นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง นำหายนะสู่ประเทศ(ขอย้ำวิพากษ์นโยบายมิใช่ปรัชญา)
โดย ศิลาแรง
ขอชี้แจงก่อน
ก่อนอื่น ผมต้องขอชี้แจงก่อนว่า สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เป็นแนวความคิดส่วนตัวของผม ซึ่งมิได้ต้องการที่จะวิพากวิจารณ์แนวทางและปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" หรือ "Sufficient Economy" ของพระองค์ท่าน ที่ได้มอบเป็นแนวทางการปฏิบัติให้แก่พวกเราชาวไทย มากว่า 25 ปีแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังล้มลุกคลุกคลานอย่างไร้ทิศทาง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากได้เห็นแล้ว ซึ่งสัจธรรมในการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้อย่างไรกับแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน
แต่สิ่งที่ผมกำลังจะเขียนให้ท่านได้อ่านนี้ มันเกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลสุรยุทธ์ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องประการใดกับแนวทางหรือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านแม้แต่นิดเดียว ด้วยเหตุที่ว่า ประชาชนคนไทยจำนวนมากกำลังถูกรัฐบาลของท่านสุรยุทธ์หลอกลวง ด้วยการอันเชิญชื่อ "เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระองค์ท่านมาใช้ในการตั้งชื่อนโยบายของรัฐบาล และใช้อย่างผิดๆ มาโดยตลอด ทำให้ประชาชนคนไทยต้องไขว้เขว และสับสน จนทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยทรุดลงอย่างรวดเร็วป่านสายฟ้าแล็ป ทำให้พวกเราได้เห็นความแตกต่างในการบริหารประเทศระหว่าง "นโยบายทักษิโณมิกส์" กับ "นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง"
ถึงบางอ้อ
เมื่อคณะปฏิรูประบบการปกครอง (คปค.) ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลของพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 เดือนกันยายน พ.ศ.2549 เป็นต้นมา และได้แต่ตั้งให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนาท์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และให้จัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยชูนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
หลังจากรัฐบาลของท่านสุรยุทธ์ได้บริหารประเทศมาเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือน ได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องต่างๆ โครงการต่างๆ มากมาย จนทำให้ประเทศไทยขาดความเชื่อถือและขาดทิศทางในการบริหารประเทศ อีกทั้งยังทำให้เศรษฐกิจของชาติ ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองต้องหยุดชะงัก ถอยหลังลงคลอง และเศรษฐกิจทรุดลงอย่างไม่เป็นท่านั้น ทำให้ผมต้องหันกลับมามองและคิดอย่างละเอียดว่า เหตุใด นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งบอกมาว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่เดินตามแนวทางและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน ถึงประสพกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แบบไม่เป็นกระบวนท่า ซึ่งต่างจากสิ่งที่พระองค์ท่านได้ชี้นำและแสดงให้เห็นแล้วว่า ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว จะนำพาไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืนได้
สิ่งที่ผมได้มองเห็นและเข้าใจด้วยตัวของผมเองนั้น ผมได้มีความเข้าใจว่า ตอนที่ท่านสุรยุทธ์เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ นั้น ท่านสุรยุทธ์เป็นคนที่รับราชการมาโดยตลอด หาเป็นนักธุรกิจไม่ อีกทั้งบุคคลต่างๆ ที่ท่านสุรยุทธ์ได้แต่งตั้งเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรี ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์อันโชคโชนมาจากสายราชการทั้งสิ้น ที่เคยทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม มีความคิดที่ล้าสมัยยิ่งกว่าเต่าล้านปี สมแล้วที่ท่านสุรยุทธ์ได้รับฉายาของ "ฤๅษีเลี้ยงเต่า"
การเร่งรีบในการแต่งตั้งรัฐบาล ทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่า จะใช้นโยบายอะไรในการบริหารประเทศ จึงหยิบฉวยเอาคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" มาเป็นนโยบาย เพราะเป็นคำที่ดูๆ แล้วว่า ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งคำๆ นี้ จะอ้างอิงถึงแนวทางและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน ที่ได้พิสูจน์มาแล้วว่า ประสพความสำเร็จ จนนานาชาติยอมรับ แม้กระทั่งสหประชาชาติยังถวายรางวัลให้แก่พระองค์ท่านมาแล้ว
ความที่ท่านสุรยุทธ์คิดอะไรไม่ออกในขณะนั้น จึงหยิบเอาคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" มาชูเป็นโยบายในการบริหารประเทศ มันเป็นทางออกที่ดูเหมือนกับว่า จะเป็นทางออกที่ดี และคงจะไม่มีใครกล้าพอที่จะวิพากวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลนี้เป็นแน่นอน เพราะคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" นั่นเอง และมันเป็นเกราะป้องกันรัฐบาลได้เป็นอย่างดีและเหมาะสมในขณะนั้น ที่กระแสต่อต้านระบบทุนนิยมของรัฐบาลนายกทักษิณกำลังมาแรง
ย้อนอดีต
ผมขอย้อนอดีตไปถึงปีพ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยอยู่ภายใต้การนำของท่านนายกชวลิต ยงใจยุทธ และมีดร. ทนงพิทยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งท่านดร.ทนงได้รับการแต่ตั้งมาเป็นรมว.กระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 รับช่วงต่อมาจากท่านดร.อำนวย วีรวรรณ
สถานการณ์ในขณะนั้น เงินบาทถึงตรึงราคาไว้ที่ 25 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ และได้มีการโจมตีเงินบาทจากต่างประเทศ จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารและจัดการของนายเริงชัย มะระกานนท์ต้องอัดฉีดเงินจากเงินทุนสำรองของชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทเอาไว้จนแทบหมดเงินในธนาคารแห่งประเทศไทย จากคำให้สัมภาษณ์ของท่าน ดร. ทนง พิทยะ ที่ให้ไว้กับหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน เมื่อวันที่ วันที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ได้เล่าถึงสถานการณ์ในช่วงนั้นไว้ดังนี้
"หลังจากที่ผมได้รับโปรดเกล้าฯ ก็ได้ไปพูดคุยกับคุณอำนวย วีรวรรณ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ท่านบอกว่ามีเรื่องที่ฝากให้ทำต่อ คือเรื่องการลดค่าเงินบาท เพราะในระหว่างที่ท่านเป็นรัฐมนตรีนั้น ในที่ประชุมเรื่องนี้มีความเห็นขัดแย้งกัน 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าต้องมีการลดค่าเงินบาท แต่อีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่ายังไม่ต้อง
อย่างไรก็ตาม ในวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 หลังจากประชุมสภาเสร็จ ผมก็ได้รับแจ้งจากผู้ว่าการ ธปท. (นายเริงชัย มะระกานนท์) ให้เดินทางไปประชุมกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สถานที่ประชุมคือ วังมัจฉา ครั้งนั้น ธปท.ได้แสดงฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ ว่าเหลืออยู่เพียง 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้เป็นทุนสำรองของฝ่ายออกบัตรที่ต้องใช้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรประมาณ 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับเราเหลือทุนสำรองที่ไร้ภาระเพียง 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่พอรับมือหากเกิดเหตุอะไรขึ้น
ผมรับฟังแล้วก็บอกแบงก์ชาติว่า ให้ไปคิดมาว่าจะทำอย่างไร ระหว่างการขยายแบนด์หรือลอยตัวค่าเงินบาท
ส่วนผมเองก็คิดหนักเหมือนกันว่าจะประกาศลอยตัววันไหน ตอนนั้นคิดถึงขั้นว่าจะให้ธนาคารพาณิชย์ปิดทำการวันที่ 30 มิถุนายน แล้วประกาศ แต่เผอิญวันนั้นแบงก์ต้องปิดบัญชีงวดครึ่งปี จะยุ่งมากปิดแบงก์ไม่ได้ ก็พอดีว่าวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันหยุดครึ่งปีของแบงก์ ไม่มีใครทำงานอยู่แล้ว ซึ่งวันนั้นมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พอประชุมเสร็จ คุณเริงชัย กับ ดร.ศิริ การเจริญดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.ขณะนั้น ก็มาขอพบบิ๊กจิ๋ว เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่าจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาท วันที่ 2 กรกฎาคม"
นั้นคือ จุดเริ่มต้นของความหายนะและการล่มสลายของเศรษฐกิจของประเทศไทย จนต่างชาติให้สมญานามว่า "เศรษฐกิจต้มยำกุ้ง" ซึ่งได้ระบาดไปยังประเทศต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น ต้องพบเจอกับความหายนะเช่นเดียวกัน เหมือนกับการล้มของตัวโดมิโน ที่ตั้งเรียงแถวกัน อันเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า หากประเทศใดประเทศหนึ่งมีการล่มสลายของเศรษฐกิจ ย่อมมีผลกระทบไปยังไปเทศต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในโลกนี้ มีความสัมพันธ์กัน โยงใยกัน และต้องพึงพากัน
นี่แหละ ทำให้ผมได้มองเห็นและเข้าใจได้อีกว่า ทำไมเราถึงต้องไปเกี่ยวข้องกับองค์การเช่น "World Trade Organization" (WTO) หรือองค์กรการค้าระหว่างประเทศ และเราถึงต้องมีสัญญาและข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน ที่เราเรียกว่า "Free Trade Area" (FTA) หรือเขตการค้าเสรี ที่เป็นการช่วยเหลือในการสร้างเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ
การสูญเสียเอกราชครั้งที่ 3
ปี 2540 เวลานั้นเอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างหนี้อย่างมหาศาลให้แก่ประเทศ และทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเอกราชเป็นครั้งที่ 3 โดยสองครั้งแรกเกิดขึ้นในยุคของกรุงศรีอยุธยา จากการบุกและยึดประเทศไทยโดยกองทัพอันเกรียงไกรของพม่า แต่ครั้งที่ 3 นี้ เป็นการสูญเสียจากความผิดพลาดในการบริหารประเทศและบริหารเศรษฐกิจของประเทศโดยรัฐบาลนายกชวลิต ที่ทำให้ประเทศไทยต้องยอมเสียอิสรภาพให้แก่ IMF (International Monetary Fund) จากการกู้เงินเข้ามารักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และยินยอมที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ของ IMF ทุกประการ ดุลดังเป็นเมืองขึ้นต่อ IMF
การล่มสลายของสถาบันทางการเงิน จนต้องปิดธนาคารและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จำนวน 56 แห่ง ทำให้เกิดความวุ่นวายของเหล่าผู้ที่มีเงินฝากและผู้ที่กู้เงินจากสถาบันเหล่านั้น
ต่อมา รัฐบาลของพลเอกชวลิต ก็ต้องถึงกาลอวสานในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2540 และพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยการนำของนายชวน หลีกภัย มาเป็นนายกรัฐมนตรีและนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ขึ้นมาเพื่อจัดการและบริหารสินทรัพย์ต่างๆ ที่เป็นของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดไป
รัฐบาลขายทุกอย่างที่ขวางหน้า
การบริหารงานแบบเดิมๆ ของรัฐบาลนายกชวน รายได้ของประเทศยังคงมีน้อยกว่ารายจ่ายเป็นจำนวนมาก นอกจากรัฐบาลชุนนี้จะต้องกู้เงินเพิ่มอีกแล้ว ยังจะต้องหาเงินจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ให้ IMF อีกด้วย จึงจำเป็นต้องขายทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของชาติและของประชาชน ที่ติดอยู่กับทรัพย์สินของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิดไป ซึ่งเป็นการเอาทรัพย์สินต่างๆ ออกมาขายแบบประมูล และขายยกล็อตแบบมีลดแลกแจกแถม ชนิดที่หาซื้อกันราคาถูกแสนถูกแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วในชาตินี้ จนก่อให้เกิดข้อสงสัยในความโปร่งใสของรัฐบาลนายกชวนเป็นอย่างมาก เพราะมีข้อมูลออกมาแสดงได้ว่า มีผู้ได้รับผลประโยชน์จาการขายทรัพย์สินเหล่านี้ ในขณะที่ประชาชนและชาติต้องเสียผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้แล้ว ยังมีโครงการต่างๆ ที่เรียกว่า โครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในเชิงการขายรัฐวิสาหกิจให้แก่ต่างชาติโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโครงการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และโครงการขายฝ่ายช่างของการบินไทย เป็นต้น อันเนื่องมาจากหนี้สินจำนวนมาก ที่รัฐบาลไทยในสมัยนั้น ไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเอารัฐวิสาหกิจบางราย ที่มีผลการดำเนินการที่ดี มาแปรรูปเพื่อขาย แล้วเอาเงินที่ได้มาไปชำระเงินให้แก่ IMF นั่นเอง ตามนโยบายของรัฐบาลนายกชวนที่แถลงไว้เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 ที่มีส่วนหนึ่งได้กล่าวว่า
"ข้อ ๑.๑.๔ การบริหารงานงบประมาณแผ่นดิน ในข้อย่อย (๒) สนับสนุนการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจ โดยเน้นกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่มีหุ้นอยู่ แล้วในตลาดหลักทรัพย์และที่มีโอกาสจะออกหุ้นทุนขยายในตลาดหลักทรัพย์ได้อีก ทั้งนี้เพื่อ ลดภาระการลงทุนของรัฐ"
โครงการเหล่านี้ ยังไม่ทันได้เริ่มต้นดำเนินอย่างชัดเจน ยังเป็นแค่โครงการอยู่จนกระทั่งสิ้นสุดสมัยรัฐบาลนายกชวน
ไม่ว่ารัฐบาลนายกชวนจะบริหารประเทศอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนกับว่า หนี้สินของประเทศมีแต่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะลดลง จนมีคำกล่าวว่า "คนไทยเกิดออกมาจากท้องแม่ ก็เป็นหนี้ทันที" นั่นหมายความถึง จำนวนเงินที่ประเทศไทยเราต้องเป็นหนี้นั้น ดูเหมือนว่า "ชาตินี้ คงไม่สามารถใช้เงินคืน IMF ได้หมด" ประชาชนคนไทยได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับกรรมต่อไป อย่างพูดไม่ได้
4 ปีซ่อมของรัฐบาลนายกทักษิณ
รัฐบาลนายกทักษิณเข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2544 ด้วยการเลือกตั้งครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรตราไว้ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2540 เป็นปีที่ 52 ในรัชกาลปัจจุบัน)
ประเทศไทยในขณะนั้น ยังคงเป็นประเทศที่ล้มละลาย มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ธุรกิจล้มละลายมีเป็นจำนวนมาก ประชาชนตกงานและมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก สถาบันการเงินมีหนี้สูญ (NPL) เป็นจำนวนมาก สภาวะต่างๆ ในประเทศไทยล้วนแล้วมืดมัวมองไม่เห็นอนาคตว่าจะสดใสขึ้นได้อย่างไร
ในเมื่อรัฐบาลสุรยุทธ์ พยายามบอกให้ประชาชนรู้จักพอเพียง หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่า ประชาชนได้หลงทางและหลงใหลอยู่กับความเลวร้ายของระบบทุนนิยม และระบบประชานิยม ที่ท่านประธานคมช.และท่านสุรยุทธ์ต่างก็มีความเชื่อว่า
- ระบบทุนนิยมของรัฐบาลนายกทักษิณกำลังทำลายล้างเศรษฐกิจของชาติ แบบที่พลเอกสนธิ ได้กล่าวไว้ว่า "หากปล่อยเอาไว้ ประเทศไทยจะเหลือแต่กระดูก" ในขณะเดียวกันผมก็ได้ยินคำกล่าวร้องของประชาชนว่า "จะให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียงได้อย่างไร หากประชาชนมีไม่เพียงพอ" - ระบบประชานิยม ที่พลเอกสนธิได้กล่าวหาว่า รัฐบาลนายกทักษิณเอาโครงการต่างๆ ไปหลอกลวงประชาชน ถือว่าเป็นการซื้อเสียงและส่อไปในทางทุจริต เพราะแต่ละโครงการมีการโกงกินกันอย่างเปิดเผยและแพร่หลาย
จึงทำให้ผมต้องย้อนกลับไปดูว่า รัฐบาลนายกทักษิณทำอะไรไปบ้าง
นโยบายรัฐบาลนายกทักษิณสมัยที่ 1
มันเป็นประเพณีนิยมสำหรับนายกรัฐมนตรีในแต่ละสมัย จะต้องแถลงนโยบายของตนเองให้สภาและประชาชนทราบ เพื่อทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่าย จะได้รู้ว่า รัฐบาลจะดำเนินการบริหารประเทศอย่างไร และใครบ้างจะมีส่วนร่วมในการสนองตอบรับนโยบายของรัฐบาลบ้าง ดังนั้นผมจึงขอเข้าไปสำรวจดูว่า รัฐบาลนายกทักษิณสมัยแรก ที่เข้ามารับหน้าที่ในการบริหารประเทศที่ล้มละลาย มีนโยบายอย่างไรบ้าง
สิ่งที่ผมได้พบในนโยบายและโครงการต่างๆ ของรัฐบาลนายทักษิณ ซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย หลายๆ นโยบายและหลายๆ โครงการ เป็นการดำเนินการสืบสานต่อจากแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านอย่างแท้จริง แต่เอามาประยุกต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของความเป็นจริง และได้ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างจริงจัง จึงถูกเรียกว่าเป็น "ระบบประชานิยม" และมีอีกหลายนโยบายและหลายโครงการ ที่เป็นการพัฒนาประเทศในเชิงรุก เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ใน "ระบบทุนนิยม"
ในส่วนของนโยบายเร่งด่วน ที่เป็นนโยบายในการช่วยทำให้ประชาชนสามารถมีได้อย่างเพียงพอ เพื่อที่ดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง และมีฐานเศรษฐกิจส่วนบุคคลที่มั่นคง เพื่อดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง หรือประชานิยม เช่น
พักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรรายย่อย เป็นเวลา 3 ปี เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร อย่างเร่งด่วน โดยวางระบบการฟื้นฟูและให้ความช่วยเหลือปรับโครงสร้างการผลิตอย่างครบวงจร จัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง แห่งละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงิน หมุนเวียนในการลงทุน สร้างอาชีพเสริม และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน และวิสาหกิจขนาดเล็ก ในครัวเรือนพร้อมทั้งรัฐบาลจะจัดให้มีโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อให้แต่ละชุมชน ได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า โดยรัฐพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัย ใหม่ และการบริหารจัดการ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศด้วยระบบร้านค้า เครือข่ายและอินเตอร์เน็ต จัดตั้งธนาคารประชาชน เพื่อกระจายโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินให้กับประชาชนผู้มี รายได้น้อย เพื่อสร้างทางเลือกและลดการพึ่งพาแหล่งกู้นอกระบบ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีโอกาส ในการสร้างงาน สร้างรายได้ด้วยตนเอง จัดตั้งธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการเดิมและ เพิ่มจำนวนผู้ประกอบการใหม่อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างและรักษาฐานการผลิต การจ้างงาน การ สร้างรายได้ การส่งออก และเป็นแกนหลักในการสร้างความเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อลดรายจ่ายโดยรวมของประเทศและประชาชน ในการดูแลรักษาสุขภาพ โดยเสียค่าใช้จ่าย 30 บาทต่อครั้ง และสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการ สาธารณสุขที่ได้มาตรฐานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ในขณะเดียวกัน ก็ได้นำเอาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาช่วยธุรกิจ สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อรอบรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
จัดตั้งบรรษัทกลางในการบริหารสินทรัพย์ เพื่อดำเนินการให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด รายได้ออกจากระบบของธนาคารพาณิชย์โดยเร็ว และเป็นระบบเบ็ดเสร็จ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคการผลิตและบริการ พัฒนารัฐวิสาหกิจ ให้เป็นองค์กรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้กับ ประเทศ โดยรวมรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพและมีความพร้อมเข้าด้วยกัน ภายใต้การบริหารขององค์กร ที่เป็นมืออาชีพ มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และปลอดจากการเมืองแทรกแซงในการ บริหารพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนคนไทยมีโอกาสลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจ และ สนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะเวลาที่ เหมาะสม นอกจากนั้นแล้ว ยังวางนโยบายในการกำจัดจุดอ่อนของประชาชน ที่ทำให้เกิดความเสื่อมต่อประชาชนโดยร่วม และสานต่อแนวทางการปราบปรามยาเสพติด ด้วยวิธีการปรับเปลี่ยน ดังที่พระองค์ท่านได้ทำให้ประชาชนชาวเขาในภาคเหนือของประเทศเทศ เปลี่ยนจากการปลูกพื้ชที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด มาเป็นพื้นเศรษฐกิจ ที่ประสพความสำเร็จเป็นอย่างดีมาแล้ว ด้วยนโยบาย
เร่งจัดตั้งสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด ควบคู่ไปกับการปราบปรามและป้องกัน ด้วยการแพร่กระจายและระบาดของยาเสพติดประเภทยาบ้า ซึ่งเป็นปัญหาของชาติ ทำให้ประชาชนและเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ต้องสูญเสียอนาคตและเป็นทาสของยาเสพติด ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่น ที่เป็นส่วนหนึ่งที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ และขัดขวามความก้าวหน้าของประชาธิปไตยของประชาชน ในตอนแรกๆ หลายๆ คนไม่ค่อยเข้าใจในแนวทางการทำงานของรัฐบาลนายกทักษิณ เพราะจากความเคยชินของรัฐบาลในอดีต ที่ทำงานในเชิงอนุรักษ์นิยม (Conservative) ที่ค่อยทำแบบไปเลื่อยๆ เฉื่อยๆ สบายๆ มาเป็นการทำงานแบบครบวงจร ทำพร้อมๆ กันทั้งรับ (Defensive) และรุก (Offensive) อย่างมีเป้าหมายและตารางเวลาที่แน่นอน ซึ่งเป็นลักษณะการบริหารงานของภาคเอกชน โดยเฉพาะเอกชนที่ทำธุรกิจแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งในประเทศไทยยังไม่เคยเจอนายกรัฐมนตรีที่ทำงานแบบ aggressive และทุ่มเทอย่างนี้มาก่อน จนหลายๆ คนกล่าวหาว่า นายกทักษิณเป็นคนทำงานแบบ Double-Standard ซึ่งในที่สุด เมื่อผลงานเริ่มออก มีคนเข้าใจมากขึ้น จึงได้กลายมาเป็น Dual-Tracks นั่นก็คือ ทำสองอย่างพร้อมๆ กันอย่างสอดคล้องร่วมกัน เดินเคียงคู่และเคียงข้างไปด้วยกัน
พลิกฟื้นเศรษฐกิจ
ด้วยนโยบายและวิธีการทำงานของรัฐบาลนายกทักษิณ ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ จากเศรษฐกิจที่เสื่อมโทรมมาเป็นเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู ภายในระยะเวลาอันสั้น และทำให้ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีทั้งเงินที่สามารถนำไปชำระคืนให้แก่ IMF ทั้งหมด ภายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเวลาตามสัญญาเงินกู้ ทำให้ประเทศไทยประหยัดเงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ
อีกทั้งยังมีเงินทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงในประเทศไทย ประชาชนชาวไทยมีงานทำกันอย่างทั่วหน้า จนทำให้ประชาชนที่ไม่เคยมีรายได้เพียงพอที่จะดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง เป็นประชาชนที่มีรายได้มากว่าเพียงพอ สามารถดำรงชีวิตได้ดีกว่าพอเพียงกันอย่างทั่วหน้า
ผลจากนโยบาย "4 ปีซ่อม" ของรัฐบาลนายกทักษิณ ทำให้ต่างประเทศถึงกับตลึงในความสามารถของรัฐบาลชุดนี้ ในการพลิกสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างรวดเร็ว จนประธานธิบดีของประเทศฟิลิปปินส์ได้ตั้งสมญานามการบริหารประเทศของนายกทักษิณแบบแหวกแนว ที่ไม่เหมือนใคร แต่ประสพความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วว่า "Taksinomics" หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามของ "ระบอบทักษิณ" นั่นเอง และเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลก
นอกจากสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้แล้ว นายกทักษิณยังทำให้คนไทยทั้งประเทศได้ภูมิใจในความเป็นไทยและทั้งในเวทีโลก ผลงานของรัฐบาลนายกทักษิณออกมาให้ห็นอย่างมากมาย ทั้งน้อยและใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประเทศที่ปลอดจากยาเสพติด, สนามบินสุวรรณภูมิ, งานครองราชย์ครอบ 60 ปีที่ยิ่งใหญ่ดังไปทั่วโลก
ระบอบทักษิณในระยะเวลา 4 ปีซ่อม ทำให้ประเทศร่ำรวย เศรษฐกิจมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง
เศรษฐกิจมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง
ส่วนที่สำคัญ ที่รัฐบาลหลายชุดหลายสมัยได้ละเลย แต่นายกทักษิณหยิบขึ้นมาทำ นั่นก็คือ หน้าที่ในการดูแลประชาชน เพราะประชาชนเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของชาติ แม้กระทั่งพระองค์ท่านได้ทุ่มเทพระวรกายและพระปรีชาสามารถในรูปแบบต่างๆ ในการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่านมาตลอดทั้ง 60 ปีแห่งการครองราชย์
การช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลนายกทักษิณ เราสามารถเห็นได้ในหลายๆ โครงการ เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน, กองทุนเพื่อการศึกษาของเยาวชนคนจน, โครงการ OTOP, โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นต้น ที่ได้ทำให้ประชาชนชาวรากหญ้า กินดีอยู่ดีขึ้น มีความมั่นคงในการดำรงชีวิต และทำให้เศรษฐกิจพื้นฐานของประชาชนมีความมั่นคงขึ้น
สิ่งที่นายกทักษิณทำให้แก่ประเทศไทยและประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ทำให้นายกทักษิณจะไปประเทศไหน ประตูของประเทศนั้นพร้อมเปิดต้อนรับด้วยความเต็มใจ จะยกเว้นก็เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น และสิ่งที่นายกทักษิณทำให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ทำให้นายกทักษิณยังคงอยู่ในใจของประชาชนเกือบทั้งประเทศ
นโยบายรัฐบาลสุรยุทธ์
การที่รัฐบาลสุรยุทธ์ได้นำเอาคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" มาเป็นชื่อของนโยบายนั้น ผลงานของรัฐบาลชุดนี้ได้ออกมาทำให้เห็นแล้วว่า เป็นนโยบายที่นำพาประเทศไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจโดยแท้จริง
หากใครได้ไปอ่านนโยบายของรัฐบาลสุยุทธ์ คงจะเห็นได้ว่า เป็นการกำหนดนโยบายแบบกว้างๆ ในเชิงนามธรรมมากกว่ารูปธรรม หากจุดวัดผลอะไรไม่ได้เลย ซึ่งตรงกันข้ามกัยนโยบายของรัฐบาลนายกทักษิณ ที่เป็นนโยบายชี้แจงอย่างละเอียดใชเชิงของรูปธรรม ที่สามารถตรวจวัดผลได้อย่างชัดเจน
หลักใหญ่ๆ ของนโยบายของรัฐบาลสุรยุทธ์ก็คือ "นโยบายเศรษฐกิจยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การใช้หลักคุณธรรมกำกับการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบตลาดเสรี เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเปรียบเสมือนรากแก้วของประเทศ เศรษฐกิจระบบตลาดและเศรษฐกิจส่วนรวม ให้มีส่วร่วมในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบความยั่งยื่นและความพอดี โดยเน้นให้ภาคเอกชนมีบทบาทนำและผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐและภาคประชาสังคม เพื่อความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจทั้งสามภาคดังกล่าว"
ส่วนต่างๆ ของนโยบาย ก็บอกกล่าวคล้ายๆ แบบนี้ ถึงแม้จะมีการแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ก็ตาม แต่มิได้บ่งบอกอะไรที่เป็นรูปธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่าผู้ที่ร่างนโยบายนี้ ไม่มีความรู้อะไรเลยในวิธีการหรือขั้นตอนในการบริหารประเทศอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
อีกทั้ง ผู้ร่างนโยบายยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่า ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ก้าวล้ำคำว่า "พอดี" ไปหลายปีแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ที่เรียกว่า "รากหญ้า" หรือ "รากแก้ว" นั้น ก็ได้อยู่ดีกินดีเกินคำว่า "เพียงพอ" กันนานแล้ว
การที่จะบอกให้ประชาชนย้อนกลับไปสู่ความพอเพียง ตามแบบที่รัฐบาลต้องการนั้น มันเป็นการบังคับให้ประชาชนต้องถอยหลังลงคลอง สละสิ่งที่พวกเขามี ทั้งๆ ที่พวกเขาทำได้เกินกว่าพอดีอย่างมั่นคงแล้ว
ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
นับตั้งแต่พลเอกสุรยุทธ์ได้จัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีขึ้นมา ก็เห็นแต่รัฐบาลออกมาโจมตีการทำงานของนายกทักษิณ โดยยึดคำกล่าวหาที่ไร้หลักฐานและเหตุผล ของคปค.ที่ใช้ในการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งวันนี้ หลังจากเวลาได้ผ่านไปกว่า 5 เดือนแล้ว ก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานที่จะสามารถยื่นฟ้องศาลเพื่อเอาผิดนายกทักษิณและคณะรัฐบาลได้แม้แต่เรื่องเดียว
การกระทำต่างๆ ของผู้ที่มีอำนาจในรัฐบาลสุรยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกโครงการและการปรับเปลี่ยนโครงการ ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณก็ดี ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มองรัฐบาลชุดนี้ว่า เป็นรัฐบาลที่ตามล้างตามผลาญนายกทักษิณ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อประเทศชาติหรือต่อประชาชนเลยแม้แต่น้อย และได้กระทำด้วยความคับข้องใจและด้วยความสะใจที่ได้ทำลายสิ่งต่างๆ ที่นายกทักษิณได้สร้างมาทั้งสิ้น ซึ่งดูเหมือนกับว่า คนในรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีความรู้เลยว่า ทุกโครงการ ล้วนแล้วมีสายสัมพันธ์และเกื้อหนุนกันและกัน ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจของชาติโดยรวม หากโครงการหนึ่งโครงการใด ต้องมีอันเป็นไป ถึงกับต้องล้มและเลิกไป มันจะมีผลต่อโครงการอื่นๆ ที่ทำให้ต้องล้มตามกัน ในแบบของทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) ซึ่งผลนี้ เราก็ได้เริ่มเห็นกันแล้ว เช่น
การยกเลิกโครงการหวยบนดิน ทำให้รัฐขาดรายได้นับหมื่นล้านต่อเดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้เคยถูกใช้ไปกับโครงการกองทุนหมู่บ้าน กองทุนเพื่อการศึกษา และเงินทุนสนับสนุนธนาคารประชาชนและธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
เมื่อกองทุนเพื่อการศึกษาถูกยกเลิก เพราะไม่มีเงินที่เคยได้จากการขายหวยบนดิน ทำให้เยาวชนที่มาจากครอบครัวยากจน ไม่มีเงินสำหรับการศึกษา ซึ่งจะทำให้เยาวชนเหล่านี้ขาดการพัฒนาด้านการศึกษา และจะกลับไปเป็นประชากรที่ด้อยพัฒนาของประเทศตามเดิม ซึ่งจะทำให้แรงงานไทยในอนาคตเป็นแรงงานที่ด้อยคุณภาพ หางานทำไม่ได้ เป็นปัญหาต่อสังคมและเป็นภาระของชาติ
เมื่อธนาคารประชาชนและธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ถูกรัฐบาลชุดนี้ยกเลิก ทำให้ธุรกิจที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เรียกกันว่า "OTOP" และธุรกิจท้องถิ่นต่างๆ ขาดการสนับสนุนด้านเงินทุน ก็จะไม่ได้รับการพัฒนา และบางรายถึงกับต้องเลิกกิจการไป ทำให้ประชาชนที่เคยมีงานทำในส่วนนี้ ต้องตกงานและขาดรายได้ สินค้าที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ก็จะหายไปจากตลาด ทำให้รัฐขาดรายได้จากภาษี
เมื่อประชาชนขาดรายได้ ก็ทำให้ประชาชนที่มีหนี้สิ้น ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้ ทำให้เกิดปัญหา NPL กับสถาบันการเงิน อีกทั้งจะทำให้ประชาชนเหล่านี้ไม่สามารถมีเงินจับจ่ายใช้สอยได้เหมือนเดิม อันมีผลกระทบต่อภาษีรายได้บุคคลและทำให้สินค้าต่างๆ ขายได้น้อยลง ภาษีมูลคาเพิ่มก็ลดน้อยลงไปด้วย
เมื่อสินค้าขายได้น้อยลง ผู้ผลิตก็ต้องลดการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับอุปทานของตลาด นั่นหมายถึงการลดจำนวนลูกจ้างลง ทำให้ผู้ใช้แรงงานต้องตกงาน ไม่มีรายได้ ภาษีรายได้บุคคลที่รับจะได้รับก็หดหายไป ภาษีมูลคาเพิ่มที่รัฐจะได้รับจากการขายก็ลดน้อยลง
เมื่อการว่างจ้างแรงงานลดน้อยลง ยิ่งทำให้ประชาชนตกงานมากขึ้น รายได้ของผู้ผลิตลดลง รายได้ของรัฐลดลง มันเป็นวัฏจักรของเศรษฐกิจ ที่จะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งต่อไปรัฐก็จะมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้กองทุนสำรองของชาติหดหายไป ถึงขนาดที่รัฐจะต้องกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อเอามาใช้จ่ายในการบริหารประเทศ หากสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนานวัน สุดท้ายแล้วประเทศไทยก็จะกลับไปเป็นประเทศที่ล่มสลาย เหมือนตอนที่เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2540 อีกครั้งหนึ่ง ด้วยน้ำมือของรัฐบาลชุดนี้
อำนาจและความร่ำรวย บนความเดือนร้อนของประชาชน
หากเราจะมองดูโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ แต่ถูกยกเลิกในรัฐบาลของท่านสุรยุทธ เช่น โครงการ OTOP, โครงการหวยบนดิน, โครงการกองทุนหมู่บ้าน, โครงการกองทุนเพื่อการศึกษา เป็นต้น เราต้องมองดูว่า ผลรับที่ได้จากโครงการเหล่านั้น ใครคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง นั่นก็คือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมิใช่หรือ โดยเฉพาะประชาชนที่เรียกว่า "ประชาชนชาวรากหญ้า" ดังนั้นผลกระทบในการกระทำของรัฐบาลสุรยุทธ์นี้ จึงมีผลกระทบต่อประชาชนทั่วทั้งประเทศ ที่ได้ทำลายเศรษฐกิจพื้นฐาน และทำลายความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชนชาวรากหญ้า
ยิ่งทุกวันนี้ รัฐบาลได้จับจ่ายใช้งบประมาณอย่างสนุกสนานและฟุ่มเฟือย เพราะคิดว่าเศรษฐกิจของชาติมีความมั่นคงเหมือนสมัยของรัฐบาลนายกทักษิณ อีกทั้งได้ตั้งงบแบบขาดดุล เพื่อเกื้อหนุนเหล่าผู้มีอำนาจและสมุนต่างก็เข้ามาเพื่อแบ่งเค๊กและกอบโกย โดยเข้ารับตำแหน่งต่างๆ ที่มีเงินเดือนสูงๆ ด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้สภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีอัตราเร็วขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาอย่างสิ้นเชิง
สรุป
ระบบทุนนิยม เป็นระบบของชาวโลก ที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย มันอยู่ที่ว่า ผู้บริหารประเทศจะมีความรู้และความสามารถเพียงพอหรือไม่ ที่จะบริหารและจัดการประเทศภายใต้กฏกติกาของระบบทุนนิยม ให้ประสพความสำเร็จและสร้างผลประโยชน์ให้แก่ประเทศ ระบบประชาชนนิยม เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลพึงกระทำ ในการช่วยเหลือประชาชน ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ทำให้เศรษฐกิจระดับรากหญ้า (หรือรากแก้ว) มีความมั่นคง และพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทันตามโลกาภิวัตน์ที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
การที่อดีตรัฐบาลของนายกทักษิณ ได้นำเอาแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ปฏิบัติในช่วงเวลา 4 ปีแรกของการบริหารงานราชการ ที่เรียกว่า "4 ปีซ่อม" ทั้งในรูปแบบการบริหารงานแบบเชิงรับและเชิงรุกพร้อมๆ กัน ที่เรียกกันว่า "Double-Standard" และต่อมาเปลี่ยนมาเป็น "Dual-Tracks" ทำให้เกิดกระแสของระบบประชานิยมและระบบทุนนิยม ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่างมาก และเห็นได้ชัดเจน ที่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่เสื่อมโทรมให้เป็นเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว จนชาวโลกให้สมญานามว่า "Taksinomics" หรือ "ระบบทักษิณ" นั่นเอง
รัฐบาลของท่านสุรยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศด้วยการชู "นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง" โดยได้ทำลายทุกอย่างที่รัฐบาลของนายกทักษิณได้ทุ่มเทสร้างไว้ให้แก่ประเทศและประชาชน ด้วยการยกเลิกโครงการต่างๆ และ/หรือปรับเปลี่ยนให้แย่ลงกว่าเดิม เท่ากับเป็นการทำลายฐานรากของเศรษฐกิจของประเทศ อันจะมีผลประทบทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะต้องล่มสลายมาอย่างไม่เป็นท่า ในอนาคตอันไม่ไกลนัก ขนาดรัฐบาลสุรยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศได้แค่ 5 เดือน ผลที่ได้เกิดขึ้น และเห็นได้ชัดเจนว่า
- ต่างชาติเสื่อมศรัทธาและขาดความเชื่อมั่น ในการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ - การลงทุนของต่างชาติหดหาย - การค้าระหว่างประเทศลดน้อยลง - แนวโน้มการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2550 เป็นถดถอย - จำนวนประชาชนผู้ใช้แรงงานมีอัตราว่างงานเพิ่มขึ้น - เศรษฐกิจภายในประเทศเขาสู่สภาวะเงินฝืด - ภาษีจัดเก็บลดลงต่ำกว่าเป้า และจะต่ำลงไปเลื่อยๆ - การจัดสรรงบประมาณของประเทศแบบขาดดุล (รายจ่ายมากกว่ารายรับ)
หลายๆ ตัวบ่งชี้และตัววัดผลต่างๆ (indicators) กำลังค่อยบอกว่า นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลสุรยุทธ์นี้ กำลังนำพาประเทศไทยไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อยู่ที่ว่าความหายนะนี้ จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าเท่านั้น
(ท่านได้อ่านแล้ว กรุณาแสดงความเห็นด้วย จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง)
ที่มา จากชาวราชดำเนินนาม ศิลาแรง ส่งเข้ามาที่สนามหลวง forum ครับ
Create Date : 07 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 18:21:24 น. |
|
12 comments
|
Counter : 483 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เสี่ยวลี่ วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:03:15 น. |
|
|
|
โดย: ต. IP: 58.8.123.237 วันที่: 8 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:16:49 น. |
|
|
|
โดย: อ.อ่าง IP: 58.8.127.85 วันที่: 9 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:35:39 น. |
|
|
|
โดย: ล้อเล่น :) IP: 58.8.116.212 วันที่: 10 พฤษภาคม 2550 เวลา:8:18:14 น. |
|
|
|
โดย: ploy IP: 124.120.129.202 วันที่: 12 พฤษภาคม 2550 เวลา:1:02:09 น. |
|
|
|
โดย: ติ๊ก IP: 124.121.104.64 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:21:51:32 น. |
|
|
|
โดย: ไม่บอก IP: 125.27.114.129 วันที่: 23 ตุลาคม 2551 เวลา:8:22:11 น. |
|
|
|
โดย: เฮ้อไม่รู้เข้ามาได้ไง IP: 118.172.111.191 วันที่: 25 ตุลาคม 2551 เวลา:11:45:11 น. |
|
|
|
โดย: เด็กๆๆ IP: 222.123.206.108 วันที่: 31 ตุลาคม 2551 เวลา:16:02:02 น. |
|
|
|
โดย: พธม IP: 58.9.1.74 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:17:23 น. |
|
|
|
โดย: แบม IP: 58.9.235.115 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:18:37 น. |
|
|
|
โดย: คนมีจิตสำนึก IP: 125.27.204.245 วันที่: 10 ธันวาคม 2551 เวลา:15:14:46 น. |
|
|
|
| |
|
|