29.3 พระสูตรหลักถัดไป คือโอฆตรณสูตร [พระสูตรที่ 1] การสนทนาธรรมนี้ต่อเนื่องมาจาก 29.2 พระสูตรหลักถัดไป คือโอฆตรณสูตร [พระสูตรที่ 1] //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=11-05-2014&group=4&gblog=4 ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 23 GravityOfLove, 7 พฤษภาคม เวลา 09:52 น. ขอบพระคุณค่ะ พอจะเข้าใจแล้ว ความคิดเห็นที่ 24 ฐานาฐานะ, 7 พฤษภาคม เวลา 21:40 น. GravityOfLove, 8:26 PM 5/6/2014 ๓. อุปเนยยสูตร 1. ในเนื้อความพระไตรปิฎก ละเอาไว้ว่าเกิดขึ้นที่เดียวกับพระสูตรแรกๆ ใช่ไหมคะ ตอบว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ควรเข้าใจว่า แม้จะเป็นสถานที่อื่นๆ เช่น พระวิหารเวฬุวัน หรือสถานที่ใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ทำให้อรรถแห่งเนื้อความในพระสูตร เปลี่ยนแปลงไป. ----------------------------------------------------------------- 2. กรุณาอธิบายค่ะ ตั้งแต่ [บทว่า ปุญฺญานิกยิราถ สุขาวหานิ ... ] ถึง [ ... พอถูกกระทบก็แตกไป] //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=7 เนื้อความอรรถกถาว่า บทว่า ปุญฺญานิกยิราถ สุขาวหานิ ได้แก่ วิญญูชนพึงทำบุญทั้งหลายอันนำความสุขมาให้ คืออันให้ซึ่งความสุข. ด้วยเหตุนี้นั้น เทวดาหมายเอารูปาวจรฌานจึงถือเอาบุพเจตนา มุญจนเจตนาและอปรเจตนาแล้วกล่าวถึงบุญทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งคำพหูพจน์ และถือเอาความชอบใจในฌาน ความใคร่ในฌานและความสุขในฌานแล้ว จึงกล่าวว่า บุญทั้งหลายนำความสุขมาให้ ดังนี้. อธิบายว่า เป็นการอธิบายความในคาถาของเทวดานั้น กล่าวคือ เทวดานั้นเป็นปุถุชนอยู่ เมื่อเห็นทุกข์จากชรา มรณะก็ตามแล้ว แต่เพราะเห็นเพียงภูมิของตนว่า รูปาวจรฌานเช่นที่ตนเองได้แล้วว่า เป็นที่พึ่งสูงสุด อาศัยความพอใจในฌาน ความสุขในฌาน จึงกล่าวอย่างนั้น. คาถาของเทวดาว่า พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้ ฯ แม้จะเป็นคำกลางๆ ว่า เป็นกามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล และอรูปาวจรกุศล แต่อรรถกถาให้นัยว่าหมายถึงรูปาวจรกุศล หรือทำรูปาวจรฌานให้เกิดขึ้น. เนื้อความอรรถกถาว่า ได้ยินว่า เทวดานั้นได้มีความคิดว่า โอหนอ สัตว์ทั้งหลายเจริญฌานแล้ว มีฌานยังไม่เสื่อม กระทำกาละแล้ว พึงดำรงอยู่ในพรหมโลกตลอดเวลาอันยาวนาน คือประมาณ ๑ กัปบ้าง ๔ กัปบ้าง ๘ กัปบ้าง ๑๖ กัปบ้าง ๓๒ กัปบ้าง ๖๔ กัปบ้างดังนี้ เพราะตนเองเกิดในพรหมโลกที่มีอายุยาวนานจึงเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้กำลังตาย กำลังเกิดที่มีอายุน้อยในเทวดาชั้นกามาวจรเบื้องต่ำ เช่นกับการตกลงแห่งเม็ดฝนพอถูกกระทบก็แตกไป เพราะฉะนั้น จึงกล่าวแล้วอย่างนี้. อธิบายว่า เทวดานั้นมีอายุยืนนาน เห็นสัตว์อื่นในกามาวจรภูมิเกิดตายแล้วๆ เล่าๆ ก็เห็นทุกข์ในเพราะความชราความตาย เห็นอายุของสัตว์อื่นสั้น ประหนึ่งว่า ปล่อยหยดน้ำตกลงพื้น เม็ดน้ำฝน ก็ดำรงอยู่แค่เพียงขณะที่ยังไม่กระทบพื้น พอกระทบพื้นก็แตกไป ทำลายไป สัตว์ในกามาวจรภูมิ ก็เป็นเช่นนั้น คืออายุสั้น จึงกล่าวสรรเสริญโลกียฌานของตนว่า สัตว์ทั้งหลายควรทำให้เกิด เพื่อจะได้มีอายุยืนยาวอย่างที่ตนเป็นอยู่. ที่จริงแล้ว พออธิบายเทียบได้ว่า มนุษย์เห็นพวกยุง มด ปลวกที่มีอายุสั้นๆ เกิดขึ้นสักพักประมาณ 7 วัน ก็ตายไปด้วยความที่มีอายุสั้น มนุษย์เห็นอย่างนั้นแล้ว ก็สรรเสริญความเป็นมนุษย์ว่า มนุษย์มีอายุยืนยาว บางคนอายุยืน 50 ปี ... 100 ปี ยืนยาวกว่าพวกยุงเหล่านั้น จึงเห็นว่า พวกสัตว์นั้นควรได้กระทำบุญที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์อย่างที่ตนเป็น จะได้มีอายุยืนยาวอย่างตนเอง. แม้คาถาของเทวดาจะสรรเสริญการทำบุญ แต่เพราะบุญที่เทวดากล่าวถึงนั้น ก็ยังจัดเป็นวัฏฏะ คือยังไม่พ้นการเกิดแก่ตายอยู่นั่นเอง พระผู้มีพระภาคจึงตรัสพระคาถา อันเป็นวิวัฏฏะ เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเกิดแก่ตาย. ฌานสูตรที่ ๑ //84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=21&A=3451 ความคิดเห็นที่ 25 GravityOfLove, 8 พฤษภาคม เวลา 06:56 น. ฌานสูตรที่ ๑ //84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=21&A=3451 ความแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อคติ อุบัติมีอยู่ ฯ แปลว่า ปุถุชนที่ได้ฌาน ยังอาจมาเกิดในอบายได้อีก ส่วนพระอริยะที่ได้ฌาน จะไม่เกิดในอบายอีก ไม่เข้าใจตรง [ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง] ค่ะ เฉพาะพระอริยะที่บังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสไม่ใช่หรือคะ ที่จะปรินิพพานในภพนั้น ขอบพระคุณค่ะ ความคิดเห็นที่ 26 ฐานาฐานะ, 8 พฤษภาคม เวลา 07:08 น. GravityOfLove, 4 นาทีที่แล้ว ... 6:56 AM 5/8/2014 พระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี ทำกาละแล้ว ก็อุบัติในพรหมโลก ข้อนี้ ไม่มีปัญหาอะไร? พระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ถ้าได้ฌานด้วยก็อุบัติในพรหมโลก กว่าที่ฌานจะเสื่อม แล้วอุบัติในกามาวจรภูมิ ปัญญาของท่านก็เจริญขึ้น จากพระโสดาบันเป็นพระสกทาคามีบุคคล และพระอนาคามีตามลำดับ ในพรหมโลกนั่นเอง เป็นอันว่าจะปรินิพพานในพรหมโลกนั่นเอง พระอริยบุคคลชั้นสกทาคามีบุคคล ก็นัยเดียวกับพระโสดาบัน. ความคิดเห็นที่ 27 GravityOfLove, 8 พฤษภาคม เวลา 07:12 น. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรคที่ ๑ ๒. นิโมกขสูตร ว่าด้วยทางหลุดพ้น //84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=30&Z=50&bgc=honeydew&pagebreak=0 เทวดาทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระองค์ย่อมทรงทราบ - มรรค เป็นทางหลีกพ้น (นิโมกข์) - ผล เป็นความหลุดพ้น (ปโมกข์) - นิพพาน เป็นที่สงัด (วิเวก) ของสัตว์ทั้งหลายหรือหนอ (พระองค์ทรงทราบหรือไม่) พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ทรงทราบโดยแท้จริง เทวดาทูลถามว่า ทรงทราบอย่างไร ตรัสตอบเป็นคาถาว่า เพราะความสิ้นภพอันมีความเพลิดเพลินเป็นมูล เพราะความสิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ เพราะความดับ เพราะความสงบแห่งเวทนาทั้งหลาย เราย่อมรู้จักมรรคเป็นทางหลีกพ้น ผลเป็นความหลุดพ้น นิพพานเป็นที่สงัด ของสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ (ความดับของขันธ์ ๕ คือ พระนิพพาน) //84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ขันธ์_5#find1 //84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท ------------------------------ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรคที่ ๑ ๓. อุปเนยยสูตร ว่าด้วยชีวิตถูกชรานำเข้าไป //84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=51&Z=59&bgc=honeydew&pagebreak=0 เทวดากล่าวคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ชีวิตนี้สั้นนัก ไม่มีผู้ป้องกันมรณะ เมื่อเห็นภัยนี้พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้ (พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า ถ้อยคำนี้ไม่เหมาะสม เพราะเป็นไปในวัฏฏะ (ปริยายโลกามิส) เมื่อจะทรงแสดงวิวัฏฏกถาแก่เทวดานั้น จึงตรัสพระคาถาว่า) ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด (สันติ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน) //84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อามิส //84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โลกามิส ------------------------------ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรคที่ ๑ ๔. อัจเจนติสูตร ว่าด้วยกาลที่ล่วงเลยไป //84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=60&Z=68&bgc=honeydew&pagebreak=0 เทวดากล่าวคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า กาลย่อมล่วงไป บุคคลย่อมมีอายุมากขึ้น บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้ (พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า ถ้อยคำนี้ไม่เหมาะสม เพราะเป็นไปในวัฏฏะ เมื่อจะทรงแสดงวิวัฏฏกถาแก่เทวดานั้น จึงตรัสพระคาถาว่า) กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีทั้งหลายย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป (ชั้นแห่งวัยคือ ปฐมวัย มัชฌิมวัย และปัจฉิมวัย) บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด (สันติ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน) //84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อามิส //84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โลกามิส [แก้ไขตาม #29] ความคิดเห็นที่ 28 GravityOfLove, 8 พฤษภาคม เวลา 07:28 น. พระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ถ้าได้ฌานด้วยก็อุบัติในพรหมโลก กว่าที่ฌานจะเสื่อม แล้วอุบัติในกามาวจรภูมิ ปัญญาของท่านก็เจริญขึ้น จากพระโสดาบันเป็นพระสกทาคามีบุคคล และพระอนาคามีตามลำดับ ในพรหมโลกนั่นเอง เป็นอันว่าจะปรินิพพานในพรหมโลกนั่นเอง เข้าใจแล้วค่ะ ขอบพระคุณค่ะ ความคิดเห็นที่ 29 ฐานาฐานะ, 8 พฤษภาคม เวลา 18:56 น. GravityOfLove, 10 ชั่วโมงที่แล้ว ... 7:08 AM 5/8/2014 สรุปความได้ดีทั้ง 3 พระสูตร. ขอติงว่า คำว่า เรื่องเกิดขึ้นที่พระนครสาวัตถี ในสรุปความพระสูตรที่ 3 และ 4 ไม่ควรกำหนดลงไปอย่างนั้น แม้จะสันนิษฐานว่า พระสูตรเกิดขึ้นที่พระนครสาวัตถีก็ตาม เพราะเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น ควรกล่าวแต่เพียงว่า เทวดากล่าวคาถาในสำนัก พระผู้มีพระภาค เท่านั้น. ความคิดเห็นที่ 30 ฐานาฐานะ, 8 พฤษภาคม เวลา 18:59 น. คำถามในพระสูตรทั้งสาม ๒. นิโมกขสูตร //84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=30&Z=50 ๓. อุปเนยยสูตร //84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=51&Z=59 ๔. อัจเจนติสูตร //84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=60&Z=68 เมื่อศึกษาแล้วได้อะไรบ้าง. ย้ายไปที่ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=12-03-2013&group=1&gblog=1 |
แก้วมณีโชติรส
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
GravityOfLove, 11 นาทีที่แล้ว
๒. นิโมกขสูตร
กรุณาอธิบายค่ะ
ตั้งแต่ [ในปุริมนัยนั้น ... ] ถึง [ ... แห่งขันธ์ ๕ เหล่านี้ดังพรรณนามาฉะนี้.]
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=4
...
8:26 PM 5/6/2014
อธิบายในส่วนของนิโมกขสูตรก่อน ดังนี้ว่า
อธิบายว่า ทำความเข้าใจอรรถกถาได้ค่อนข้างยาก
สันนิษฐานว่า
คำว่า ในปุริมนัยนั้น ... หรือในนัยแรก
เป็นการอธิบายพระพุทธดำรัส ในประโยคว่า
ท่านผู้มีอายุ เพราะความสิ้นภพอันมีความเพลิดเพลินเป็นมูล
เพราะความสิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ เพราะความดับ เพราะความสงบแห่งเวทนาทั้งหลาย
เราย่อมรู้จักมรรคเป็นทางหลีกพ้น ผลเป็นความหลุดพ้น นิพพานเป็นที่สงัด ของสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ ฯ
- - - - - - - - - - -
เพราะความสิ้นภพอันมีความเพลิดเพลินเป็นมูล
อธิบายด้วยคำว่า
สังขารขันธ์อันกัมมภพถือเอาแล้ว ด้วยอำนาจแห่งอภิสังขารคือกรรม ๓ อย่าง.
หรือว่า นัยว่า เพราะความสิ้นทุกข์ อันมีความเพลิดเพลินหรือตัณหา
เป็นมูลหรือเป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
ก็ความเพลิดเพลินหรือตัณหา จัดเป็นสังขารขันธ์ซึ่งประกอบเป็นเจตนาหรือกรรม
หรือที่เรียกว่า อภิสังขารคือกรรม ๓ อย่าง คือ บุญ อปุญญ (บาป) อาเนญชา (อรูปาวจรกุศล)
กล่าวคือ เมื่อสิ้นตัณหาอันทำให้ทำกรรม (ทั้งสาม)
คำว่า อภิสังขาร 3
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อภิสังขาร
เพราะความสิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ
อธิบายด้วยคำว่า
ขันธ์ ๒ (เวทนาและสัญญาขันธ์) อันสัมปยุตด้วยธรรม (สังขารขันธ์)
นั้นอันสัญญาและวิญญาณขันธ์ถือเอาแล้ว.
กล่าวคือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นไปกับสังขารขันธ์ (นัยของตัณหาหรืออภิสังขาร)
อันเป็นปัจจัยในเกิดสัญญาและวิญญาณขันธ์ (น่าจะหมายถึงปฏิสนธิอีก) ดับไป
สัญญาและวิญญาณขันธ์ ก็จะดับไป ไม่ปฏิสนธิอีก.
สำหรับสัญญาในคำว่า สัญญาและวิญญาณขันธ์ น่าจะเป็นการแสดง
แก่บุคคลที่เห็นหรือเข้าใจลักษณะของสัญญาชัดเจนว่า เป็นอาการของการเกิดอีก
กล่าวคือ คงจะเหมาะแก่ผู้ที่เข้าใจความหมายของสัญญาได้ดี จึงทรงแสดงคำว่า
สัญญา ในคำว่า เพราะความสิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ ไว้ด้วย.
เพราะความดับ เพราะความสงบแห่งเวทนาทั้งหลาย
อธิบายด้วยคำว่า
แต่เวทนาอันสัมปยุตด้วยขันธ์ ๓ (สัญญาสังขารวิญญาณขันธ์) เหล่านั้น
ท่านถือเอาแล้ว ด้วยการถือเอานามธรรมเหล่านั้น
กล่าวคือ หมายถึงว่า เวทนาเป็นที่ปรากฎของนามขันธ์ 3 ดังนั้น
เมื่อเวทนาดับหรือเวทนาสงบ ก็เป็นอันแสดงนัยว่า นามขันธ์ทั้งปวงดับหรือสงบไป.
หรือนัยว่า เวทนาก็เกิดพร้อมกับนามขันธ์อีก 3 การที่เวทนาดับ ก็เป็นอัน
นามขันธ์ทั้งปวงดับเช่นกัน.
--------------------------------------------------------
แต่ในนัยที่ ๒ สังขารขันธ์ ท่านถือเอาโดยการถือเอานันทิ คือความเพลิดเพลิน.
รูปขันธ์กล่าวคืออุปปัตติภพ ท่านถือเอาโดยการถือเอาภพ.
เมื่อว่าโดยย่อ ขันธ์ ๓ เป็นธรรมอันท่านถือเอาแล้ว ด้วยสัญญาขันธ์เป็นต้นทีเดียว.
บัณฑิตพึงทราบว่า พระนิพพานอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยอำนาจแห่งความไม่มีต่อไป (คือเป็นที่สงัด)
แห่งขันธ์ ๕ เหล่านี้ดังพรรณนามาฉะนี้.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
แต่ในนัยที่ ๒ สังขารขันธ์ ท่านถือเอาโดยการถือเอานันทิ คือความเพลิดเพลิน.
รูปขันธ์กล่าวคืออุปปัตติภพ ท่านถือเอาโดยการถือเอาภพ.
อธิบายคำว่า เพราะความสิ้นภพอันมีความเพลิดเพลินเป็นมูล
เพราะว่า ความเพลิดเพลิน หรือตัณหา เป็นสังขารขันธ์
รูปขันธ์เป็นอันกำหนดภพใหม่ อย่างชัดเจน.
. . . . . . . . .
เมื่อว่าโดยย่อ ขันธ์ ๓ เป็นธรรมอันท่านถือเอาแล้ว ด้วยสัญญาขันธ์เป็นต้นทีเดียว.
อธิบายคำว่า เพราะความสิ้นแห่งสัญญาและวิญญาณ เพราะความดับ
เพราะความสงบแห่งเวทนาทั้งหลาย เป็นการอธิบายรวมๆ โดยย่อ.
คำว่า เพราะฉะนั้น นิพพานซึ่งดับกิเลสยังมีชีวิตอยู่ (สอุปาทิเสสนิพพาน)
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยสามารถแห่งความไม่มีต่อไป (คือเป็นที่สงัด)
แห่งนามขันธ์ ๔ อันเป็นอนุปาทินนกะ ดังนี้.
และคำว่า บัณฑิตพึงทราบว่า พระนิพพานอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว
ด้วยอำนาจแห่งความไม่มีต่อไป (คือเป็นที่สงัด) แห่งขันธ์ ๕ เหล่านี้ดังพรรณนามาฉะนี้.
อธิบายคำว่า นิพพานเป็นที่สงัด ของสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ ฯ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ว่าโดยนัยรวบยอดของพระพุทธดำรัส สันนิษฐานว่า
แสดงในเห็นโทษของขันธ์ 5 โดยนัยว่า
ความดับของขันธ์ 5 นั่นแหละ คือ พระนิพพาน
ผู้ฟังหรือเทวดานั้น น่าจะได้นัยว่า
ควรเบื่อหน่ายและเห็นโทษในขันธ์ 5 ว่าเป็นทุกข์
และเห็นการสงบดับไปของขันธ์ 5 เป็นความสุข
นัยรวบยอดนี้ คล้ายบาทสุดท้ายของพระพุทธพจน์ในคาถาที่ว่า
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๘๖] สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
. การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นความสุข ดังนี้ ฯ
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=มหาสุทัสสน
สันนิษฐานล้วน.