Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
13 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

สัฏฐิกูฏเปรต เปรตผู้ถูกค้อนเหล็กเพลิง ๖ หมื่นอันหล่นใส่หัว

สัฏฐิกูฏเปรต

ความรู้เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาชีวิต แต่หากมีความรู้อย่างเดียวไม่มีคุณธรรมคอยกำกับแล้ว
ความรู้นั้น อาจจะสร้างความเดือดร้อนได้ เปรียบเหมือนคนที่มีอาวุธในมือ
หากนำไปใช้ในทางที่ผิด ก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น ตายไปก็ต้องเป็นเปรต ตกนรก
หมกไหม้ ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน ตัวอย่างของคนเช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต ดังเรื่องราวที่ว่า

ครั้งหนึ่ง ในขณะที่พระมหาโมคคัลลานเถระลงจากภูเขา คิชฌกูฏพร้อมกับ พระลักขณะเถระ
ท่านได้แสดงอาการยิ้ม ทำให้พระเถระที่มาด้วยกันสงสัยว่า ท่านยิ้ม เพราะอะไร

ต่อมาเมื่อพระมหาโมคคัลลานเถระได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา พระเถระรูปเดิมจึงถามเรื่องนี้ขึ้น
พระมหาโมคคัลลานะจึงบอกถึงสาเหตุที่ยิ้มว่า ได้เห็นเปรตตัวหนึ่ง มีร่างกายยาวประมาณ ๓ คาวุต
ถูกค้อนเหล็ก ๖ หมื่นอันที่ติดไฟลุกโพลง หล่นใส่ศีรษะกลางกระหม่อมของเปรตนั้น
จนศีรษะแตกกระจัดกระจาย แล้วศีรษะก็กลับรวมกันขึ้นมา ใหม่ ค้อนเหล็กก็หล่นใส่อีกอยู่อย่างนั้น
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปรตตัวนั้นร้องโอดโอยได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

พระศาสดาเมื่อได้ทรงสดับเรื่องที่พระเถระเล่าให้ฟังแล้ว จึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เปรตนี้ เราก็เคยเห็นเช่นกัน ตอนที่อยู่ที่โพธิมัณฑประเทศ แต่เราไม่ได้บอกใคร ก็เพื่ออนุเคราะห์
แก่คนบางพวกที่ไม่เชื่อเรา การที่พวกเขาไม่เชื่อว่าเปรตมีจริง นั้นทำให้ไม่กลัวบาปกรรม
ไม่นำมาซึ่งประโยชน์อะไรเลย แต่ว่าตอนนี้เราเป็นพยานของโมคคัลลานะ จึงบอกได้ ”

เหล่าภิกษุฟังพระดำรัสนั้นแล้ว จึงทูลถามถึงบุรพกรรม ของเปรตนั้น พระศาสดาจึงตรัสเล่าให้ฟังว่า

ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี ได้มีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่ง เป็นผู้มีศิลปะในการดีดก้อนกรวด
เขาไปนั่งอยู่ใต้ต้นไทรย้อยต้นหนึ่ง ใกล้ประตูพระนคร
พวกเด็กๆ ชาวบ้านเข้ามาหาเขา และขอร้องให้เขาดีดก้อนกรวดไปเจาะใบไทรย้อยนั้นให้เป็นรูปช้างบ้าง
รูปม้าบ้าง เขาก็ดีดก้อนกรวดเจาะใบไม้เป็นรูปช้าง รูปม้าให้เด็กๆดู
เด็กอยากให้ดีดเป็นรูปอะไร ก็สามารถทำให้ดูได้หมด พวกเด็กๆ ก็ให้ของกินแก่เขาเป็นสินน้ำใจ

ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน และเสด็จไปที่ต้นไทรต้นนั้นในเวลาเที่ยงตรงพอดี
แดดก็ส่องใบไม้ลงมา เงาที่ตกถูกพระราชาจึงเป็นรูปสัตว์ต่างๆ พระองค์ทรงสงสัยว่า คืออะไร
แต่พอมองขึ้นไปบนต้นไม้ก็เห็นใบไม้ เป็นรูปช้างรูปม้าต่างๆ นานา จึงตรัสถามว่า ใครเป็นคนทำ
และเมื่อทรงทราบว่าเป็น บุรุษเปลี้ย จึงมีรับสั่งให้คนไปนำบุรุษเปลี้ยนั้นมาหา แล้วตรัสว่า
“ปุโรหิตของเราปากกล้านัก พอเราพูดนิดเดียว ก็พูด เสียยืดยาว
ท่านจะดีดมูลแพะเข้าไปในปากของปุโรหิตนั้นได้หรือไม่?”

บุรุษเปลี้ยทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงให้คนนำมูลแพะมา แล้วประทับนั่งในม่านกับปุโรหิต
ข้าพระองค์รู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร”

พระราชาได้ทรงกระทำตามที่เขาแนะนำ บุรุษเปลี้ยก็ให้คนเอากรรไกรเจาะช่องเล็กๆ ช่องหนึ่งไว้ที่ม่าน
เมื่อปุโรหิตอ้าปากพูดกับพระราชา บุรุษเปลี้ยก็ดีดมูลแพะใส่ปากทีละก้อนๆ
ปุโรหิตจำต้องกลืนมูลแพะที่เข้าปากก้อนแล้วก้อนเล่า เมื่อมูลแพะหมด
บุรุษเปลี้ย จึงสั่นม่าน เพื่อให้สัญญาณแก่พระราชา พระราชาจึงตรัสว่า
“ท่านปุโรหิต ท่านพูดมากเหลือเกิน แม้แต่กลืนกินมูลแพะไปตั้งเยอะแล้ว ยังไม่หยุดพูดอีก ท่านนี้มีปากกล้านัก”

ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นถึงกับอึ้งไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปุโรหิตนี้ก็ไม่พูดพล่ามกับพระราชาอีกเลย
พระราชาจึงมีรับสั่งให้เรียกบุรุษเปลี้ยมา แล้วพระราชทานทรัพย์สมบัติให้มากมาย
ต่อมาบุรุษคนหนึ่งเห็นสมบัติของบุรุษเปลี้ย จึงคิดว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนเปลี้ย
อาศัยศิลปะนี้ จึงได้สมบัติมาก มายขนาดนี้ เราก็ควรจะศึกษาศิลปะนี้ไว้ แล้วเขาก็เข้าไปหา บุรุษเปลี้ย
เพื่อขอให้สอนวิชา แต่บุรุษเปลี้ยปฏิเสธ เขาจึงคิดว่าจะต้องทำให้บุรุษเปลี้ยผู้นี้สอนศิลปะแก่เขาให้ได้
จึงทำทีเข้าไปนวดเฟ้นแก่บุรุษเปลี้ย จนเวลาผ่านไปนานเข้า บุรุษเปลี้ยก็ใจอ่อนยอมสอนศิลปะให้เขา

หลังจากเรียนวิชาจบแล้ว บุรุษเปลี้ยจึงถามว่า จะไปทำอะไร เขาตอบว่าจะไปทดลองวิชานอกเมือง
จะดีดแม่โคหรือ มนุษย์ให้ตาย บุรุษเปลี้ยจึงกล่าวว่า

“ถ้าเจ้าฆ่าแม่โคตายจะต้องโดนปรับสินไหมหนึ่งร้อย ถ้าฆ่ามนุษย์ตายจะโดนปรับสินไหมหนึ่งพัน
ท่าน และลูกเมียจะเอาเงินที่ไหนมาเสียค่าสินไหมเล่า ท่านอย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนเลย
ถ้าจะทดลองวิชา ก็ไปหาดีดคนที่ไม่มีพ่อไม่มี แม่ เพราะจะไม่ต้องโดนปรับสินไหม”

บุรุษนั้นพอได้ฟังคำแนะนำก็่ไปเที่ยวเสาะหาคนที่ไม่มี พ่อไม่มีแม่ หรือแม่โคที่ไม่มีเจ้าของ เพื่อจะลองวิชา
แต่ไปที่ไหนก็ยังหาไม่เจอ ในขณะเดียวกันนั่นเอง มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งนามว่า ‘สุเนตตะ’ พักอยู่ใน
บรรณศาลา ขณะที่ท่านกำลังจะเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร บุรุษนั้นก็เดินมาพบท่านที่ประตูพระนครพอดี
จึงคิดว่า พระรูปนี้ ไม่มีพ่อแม่ ถ้าเราดีดพระรูปนี้ ก็ไม่ต้องโดนปรับสินไหม เราจะดีดก้อนกรวดใส่พระรูปนี้
ทดลองวิชาของเราดีกว่า คิดแล้วก็เล็งก้อนกรวดไปที่หูของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็ดีดก้อนกรวดใส่ทันที
ก้อนกรวดปลิวเข้าทางหูขวาทะลุ ออกหูซ้าย ทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเจ็บปวด อย่างหนัก
จนไม่สามารถเดินไปบิณฑบาตต่อได้ จึงกลับบรรณศาลา และปรินิพพานในที่สุด

พวกชาวบ้านที่รอใส่บาตร เมื่อไม่เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มาจึงคิดว่า ท่านอาจจะไม่สบาย
จึงไปหาท่านที่บรรณศาลา เห็นว่าท่านปรินิพพานแล้ว ก็พากันร้องไห้คร่ำครวญ เสียอก เสียใจเป็นยิ่งนัก
ฝ่ายบุรุษนั้น พอเห็นคนจำนวนมากเดินไป ก็สงสัยว่าคนเหล่านี้จะไปไหนกัน จึงเดินไปกับพวกเขาด้วย
พอไปถึงบรรณศาลาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านอนปรินิพพานอยู่ ก็จำได้ จึงกล่าวว่า


“พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนี้ เราเห็นท่านที่ประตูเมืองตอนเข้าไปบิณฑบาต
เราจึงทดลองวิชาของเรา ดีดก้อนกรวดใส่จนปรินิพพาน”

พอพวกชาวบ้านได้ยินดังนั้น จึงพากันด่าว่าบุรุษนั้น และรุมประชาทัณฑ์จนเขาขาดใจตายในที่สุด
เมื่อตายแล้วผลแห่งกรรมชั่ว ส่งให้ไปเกิดในนรกอเวจี ถูกไฟนรกเผาไหม้ อยู่นานแสนนาน จนแผ่นดินใหญ่นี้
หนาขึ้นหนึ่งโยชน์ และด้วยเศษกรรมที่เหลือจึงมาบังเกิดเป็นสัฏฐิกูฎเปรตที่ยอดภูเขาคิชฌกูฏ นั่นเอง

ครั้นตรัสเล่าบุรพกรรมของเปรตให้ฟังแล้ว พระศาสดา จึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ศิลปะหรือวิชาความรู้ และความเป็นอิสระ เมื่อเกิดมีขึ้นแก่คนชั่ว ย่อมเกิดมีขึ้น เพื่อความฉิบหาย
เพราะว่า คนชั่วเมื่อได้ศิลปะ หรือวิชา และความเป็นอิสระแล้ว ย่อมสร้างแต่ความฉิบหายให้แก่ตน”

ในปัจจุบัน สังคมเรามีคนที่มีความรู้เพิ่มขึ้นกว่าอดีตมาก แต่คุณธรรมกลับลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
สังคม จึงมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาอาชญากรรม ฆ่า ข่มขืน ชิงทรัพย์ ในรูปแบบต่างๆ
หรือแม้แต่ก่อพฤติกรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในสังคม เช่น
การปาก้อนหินใส่กระจกรถยนต์ ด้วยความคึกคะนอง ดังปรากฏเป็นข่าว เมื่อไม่นานมานี้ คนเหล่านี้ หากตายไป
ก็คงจะต้องตกนรกอเวจี เหมือนกับบุรุษที่ดีดก้อนกรวดใส่พระปัจเจกพุทธเจ้าในเรื่องนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา หนังสือธรรมลีลา




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2552
2 comments
Last Update : 13 มิถุนายน 2552 9:58:30 น.
Counter : 1028 Pageviews.

 

น่าอ่านจังค่ะ แต่เวลาไม่พอ เดี๋ยวจะกลับมาอ่านนะ

 

โดย: tonpor (kosak ) 13 มิถุนายน 2552 11:06:54 น.  

 

อ่านแล้วได้แง่คิดดีมากค่ะ

 

โดย: Ink IP: 112.142.220.70 14 มิถุนายน 2552 20:07:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.