ผ่านทะเลเห็นน้ำไร้ความหมาย
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 มีนาคม 2548
 
All Blogs
 
อินทรีดำ : ฤาเขาจะเป็นวีระบุรุษคนสุดท้าย????

บทความนี้เขียนเมื่อราวปี 2001
เมื่อมีโอกาสได้ทำข่าวเรื่องลีถง เมื่อเขาถูกจับในไทย
ได้นำเอาประสบการณ์บางส่วนและเรื่องราวของเขาที่ค้นหาได้ในอินเตอร์เน็ต(ซึ่งเป็นส่วนใหญ่)มาใส่ไว้
เขียนแล้วก็ได้นำลงในกระทู้ต่อเนื่องของชาวเรือสหมิตรในห้องสมุดพันทิพ
และจากนั้นก็ส่งไปลงที่เว็บ Vcharkarn ด้วย
เพิ่งนึกออกว่าเคยเขียนไว้จึงเอามาไว้ที่นี่ด้วย



Ly Tong

เวลาที่เราดูหนังแอ๊คชั่นฮอลลีวู้ด เรามักไม่คิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ แต่ว่าโลกนี้ช่างมีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เหลือหลาย บางครั้งชีวิตของคนบางคนนั้นก็มีสีสันแจ่มจ้าเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ผู้กำกับฮอลลีวู้ดระบายลงในฟิล์ม และเมื่อพูดถึงคนประเภทนี้ ลี ถง (Ly Tong) วีรบุรุษของชาวเวียดนามลี้ภัยก็ยืนอยู่แถวหน้าสุดเสียด้วย

เขาเป็นเศษส่วนที่เหลือของสงครามระหว่างโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ชีวิตของเขาขาดรุ่งริ่งด้วยอุดมการณ์ยุคเก่าที่ฝังเข้าไปในยีนส์ เขาเห็นว่าคอมมิวนิสต์นั้นคือปีศาจ คือความเลวร้ายแห่งโลกที่ต้องล้างเสียให้สิ้น ซึ่งเป็นที่มาของการผจญภัยอันบ้าบิ่นสะท้านโลกหลายครั้งของเขา

ตอนที่หนึ่ง เครื่องบินที่หายไปและกลับมาใหม่

บ่ายของวันทำงานที่ยุ่งเหยิงวันหนึ่งในปีสิ้นสหัสวรรษเก่า วิทยุร่วมด้วยช่วยกันรายงานว่า เครื่องบินฝึกบินของสถาบันการบินพลเรือนที่ขึ้นจากสนามบินบ่อฝ้าย หัวหินมุ่งหน้าจะไปสนามบินอู่ตะเภาขาดการติดต่อกับหอบังคับการบินไปหลังจากขึ้นบินได้สามชั่วโมง ตำรวจน้ำ ทหารเรือและหน่วยค้นหาของสถาบัน พากันค้นหากันจ้าละหวั่นในอ่าวไทย เพราะคิดว่าเครื่องบินตก สำนักข่าวต่าง ๆก็เช็คข่าวกันวุ่นเหมือนกัน

สิ่งที่ได้มาก็คือ บนเครื่องมี"นักธุรกิจ"ชาวเวียดนาม ถือพาสปอร์ตสหรัฐ ชื่อ ลีถง เป็นผู้เช่าเครื่องบินกับครูฝึกบินเพียงสองคน เครื่องเป็นแบบ partenavia 68 สองใบพัด สองเครื่องยนต์ ซึ่งสามารถบินติดต่อกันได้ถึง 9 ชั่วโมง หายไปตั้งแต่บ่ายโมงกว่า

คนที่สถาบันเริ่มภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนเลย โดยเฉพาะครูฝึก ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมขึ้นบินกับคนที่มาเช่าเครื่องบินคนนี้ เพราะว่าบุคคลิกท่าทางของเขานั้น "พิลึก" จนครูฝึกบินคนอื่น ๆปฏิเสธไม่ยอมขึ้นไปบินด้วย

หลังจากนั้น 7 ชั่วโมง หอสัญญาณการบินก็พบเห็นเครื่องบินอีกครั้งหนึ่ง และมันก็ลงที่อู่ตะเภา ทั้งครูฝึกและผู้เช่าเครื่องปลอดภัยดี ทหารเรือซึ่งเป็นเจ้าของสนามบินพาตัวทั้งสองไปสอบสวนไว้ เพื่อถามว่า 7 ชั่วโมงนั้น พวกเขาไปที่ใด? นักข่าวเลิกเช็คข่าวเพราะไม่มีข่าวอีกต่อไปแล้ว... เครื่องบินกลับคืนมา

เกือบเที่ยงคืน…มีรายงานข่าวจากเวียดนามว่ามีคนใจกล้าบินไปกระตุกหนวดเสือ นำเอาเครื่องบินสองใบพัดไม่ปรากฏสัญชาติไปบินวนเหนือโฮจิมินห์ซิตี้ แล้วโปรยใบปลิวต่อต้านคอมมิวนิสต์เหนือท้องฟ้าของนครโฮ จิ มินห์ ซิตี้…

นักข่าวเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นใหม่ ค้นเข้าไปในไฟล์ที่มีอยู่เดิม และสรุปว่า แบล๊ค อีเกิ้ลกลับมาแล้ว สอดคล้องกับรายงานมาจากเวียดนามว่าในใบปลิวลงนามว่า Ly Tong the Black Eagle

หลังจากการโทรศัพท์นับสิบครั้งก็ได้รู้ว่าลีถงและครูฝึกถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งตำรวจ ทหารและกระทรวงการต่างประเทศรีบรุดไปยังสถานีตำรวจเล็ก ๆแห่งนั้นเพื่อเค้นเอาความจริง


คนขวาสุดคือลีถงขณะอยู่ที่สถานีตำรวจระยอง




ครูฝึกให้การปรักปรำลีถงว่าในระหว่างที่บินอยู่เหนืออ่าวไทย ลีถงก็บอกว่าเขาจะไปเวียดนาม ถ้าครูฝึกไม่ยอมจะทำเครื่องบินตก เขาจึงจำเป็นต้องยอมไปด้วย และเมื่อไปถึงโฮจิมินห์ซิตี้ ลีถงก็โปรยใบปลิวลงไป ครูฝึกถูกปล่อยตัว ลีถงถูกทางการไทยฟ้องสามข้อหา; นำเอาเครื่องบินออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต , ขู่บังคับและหน่วงเหนี่ยวบุคคล และบังคับบุคคลอื่นให้ร่วมกระทำผิดกฏหมาย

ลีถงถูกนำตัวไปฝากขังยังห้องขังของศาลจังหวัดระยอง และยังอยู่ในระหว่างถูกการดำเนินคดี เขาร้องขอพบเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯและบอกว่าจะพูดกับเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯเท่านั้น

ตอนที่สอง Black Eagle

มีบทความภาษาอังกฤษมากมายที่เล่าเกี่ยวกับวีระกรรมของลีถงและความเป็นมาของเขา ในที่นี้จะอาศัยบทความของChristopher McGregor จาก Philadelphia citypaper.net เป็นหลัก

ลีถงนั้นเดิมชื่อ เล วัน ถง เขาเข้าเป็นทหารอากาศในกองทัพเวียดนามใต้เมื่อปี 1965 และก็ถูกไล่ออกหลังจากนั้นไม่นาน เพราะซ้อมผู้บังคับบัญชา ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นลีถงและสมัครกลับเข้าไปในกองทัพอากาศอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ร่วมงานกับตรัน มานห์ คอย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองบิน อินทรีดำ

ตรันให้สัมภาษณ์ถึงลีถงในลอสแองเจลีส ไทม์ว่า "แน่นอนทุกคนกลัวตาย เพียงแต่ว่าเจ้านี่กลัวน้อยกว่าคนอื่น ๆมาก" เรืออากาศตรีลีถงมักอยู่แนวหน้าเสมอในเรื่องปฏิบัติการเสี่ยงชีวิตทั้งหลาย และเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งอย่างที่สุด บ่อยครั้งที่ตรันต้อง"อบรม"ให้ลีถงลดความบ้าบิ่นลงมาเสียบ้าง

ในที่สุดความบ้าบิ่นของลีถงในกองทัพอากาศก็ถึงจุดจบ เครื่องบินทิ้งระเบิด เอ-37 ของเขาถูกยิงก่อนหน้าไซ่ง่อนแตกเพียงสองอาทิตย์(ปี 1975) เขาดีดตัวออกมาจากเครื่อง ร่มของเขาก็ตกลงกลางวงล้อมของกองกำลังเวียดกง แต่คนอย่างเขาหรือจะยอมแพ้ต่อชะตากรรมง่าย ๆ ไม่กี่เดือนหลังถูกจับ ลีถงก็พยายามหนีในระหว่างทำงานอยู่ในไร่นา แต่ก็ถูกจับกลับมา พวกเวียดกงเอาเขาไปใส่ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์เหล็กที่ทหารอเมริกันทิ้งไว้ และถูกดัดแปลงมาเป็นที่คุมขังสำหรับนักโทษฉกรรจ์ อุณหภูมิภายในตู้เหล็กจะขึ้นถึง 100 ฟาเรนไฮท์ในยามกลางวัน และเปลี่ยนเป็นหนาวจัดในยามกลางคืน เขาอยู่ในนั้นถึง 6 เดือน

หลังจากออกมาจากตู้เหล็กไม่เท่าไร ลีถงก็หนีอีก คราวนี้เขาโชคดี หลังจากงมหาทางอยู่ในป่าหลายวันเขาก็เจอกับทางรถไฟ เขาแอบโดยสารทางรถไฟลงไปทางใต้ห่างจากโฮ จิ มินห์ ซิตี้ไปสามร้อยกิโลเมตร เขารู้ดีว่าจำเป็นจะต้องออกจากเวียดนามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิฉะนั้นจะถูกจับกลับไปอีก ลีถงเริ่มเดินบ้าง โบกรถบ้างไปจนผ่านเข้าไปในกัมพูชาอย่างไม่มีใครสงสัย จากนั้นเขาก็วางแผนที่จะขโมยเรือประมงเพื่อจะเดินทางต่อไปยังกรุงเทพที่ที่เขาเชื่อว่าจะได้รับความช่วยเหลือ แต่ชาวประมงเกิดสงสัยในตัวเขาและแจ้งตำรวจ ลีถงต้องเข้าคุกกัมพูชาอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะแหกคุกออกมา

ลีถงเล่าประสบการณ์ตอนที่หนีออกมาว่า "ผมวิ่งไปเหมือนคนบ้า ทั้งตำรวจ หมา ชาวบ้านกำลังออกตามหาผม ผมต้องซ่อนตัวในพงหญ้า ทำตัวนิ่งที่สุดอยู่ถึง 6 ชั่วโมง ถูกมดรุมกัดทั่วตัว และเกือบจะหมดสติไปหลายครั้ง"

เมื่อการค้นหาเลิกล้มไป ลีถงก็เริ่มเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่เขาใช้เส้นทางในป่า ดำรงชีวิตอยู่ด้วยงู กบ ปลาเท่าที่จะหาได้ บางทีก็เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาข่าวและแลกเสื้อผ้า บุหรี่ที่มีกับอาหาร (งง มีเสื้อผ้าและบุหรี่มาจากไหนไม่รู้ สงสัยขโมยเขาเอา) ในที่สุดเขาก็ผ่านชายแดนกัมพูชาเข้าสู่เขตไทยอย่างปลอดภัย เขารี่ตรงไปที่กาชาดทันทีและนึกดีใจว่าในที่สุดเขาก็เป็นอิสระแล้ว แต่เมื่อไปถึงที่นั่น คนของกาชาดกลับพาเขาส่งตำรวจ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นสายลับ ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เขาเล่า ถ้าไม่ใช่สปายแล้วไซร้ ก็คงไม่มีใครเดินผ่านกับระเบิดที่ถูกฝังไว้ในทุกตารางฟุตของชายแดนกัมพูชาได้

ลีถูกส่งจากชายแดนไทยกลับไปยังกัมพูชา และถูกส่งไปไว้ในค่ายผู้อพยพรอเวลาส่งตัวกลับไปเวียดนาม…..แต่ที่นี้เองความรักได้ช่วยเขาเอาไว้ เขาพบพยาบาลกาชาดชาวฟิลิปปินส์ที่ดูแลนักโทษ และกลางคืนเขาหนีออกจากค่ายไปที่บ้านของเธอ เขาซ่อนตัวที่นั่นสองสามวัน และก็เป็นช่วงเวลาแห่งตำนานความรักของเขาและเธอ (โรแมนติกแมะ) พยาบาลสาวพอเขาขึ้นรถไปยังกรุงเทพ -หลายปีต่อมาเขาพบว่าเธอกลับไปอาศัยอยู่ในฟิลิปปินส์ พร้อมกับลูกสาวของเขา

เมื่อถึงเขตไทย การหนีก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เขาทั้งโบกรถและเดินตัดป่าไปยังชายแดนมาเลย์ เขาผ่านเข้าไปโดยซ่อนตัวอยู่ในรถบรรทุกและพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ไปถึงชายแดนมาเลย์ด้านที่ติดกับสิงคโปร์ให้ได้ และเมื่อยะโฮร์ ลีถงก็ว่ายนำข้ามช่องแคบยะโฮร์กว้างสามไมล์ที่เต็มไปด้วยฉลามไปขึ้นที่สิงคโปร์ พอขึ้นฝั่งได้เขาก็เดินเตร็ดเตร่เข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง แล้วเรียกแท็กซี่ไปสถานทูตอเมริกัน

"เมื่อไปถึงสถานทูต ผมก็ระล่ำระลักบอกเขาว่า ช่วยผมด้วย ช่วยส่งไปผมที่ที่ไม่มีคอมมิวนิสต์ด้วยเถอะ เมื่อพวกนั้นเช็คเรื่องของผมแล้ว ก็ส่งผมไปอเมริกา..."

ตอนที่สาม อินทรีดำที่พยายามจะเป็นพิราบขาว

ลีถงเดินทางถึงอเมริกา และก็เริ่มใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นั่น เขาอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย กลางคืนเป็นยาม และกลางวันเรียนปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์จนจบ และลีถงก็ได้พบรักกับนักแสดงสาวสวยชาวเวียดนาม ทั้งสองคบหากันอยู่เป็นเวลานาน

ลีถงหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชของเวียดนาม หรือการประนามรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เขาพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ และเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยบุคคลิกและความสนใจของเขาเอง ลีถงได้ตั้งกลุ่มชาวบ้านในแถบที่เขาอาศัยอยู่ เพื่อป้องกันตัวเองจากโจรผู้ร้ายขึ้น แต่เค้าความยุ่งยากก็เกิดขึ้น เมื่อเขายิงโจรวัย 15 ปีที่ย่องเข้ามาในบ้านหลังหนึ่งตาย ทุกคนเริ่มมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง ถึงความรุนแรงที่อยู่ในตัวเขา

นอกจากนี้การเรียนของเขาก็มีปัญหา อาจารย์ส่งร่างวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขา ซึ่งทำเกี่ยวกับหัวข้อ "สาเหตุแห่งสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" คืนมาเพื่อให้แก้ไขใหม่ โดยให้เหตุผลว่า สิ่งทีเขาเขียนเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่วิชาการ

ลีถงเริ่มเคว้ง เขาอายุ 44แล้ว และพบว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ยามแก่ ๆ คนหนึ่ง ซึ่งกำลังล้มเหลวในชีวิต เขาตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินไปกรุงเทพ ก่อนไปก็ไปซื้อร่มชีพตัวเล็ก ๆที่ร้านขายเครื่องกีฬาในเมืองนิวออร์ลีนส์ และทำพินัยกรรมยกของทุกชิ้นให้กับเด็ก ๆชาวเวียดนามที่เป็นกำพร้าจากสงคราม แล้วก็ขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพ

เขาเลือกโรงแรมที่ใกล้กับกองทัพอากาศมากที่สุด และก็เริ่มจับตาดูความเคลื่อนไหวของโรงเก็บเครื่องบินทหารอากาศ ลีถงเล่าว่า ตอนนั้นเขาวางแผนที่จะขโมยเครื่องบินรบสักลำหนึ่งแล้วไปปฏิบัติการที่เวียดนาม แต่ความพยายามของเขาไม่ประสบความสำเร็จการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาเกินไป เขาทำได้เพียงแค่เข้าไปในโรงเก็บเครื่องบิน และทิ้งร่องรอยไว้เหมือนกับอวดโอ่ว่าเขาได้เข้ามาที่นี่แล้วนะ

เมื่อแผนหนึ่งล้มเหลว แผนสองก็ตามมา ลีถงเดินเข้าไปซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งไปโฮจิมินห์ซิตี้ และแล้วในวันที่ 2 กันยายน 1992 อินทรีดำก็กลับคืนสู่ท้องฟ้าเวียดนามอีกครั้ง ครั้งนี้เขาพาเอาชีวิตผู้โดยสารเครื่องบินพาณิชย์มากกว่าร้อยคน เข้าไปเสี่ยงในความเป็นความตายด้วย...

ตอนที่สี่ จี้เครื่องบิน

"อย่ายิง อย่ายิง" กัปตันเครื่องบินตะโกนใส่เครื่องวิทยุ "เราเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่มีผู้โดยสารเต็มลำ เราถูกจี้ เขาขู่ว่าจะระเบิดเครื่องบินเรา" ในขณะที่บนพื้นดิน ทหารเวียตนามเตรียมพร้อมเต็มที่

ปืนต่อต้านอากาศยานทุกกระบอกในโฮจิมินห์ ซิตี้เล็งขึ้นมายังเครื่องบินสายการบินเวียตนาม ที่บินวนบนท้องฟ้าเหนือเมืองเป็นรอบที่ห้าแล้ว

ใบปลิวนับหมื่นถูกโปรยลงมา ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ข้อความที่อยู่ในนั้นบอกว่า อินทรีดำกลับมาแล้ว ชาวไซ่ง่อนทั้งหลายจงพรั่งพรูมายังท้องถนน จับอาวุธขั้นสู้ ยึดสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ตำรวจจงเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้หรือไม่ก็กลับไปยังค่ายพัก ทัพต่างชาติจะบุกเข้ามาเร็วนี้ และผมจะกลับมาเพื่อนำการต่อสู้ โปรดรอข่าวสารครั้งต่อไป...

กัปตันเอี้ยวมองดูข้างหลัง ช่างเครื่องกับแอร์โฮสเตสถูกมัดมือมัดเท้าอยู่บนพื้นห้องนักบิน ข้างๆหน้าต่างติดกับประตู ชายชาวเวียตนามคนหนึ่งยืนเก้ ๆกัง ๆอยู่อย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี บนหลังของเขามีเป้ที่เต็มไปด้วยระเบิด

ชายคนนั้นก็เปิดหน้าต่างห้องนักบินออก ชะโงกออกไปสุดตัว ฟึ่บบบบบ เขาเสียหลักถูกลมกระชากออกไปจากเครื่องลอยละลิ่วลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

หกปีต่อมา... ลีถงซึ่งพึ่งเดินกลับถึงอเมริกา เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นให้คนทั้งหลายที่มาในงานที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับเขากลับบ้านว่า "ผมบอกแอร์โฮสเตสอย่างสุภาพว่า เป้สะพายร่มชูชีพคือระเบิดเวลา ผมมีเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นที่จะปฏิบัติการให้สำเร็จ" เขามัดช่างเครื่องและแอร์ โฮสเตส และขู่ให้นักบินบินวนเหนือไซ่ง่อน ในระยะความสูงเดียวกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินรบ แล้วก็โปรยปรายใบปลิวทำเองห้าหมื่นใบลงมา

หลังจากบินวนอยู่ 5 รอบ หอการบินก็วิทยุมาบังคับให้เอาเครื่องบินลงมาข้างล่าง มิเช่นนั้นจะถูกยิง กองกำลังทหารเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ลีถงตัดสินใจว่าจะเอาเครื่องบินลง ในระหว่างนั้นเขาจะออกไปอธิบายกับผู้โดยสารที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่..เจ้ากรรมเหลือเกินเขาเปิดประตูห้องนักบินไม่ออก

ลีถงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างล่างบ้าง ก็เลยเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกออกไปดู ร่างเขาถูกลมกระชากออกมาอย่างแรง ดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว... อินทรีดำก็กลายเป็นแค่ไก่ตะกายอากาศเพื่อความอยู่รอด เขากระชากร่มชูชีพให้ทำงาน แต่ลมอันรุนแรงตีสายร่มมาพันกับข้อเท้าของเขา ร่างของเขาปลิวละลิ่วลงสู่เบื้องล่างอย่างเร่งร้อน ลีถงเริ่มเห็นพื้นดินใกล้เข้ามาทุกขณะ

"ผมตะโกนบอกพระเจ้าว่า ทำไมถึงเล่นตลกกันแบบนี้ ไม่ช่วยกันบ้างเลย" ลีถงเล่า

เขาตะเกียกตะกายเฮือกสุดท้าย และแล้วสายร่มก็หลุดออกมา ร่มกางในระยะความสูงสุดท้ายที่จะทำให้เขาร่อนลงพื้นอย่างปลอดภัยได้ในที่สุด แต่การดิ่งลงด้วยความเร็วสูงก็มีผลดีทำให้เขาไม่ถูกลูกกระสุนที่ทหารยิงขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

ลีถงตกลงในบึงน้ำไหลและจมลงอย่างรวดเร็วเพราะร่มชูชีพ เขาเกือบจมน้ำตายดีแต่ว่าปลดร่มออกเสียได้ กระแสน้ำในบึงพาเขาออกไปห่างจากพวกทหารจนเจอชาวประมงที่กำลังตกปลากันอยู่ พวกนั้นนึกว่าคนที่อยู่ ๆก็โผล่มาข้าง ๆเรือเป็นพวกขโมยเรือก็เลยใช้พายหวดเข้าอย่างจัง อินทรีดำที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กก็สิ้นฤทธิ์ทันที ชาวประมงพากันลากตัวเขาไปหาตำรวจเพื่อแจ้งความ

ลีถงจ่ายสินบนให้ตำรวจ และเล่าเรื่องโกหกที่เขาแต่งขึ้นสด ๆร้อน ๆ ว่าเป็นเวียตนามอเมริกันที่กลับมาตามหาชู้รัก แต่ก็ต้องเผ่นหนีจากผัวใหม่ของเธออย่างไม่คิดชีวิต เขาถูกปล่อยตัวและกำลังจะเดินออกจากสถานี ทันใดนั้นโทรศัพท์จากกระทรวงกลาโหมก็ดังขึ้น ชีวิตในคุกเวียตนามของเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ลีถงถูกตัดสินจำคุก 20 ปี

ในคุก ลีถงพยายามเข้มแข็ง เขาฝึกเทควอนโดเสียงดังทุกวันในห้องขังตอนเช้า เพื่อเตือนว่าผู้คุมคนใดก็ตามอย่ามาแหยมกับเขาเป็นอันขาด และเมื่อถูกพัสดีสั่งให้ตัดผม เขาก็ไม่ยอม ตะโกนบอกว่า "ถ้าจะตัด ก็ตัดหัวภูดีกว่า" แม้เขาจะพยายามดำรงความเป็นลีถงไว้เพียงใดก็ตาม แต่ความทรมานภายในคุก และความสิ้นหวังก็กัดกร่อนเขาไม่น้อย ลีถงพยายามฆ่าตัวตายไม่ต่ำกว่าสองครั้ง แม้เขาจะบอกใครๆว่า การกรีดข้อมือตัวเองหรือการเอาหัวชนกำแพง หรือการอดอาหารเป็นระยะนานนั้น เป็นการประท้วงทางการเมือง แต่หลายคนคิดว่าเป็นเพราะเขาสิ้นหวังในชีวิต เพราะสำหรับคนอายุเฉียด 50 อย่างเขา การอยู่ในคุกนาน 20 ปีก็เหมือนกับคำสั่งประหาร

แต่พระเจ้าคงไม่อยากให้เขาตายในคุกเวียตนาม ปี 1997 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก เวียตนามก็โดนหางเลขไปด้วย ในระยะต่อมารัฐบาลเวียตนาม จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากภายนอก และรัฐบาลสหรัฐฯก็ยื่นมือเข้ามา แต่ความช่วยเหลือดังกล่าวมีข้อแลกเปลี่ยน เวียตนามต้องปล่อยตัวนักโทษการเมือง 5 คนออกมาจากคุก และส่งพวกเขาออกนอกประเทศ หนึ่งในนั้นคือ ลีถง ตอนนั้นเขาอยู่ในคุกเป็นนานถึง 6 ปี

เมื่อเขาเดินทางกลับสหรัฐฯ ชุมชนชาวเวียตนามลี้ภัยในฟิลาเดลเฟียใต้ได้จัดงานต้อนรับวีระบุรุษของเขา ลีถงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผู้ฟังหลายร้อยคนฟัง และก็กลายเป็นวีระบุรุษของคนเหล่านั้นไปแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วการกระทำของลีถง ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเวียตนามจากรัฐคอมมิวนิสต์เลยสักนิด ระบบเศรษฐกิจเสรีที่ก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคงต่างหากที่ค่อยๆ กันเซาะระบบการปกครองแบบสังคมนิยมทีละน้อย และการกระทำของลีถง ก็สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับเวียตนามมิใช่น้อย

แม็คดูกัลได้คุยกับคนที่เข้าฟังลีถงเล่าประสบการณ์ของเขาหลายคน เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมลีถงจึงกลายเป็นวีระบุรุษในสายตาเวียตนามนัก เพราะการจี้เครื่องบินเอาใบปลิวไปทิ้งที่ประเทศคอมมิวนิสต์น่าจะเป็นการกระทำของคนสติไม่ค่อยดีเสียมากกว่า

เวียตนามนั้นได้ผ่านการต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่ามากมาเนิ่นนาน เป็นการต่อสู้ที่ขมขื่น ยากเข็ญ และมองไม่เห็นทางที่จะเอาชนะได้ นับพันปีที่ชาวเวียตนามได้ต่อสู้กับอภิมหาอำนาจ อย่างจีนเพื่อเอกราช หลังจากนั้นก็ต่อสู้กับฝรั่งเศส และท้ายที่สุดก็กับคอมมิวนิสต์ (ถ้าเป็นพวกเวียตกงก็จะบอกว่าท้ายสุดก็คือสหรัฐ...) วีระบุรุษในตำนานของพวกเขา ไม่ได้เป็นคนที่ได้รับชัยชนะ แต่เป็นคนที่ต่อสู้กับสิ่งยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถจะชนะได้ และทุ่มเทตัวเองจนตัวตายนั่นแหละ คือคนกล้าที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง

สิ่งนี้ไม่เพียงจะอธิบายว่าทำไมลีถงจึงได้รับการยกย่องมากมาย หากแต่ยังอธิบายถึงการตัดสินใจที่บ้าบิ่นของลีถงอีกด้วย... ตำนานแห่งผู้แพ้ที่ไม่ยอมพ่ายต่อชะตา คงเป็นแรงขับส่วนหนึ่ง ที่ทำให้อินทรีดำปฏิบัติการในสิ่งที่ดูเหมือนไร้สติอย่างสิ้นเชิง

ตอนที่ห้า เหยียบจมูกคาสโตร

หลังจากกลับมาจากเวียตนาม ลีถงก็สงบลงอีกไปได้พักหนึ่ง ปฏิบัติการครั้งนั้นได้ทำให้เขากลายเป็นวีระบุรุษของชาวเวียตนามพลัดถิ่น มีรายการวิทยุที่อุทิศเวลาเล่าประวัติของเขา พระในวัดพุทธของเวียตนามก็สวดมนต์ให้แก่เขา มีคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับเขาสองสามเล่ม

ในวันที่หนึ่ง มกราคม ปีสองพัน ลีถงในวัย 51 ปีซึ่งย้ายบ้านมาอยู่ที่นิวออร์ลีนส์ ก็เช่าเครื่องบินบินไปโปรยใบปลิวต่อต้านคอมมิวนิสต์เหนือกรุงฮาวาน่า แล้วก็บินกลับมาโดยปราศจากอันตรายใด ๆ เจ้าหน้าที่สหรัฐควบคุมตัวเขาไว้เพื่อสอบสวนหลายชั่วโมง แต่ก็ถูกปล่อยออกมาโดยไม่ได้มีการตั้งข้อหาใด ๆ

>
ลีถงเมื่อกลับมาจากโปรยใบปลิวที่คิวบา


อย่างไรก็ตามใบอนุญาตบินของเขาถูกยึด ลีถงกล่าวกับนักข่าวว่า

"พวกคนใหญ่คนโตก็มัวแต่นั่งรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันแรก ของรอบพันปีที่สามของมนุษยชาติ ผมน่ะหรือ ก็เสียสละชีวิตเพื่อการปลดปล่อยคิวบาไง ผมเชื่อในพระเจ้า ความยุติธรรมและการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์"

วันต่อมากระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯออกมาประณามเขาว่า การกระทำของเขาอาจเป็นการยั่วยุให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างสหรัฐฯกับคิวบา และเป็นการกระทำที่ขาดสติ แต่ทางการคิวบาไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ

สื่อมวลชนของสหรัฐฯรายงานข่าวของลีถงกันเกรียวกราว บางส่วนทำให้เขาดูเหมือนพระเอกหนังแอ๊คชั่นฮอลลีวู้ด มีบางคนเรียกเขาว่า the last action hero เขาบอกว่าเขาโปรยใบปลิวประมาณ 50,000 แผ่นลงเหนือกรุงฮาวาน่ามีทั้งภาษาอังกฤษและเสปน ซึ่งข้อความนั้นก็คล้ายกับใบปลิวที่โปรยในโฮจิมินห์ ซิตี้ คือเรียกร้องให้ประชาชนกรูกันมาในท้องถนนยึดที่ทำการวิทยุและโทรทัศน์ และใบปลิวลงท้ายด้วยลายเซ็นต์ปลอมของเขา ภายใต้ลายเซ็นต์คือตำแหน่ง ผู้บังคับการกองกำลังปฏิวัติเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์แห่งโลก-(ปล. ผู้เขียน ดูจากตำแหน่งนี้คิดว่าลีถงไปไกลเกินกว่าคนธรรมดาจะจินตนาการถึงเสียแล้ว)



ชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบาพาลีถงแห่แหนไปทั่วเมืองด้วยความสะใจที่เขาบินไปหยามน้ำหน้าคาสโตรได้


"ผมละเมิดน่านฟ้าคนอื่น แต่นั่นไม่สำคัญ" เขาฟุ้ง "สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ผมพยายามกระตุ้นให้คนคิวบาลุกฮือขึ้นโค่นล้มทรราชย์ของฮาวาน่า" นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าเขาอยากจะปฏิบัติการเช่นเดียวกันนี้ที่จีนและเกาหลีเหนือ "ที่ใดที่ไร้ความยุติธรรม ไร้สิ้นเสรีภาพ ผมจะไปที่นั่น" ลีถงกล่าว (ปล. จากผู้เขียน-สรุปว่าแกเป็นเผ่าพันธ์เดียวกับโซโร,เชน, ซามูไรพ่อลูกอ่อน, และขุนแผนผจญภัย)

ลีถงคุยว่าที่เขาเข้าไปและกลับออกมาอย่างสะดวกโยธินนั้นเป็นเพราะ เขาบินเครื่องบินเช่าในระดับต่ำมาก เพียงแค่ 10-15ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถหลบเลียงการตรวจจับของเรด้าร์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เรด้าร์ของเจ้าหน้าที่สหรัฐและคิวบาฯก็สามารถตรวจจับเครื่องบินของเขาได้ ตั้งแต่เขาออกจากสนามบินทาไมอามี ในไมอามี่ และส่งเฮลิคอปเตอร์สองลำตามไปดูห่าง ๆ ส่วนคิวบาก็ส่งมิกสองลำตามประกบอยู่ แต่ไม่กระทำการอันใด

อาจเป็นโชคของลีถงอีกครั้งที่ทางการคิวบาไม่สั่งยิงเครื่องบินของเขา เพราะยังคงเข็ดกับเหตุการณ์เมื่อปี 1996 ที่คิวบายิงเครื่องบินพลเรือนสองลำ ที่บินจากไมอามี่ไปกรุงฮาวาน่าตก ทำให้คนสี่คนบนเครื่องเสียชีวิต ทั้งสี่คนเป็นสมาชิกของกลุ่ม Brothers to the Rescue ช่วยเหลือคนที่พยายามหนีจากความลำบาก ขาดแคลนทุกสิ่งในคิวบา เข้าฟลอริดาทางเรือหรือบางทีก็ว่ายน้ำไป ซึ่งเป็นพวกต่อต้านประธานาธิบดีคาสโตรด้วย รัฐสภาสหรัฐฯประณามการกระทำนี้ และพยายามบีบให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรคิวบาให้เข้มงวดขึ้นไปอีก

การกระทำของลีถงได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก Brothers to the Rescue. โฮเซ่ บาซุลโต ซึ่งเป็นโฆษกของกลุ่มบอกนักข่าวว่า ลีถงไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของเขา แต่เขาคิดว่า "ลีถงเป็นพวกต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่ทำเพื่อความถูกต้อง"

อีก 11 เดือนต่อมา ลีถงก็ซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางมายังประเทศไทยอีกครั้ง ...


ลีถงขณะมาขึ้นศาลจังหวัดชลบุรี


ชาวเวียตนามเรียกร้องให้ปล่อยตัวลีถง

ผู้พิพากษาศาลจังหวัดชลบุรีสั่งจำคุกลีถงราว 7 ปีด้วยข้อหานำเครื่องบินออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและอื่น ๆอีกสองสามข้อหา ขณะนี้ลีถงก็ยังอยู่ในคุกที่ชลบุรี และคาดว่าน่าจะพ้นโทษในราวปี คศ. 2007





Create Date : 03 มีนาคม 2548
Last Update : 3 มีนาคม 2548 23:35:18 น. 2 comments
Counter : 765 Pageviews.

 
ทำไมต้องเข้าคุก


โดย: 5645 IP: 192.168.9.102, 58.9.50.22 วันที่: 16 สิงหาคม 2553 เวลา:0:52:30 น.  

 
????????????


โดย: คึ น รส IP: 118.172.233.248 วันที่: 6 ตุลาคม 2553 เวลา:20:36:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาหาชาดา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดาหาชาดา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.