|
จับเพื่อที่จะปล่อย.........
จับเพื่อที่จะปล่อย.........
เมื่อคืนได้ฟังท่านปราโมทย์ ปราโมชโชเทศน์ผ่านซีดี เลยได้รู้ว่าที่จริงแล้วเราหัดเรียนรู้จิตของเรา ไม่ใช่เพื่อจับมันให้อยู่ในมือ หรือเพื่อควบคุมมันให้ได้เหมือนดั่งกับจิตเป็นอัลเซเชี่ยนมีการศึกษา......
ตรงกันข้าม เรารู้จักจิตและกายของเราเพื่อจะปล่อยไปต่างหาก
เราเรียนรู้ สังเกตพฤติกรรม ธรรมชาติของจิต เรียนรู้เรื่องกาย สังเกตอาการของกาย ก็เพื่อที่จะได้รู้ว่าจิตนี้ และกายนี้ไม่ใช่ของเราเลย เราจะควบคุมบังคับอะไรมันไม่ได้แม้แต่น้อย และเมื่อรู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา เราก็จะปล่อยมันไปได้โดยง่าย
แนวทางการฝึกของท่านนั้น พูดง่าย และก็ ฟังง่าย แต่ต้องเพียร ท่านให้ดูจิตหรือร่างกายที่ในสภาพที่เป็นธรรมชาติของมันเอง ไม่ต้องเฝ้าดู ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องทำขรึม แต่ต้องรู้เมื่อมันไปทำอะไรมาแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เมื่อมันแล่นออกไปตามความคิดให้ระลึกรู้ว่าอ๋อนี่แหละมันไปอีกแล้ว อย่าไปบังคับให้มันอยู่กับที่ อย่าไปจ้อง อย่าตามชิดติดดูว่ามันไปที่ใด ปล่อยมันให้มันไปตามธรรมชาติ แล้วค่อยรู้สึกว่าอ๋อ นี่โกรธนะ นี่หลงนะ ฯลฯ
อย่าตั้งใจ เป็นคำสอนที่แปลกเกินกว่าที่ฉันจะจินตนาการถึงได้ และยังคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
ฉันพยายามเทียบเคียงกับประสบการณ์ที่เคยมีมาว่า ถ้าเช่นนั้นการเรียนรู้จิตอาจจะเหมือนการมองดวงดาวกระมัง จะมีกลุ่มดาวบางกลุ่มที่เมื่อเราจ้องตรง ๆ เราจะมองไม่เห็นมัน จ้องให้ตายก็เห็นแต่ความมืดของท้องฟ้า แต่เมื่อเบือนหน้าไปจากที่หมาย ใช้หางตาดู เราจะเห็นแสงเลือน ๆของมันอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ.....
เมื่อตอนที่ยังไม่ได้ฟังซีดี สิ่งฉันทำก็คือจ้องมัน คอยดูว่ามันจะไปไหน แล้วก็คอยตวาดว่าเจ้าความคิดกลับมาเดี๋ยวนะ มาอยู่กับตัวของเรา นี่ก็คงผิดเสียแล้วล่ะ เพราะเราไม่ได้มุ่งหมายให้จิตกลับมาอยู่กับตัว แต่มุ่งหมายให้รู้สึกว่ามันไปที่ไหน ตอนนี้กำลังเผลอแล้วนะ รู้สึกอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะให้รู้ว่าตัวตนของเรานั้นไม่มี ไม่ใช่ให้รู้ว่าตัวเรามี แล้วจิตต้องกลับมาอยู่ที่ตัว....
มนุษย์อาจจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่ชีวิตเพื่อสิ่งที่เราเชื่อว่าคือสุดยอดแห่งความยิ่งใหญ่และดีงาม
แต่สิ่งที่ยากกว่าก็คือการสละความรู้สึกยึดมั่นว่านี่คือตัวตนของเรา และนี่คือจิตใจของเรา
ของเรา ของเรา และของเรา
แม้เมื่อสิ้นตัวตนที่จับต้องได้ไปแล้ว จิตที่ยังอยู่ก็อาจยึดมั่นในความเป็นตัวตนอันเดิม และปฏิเสธสถานะใหม่ จิตยังคงจับเป็นรูปร่างเดิม เลียนแบบความเจ็บปวดรวดร้าว ความหลงใหลและยึดถือเดิม ๆ ก่อนที่ตัวตนที่สูญหายไป......หรือเปล่า?
เรื่องเล่าแบบนางนากที่มาคอยตามพี่มากแม้จะอยู่กันคนละสถานะกันไปแล้วก็ตามนั้น เป็นเรื่องปริศนาธรรมเพื่อสอนใจคนใช่หรือไม่ การยึดมั่นถือมั่นว่านี่คือตัวตนของเรา คนรักของเรา ของรักของเรา ทำให้เราไม่รู้จักไปสู่สถานะที่เราสมควรจะไป และวนเวียนทำอย่างที่เคยทำ
เมื่อระลึกรู้ว่าสถานะเปลี่ยนแล้ว และยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วแล้ว เราจึงจะไปสู่ภพภูมิใหม่ของเราได้
การเรียนรู้จิตจึงเป็นวิธีการที่ดีในการเตรียมตัวตาย เราได้เห็นว่ากายไม่ใช่ของเรา จิตไม่ใช่ของเรา เมื่อถึงเวลาต้องปล่อยกายไปเราก็ทำได้ง่าย ไม่ทรมาน และยินดีเสียด้วยซ้ำทีละกายไปเสียได้
และจิตก็เช่นกัน เมื่อไรที่เราเห็นว่าควรจะละจิตไปได้ เพราะจิตไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เราอีกต่อไป
นึกถึงเรื่องเล่าที่เคยได้อ่านมา มีพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านปฏิบัติมาตลอดชีวิต เขาว่าท่านละได้ทุกอย่างแล้ว แต่มีถ้วยชาใบหนึ่งที่ท่านรักมาก เฝ้าคอยทะนุถนอม ยามจะจิบชาก็ทำด้วยความนุ่มนวล มีความสุขที่ได้จิบรสชาจากถ้วยที่ท่านรัก วันหนึ่งเด็กวัดยกเอาถ้วยไปทำความสะอาด ท่านออกปากเตือนว่าล้างดี ๆ ล่ะอย่าให้มันแตกนะ เด็กวัดก็รับคำแต่เดินประตูไปได้หน่อย ถ้วยชาก็หล่นแตกดังเพล้ง ท่านตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วก็อุทานว่า โล่งใจกันไปที หมดไปแล้ว
แน่นอน นี่คือปริศนาแห่งธรรม
ฉันสงสัยว่าเมื่อใดหนอ ฉันจะสามารถมองเห็นชีวิตได้ดังถ้วยชาที่แตกแล้ว ได้พบกับการสิ้นสุดของชีวิตที่เป็นเรื่องไร้ห่วง เปี่ยมไปด้วยความเต็มอกเต็มใจแห่งการเปลี่ยนสถานะนั้น และสักวันบางทีฉันคงจะเห็นจิตเหมือนดังถ้วยชาที่แตกแล้วด้วยเหมือนกัน
Create Date : 11 มีนาคม 2548 |
|
6 comments |
Last Update : 11 มีนาคม 2548 2:24:50 น. |
Counter : 733 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zaesun 11 มีนาคม 2548 3:26:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักดี 11 มีนาคม 2548 10:31:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: PADAPA--DOO (PADAPA--DOO ) 17 มีนาคม 2548 11:44:24 น. |
|
|
|
|
|
|
|