยกสูบพระเจ้ากาสีแล้ว
พระปุณณเถระได้ใช้ขันติมองโลกในแง่ดีไว้เสมอในการทูลตอบพระพุทธเจ้า ถึงการไปจำพรรษาที่สุนาปรันตะ ว่า ตัวท่านไม่กลัวสุนาปรันตะผู้ดุร้ายจะทำร้ายเอาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าผู้คนชาวสุนาปรันตะจักด่าบริภาษข้าพระองค์ไซร้ ในข้อนั้นข้าพระองค์ก็จักใส่ใจว่า ผู้คนชาวสุนาปรันตะเหล่านี้ เป็นผู้เจริญดีหนอ ที่ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ตีข้าพระองค์ด้วยมือ... ดังนี้เป็นต้น
ผู้ประกอบขันติย่อมเป็นที่น่าสรรเสริญ แม้แต่ฤษีทั้งหลายก็สรรเสริญ อย่างที่ท่านสรภังคฤษีกล่าวไว้ว่า คนฆ่าความโกรธได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศกในกาลไหน ๆ ฤษีทั้งหลายย่อมสรรเสริญการละความลบหลู่ ควรอดทนคำหยาบที่คนทั้งปวงกล่าวแล้ว สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญขันตินั้นว่าสูงสุด
เทวดาอย่างท้าวสักกเทวราช ตรัสว่า ผู้ใดเป็นคนแข็งแรง อดกลั้นต่อคนอ่อนแอ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญขันตินั้นของผู้นั้นว่าเป็นเยี่ยม เพราะคนอ่อนแอย่อมต้องอดทนอยู่เป็นประจำ (คนเข้มแข็งควรอดกลั้น อภัยไม่ตอบโต้แก่คนผู้อ่อนแอ ส่วนคนอ่อนแอมีภารกิจที่ต้องทำประจำ คืออดทนเสมอ)
ส่วนพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญขันติว่า ผู้ใดไม่โกรธ อดกลั้นต่อการด่า การฆ่า และการจองจำได้ เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีขันติเป็นกองกำลังว่า พราหมณ์
โทษของความไม่อดทน
อภิ.วิ. ข้อ ๙๘๘ กล่าวถึงโทษของความไม่อดทนไว้ ๕ ประการ คือ
๑. ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของชนเป็นอันมาก คือไม่มีผู้ใดชมชอบคนที่ไม่มีความอดทน เช่น ร้อนนิดหน่อย หนาวนิดหน่อย หรือหิวกระหายนิดหน่อย ก็เอะอะโวยวาย
๒. มีเวรมาก คือคนที่ไม่มีความอดทน มักมีข้ออ้างในการล่วงเกินผู้อื่น สัตว์อื่น เสมอ จึงเป็นที่เกลียดชังและปองร้ายจากผู้ที่ถูกล่วงเกิน เช่น ลุแก่โทสะฆ่าสัตว์หรือฆ่าคน ต้องหวาดหวั่นกลัวเจ้าของ หรือหมู่ญาติจะมาทำร้ายคืน เป็นต้น
๓. มีโทษมาก คือน่าตำหนิ คบกับใครก็มักจะคบได้ไม่นาน เก็บเรื่องเล็กเรื่องน้อยมาเป็นอารมณ์ ขัดแย้งเสมอ และต้องได้รับโทษมากประการ จากความไม่อดทนของตน
๔. ตายโดยหลงลืมสติ คือไม่อาจควบคุมสภาพจิตใจของตนได้ เพราะจิตคุ้นเคยกับความหงุดหงิด ความรำคาญใจ และความโกรธ มาเป็นเวลายาวนาน
๕. เมื่อตายแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก คือย่อมเข้าถึงกำเนิดสัตว์นรก เปรต อสูรกาย และสัตวเดรัจฉาน
เพลง นิราศนุช
ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี
เป็นคนดี มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ตลอดไป...นะคะ