เรื่องจริงบนขบวนรถเร็วสายเหนือ
ครั้งหนึ่งเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ผมโดยสารรถไฟจากกรุงเทพฯกลับบ้านที่ต่างจังหวัด จำได้ว่าเป็นขบวนรถเร็วสายเหนือ ตู้นั่งธรรมดาชั้นสอง ด้านหน้าเยื้องกับที่นั่งของผมมีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งมา
ด้วย เมื่อรถไฟหยุดรับส่งผู้โดยสารที่สถานีระหว่างทางแห่งหนึ่ง ก็มีพ่อค้าแม่ค้านำอาหารมาเดินเร่ขายในตู้รถไฟ ผมเห็นพระภิกษุรูปนั้นซื้อข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง ท่านเก็บไว้ในย่ามข้างกาย ผมแปลกใจมากเพราะเลยเพลแล้วท่านจะซื้อไว้ทำไม ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ จนเมื่อเวลาเย็นมากแล้ว ผมเห็นท่านค่อยๆเอามือล้วงลงไปในย่ามและทำอาหารให้เป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนเข้าปาก อย่างกระมิดกระเมี้ยน ผมแอบเห็นอย่างนั้นแล้วอึดอัด คับแค้นใจอย่างบอกไม่ถูก มีความรู้สึกไม่ดีต่อพระภิกษุรูปนั้นมาก




หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว ผมนำภาพที่ผมเห็นมาทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา แย่ยิ่งกว่านั้น ผมนำมาเล่าให้ผู้คนฟังอีกหลายครั้งหลายครา ผมสร้างบาปให้กับตัวเองอยู่นาน ต่อเมื่อผมเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชาวพุทธที่แค่อยากรู้ข้อธรรมะแต่ไม่ค่อยปฏิบัติ แม้จะถือศีลห้าแต่ก็ยังเป็นศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ยังด่างพร้อย แม้จะทำบุญทำทานบ้างตามกาลแต่จิตใจยังเศร้าหมองด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เรื่องของการฝึกจิต การทำสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนานั้นไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่เคยทำเอาเลยก็ว่าได้ พูดง่ายๆว่าเป็นชาวพุทธตามประเพณีตามทะเบียน ยังห่างจากความเป็นพุทธะแท้ ทั้งๆที่เข้าวัดเกือบทุกเสาร์อาทิตย์ มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่พร้อมจะสอนจะสั่ง ข้ออ้างประการเดียวที่มีคือ “งาน” ซึ่งเป็นข้ออ้างยอดฮิตของคนส่วนมาก ในยุคนี้


พอปลดภาระจากหน้าที่การงานได้เด็ดขาดแล้ว ได้เข้าวัดอย่างผู้ใฝ่ปฏิบัติจริงๆ ความเห็นถูกก็เกิดขึ้น เคยเป็นคนมองอะไรในแง่ร้ายที่เรียกกันว่า พวกpessimist ก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วมองย้อนกลับไปในอดีต เรื่องพระภิกษุแอบฉันอาหารตอนเย็นบนตู้รถไฟ แล้วมีความรู้สึกว่าเรามีมโนทุจริต*คือมีความขุ่นเคืองอยู่ในใจ ตำหนิท่าน แถมยังเผยแพร่คำตำหนินั้นให้กว้างขวางออกไปอีก ผมน่าจะทำกรรมหนักเข้าให้แล้ว

ผมถามตัวเองว่าทำไมเราไม่มองในแง่ดี เช่น ท่านอาจเป็นภิกษุต่างจังหวัด ท่านอาพาธจึงเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลสงฆ์เสร็จแล้วก็เดินทางกลับ ท่านจำเป็นที่จะต้องกินยาตอนเย็นหลังอาหารจึงกระมิดกระเมี้ยนฉันไม่ให้น่าเกลียด หรือท่านออกเดินทางมาจากกรุงเทพโดยยังไม่ได้ฉันเช้าและเพลเลย ท่านจึงต้องฉันตอนเย็นเพื่อไม่ทำให้เกิดความลำบากทางกาย หรือว่ามีเหตุปัจจัยอื่นที่ทำให้ท่านต้องทำผิดพระธรรมวินัย อีกอย่างการฉันในเวลาวิกาลนั้นเป็นปาจิตตีย์** หรืออาบัติอย่างเบา ที่แสดงหรือเปิดเผยแล้วพ้นอาบัติได้


ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเก็บเอามาทุกข์ ตอนนั้นที่ผมทุกข์ก็เพราะผมเพ่งโทษเอากับผู้อื่น(พระรูปนั้น) แทนที่จะมองเข้าไปในกายใจของตัวเอง มีแต่จิตที่ส่งออกนอกที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้ามีสติรู้เท่าทันความจริงว่า “นี้เป็นปัจจัยให้เกิดนี้” แล้วทุกข์มันก็ดับ ทำไมถึงไม่คิด นี่ยังดีว่าผมกระโดดเกาะรถไฟขบวนสุดท้ายที่จะพาผมไปสู่จุดหมายที่แสนไกลนั้นได้ทัน (ผมจะพยายามไม่ให้หลุดร่วงลงมาสู่พื้นให้ได้) ไม่อย่างนั้นคงได้แกร่วอยู่ที่สถานีโลกนี้อีกนานนับหลายชาติแน่ๆ




*มโนทุจริต มี ๓ อย่างคือ
อภิชฌา คือ เพ่งเล็งอยากได้ จ้องที่จะเอาสิ่งของของผู้อื่น
พยาบาท คือ ขัดเคืองคิดปองร้ายผู้อื่น
มิจฉาทิฐิ คือ เห็นผิดจากคลองธรรม เห็นไม่ตรงตามจริง

**ปาจิตตีย์ ชื่ออาบัติจำพวก หนึ่ง จัดไว้ในจำพวกอาบัติเบา
(ภิกษุใด เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล เป็นปาจิตตีย์
จาก //www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=02&A=10873&Z=10931
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ ๔. โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๗เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ )
ปาจิตตีย์มี ๙๒ ข้อ หนึ่งใน๙๒ข้อนั้นก็คือห้ามพระภิกษุฉันอาหารในเวลาวิกาล
จาก //www.salatham.com/ordane/donts.htm










Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2554 17:24:37 น.
Counter : 1151 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อุษา
Location :
แพร่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
24
25
26
27
28
 
 
All Blog