It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องสั้นแนวยูริ : ตัวจริงที่ปวดใจ

ตัวจริงที่ปวดใจ เรื่องสั้นแนวยูริ โดยผิงดาว

มัลลิกาหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างเธอกับคนรักตัดสินใจย้ายออกมาอยู่ด้วยกันเมื่อสามปีก่อน

รัชนกคือคนรักของมัลลิกา ทั้งคู่รู้จักกันครั้งแรกเพราะเพื่อนของทั้งสองฝ่ายแนะนำให้รู้จักในงานเลี้ยงสังสรรศิษย์เก่าของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งที่ทั้งคู่เป็นศิษย์เก่ารุ่นเดียวกัน

มัลลิกาและรัชนกแลกเปลี่ยนนามบัตรของกันและกัน ไม่แปลกอะไรที่ศิษย์เก่าจะทำความรู้จักกันเอง มัลลิกาทำงานเกี่ยวกับการส่งออก ดังนั้นเธอจึงเข้ากับคนทั่วไปได้ง่าย ด้วยบุคลิกที่ดีหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ พร้อมกับฐานะทางสังคมที่เมื่อเอ่ยถึงนามสกุลของมัลลิกาใครๆ ในแวดวงก็ต้องรู้จักเป็นอย่างดี

รัชนกทำงานเป็นวิศวะกรในโรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่เมื่อเอ่ยชื่อสินค้าเหล่านั้นประชาชนทั่วไปก็ต้องรู้จักเป็นอย่างดี รัชนกมีนิสัยร่าเริงเข้ากับคนได้ง่ายๆ แถมยังเป็นคนที่ชวนเพื่อนๆ ในวงพูดคุยได้อย่างสนุกสนาน ไม่แปลกอะไรเลยที่เมื่อคนที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับรัชนกจะตกหลุมรักทอมมาดดีแบบรัชนก

มัลลิกาเองก็เช่นกัน เมื่อได้พบกับรัชนกเป็นครั้งที่สอง ทั้งมัลลิกาและรัชนกที่มีบุคลิกท่าทางเข้ากับคนได้ง่ายด้วยกันทั้งคู่ก็กลายเป็นคนที่สนิทสนมกันได้อย่างง่ายดาย

มัลลิกาไม่เคยมองผู้ชายคนไหนทั้งๆ ที่ผู้ชายเหล่านั้นเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง แต่มัลลิกาก็ปฏิเสธไปโดยไม่สนใจว่าผู้ชายเหล่านั้นจะรู้สึกเช่นไร ทุกครั้งมัลลิกาจะมีข้ออ้างว่าเธอไม่พร้อมที่จะมีชีวิตคู่ เธอยังสนุกกับการทำงาน จนเวลาร่วงเลยมาจนมัลลิกามีวัยสามสิบต้นๆ

มัลลิกาพึ่งจะรู้ใจของตัวเองว่าสาเหตุที่เธอปฏิเสธผู้ชายเหล่านั้นก็เพราะว่าเธอรักผู้หญิงด้วยกันเอง รัชนกเป็นผู้หญิงคนแรกที่มัลลิกาตกลปลงใจที่จะคบหากันในฐานะแฟน แต่กับคนทั่วไปจะมองว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน

หลังจากที่ทั้งคู่คบหากันได้ไม่นานมัลลิกาก็ตัดสินใจซื้อคอนโดหลังใหม่ใกล้ๆ กับที่ทำงานโดยบอกกับทางครอบครัวของเธอว่าเธอขอย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เพราะไม่อยากที่จะเดินทางไกลๆ ไปทำงานทุกวัน เธอเริ่มเหนื่อยกับการเดินทาง ประกอบกับตัวเธอต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ เมื่อมีงานเข้ามา ดังนั้นครอบครัวของมัลลิกาจึงไม่แปลกใจอะไรที่ลูกสาวคนเดียวจะย้ายออกมาจากบ้านเพราะข้ออ้างในเรื่องการทำงาน

รัชนกย้ายเข้ามาอยู่กับมัลลิกาหลังจากที่มัลลิกาเข้าไปอยู่ที่คอนโดแห่งนั้นได้ไม่นาน ทั้งคู่ใช้ชีวิตแบบคนรักทั่วไปอยู่รวมกัน งานเป็นสิ่งที่ดึงเอาเวลาของมัลลิกาไปจากรัชนก รัชนกเคยตัดพ้อต่อว่ามัลลิกาว่าไม่ค่อยจะมีเวลาให้ มัลลิกาสนใจแต่งาน งาน และงาน ทั้งๆ ที่รัชนกเองในบางครั้งก็ไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับมัลลิกาเช่นเดียวกัน แต่มัลลิกาก็ไม่เคยที่จะบ่นรัชนกแบบที่รัชนกพบ่นเธอ

“ปอยวันนี้นกกลับบ้านดึกนะปอยไม่ต้องรอทานข้าวนะคะงานนกเร่งผลิตนิดหน่อย” รัชนกบอกกับมัลลิกาก่อนที่จะออกไปทำงาน

“ค่ะงั้นคืนนี้ปอยกลับบ้านดึกเหมือนกันนะนก ถ้านกกลับมาก่อนก็เข้านอนได้เลยไม่ต้องรอปอย พอดีที่ทำงานของปอยก็ยุ่งๆ เหมือนกัน” มัลลิกาตอบรับรัชนกเพราะงานของเธอเองก็ค่อนข้างจะยุ่ง มีงานหลายอย่างที่ต้องสะสางเช่นเดียวกัน

ไม่แปลกอะไรเลยที่ทั้งมัลลิกาและรัชนกจะบ้าทำงานกันทั้งคู่ เพราะทั้งสองคนเป็นผู้หญิงที่เห็นงานมาก่อนเป็นอันดับแรก พักหลังๆ มัลลิกาต้องทำงานกลับบ้านตีหนึ่งตีสองและเมื่อกลับมาถึงบ้านบางครั้งรัชนกก็หลับไปแล้ว หรือไม่บางทีรัชนกก็กลับมาหลังจากที่มัลลิกาเข้านอนแล้ว

“ไม่อาบน้ำหรือคะนก” มัลลิกาเห็นรัชนกเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เข้านอนเลยก็เลยถามคนรักของเธอ

“พอดีนกอาบน้ำมาจากที่ทำงานแล้วน่ะปอย มันเหนียวตัวตอนเข้าไปซ่อมเครื่อง ขอนอนก่อนแล้วกันนะเหนื่อยจังเลยซ่อมเครื่องทั้งวันเกเรไม่เลิก สงสัยต้องเสนอให้ Boss ซื้อเครื่องใหม่ ซ่อมบ่อยๆ แบบนี้คงไม่ไหว” รัชนกพูดจบก็คลี่ผ้านวมผืนหนามาปกคลุมร่างกายและหลับไปอย่างง่ายดาย

มัลลิกาหอมแก้มคนรักก่อนที่จะล้มตัวลงนอน

“กลิ่นไม่คุ้นเลยนะสงสัยใช้สบู่กลิ่นใหม่” มัลลิกาบ่นกับตัวเองเมื่อได้กลิ่นหอมแปลกไปจากที่เคยได้กลิ่นจากคนรัก

มัลลิกากลับมาจากที่ทำงานแล้วเห็นรถของรัชนกจอดอยู่ในที่จอดข้างๆ ที่จอดรถของเธอ วันนี้มัลลิกากลับบ้านเร็วเธอเคลียงานเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ เมื่อเสร็จงานก็รีบกลับมาบ้าน เพราะนานๆ จะได้กลับบ้านเร็วสักครั้งหนึ่ง รัชนกคงกลับมาและรอเธออยู่ที่ห้อง

แต่เมื่อมัลลิกาเปิดประตูห้องก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมรัชนกไม่เปิดไฟเพราะปกติถ้ารัชนกอยู่บ้านรัชนกจะเปิดไฟสว่างไสว

“หรือว่ากลับบ้านเร็วเพราะไม่สบาย” มัลลิกาคิดได้ดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปที่ห้องนอนของตัวเองแต่ก็พบกับความว่างเปล่าไม่มีรัชนกอยู่ในห้องนั้น

“หรือว่าจะลงไปหาซื้อะไรกิน แต่เอ เมื่อกี้เราก็แวะซื้อของทำไมไม่เห็นนก” มัลลิกาบ่นกับตัวเอง

มัลลิกาจัดการอาบน้ำอาบท่าและจัดเตรียมอาหารเย็น เธอรอรัชนกจนรอไม่ไหวจึงจัดการทานอาหารมื้อเย็นของเธอไปก่อนและเก็บแบ่งบางส่วนไว้ในตู่เย็นให้กับรัชนก มัลลิกาโทรเข้ามือถือของรัชนกหลายต่อหลายครั้งรัชนกก็ไม่รับสาย

“ไปไหนของเค้านะ สงสัยจะหนีเที่ยวคอยดูนะกลับมาจะเล่นงานซะหน่อยไปไหนไม่บอกไม่กล่าว”

มัลลิกานั่งทำงานของเธอได้สักพักก็มีโทรศัพท์ตามตัวเธอจากท่าเรือให้ไปดูสินค้าที่กำลังจะจัดส่งไปยังต่างประเทศ เนื่องจากมีรถบรรทุกถอยชนตู้เก็บสินค้าจนเกิดความเสียหาย

กว่ามัลลิกาจะกลับมาถึงบ้านอีกครั้งก็เกือบจะตีสามจอดรถที่เดิม เธอเดินเซไปเพราะความง่วงงุน จนไปเท้าฝากระโปรงรถของรัชนกอย่างแรง

“อุ้ยดีนะไม่ยุบ แล้วก็ไม่ร้อนไม่อย่างนั้นมือไหม้แน่เลย เป๋อจริงๆ ยัยปอยเอ๊ย เฮ้อ สงสัยคงจะง่วงจริงๆ แล้วเรา” มัลลิกาหาวจนน้ำตาไหล เธอง่วงจริงๆ นั่นแหละ

กลับมาถึงห้องก็ยังมืดแบบเดิม รัชนกยังไม่กลับมาถึงบ้าน มองเวลาที่นาฬิกาข้างฝาห้องครัว เกือบจะตีสีแล้ว รัชนกไปไหน ไม่นานนักรัชนกก็เปิดประตูห้องเข้ามา

“อ้าวปอยยังไม่นอนอีกเหรอนึกว่านอนไปแล้ว”

“อืมพึ่งกลับเข้ามาคะ เหนื่อยไหม”

“เหนื่อยสิขับรถกลัมาตาแทบปิดเกือบชนรถเมล์แล้วเมื่อกี้”

มัลลิกาฟังไม่ถนัดว่าเมื่อสักครู่รัชนกพูดว่าขับรถกลับมาตาแทบจะปิดอย่างนั้นหรือ แสดงว่ารัชนกพึ่งจะกลับมาถึงคอนโดนสินะ แล้วรถที่จอดอยู่ข้างๆ รถของเธอกระโปรงรถเย็นเฉียบนั้นมันรถของใครกัน มัลลิกาทำเป็นไม่รู้เรื่องแกล้งถามรัชนกกลับไปว่า

“นกพึ่งกลับมาเหรอคะแล้วจอดรถไว้ที่ไหนล่ะ”

“ก็จอดไว้ที่จอดรถของห้องเรานะสิข้างๆ รถปอยนั่นแหละ ไม่ไหวแล้วนกไปนอนก่อนนะปอยเหนื่อยมาทั้งวัน” รัชนกพูดจบก็เข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนโดยไม่อาบน้ำเหมือนกับหลายๆ คืนที่ผ่านมา

มัลลิกานั่งคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่ารัชนกไม่ได้เอารถไปทำงาน จะว่าไม่ได้เอาไปก็ไม่ได้เพราะเมื่อเช้าก่อนที่เธอจะขับรถออกไปรถของรัชนกก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงแค่รถของเธอคันเดียวเท่านั้นที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถชั้นที่เธอจอดอยู่ หรือรัชนกจะกลับมาบ้านเอารถมาจอดทิ้งไว้และออกไปอีกรอบ

รุ่งขึ้นเช้า มัลลิกาออกไปทำงานก่อนรัชนกเพราะเรื่องเมื่อคืนที่เธอทำค้างไว้ยังจัดการไม่เรียบร้อย เธอต้องติดต่อกับบริษัทประกัน เพื่อจัดการกับสินค้าในตู้ที่เสียหายไปหลายบาท จะไม่รีบก็ไม่ได้ ไหนจะลูกค้าที่รอของที่จะต้องส่งไป ไหนจะความเสียหายจากการที่บริษัทของเธอจัดส่งล่าช้า และโดนค่าปรับอีกหลายเท่าของความล่าช้านั้นเธอก็เลยต้องรีบๆ และรีบเพื่อไปจัดการงานให้เรียบร้อยก่อนที่จะทำให้บริษัทของตระกูลเสียหายไปมากกว่านี้

มัลลิกายังคงเห็นรอยมือของเธอปรากฏบนฝากระโปรงรถของรัชนก มัลลิกาไม่มั่นใจเดินไปดูทะเบียนรถ ก็ยังเห็นเป็นทะเบียนรถของรัชนก แล้วรัชนกมาโกหกเธอทำไม แล้วเมื่อคืนหรือหลายๆ คืนที่ผ่านมารัชนกหายไปไหน

มัลลิกาตัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมองของเธอ ในตอนนี้สิ่งที่ต้องคิดเพียงอย่างเดียวคือทำอย่างไรไม่ให้บริษัทเสียหาย

........................

มัลลิกากลับมาคอนโดเร็วกว่าทุกวันที่เคยผ่านมา กลับมาถึงก็ยังไม่มืด เธอเห็นรถของรัชนกเล่นเข้าไปที่คอนโดก่อนรถของเธอเพียงไม่กี่คัน จะว่าตาฝาดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะรถของรัชนกเป็นรถสีเหลือง เห็นเมื่อไหร่ก็จำได้เมื่อนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นรถของคนอื่นไปได้ แต่ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดกว่าที่มัลลิกาจะเลี้ยวรถเข้าไปในคอนโดของเธอได้ก็ใช้เวลาหลายนาที

เมื่อมาถึงที่จอดรถมัลลิกาก็เห็นรถของรัชนกจอดอยู่ก่อนหน้าเธอแล้ว ลองจับฝากระโปรงรถคันสีเหลืองที่มีรอยฝ่ามือของเธอเมื่อวานและเมื่อเช้าดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก็ถึงกับสะดุ้งโหยง

“อุ้ยร้อน หาเรื่องจริงๆ เล๊ยเรา” มัลลิกาสะบัดมือของตัวเอง เธอแน่ใจแล้วว่ารัชนกพึ่งจะกลับมาถึงคอนโดก่อนหน้าเธอได้ไม่นานนัก

ด้วยความเคยชินของมัลลิกาที่จะต้องแวะซื้อของในร้านสะดวกซื้อก่อนที่จะขึ้นห้องของตัวเอง และสายตาก็เห็นรัชนกหิ้วถุงบรรจุขวดสีเขียวๆ ออกมาจากร้าน อารามดีใจเธอกะจะเข้าไปทักทายคนรักให้แปลกใจเล่นว่าวันนี้เธอกลับบ้านเร็ว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีคนเดินเข้ามาควงแขนคนรักของเธอต่อหน้าต่อตา

มัลลิกาถึงกับตัวชาเมื่อเห็นภาพนั้น ทั้งสองคนเดินกระหนุงกระหนิงกันกดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบน เธอไม่ได้เข้าไปซื้อสินค้าอะไรอีก เดินตามคนรักและผู้หญิงคนนั้นไป แต่ลิฟท์ก็ปิดไปแล้ว มองไปยังชั้นที่ลิฟท์จอดนิ่งสนิทก็รู้ว่าเป็นชั้นเดียวกับชั้นของเธอ

มัลลิกาคิดเข้าข้างตัวเองว่าทั้งสองคนคงจะเป็นเพื่อนของรัชนกที่มาดื่มอะไรกันที่ห้อง แต่เพื่อนก็ไม่น่าที่จะสนิมสนมกันจนต้องเดินควงแขนกันแบบนั้น ประตูลิฟท์เปิดออกมัลลิการ้อนรน กว่าลิฟท์จะมาถึงชั้น ยี่สิบสี่ก็ใช้เวลานานโข

มัลลิกาเดินออกจากลิฟท์และมองหาว่ารัชนกอยู่ที่ไหน เธอได้ยินเสียงปิดประตูและเสียงหัวร่อต่อกระซิกของผู้หญิงสองคน จำได้ว่าเสียงหนึ่งเป็นของรัชนกคนรักของเธอ เธอเดินตามเสียงนั้นไป มันไม่ใช่ทางไปห้องของเธอ ชั้นบนนี้มีห้องอยู่เพียงสี่ห้อง มันไม่ยากอะไรเลยที่จะทำให้มัลลิการู้ว่าต้นกำเนิดของเสียงมาจากห้องไหน

เมื่อมัลลิกามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องอีกปีกหนึ่งของตัวตึกเธอก็ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะนั้น มัลลิกาหน้าซีด เดินกลับไปยังห้องของเธอ หัวใจของเธอแทบจะสลาย นั่งอยู่กับความมืดรอให้คนรักของเธอกลับมา

เวลาผ่านไปอย่างเชื่อช้า มัลลิกานั่งนิ่งไม่ไหวติงตีสีกว่าๆ รัชนกกลับเข้ามาที่ห้อง

“อ้าวปอย” ท่าทางของรัชนกตกใจที่เห็นมัลลิกานั่งอยู่และไม่เปิดไฟ

“ทำไมมานั่งมืดๆ ฟืนไฟก็ไม่เปิด เหนื่อยไหมคนดีวันนี้นกเหนื่อยจังเลยขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะเหนียวตัวชะมัด” น้ำเสียงของรัชนกดูอ่อนเพลียหมดแรงที่จะพูด

มัลลิกานั่งน้ำตาไหลทำไมเธอจะไม่รู้ว่ารัชนกไปทำอะไรมา สิ่งที่เธอรู้มันทำให้เธอกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ความอดทนของผู้หญิงคนหนึ่งก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน มัลลิกานั่งร้องไห้อยู่นานรัชนกก็ไม่สนใจเธอที่ไม่ได้เดินตามเข้าไปในห้อง

มัลลิกาอาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอนก่อนนอนเธอก้มตัวลงหอมแก้มรัชนก ถึงอย่างไรสถานภาพของรัชนกก็คือคนรักของเธอ กลิ่นเบียร์ยังคงออกมาทางลมหายใจของรัชนก

“คงจะดื่มมาเยอะล่ะสิท่าถึงได้นอนสลบแบบนี้” มัลลิกาบ่นกับตัวเอง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชนกที่นอนหลับตาอยู่ส่งเสียงลอดออกมาดังๆ

“ไม่เอาน่านิดพี่จะนอนอย่าพึ่งกวนพี่นะคนดี” ถ้อยคำที่มัลลิกาได้ยินมันชั่งบาดลึกลงไปในหัวใจของเธอยิ่งนัก เธอจะทนกับการกระทำของรัชนกได้อีกสักเท่าไหร่กันนะ

มัลลิกาปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเธอทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่รัชนกทำ แต่มันกลับเป็นการตอกย้ำให้เธอต้องเจ็บปวด

รัชนกกลับบ้านดึกทุกวันและวันไหนที่เป็นวันหยุด รัชนกก็จะรับโทรศัทพ์และออกไปคุยนอกระเบียงห้อง จากนั้นก็บอกว่าที่ทำงานมีปัญหาและก็หายไปกลับมาอีกทีก็เกือบรุ่งสาง

เวลาผ่านไปหลายเดือนจนสุดท้ายมัลลิกาทนต่อการคบกันแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้ เธอตัดสินใจขายคอนโดและย้ายออก

“ทำไมปอยต้องขายคอนโดเราซื้อต่อเองก็ได้ถ้าปอยมีปัญหาเรื่องเงิน”

“เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอกนก”

“แล้วขายทำไมในเมื่อไม่ต้องการใช้เงิน”

“ขายเพราะเราไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้วนะสิ”

“ทำไมมันไม่สะดวกเหรอแล้วจะไปอยู่ที่ไหนละปอย”

“สนใจด้วยเหรอนกว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็ในเมื่อนกกลับบ้านสว่างทุกวัน”

“สนใจสิก็ปอยเป็นคนรักของเรานี่”

“คนรักเหรอนก คนรักเค้าทำกันแบบนี้เหรอ รักกันแล้วไปนอนกับผู้หญิงอื่นทิ้งให้เรานอนคนเดียวทุกคืนแบบนี้เหรอ”

“ปอยเอาที่ไหนมาพูดเรานี่นะไปมีคนอื่น บ้าไปแล้ว”

มัลลิกาหยิบรูปที่เธอขอมาจากฝ่ายดูแลอาคาร มันเป็นรูปที่ได้มาจากโทรทัศน์วงจรปิด รูปของรัชนกที่เดินควงแขนกับเด็กสาวห้องปีกซ้าย หลายๆ รูป หลายๆ วัน หลายๆ เวลา รัชนกดูรูปนั้นแล้วก็หน้าซีด

“ปอยนกขอโทษนะถึงนกจะไปมีใครที่ไหนปอยก็ยังเป็นตัวจริงของนกอยู่วันยังค่ำ”

“เป็นตัวจริงแล้วมีประโยชน์อะไรนก ปอยว่าเราสองคนแยกทางกันเถอะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา อีกสองวันเจ้าของใหม่จะย้ายมาอยู่แล้วนะนก นกก็ย้ายออกไปก่อนเค้าจะเข้ามาอยู่ก็แล้วกัน”

“เรารักปอยนะปอยอย่าจากเราไปเลย”

“มันสายไปแล้วนก ถ้านกบอกเราตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้วมันยังทัน แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วจริงๆ เราไม่อยากเป็นตัวจริงที่ต้องมานั่งปวดใจอีกแล้ว ลาก่อนนะนก”

มัลลิกาลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบสุดท้ายของเธอออกจากประตูห้องนั้นไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองรัชนกที่นั่งน้ำตาคลอ

สุดท้ายของความรักสำหรับเธอทั้งสองคนไม่หลงเหลือสิ่งดีๆ ให้จดจำ

ความทรงจำสุดท้ายของมัลลิกาสำหรับความรักครั้งนี้

เธอจำได้เพียงว่า เธอคือ “ตัวจริงที่ปวดใจ” เท่านั้นเอง

... จบ ...






 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 13 สิงหาคม 2551 18:47:50 น.
Counter : 431 Pageviews.  

เรื่องสั้น : นิราศสุขาวดี

นิราศสุขาวดี

ชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นเหมือนกันหมดทุกที่ จากที่บ้านไปที่ทำงานในตอนเช้า ถ้าเร่งออกจากบ้านตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ก็สบายไป ชีวิตโตในรถเป็นเรื่องปกติ

เด็กๆ ถูกอุ้มให้มาล้างหน้าแปรงฟันตั้งแต่ยังไม่ลืมตา แถมยังถูกยัดเยียดให้แต่งตัวกินข้าวแล้วแต่แม่ของตัวเองจะกรุณา ทั้งซีเรียลเทใส่นม ทั้งข้าวคลุกไข่ต้ม ขนมปังหมูแฮม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง โจ๊กหมูใส่ไข่ แล้วแต่ว่าบ้านไหนจะสรรหามาให้ลูกๆ ได้กินเพิ่มพลังในตอนเช้าตรู่แบบนี้

ด้วยความสามาถที่ฉันมีฐานะทางทุนทรัพย์อันน้อยนิด ประกอบกับการให้เงินสนับสนุนจากทางธนาคาร ที่ให้กู้ได้ไม่เกินสามสิบเท่าของเงินเดือน ก็ได้มาแค่บ้านหลังน้อยๆ แถบชานเมือง การเดินทางไปมาค่อนข้างลำบาก แต่อยู่ๆ ไปก็เริ่มชินกับสิ่งที่ต้องผจญในทุกวี่ทุกวัน

นั่งอยู่บนรถเมล์ก็มองไปที่รถหรูๆ หรือรถเก่าๆ ที่ร่วมใช้กันบนท้องถนน เหตุใดคนเราถึงต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

มีคนเคยบอกว่า “ทำในสิ่งที่อยากจะทำ” แต่เมื่อจะทำจริงๆ กลับทำไม่ได้

หุหุ มันน่าเจ็บใจจริงจริ๊ง ผับผ่าสิเอ๊า

หลากหลายรูปแบบในการเดินทาง หลายหลายวิธีการในการไปให้ถึงจุดหมายปลายทางยกตัวอย่างเช่น

รถไฟ อะแน่นอนฉันเคยใช้บริการเพราะราคาค่อนข้างถูก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตรงเวลาและสะดวกปลอดภัยนะคุณ รถไฟเที่ยวเช้าๆ

หากใครเคยใช้บริการจะรู้ว่าไม่เคยมาตรงเวลา ไม่เคยทำให้ฉันไปทำงานได้ทัน ทั้งๆ ที่รางก็มีอยู่ที่เดิม แต่สาเหตุที่ล่าช้าเพราะต้องรอสับราง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน รางก็อยู่ตรงนั้น จะสับจะหั่นกันไปถึงไหน น่าเบื่อจริงๆ เชียว

เรือเมล์ นี่ก็อีกเช่นกัน เรือมีทั้งในแม่น้ำและลำคลองเรือด่วนแบบด่วนเสมอ ด่วนพิเศษ ด่วนที่สุด มาหลากหลายให้เราได้ใช้บริการ เรือด่วนในแม่น้ำไม่เท่าไรนัก นั่งสบายรับลมเพราะเรือค่อนข้างใหญ่และปลอดภัย

หากเป็นเรือที่ให้บริการในลำคลองเช่นคลองแสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง อ้าวไม่ใช่อะไรหรอก นะ เข็ดจนตายไม่เอาอีกแล้ว จะอะไรนะเหรอคะก็พี่ท่านแล่นกันกระจายน้ำกระเจิง แล้วน้ำในลำคลองแสนแสบก็แสบสมชื่อ ทั้งดำทั้งเหม็นเน่ากลิ่นคลุ้งไปหมด ถ้าหากเลือกได้ฉันก็ไม่คิดจะใช้บริการท่านแน่นอน แต่ก็ต้องทำใจเพราะมันต้องรีบเดินทางแข่งกับเวลา

ถ้าไม่ไปเรือด่วนแสบแสนในคลองแสนแสบ จากอโศกไปราชดำเนินในเวลาไม่ถึงชั่วโมงคงทำได้ยากและยากมากๆ แทนที่จะมีน้ำฝอยๆ เย็นๆ ฟุ้งกระจายมาโดนใบหน้า ก็กลายมาเป็นน้ำดำๆ กระเซ็นซ่านมาโดนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางประทิวผิว แถมเสื้อผ้าก็เป็นจุดด่างดำลบเลือนริ้วรอยไม่ได้ ไปพบลูกค้าก็ต้องหน้าดำเป็นด่าง เพราะละอองน้ำในคลองแสบแสบ หุหุ ไม่ต้องใช้การ์นิเย่ แต่ใช้กานิแย่ในการบำรุงผิวไปก่อนเถอะคงได้สิวเม็ดโป้งมาเป็นหลักฐานการใช้บริการเป็นทิวแถว พี่อ้อยสมูทไหนก็ช่วยไม่ได้แน่ๆ งานนี้

รถไฟฟ้า เป็นอีกทางเลือกที่คนในเมืองหลวงต้องใช้บริการ แม้ว่ามันจะแพงไปสักนิดกับค่าบริการ หากซื้อตั๋วเดือนก็ลดราคาไปได้เยอะ ใครเคยใช้บริการบ่อยๆ ก็น่าจะรู้ๆ กันดีอยู่ จากสถานีปลายทาง หมอชิตไปสถานีปลายทางอ่อนนุช ใช้เวลาไม่นานมาก รวดเร็วทันใจ มาตรงเวลา แต่ก็นะผู้คนมันล้นหลามกันจนต้องเบียดเสียดแนบชิด

ไม่รู้ว่ามาจากเป็นใครมาจากไหน มาเบียดกันทั้งๆ ที่ไม่เคยรูจักสนิทสนม แต่ก็ต้องมาประคองกันยืนไปบนตัวรถที่มีพื้นที่จะกัดจำเขี่ย แออัดกันเป็นปลากระป๋องปุ้มปุ้ยตราสามแม่ครัว น้ำลายหยดสามแหมะ ทั้งลอยฟ้าใต้ดินครบถ้วนกระบวนความ ลงมาก็โพสท่าเก็กหล่อฮังก๋วย เพราะเอวเคล็ดเอวครากกันเป็นทิวแถว

รถเมล์ เป็นรถสาธารณะที่คลาสสิคที่สุดในโลกยากจะหาใดเปรียบ ไปไหนมาไหนสะดวกจริงจริ๊ง จากปริมณฑลแห่งรักเข้ามาในเมืองย่านบางรักกลางกรุง หรือจะออกไปแถบชานไหนก็ว่ากันไป แต่คงไม่ต้องการไปบางพลัดแน่นอน เพราะกลัวจะต้องไปหย่าทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่ง ทุกสายรถเมล์เลือกได้ตามแต่จะเดินทาง ข้อดีของรถเมล์ก็อย่างที่บอกไปได้ทุกที่ที่อยากจะไป แต่ข้อเสียมีมากมายหลากหลาย

โดยเฉพาะรถร่วมบขส. แม่เจ้าโว๊ย ซิ่งไม่บังยะบันยั้งชั่งใจใดๆ ทั้งสิ้น พี่ท่านคงทะเลาะกับคนที่บ้านมา เบรกทีหัวทิ่มหัวตำ แถมทิ้งโค้งหักศอกกันจนเหลือจะยึดติดไว้ได้ ต่อให้ใช้กาวสามเอ็มที่ว่าคงทนเหนียวหนึบ หรือกาวตราช้างติดแน่นทนนาน ถ้าคุณไม่แน่จริง สาธุเถอะจ้า ตายมานักต่อนักแล้ว

จากประสบการณ์ที่ฉันเคยนั่งรถเมล์มาก่อน หุหุ ไม่อยากจะคุยเพราะไม่ได้โม้ สายแปดแป๊ดปู๊ด เป็นรถที่นั่ง แล้วต้องสวดมนต์ไปตลอดทาง พ่อเจ้าประคุณ ซิ่งแหลกแหกสะบัด ปาดซ้ายป้ายขวา

ฉันกำลังสงสัยว่าพี่ พขร.จะนึกว่ากำลังขับรถคันเท่ารถมอเตอร์ไซด์ เล่นเอาฉันที่นั่งอยู่เบาะท้ายรถและอีกสองคนที่นั่งข้างๆ กันกระเด็นกลิ้งกุ๊กๆ เป็นไก่ตาแตกไปหน้ารถทำลังกาหน้าสองรอบลังกาหลังอีกหนึ่งรอบพร้อมบิดเกลียวอีกหนึ่งหน ลงมานั่งแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ พี่ พขร. เล่นเอาต้องจอดป้ายหน้า โรงพยาบาลพญาไทย ใส่ใจมากกว่าที่คุณคิดเลยก็แล้วกัน

ฉันกำลังสงสัยว่า พี่พขร.เธอคงมีเอี่ยวเป็นหุ้นส่วนโรงพยาบาลแน่ๆ เลยคุณๆ ขา เพราะถ้าพี่ท่านไม่ขับรถแบบนั้น พญาไหนๆ ก็ไม่มีทางได้เงินค่ารักษาจากฉันแน่นอน แบบนี้ไปฟ้อง สคบ.ได้หรือเปล่านะ เห็นเค้ากลังลังฮิตๆ กันเรื่องร้องเรียนให้คุ้มครองผู้บริโภค สงสัยต้องเอากลับไปพิจารณาเป็นประเด็นแรกๆ ของการยื่นฟ้องศาลปกครองแล้วสิเนี๊ยะฉัน

มินิบัส นี่ก็อีกหนึ่งทางเลือก ที่ฉันไม่อยากจะเลือก เพราะหากว่าฉันต้องไปยืนบนนั้นฉันคงต้องลงมาร่างกายผิดรูป เพราะมันชั่งเตี้ยจนต้องก้มคอ ถึงจะราคาถูกกว่ารถเมล์ไปไม่กี่บาททำให้ประหยักเศษเหรียญในกระเป๋าไปได้บ้าง ฉันก็ไม่ยินดีให้พี่ท่านมานำเสนอบริการถ้าไม่รีบร้อนจริงๆ เจ้าอย่าหวังเลย

ถึงต่อให้มีคนมากมายเต็มรถ น้อง พกง.ก็ยังตะโกนเรียก ฟายเพ่ควาย เพ่ฟายมั๊ย แล้วถ้าฉันเดินไปขึ้นบนรถสีเขียวคันที่ว่านั่น คุณว่าฉันจะเป็นน้องฟายกับเขาหรือเปล่าล่ะ น่าคิดเหมือนกันเน๊อะ

หมดหรือยังรถสาธารณะ อะยังๆๆ มีอีกหนึ่งทางเลือก

รถตู้ นี่ อินแทรนด์ที่สุดแล้วในตอนนี้ มีให้เลือกมากมายหลายหลาย ทั้งด่วนไม่ด่วนโทล์เวย์สเตชั่น หรือพื้นราบปราบหน้ากลอง ใช้ได้ทุกที่ แต่อย่าหวังว่าช่วงเวลาอันรีบเร่งพี่ท่าจะรีบให้คุณหรอกนะคะ เมินซะเถอะ เพราะพี่ท่านจะลาก ลากยิ่งกว่าพี่มินิ ลากยิ่งกว่ารถไฟ และลากมากมายจนต้องขอลงก่อนทั้งๆ ที่จ่ายค่าโดยสารไปเรียบร้อยแล้ว

ฉันเคยขึ้นรถตู้จากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิหรือที่ฝรั่งมักเรียกกันว่า Victory monument แต่ฉันมักเรียกว่าวิคทอรี่น้องมอยเหม็น ไปแถวๆ ปากทางลาดมะพร้าวพี่ท่านก็ลากยาว จอดคาป้ายรอคนมาขึ้น แถมยังพูดกับพวกฉันที่นั่งสะบัดร้อนสะบัดหนาวกันอยู่ทั้งคันรถว่า

“เพ่ต้องเข้าใจพวกผมนะเพ่น้ำมันมันแพงคนก็ไม่มีให้ตีรถเปล่าๆ ไปผมก็ไม่คุ้มเห็นใจพวกผมเถอะนะพี่นะ”

ในใจฉันก็เห็นใจอยู่หรอกน้องเอ๊ย แต่ตอนนี้เพ่เองก็กำลังจะแย่แล้วน้อง ปั่นป่วนไปหมดทั้งท้อง ตั้งสมาธิก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้วน้องก็ยังไปไปลาดมะพร้าวให้พี่อยู่ดี แล้วนี่ที่พี่หวังว่าจะได้ไปสู่แดนสุขาวดีมันจะได้ไปตอนไหนกันล่ะน้องรถตู้

สักพักก็มีแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกของเธอมานั่งข้างๆ ฉัน ดูเหมือนเด็กกำลังร้องไห้โยเย ท่าจะหิวนม แถมคงจะง่วงนอนแต่ต้องมาเดินทางไปโน่นมานี่ สักพักเด็กก็ร้องบอกแม่ว่า

“แม่ป๋มปวกฉี่”

“ทนหน่อยสิลูก” แม่ของเด็กบอกอย่างนั้นแต่ท่าทางเจ้าหนูน้อยจะทนไม่ไหว

“แม่ไม่ไหวแล้ว”

แม่ของเด็กตัดสินใจบอกเพ่รถตู้ให้จอดข้างทางให้เธอหน่อยเพราะลูกชายเธอใกล้จะไปสุขาวดีอยู่รอมร่อแล้ว

เพ่รถตู้ก็ไม่ใส่ใจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ลากยาวรอคนที่ป้ายรถเมล์อยู่ได้ตั้งนานสองนานแถมยังบ่นกลับอีกว่า

“เพ่จะให้ผมจอดได้ไง ผมรีบไปส่งผู้โดยสารนะนี่ไว้ไปลงป้ายหน้าแล้วกัน”

อ้าวร้อนเลยฉัน ที่เมื่อกี้เพ่ยังบอกว่าเห็นใจผมหน่อยผมน้ำมันแพงผู้โดยสารมีน้อยแล้วไหงตอนนี้พอแม่ลูกคู่นั้นขึ้นมาคนเต็มเพ่แกจะซิ่งทะลุโลกอะไร

เด็กไม่ยอมฟังอะไรหรอกคะ ฉี่ตรงประตูรถนั่นเลย ฉันเองก็อยากจะทำแบบเด็กคนนั้นแทบขาดใจ เพราะตัวเองก็ทนแทบไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ฝนก็ตก รถก็ติด ถ้าฝนไม่ตก บอกแล้วว่าเจ้าอย่าหวังว่าจะได้เงินจากคนประหยัดแบบฉันไปได้หรอก

กว่าจะถึงปากทางลาดมะพร้าวที่มีห้างใหญ่รอฉันอยู่ ฉันก็ขนลุกขนพอง นั่งบีบหนีบขาอย่าหมายว่าจะพูดคุยกับใคร อย่าหวังว่าจะมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปาก เพราะสมาธิที่กำลังจะแตกซ่านของฉันมันต้องพยายามเก็บรวบรวมไว้สำหรับการกลั่นใจ ในการเดินกระมิดกระเมียนเป็นนางสาวไทยขาไข้วกันไปมาเมื่อถึงยังห้างนั้นจะวิ่งก็ไม่ได้ จะเดินก็ไม่ออก จุดมุงหายคือดินแดนสุขาวดี แต่กว่าฉันจะพาตัวเองมาถึงแดนสุขาวดีก็เลยเอาฉันหน้าซีดหน้าเหลือง

ปิดประตูได้ ปุ๊บ หย่อนก้นลงปั๊ป

โอ้ว พระเจ้า!!!

โอ้ว สุดยอด!!!

โอ้ว สวรรค์!!!

Oh yes!!!

Oh No!!!


ฉันไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเปรียบเปรย อีกแล้ว โลกนี้ช่างน่าพิรมย์ยิ่งนัก ที่สุดของที่สุดใครเอาอะไรมากแลกก็ไม่ยอม สุดๆ ไปเลยเพ่ (ขอเอาคำของนักร้องวงบุญคุณปูดำมาใช้หน่อยเถอะนะ)

คุณเคยเป็นแบบฉันไหมคะ ถ้าเคยลองมาแลกความเห็นกันหน่อยสิคะ

ว่าใครเคยทรมานกับการหาดินแดนสุขวดีแบบฉันบ้าง

ไม่บอกกันก็ไม่รู้จริงไหมเอ่ย

เอิ๊กๆๆๆ


... จบ ..








 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 10:15:54 น.
Counter : 343 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : มุมกลับจากดวงดาว

เรื่องสั้นแนวยูริ : มุมกลับจากดวงดาว

ดาวดวงน้อยที่มีบรรยากาศน้อยนิด เบาบางแรงโน้มถ่วงก็น้อย แถมอากาศที่จะใช้ในการหายใจก็ต้องค่อยๆ กลั่นกรองเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป ผู้คนบนดาวดวงนี้อบพยบมาจากดาวสีน้ำเงินเมื่อหลายร้อยปีก่อน อารยธรรมที่เสื่อมโทรมบนดาวสีน้ำเงิน การฆ่าฟันกันเองเพื่อแก่งแย่งชิงดีในการที่จะได้มาซึ่งทรัพยากร

มีคนเคยบอกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของธาตุคาร์บอนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดบนดาวสีน้ำเงินดวงโต แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลง ประชากรบนดาวสีน้ำเงินทำลายล้างกันเอง แก่งแย่งฟาดฟันสู้รับกันด้วยอาวุธชีวภาพ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้น “ปรมานู” เป็นส่วนที่ทำให้ดาวสีน้ำเงินเกือบจะแหลกสลาย

ประเทศมหาอำนาจสะสมอาวุธที่ใช้รบราฆ่าฟันกันจนวันหนึ่งสงครามทำลายล้างเผ่าพันธุ์ก็เริ่มต้นขึ้น ประเทศเดียวกันเองแบ่งเป็นสามฝ่าย ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายต่อต้านและฝ่ายเป็นกลาง

โชคดีที่ยังมีฝ่ายเป็นกลางหลงเหลืออยู่บ้างบนดาวสีน้ำเงิน และประชากรฝ่ายเป็นกลางบนดาวสีน้ำเงินก็รวมตัวกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฝ่ายเป็นกลางไม่สนใจการสะสมอาวุธ ไม่สนใจการสะสมน้ำมัน ไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีเป็นที่หนึ่ง แต่หันมาพัฒนาวิทยาการต่างๆ เพราะพวกเป็นกลางรับรู้มาแล้วว่าสิ่งที่จะทำให้ประชากรบนดาวสีน้ำเงินอยู่รอดได้ก็คือการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์

เมื่อดาวสีน้ำเงินกำลังจะใกล้ถึงจุดจบ พวกเป็นกลางก็พัฒนาเครื่องมือพาหนะในการเดินทางหลบหนีออกจากดาวสีน้ำเงินได้สำเร็จ ไม่ต้องใช้พลังงานชีวมวลใดๆ แค่ยังพอมีพลังงานแสงอาทิตย์สะสมไว้ทุกอย่างก็ดำเนินการไปได้ด้วยตัวของมันเอง

บางศาสนาได้กำหนดไว้ว่าดาวสีน้ำเงินจะแตกลงไปเพราะการรักร่วมเพศ หญิงรักหญิง ชายรักชาย ขั้วโลกแม่เหล็กจะกลับด้าน ตะวันจะขึ้นทางทิศตะวันตก เป็นคำทำนายที่เม่นยำยิ่งนัก จนเกิดการต่อต้านกับบุคคลที่เบียงเบนทางเพศมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการจับไปแขวนคอ จับไปทรมารต่างๆ นานา หรือแม้กระทั้งจับโยนให้แร้งกากิน ทำให้ฝ่ายเป็นกลางโดยส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยประชากรที่เป็นรักร่วมเพศ

ประชากรเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของฝ่ายเป็นกลาง เพราะทุกคนต้องการที่จะเอาชนะและแสดงให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่าเขาเหล่านั้นก็คือคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง

ประชากรเพศชายบนดาวสีน้ำเงินลดจำนวนลงจนเกือบจะหายสาบสูญ เพราะการออกรบแต่ละครั้งก็ต้องใช้ประชากรเพศชายแทบทั้งสิ้น

เมื่อมีความเครียดมากขึ้น สเปอร์มวายก็ลดน้อยลง เด็กรุ่นใหม่ก็ออกมาเป็นเพศหญิงทั้งสิ้น พ่อพันธุ์ที่ดีแข็งแรงก็ถูกโคลนนิ่งออกมาเป็นระยะๆ โดยการเอาไปฝังตัวในมดลูกของเพศหญิงที่มีให้เห็นกลาดเกลื่อนบนท้องถนน

วิวัฒนาการก้าวล้ำนำไปไกล จนผู้คนไม่ต้องมีการสมสู่กันเองอีกต่อไป ดาวสีน้ำเงินผลิตประชากรใหม่ๆ ด้วยการจัดสรรทางพันธุกรรม

ประชากรเพศชายแม้จะมีน้อยลงแต่ก็ยังคงรบกันแย่งกันเป็นใหญ่บนดาวสีน้ำเงินดวงนั้น

เมื่อดาวสีน้ำเงินมีอายุได้เกือบล้านล้านล้านปี ขั้วแม่เหล็กก็เปลี่ยนแปลง ดาวค่อยๆ เอียงไปเรื่อยๆ จุดศูนย์ถ่วงของดาวเริ่มเปลี่ยนไป จากการดำเนินการทดลองขีปนาวุธพิสัยใกล้และไกลต่างๆ แล้วแต่จะทดลองกันไป

จนในที่สุดถึงขั้นกับฝังอาวุธเหล่านั้นลงในผืนแผ่นดิน ทำเอาแกนของดาวสีน้ำเงินเบี่ยงแบนไปจากที่เคยเป็น ประกอบกับการกักกั้นน้ำให้เป็นเขื่อนต่างๆ ประชากรและทวีปส่วนใหญ่ก็อยู่ทางซีกเหนือ

เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป การแกว่งของแกนดาวก็เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ โน้มเอียงลงทางใต้เรื่อยๆ ไม่ว่าประเทศมหาอำนาจจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้

บรรยากาศบนดาวสีน้ำเงินร้อนระอุฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล อาหารก็ลดน้อยลง คาร์โบไฮเดรต โปรตีนเกลือแร่ ที่บริสุทธิ์หาได้ยากมาก ทุกสิ่งล้วนเจือปนไปด้วยกัมตรังสี แม้จะเดินออกมานอกชายคาก็ยังทำได้ยากมาก คนที่พอจะมีก็สะสมชุดป้องกันอากาศพิษและป้องกันรังสีที่รุนแรงโดยรอบ

เมื่อถึงกาลวิบัติของดาวสีน้ำเงิน ฝ่ายเป็นกลางที่มีผู้นำเป็นเพศหญิงก็ดำเนินการอพยบผู้คนออกจากดาวสีน้ำเงินมายังดาวดวงน้อยที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

เริ่มแรกก็ทำการสร้างบรรยากาศขนส่งน้ำขึ้นไปบนดาวดวงน้อย แตกน้ำให้เกิดออกซิเจนสร้างบรรยากาศรอบๆ ดวงดาวแห่งนี้ให้เหมือนหรือใกล้เคียงกับดาวสีน้ำเงินที่เป็นแหล่งกำเนิดสรรพสิ่ง

ใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าบรรยากาศจะถูกสร้างขึ้นมาได้ แน่นอนทฤษฎีสัมพันธภาพของมนุษย์โลกผู้ชายที่ชื่อว่าไอสไตล์ได้ถูกนำมาใช้ ดังนั้นการเดินทางไปไหนต่อไหนของฝ่ายเป็นกลางจึงไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร การว๊าปแว๊ปไปไหนมาไหนแม้กระทั่งการเดินทางกลับไปกลับมาจากดาวดวงน้อยไปยังดาวสีน้ำเงินมันช่างง่ายดาย

ไม่มีใครในฝ่ายเป็นกลางแพร่งพรายเรื่องที่คิดค้นขึ้นมาได้ให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ นักวิทยาศาสตรย์ปกปิดเป็นความลับ เดินทางนำอุปกรณ์ต่างๆ มาไว้ยังดาวดวงน้อยและจัดการเดินเครื่องสร้างบรรยากาศไว้ ณ ดาวดวงนี้

แน่นนอนดาวดวงนี้สะอาดและไม่มีมลพิษ แต่ข้อเสียของการไม่มีบรรยากาศและอากาศห่อหุ้มก็คือ เวลาที่ดาวดวงนี้หันหน้าเข้าสู่แสงอาทิตย์ก็จะร้อนระอุ จนอยู่ไม่ได้ แต่เมื่อหันหลังให้กับแสงอาทิตย์ก็จะเย็นยิ่งกว่าขั้วโลกเหนือ

ฝ่ายเป็นกลางพยายามสร้างชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม โดยการนำพืชที่ทนต่อสภาวะแวดล้อมที่สุดไปปลูกไว้บนดาวดวงนี้ และสร้างโดมขึ้นป้องกัน เมื่อพืชเจริญเติบโตได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น พืชอยู่ได้คนก็ต้องอยู่ได้

พืชที่เป็นอาหารถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้ประชากรกลุ่มแรกๆ ที่ไปดำเนินชีวิตบนนั้นได้ใช้เป็นอาหาร ที่สำคัญยังถูกส่งกลับไปยังดาวสีน้ำเงินเพื่อเป็นอาหารให้กับผู้คนที่นั่นอีกด้วย สภาวะขาดแคลนอาหารของผู้คนบนดาวสีน้ำเงินมีเกิดขึ้นทั่วไปหมด คนที่มีกินก็กินทิ้งๆ ขว้างๆ คนไม่มีจะกินก็เจ็บป่วยล้มตาย

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกอีกครั้ง ยุโรปหันไปอยู่ทางซีกโลกใต้ เมืองไทยจากประเทศร้อนกลายเป็นประเทศที่หนาวเย็น เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ถล่มหลายเมืองราบเป็นหน้ากลอง ผู้คนล้มตายเกลื่อนชายหาด และรวมไปถึงสัตว์หลายเผ่าพันธุ์ก็สูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย

ฝ่ายเป็นกลางจัดการทดลองอยู่หลายร้อยปีจนสุดท้ายคนกลุ่มแรกที่เดินทางมาใช้ชีวิตที่นี่ก็เดินทางโดยการว๊าปแว๊ปก็มาถึงดาวดวงน้อย ด้วยเวลาที่เรียกกันว่าเพียงลัดนิ้วมือ ไม่ถึงเสี่ยวหนึ่งของวินาที

พลังงานที่ใช้บนดาวดวงนี้เป็นพลังงานสะอาดมากจากแสงอาทิตย์โดยตรง ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยพลังงานอื่นใด ความเย็นและความร้อนที่เกิดขึ้นจากการหมุนรอบตัวเองบนดาวดวงนี้ ประกอบกับการพยายามสร้างบรรยากาศให้ห่อหุ้มดาวดวงนี้ไว้ ก็ทำให้เกิดมีลมพัด ลมที่แรงและแรงโน้มถ่วงที่มีน้อย การเดินทางของคนที่นี่ไม่ต้องอาศัยพาหนะใดๆ

มีเพียงตัวเองและผ้าใบที่ทำลักษณะคล้ายๆ ใบเรือก็เดินทางไปไหนมาไหนได้ไกลๆ หลายร้อยหลายพันไมล์

ฉันยืนมองดาวดวงโตที่เห็นอยู่ข้างหน้า เป็นดาวสีน้ำเงินสวยสดใส แต่ละครั้งที่คนบนดาวดวงน้อยต้องการที่จะได้น้ำมาใช้ในการดำรงชีพ ก็จะต้องส่งยานอวกาศไปยังดาวสีน้ำเงินและไปสูบน้ำที่ปะปนไปด้วยสารพิษมากมายหลากหลายแล้วนำมากรองกลั่นเอาออกซิเจนและไนโตรเจนสำหรับใช้ต่อไป

โรงงานผลิตน้ำสะอาดที่ตั้งอยู่ในวงโคจรยังทำงานอย่างหนัก นักธุรกิจหัวใสบางรายถึงกับนำก๊าซเหล่านั้นบรรจุกระป๋องหากใครต้องการน้ำที่สะอาดก็ต้องเอาไฮโดรเจนหนึ่งกระป๋องมาผสมกับออกซิเจนอีกสองกระป๋อง ในโถแก้วที่มีข้อต่อมิดชิด เราก็ได้น้ำสะอาดมาดื่มกิน

ของเสียที่ขับถ่ายออกมาเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องนำไปใช้เป็นปุ๋ยให้กับพืชที่เราปลูก ดังนั้นทุกๆ วันฝ่ายเป็นกลางจะส่งยานมาเก็บของเสียทั้งหมดที่เราปลดปล่อยออกมาไปทำปุ๋ยให้กับพืชของพวกเราระบบจัดการเป็นไปอย่างดีเยี่ยม ดาวดวงน้อยจากที่เคยมองจากดาวสีน้ำเงินเป็นสีขาวๆ ตอนนี้เริ่มมีสีเขียวสะท้อนออกมาให้เห็นจนเกือบครึ่งดวง

แม้ที่นี่ไม่ต้องใช้เงินตราทุกอย่างจัดหามาให้โดยฝ่ายเป็นกลางแต่ผู้คนก็ยังอยากที่จะมีความสะดวกสบายเหมือนเมื่อครั้งที่บรรพบุรุพของพวกเราบนดาวสีน้ำเงินอยากได้อยากจะมี

พวกเราไม่ใช้เครื่องประทินผิว เพราะเราอยู่ภายใต้ชุดป้องกันบรรยากาศกันทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องทาครีมหรือโลชั่นกันแดด ไม่ต้องฉีดน้ำหอมให้เปลือง ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรประดับให้สิ้นเปลือง

ฉันเกิดมาจากการผสมเทียมโดยการคัดยีนส์เด่นๆ ของแม่ทั้งสองคน นำมารวมตัวกันและปลูกถ่ายฉันลงในมดลูกของแม่ บนดาวดวงนี้มีแต่ผู้หญิงล้วนๆ เมื่ออยู่ในบ้านรูปโดมเราทุกคนสะดวกสบาย ฉันเรียนหนังสือและถูกถ่ายทอดความรู้จากแม่ทั้งหมด

แม่จะบอกเราเสมอๆ ว่าบนดาวสีน้ำเงินที่บรรพบุรุษของเราจากมานั้นเป็นอย่างไร โหดร้ายแค่ไหน โรงเรียนของฉันมีการนำทัวร์ท่องเที่ยวที่ต่างๆ บนดาวสีน้ำเงินอยู่บ่อยๆ ฉันยังคงเห็นมนุษย์โลกบนดาวดวงนั้นแก่งแย่งชิงดีกันอยู่ตลอดเวลา

เมื่อกลับมาเราก็มาถกเถียงกันเรื่องความเป็นอยู่แบบสัตว์ป่าของมนุษย์บนดาวสีน้ำเงิน ทุกครั้งที่พวกเราปรากฏกายให้เห็น ผู้คนบนดาวสีน้ำเงินก็จะแตกตื่นเห็นพวกเราเป็นคนประหลาด ผิวขาวๆ ซีดๆ และเราเองก็เห็นมนุษย์บนดาวดวงนั้นเป็นคนประหลาดเช่นกัน

ฉันชอบที่หนีเที่ยวและกลับไปยังประเทศแม่ ฉันมีเพื่อนที่ดาวสีน้ำเงินอยู่หนึ่งคน เราคบกันมาตั้งแต่ฉันแอบว๊าปแว๊ปหนีแม่ไปเที่ยวในครั้งแรกตอนอายุแปดขวบ ฉันตั้งเป้าหมายการแว๊ปไปที่ภาคเหนือของไทยในแผนที่เดิม แต่ตอนนี้กลายเป็นภาคใต้ไปแล้ว เพราะโลกกลับทิศ

หลังจากเหตุการณ์ซึนามิถล่มทั่วทั้งโลกในครั้งนั้น จะเหลือก็แต่เพียงจังหวัดที่อยู่สูงกว่าน้ำทะเลราวๆ ร้อยกว่าเมตรขึ้นไปเท่านั้น ที่เหลือล้วนจมอยู่ใต้บาดาล เป็นเมืองบาดาลให้แก่สรรพสัตว์ในท้องน้ำได้อาศัยพักพิง

เทศาตรีคือชื่อของฉัน ส่วนเธอนั้นชื่อชมพู่ ชมพู่ทำผมทรงแปลกๆ เธอมีหางสองข้าง ที่ฉันไม่มี ด้วยบนดาวของฉันนิยมที่จะตัดผมจนติดหนังศรีษะมากกว่าที่จะไว้ผมยาว มันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรในการชำระล้างร่างกายให้สะอาดเมื่อเราต้องไว้ผมยาวๆ

ยานของฉันร่อนลงที่ทุ่งนาเขียวๆ ของบ้านชมพู่ ฉันเลือกมาที่เมืองไทยเพราะบรรยากาศที่เมืองไทยดีกว่าทางอเมริกาหรือยุโรป ที่ยังรบพุ่งกันไม่เว้นแต่ละวัน รบทางซีกโลกโน้นกระเทือนมาถึงซีกโลกนี้ มนุษย์ผู้ชายช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้

โชคดีที่ดาวของฉันไม่มีมนุษย์ผู้ชายสักคนเดียว เราต่อต้านมนุษย์ผู้ชายที่พยายามรุกล้ำอธิปไตยของเราเมื่อหลายร้อยปีก่อน เราไม่ได้ทำร้ายมนุษย์เหล่านั้นพวกเราเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะให้คนเหล่านั้นมากอบโกยเอาธาตุเหล็กและธาตุอื่นๆ บนดาวของเราไป เราไม่ได้บอกเทคโนโลยีใดๆ ให้กับมนุษย์เหล่านั้น

และจนบัดนี้ผ่านไปหลายร้อยปีมนุษย์เหล่านั้นก็ยังไม่มีพัฒนาการมากเพียงพอที่จะเดินทางไปหาเราและดำรงชีวิตแบบเราได้

ตอนแรกที่ชมพูเห็นฉันออกมาจากยานเธอก็มองฉันด้วยสายตาแปลกๆ และเมื่อฉันจับใจความคำพูดของชมพู่ได้จากเครื่องแปลภาษาของฉันเราสองคนก็พูดคุยกันและเป็นเพื่อนกัน

“เธอชื่ออะไรมาจากไหนทำไมมีรถแปลกๆ มาด้วย” ชมพู่ถามฉัน

“เราชื่อเทศาตรีมาจากดาวดวงนั้นแล้วเธอล่ะชื่ออะไร” ฉันชี้ไปที่ดวงดาวของฉัน ที่นับวันก็จะเริ่มโคจรออกห่างจากดาวสีน้ำเงินของชมพู่ไปเรื่อยๆ

“เราชื่อชมพู่ เธอมาจากดวงจันทร์เหรอ โกหกหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อเลย”

“โกหกแปลว่าอะไร แปลว่าอาคนที่หกเหรอ” ฉันจ้องหน้าชมพู่เพราะในระบบคำแปลความของฉันไม่มีคำว่าโกหก

“ไม่ใช่ๆ โกหกก็แปลว่าพูดไม่จริงเธอนี่เชยจังเลยนะ” ชมพู่ว่าฉันที่แปลความหมายได้จากเครื่องแปลภาษา

“เราไม่ได้เชยแต่บ้านเมืองเราไม่เคยมีคนพูดไม่จริง”

“เหรอดีจังเลยนะบ้านเมืองของเธอคงน่าอยู่มากๆ เลย แล้วเธออายุเท่าไหร่”

“เราแปดขวบจะเก้าขวบแล้ว” ฉันตอบชมพู่ที่เดินมาวนดูรอบๆ ยานของฉัน

“เราพึ่งจะแปดขวบเมื่อไม่นานมานี้งั้นเราก็เป็นเพื่อนกันได้สิ ว่าแต่บนดวงจันทร์มีกระต่ายหรือยายกับตาตำข้าวจริงๆหรือเปล่า”

ฉันขำกับคำพูดของชมพู่ที่ดูเหมือนว่าจะยึดติดกับนิยายปรัมปราของเธออยู่

“แล้วเวลาบนนั้นกับเวลาของที่นี่ต่างกันเยอะไหม” ชมพู่ยังถามคำถามฉันต่อไปเรื่อยๆ

“ไม่รู้สิเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต่างกันเยอะไหม แต่ที่แน่ๆ เราก็มีทิวาและราตรีเหมือนที่เธอมี”

“เหรอ” ชมพู่พยักหน้าหงึกๆ

“เราคงต้องไปแล้วล่ะเมื่อมีโอกาสเราจะหนีมาเที่ยวที่นี่อีก”

“แล้วเธอจะมาอีกวันไหน”

“เราจะกลับมาเมื่อวันที่ดาวของเราเต็มดวงและดวงโตๆ ที่พวกเธอเรียกกันว่าพระจันทร์วันเพ็ญ” ฉันตอบเธอและรีบขึ้นยานแว๊ปกลับมายังบ้านของตัวเองในทันที

จากนั้นฉันก็จะแอบแว๊ปๆ ไปหาชมพู่ทุกๆ วันเพ็ญที่ดาวของฉันเคลื่อนเข้าใกล้ดาวสีน้ำเงินมากที่สุด ครั้งที่สองที่เราพบกันชมพู่บอกว่าเพื่อนๆ ของเธอไม่เชื่อว่าฉันมาจากดวงจันทร์ ต้องการที่จะมาดูฉันให้เห็นกับตาเพราะเธอไม่ต้องการเป็นคนโกหก

“อย่าไปบอกพวกเค้านะว่าเรามาเพราะถ้าเธอบอกเราสองคนจะไม่ได้พบกันอีก” ฉันบอกกับชมพู่เพราะมันไม่ดีแน่ๆ ถ้ามีคนมากมายรู้ว่าฉันมาจากไหน

“ก็ได้เราจะไม่บอกใครว่าเธอมาจากไหน แล้ววันนี้เธอจะเล่นกับเราถึงกี่โมง”

“เล่นจนกว่าดาวแห่งเราจะอยู่บนนี้พอดี” ฉันชี้ไปที่ดวงดาวของตัวเองและทำมือชูสูงๆ ชี้ไปบนฟ้าที่อยู่ตรงกึ่งกลางศีรษะพอดี

เราสองคนกลายเป็นเพื่อนรักฉันบอกกับเธอว่าที่ดาวของฉันไม่มีผู้ชายเราแต่งงานกันและมีลูกด้วยการผสมเทียม เธอก็ตื่นตาตื่นใจและอยากจะไปที่ดาวของฉันด้วย แต่ฉันเองต่างหากที่กลัวว่าเธอจะทนกับสภาวะอากาศและแรงโน้มถ่วงบนดาวของฉันไม่ได้ เพราะฉันเองยังรู้สึกหนักตัวเองเมื่อเวลาเดินตามเธอไปยังที่ต่างๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากยานของฉัน

ดาวของฉันมีมวลน้อยกว่าดาวสีน้ำเงินดังนั้นแรงเหวี่ยงจากแรงดึงดูดของดวงดาวจึงมีน้อยกว่า และกว่าฉันจะปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับดาวสีน้ำเงินได้ก็ใช้เวลานาน

เมื่อถึงเวลาฉันก็ขึ้นยานกลับไปยังดาวของตัวเอง แต่ในครั้งนี้ฉันโดนแม่ทำโทษให้อยู่โยงเฝ้าศูนย์วิจัยของบ้านเราเพราะแม่จับได้ว่าฉันหนีไปเที่ยวที่ดาวสีน้ำเงิน เราไม่มีระบบการทำรุนแรงไม่มีการตีแต่เราจะใช้วิธีตัดและจำกัดส่วนแบ่งของอาหาร

อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนบนดาวแห่งนี้และพวกเราก็จำกัดจำนวนประชากรของพวกเรา หากไม่มีการตายเกิดขึ้นก็จะไม่มีการเกิดบนดาวของเรา อย่างที่ฉันเคยบอกว่าการเกิดของประชากรแต่ละคนบนดาวเรานั้นค่อนข้างจะยุ่งยากไม่เหมือนการเกิดของประชากรบนโลก

เราต้องคัดสิ่งที่ดีที่สุด ประชากรของเราต้องเก่งและมีหัวคิดพัฒนาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ฉะนั้นการเกิดและการตายจึงเป็นเรื่องใหญ่ของคนบนดาวของเรา

ฉันไปหาชมพู่อีกครั้งเมื่อคืนพระจันทร์เต็มดวงในอีกหลายปีต่อมาในตอนนั้นฉันเป็นผู้ช่วยหัวหน้าในการวิจัยอาหารให้กับประชากรบนดาวของฉันเนื่องจากการปลูกพืชหลักๆ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะการดำเนินงานของฝ่ายกลางได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ๆ ให้สามารถที่จะเพิ่มจำนวนประชากรได้เป็นสองเท่าจากที่เคยมีลูกครอบครัวละหนึ่งก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นสองคน

เพราะเมื่อยามที่พายุสุริยะได้พัดโหมกระหน่ำมายังดาวเรากับสะเก็ดดาวที่พุ่งเข้ามาชนเราก็ต้องสูญเสียทรัพยากรและผู้คนไปไม่น้อยกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น

การมายังดาวสีนำเงินในครั้งนี้ฉันได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการให้มาดูการเพาะปลูกการเก็บเกี่ยวและการดำเนินงานของประชากรบนดาวสีน้ำเงินและกลับไปพัฒนาที่ดวงดาวของฉัน

จะอย่างไรคนบนดาวฉันก็ยังเห็นพ้องต้องกันว่าดาวสีน้ำเงินยังเป็นดาวแม่ของพวกเราเสมอฉันมาพร้อมกับเครื่องมือมากมายหลายชิ้น ไม่แปลกอะไรที่ฉันจะมาคนเดียวไม่มีเพื่อนร่วมงานมาด้วย เพราะชาวดาวแห่งเรามักจะทำเช่นนี้เสมอๆ หากมีคนไปไหนมาไหนด้วยสิเป็นเรื่องแปลก

ฉันซ่อนยานลำใหญ่ไว้ด้วยภาพลวงตาแบบที่เราใช้เสมอๆ ก่อนมาฉันได้ทำการฉีดภูมิคุ้มกันเชื้อโรคที่อาจจะติดต่อไปถึงคนบนดาวของฉัน กว่าจะได้มาฉันต้องไปฝึกร่างกายในสภาพหนักกกว่าที่เคยเป็น เหมือนๆ กับบนดาวสีน้ำเงินแห่งนี้อยู่หลายเดือนเพราะหากว่าฉันต้องทนแบบรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และเดินไปไหนมาไหนด้วยขาของตัวเอง ฉันอาจเกิดโรคไขข้อเสื่อมก่อนวัยอันควร

ฉันเห็นชมพู่นั่งอยู่ที่เดิมชมพู่สวยขึ้นมากเธอยังไว้ผมยาวเหมือนเดิมแต่ไม่มีหางอีกแล้ว ผมนั้นปล่อยยาวสยายไปทั้งแผ่นหลัง ในวันนี้ชมพูคงอายุราวๆ ยี่สิบกว่าๆ พอๆ กับฉัน ฉันเดินเข้าไปหาเธอและทักทาย

“สวัสดีชมพู่จำเราได้หรือเปล่าเราเทศษาตรีเพื่อนจากพระจันทร์”

ชมพู่หันมามองหน้าฉันและยิ้มรับทักทาย แสงจากดาวของฉันช่วยให้ชมพู่ดูสวยงามกว่าที่ฉันเคยเห็น

“ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะตรี” ชมพู่พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“ใช่เราไม่ได้เจอกันานมากแล้วชมพู่สบายดีหรือเปล่า”

“ก็เรื่อยๆ ตามอัตภาพ เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน ง่วงก็นอน”

“สบายดีจังเลยนะเราสิต้องทำแต่งานทุกวัน เราต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาหาชมพู่ตามสัญญาเพราะเราโดนทำโทษเพราะถูกจับได้ว่าเราหนีมาเที่ยว”

“แล้ววันนี้ทำไมถึงหนีมาอีกล่ะเดี๋ยวก็โดนทำโทษอีกหรอก”ชมพู่บอกฉันด้วยท่าทางที่ฉันเห็นแล้วว่าเธอคงเป็นห่วงฉัน เพราะแม่ก็เคยทำแบบนี้กับฉันบ่อยๆ

“เรามาทำงานกำหนดกลับของเราก็คือเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดของโลก”

“อยู่นานเหมือนกันนะแล้วตรีมาทำงานอะไรเหรอถึงได้อยู่นานขนาดนั้น”

“เรามาทำวิจัยพืชที่กินได้ทุกชนิดพวกข้าวหรืออย่างอื่นเอาไปพัฒนาที่ดาวแห่งเรา”

“ทำไมต้องวิจัยก็มาเอาจากที่เราไปปลูกเลยสิจะได้ไม่ต้องวิจัย”

“ไม่ได้หรอกชมพู่ดาวเราและดาวของเธอไม่เหมือนกันหลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่เหมือนกัน เราคงทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่ได้วิจัยก่อน”

“เหรอบ้านเราไม่เห็นต้องวิจงวิจัยอะไรเลยไปซื้อพันธุ์มาก็เอามาปลูกจากนั้นก็รอให้ข้าวตกรวงแล้วก็เอาไปขาย”

“ถ้าดาวเราทำได้ง่ายๆ แบบของชมพู่ก็ดีสินะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยวิจัย”

จากนั้นเราสองคนก็นั่งคุยกันที่กระท่อมปลายนาของชมพู่จนฟ้าสาง แสดงแดดของดาวโลกไม่ร้อนแรงจนต้องหลบเข้าที่กำบังแบบดาวของฉัน เมื่อมีแสงแดดสรรพสิ่งล้วนออกหากินไปตามแหล่งอาหาร ไม่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดปรับอุณหภูมิ ไม่ต้องซื้อแก๊สกระป๋องมาผสมรวมกันและได้น้ำดื่ม เพียงแค่ตักน้ำในโอ่งก็ดื่มกินได้อย่างสบายๆ

อาบน้ำก็แค่กระโดนลงไปในแม่น้ำและชำระล้างร่างกายให้สะอาด จะไว้ผมยาวแค่ไหนก็ได้ไม่ต้องตัดหรือโกน

ฉันเข้าๆ ออกๆ ยานแม่กับท้องไร่ท้องนาเป็นว่าเล่น และรายงานผลการวิจัยของฉันให้กับทางศูนย์อยู่ตลอดทุกวัน อากาศบนดาวสีน้ำเงินทำฉันแย่ไปบ้างพอสมควร เพราะอากาศปะปนไปด้วยมลพิษเครื่องกรองอากาศของยานต้องทำงานอย่างหนัก แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีแสงแดดช่วยให้ยานของฉันนำพลังงานเหล่านั้นมาใช้ในตัวยานได้

ฉันกับชมพู่เราสนิทกันมากขึ้นเธอสอนฉันจับปลาจากไซที่วางลงไปในแม่น้ำ เธอสอนฉันเก็บผลไม้เอามากินสดๆ จากต้น นับวันความสนิทของเราจะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจับมือของชมพู่เดินไปไหนต่อไหน กลิ่นหอมของชมพู่ทำให้ฉันคิดถึงมวลดอกไม้ในทุ่งดอกไม้ ที่หาดูได้ยากบนดาวของฉัน

เราสองคนสร้างความสัมพันแบบเดียวกับที่แม่ทั้งสองของฉันสร้าง ชมพู่บอกว่าบนดาวโลกเรียกว่าความรัก ฉันไม่เข้าใจความหมายของคำว่ารัก ว่าคืออะไร

“รักก็คือการที่คนสองคนมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ห่วงใยกันและกัน และอยากอยู่ด้วยกัน”

“เหรอเราไม่รู้จักหรอกว่าความรักที่ชมพู่บอกเป็นแบบไหน ดาวแห่งเราไม่มีความรักมีแต่ความสมดุลและสอดคล้องเท่านั้น”

“ฟังแล้วไม่ค่อยน่าอยู่เลยนะบนดวงจันทร์ ที่ไหนไม่มีรักที่นั่นก็คงไร้อารมณ์มิน่าล่ะตรีถึงดูเฉยๆ ชาๆ เมื่อเห็นอะไรสวยๆ งามๆ”

“บนดาวแห่งเราก็มีความสวยงาม เมื่อยามราตรีดาวแห่งเราจะเห็นแสงดาวส่องประกายได้ชัดกว่าดาวดวงนี้”

“ภาษาของตรีดูเก่าจัง”

“เป็นภาษาที่แปลมาจากเครื่องมือสื่อสารของเราน่ะชมพู่”

“ถ้าไม่มีเครื่องมือสื่อสารนี้ตรีก็ฟังเราพูดไม่รู้เรื่องเหรอ”

“อาจเป็นเช่นนั้น”

“งั้นลองเอาเครื่องมือสื่อสารออกแล้วเรามาสื่อสารทางกายและใจกันจะดีไหมตรี” ชมพู่พูดพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

“ก็ได้” ฉันปลดเครื่องมือทั้งหมดออกจากตัวเองเหลือเพียงเสื้อผ้าของชาวดาวสีน้ำเงินเท่านั้นที่ยังคงอยู่บนร่างกายของฉัน

“#%*@%$#*&&@@?” ภาษาที่ฉันส่งออกไปดูเหมือนว่าชมพู่จะไม่เข้าใจ (เราถอดเครื่องแปลภาษาออกแล้วชมพู่ฟังเรารู้เรื่องไหม)

ชมพู่ส่ายหน้าและเธอก็เบียดกายเข้ามาใกล้ชิดฉันมากยิ่งขึ้นสัมผัสที่เราส่งผ่านให้กันและพูดคุยกันทางสายตาสื่อความหมายได้ว่าเธอและฉันมีใจตรงกัน ภาษาหรืออะไรไม่ใช่สิ่งกีดขวางเราได้ต่อไป

สายตาที่สื่อถึงกันบ่งบอกว่าตอนนี้เรากำลังเป็นอย่างไร ในร่างกายของฉันร้อนระอุไปเหมือนกับมีดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้ามายังกายของฉัน แต่มันแผดเผาอยู่ข้างในนั้น การปลดปล่อยอาจจะทำได้เมื่อฉันกลับไปที่ยานแม่ที่ซ่อนอยู่ไม่ไกลนัก

แต่เมื่อชมพู่ประกบปากของเธอลงมาบนปากฉัน มันคือการถ่ายทอดคำพูดนับพันล้านคำจากเธอมาสู่ฉัน เรื่องที่ฉันกำลังพบเจอนี้ไม่มีตำราใดๆ เขียนบอกไว้ ฉันไม่เคยอ่านเจอเรื่องการมีประเวณีในดาวของฉัน เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่คนบนดาวฉันไม่สนใจใคร่มี เพราะสิ่งที่ทำให้ชาวเราคงอยู่ได้ก็คือการตัดแต่งพันธุกรรม

ในยามที่ชมพู่เคลื่อนกายอันไรอาภรณ์ใดๆ ไปบนร่างกายของฉัน ฉันร้อนรุ่มไปหมด อยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะกลัวว่ามนุษย์โลกที่ผ่านมาจะได้ยินเสียงร้องของฉันและแห่กันมาดู หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นฉันคงหนีไม่รอดและไม่อาจกลับไปยังดาวบ้านเกิดของตัวเองได้

ขณะนี้ฉันปล่อยกายปล่อยใจให้กับชมพู่หญิงชาวโลกที่กอดเกี่ยวรัดรึงฉันให้อยู่กับเธอ สมองของฉันไม่มีความคิดใดๆ อีกต่อไป จิตใจจดจ่ออยู่กับการกระทำของชมพู่เท่านั้น และไม่นานพันธนาการทั้งหมดที่ชมพู่รัดฉันไว้ก็ถูกปลดปล่อยไปอย่างง่ายดาย เหมือนความร้อนของแสงอาทิตย์ได้ดับมืดลงในยามราตรี

ฉันคงไม่ยอมที่จะอึดอัดและถูกปลดปล่อยอยู่เพียงลำพัง หลังจากที่หายจากอาการหอบแล้วฉันก็ดำเนินการเช่นเดียวกับที่ชมพู่ได้กระทำกับฉัน และคราวนี้ฉันก็ได้เห็นเธอเร่าร้อนดังไฟเผาเช่นเดียวกับฉัน สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความต้องการที่จะให้ฉันปลดปล่อยความร้อนที่ฉันได้สร้างให้กับเธอให้หายไปโดยเร็ว

ชมพู่ไม่ได้เก็บเสียงร้องของเธอแต่ประการใด เสียงร้องของเธอที่ร้องออกมาทำให้ฉันหึกเหิมที่จะช่วยเธอไปในสุดทางแห่งความร้อนนั้น

“โอ้วตรีช่วยเราด้วยเราไม่ไหวแล้ว” ฉันฟังภาษาของเธอไม่ออก แต่เมื่อดูจากการแสดงออกของเธอฉันจึงช่วยปล่อยเธอและตัวเองก็หอบหายใจถี่ๆ เช่นเดียวกับที่เธอเป็น

ไม่มีการสื่อสารกันทางคำพูดใดๆ จากปากของเราสองคน มีเพียงการสื่อสารทางร่างกายและของหัวใจเราเท่านั้น

จากนั้นชมพู่ก็พาฉันไปอาบน้ำในลำคลองข้างกระท่อมหลังน้อย แสงจากดาวของฉันส่องสว่างไปทั่วบริเวณ อีกเพียงหนึ่งราตรีก็ครบกำหนดที่ฉันต้องจากดาวสีน้ำเงินและชมพู่ไปแล้ว

เมื่อกลับมาที่กระท่อมฉันใส่เครื่องช่วยแปลและพูดคุยกับชมพู่

“ไปดูท้องฟ้าบนอวกาศกันไหม”

“ไปสิไปได้เหรอ”

“ได้สิถ้าชมพู่ต้องการ”

ฉันพาเธอยึ้นยานและล่องลอยไปในอวกาศระหว่างวงโคจรของดาวสีน้ำเงินและดาวของฉัน

“สวยจังเลยตรีสวยมากๆ” เธอแม้จะไม่คุ้นกับสภาพไร้น้ำหนักแต่ก็ยังสามารถที่จะลอยอยู่ในยานกับฉันได้ เมื่อถึงเวลาฉันพาเธอกลับไปยังดาวสีน้ำเงินด้วยความเงียบของการนำยานลงจอด

“ราตรีถัดไปเราต้องกลับแล้วนะชมพู่เราจะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในเพลานี้เลย”

“เรารู้แล้วคืนพรุ่งนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ตรีจะอยู่ที่นี่ ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดตรีก็ต้องไปจากเราและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรตรีจะได้กลับมาหาเราอีก” ชมพู่ซบลงที่บ่าของฉัน

“เราสัญญาว่าเราจะกลับมาหาชมพู่อีกครั้งและจะมารอคำตอบว่าชมพู่จะไปอยู่กับเราหรือเปล่า เราให้ชมพู่คิดก่อนก็แล้วกัน”

“เราอยากอยู่ใกล้ๆ ตรีแต่เราก็ไม่อยากไปใช้ชีวิตบนดาวของตรี ถ้าเราไปเราก็คงเป็นมนุษย์ประหลาดคนหนึ่งที่ไปอยู่บนดาวดวงนั้น”

“ในทางกลับกันหากว่าเราอยู่ที่นี่เราก็เป็นมนุษย์ประหลาดเช่นกัน”

เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันต่อไปอีกเพราะเมื่อแสงแรกแห่งทิวาได้โผล่พ้นขอบฟ้าฉันก็ต้องออกไปทำงานเก็บทุกอย่างที่ได้ทำไว้เข้ายานแม่ เพราะเมื่อเวลาแห่งรัติกาลมาเยี่ยมเยือนก็คือการจากลาของเราสองคน

.................

ฉันกลับเอาผลวิจัยต่างๆ ไปให้หัวหน้าและดำเนินเรื่องขอให้ชมพู่มาอยู่กับฉัน ฉันอ้างความจำเป็นต่างๆ มากมายเพื่อให้ฝ่ายกลางเข้าใจและยอมรับในตัวของชมพู่ ดำเนินเรื่องอยู่นานเกือบสามปี

ฉันกลับไปรับชมพู่อีกครั้งในวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ดชมพู่ยืนอยู่ที่ปลายนาฉันเข้าไปโอบกอดเธอ

“กลับมาแล้วเหรอตรี”

“ใช่เรากลับมารับชมพู่ไปอยู่กับเรา”

“เราคงไปอยู่กับตรีไม่ได้แม้ว่าหัวใจของเราจะเป็นของตรี ตรีรู้ใช่ไหมว่าเราสองคนมันแตกต่างกันมากเกินไป”

“เรารู้และเราก็เข้าใจ”

“มุมกลับของดวงดาวเมื่อยามที่ตรีมองดาวของตรีมันดูอ้างว้าง ก็เหมือนกับที่เมื่อเรามองดาวของเราจากดาวของตรีเราก็คงอ้างว้างเช่นเดียวกัน”

“เราเข้าใจชมพู่ แต่เมื่อใดที่ชมพู่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา” ฉันยื่นเครื่องเรียกตัวที่สามารถส่งสัญญานไปถึงฉันที่อยู่อีกดวงดาวหนึ่งให้กับเธอ

“มันคือเครื่องเรียกตัวเรา เมื่อยามที่ชมพู่ต้องการ”

จากนั้นเราสองคนก็เดินกลับไปยังกระท่อมปลายนาเป็นการเสพสังวาสครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉันกับเธอผู้เป็นที่รักในดวงดาวที่ห่างไกล

ฉันมองเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของเธอภายใต้แสงแห่งดาวของฉัน เธอเองก็เช่นกัน เราต่างคนต่างมองกันและกันไม่วางตา เราไม่สนใจว่าจะเกิดอันใด เราส่งเสียงร้องแห่งความปิติในรสแห่งกามา และมีต่อกันเรื่อยๆ ไม่สนแม้ทิวาหรือราตรีจะเคลื่อนคล้อยไปอย่างไร

ฉันมองดาวแห่งฉันด้วยสายตาที่ปวดร้าวเมื่อยามที่เราต้องจากกันจริงๆ

จากนั้นหลายปีผ่านไปฉันได้ยินเสียงสัญญานที่ส่งมาขอความช่วยเหลือจากชมพู่ ฉันรีบนำยานแว๊ปลำใหม่ออกมาใช้และมุ่งตรงไปหาเธอทันทีเพียงลัดนิ้วมือเดียว

ชมพู่นอนหายใจรวยรินอยู่ในกระท่อมปลายนาที่ทรุดโทรม ฉันเข้าไปอุ้มเธอออกมาจากกระท่อมและนำเธอไปยังดวงดาวของฉันในทันที

“หมอช่วยชีวิตเธอด้วยฉันขอร้อง” ฉันบอกกับหมอที่ประจำอยู่ที่ศูนย์

“ขอเช็คร่างกายให้ละเอียดสักนิดนะคะเจ้านาย” หมอตอบฉันและนำร่างของเธอกลับไปในห้องตรวจร่างกาย

“หมอเสียใจด้วยที่ช่วยอะไรไม่ได้”

“อย่างนั้นหมอโคลนเธอออกมา เดี๋ยวนี้”

“แต่มัน”

“ไม่มีแต่หมอโคลนเธอออกมาและจัดการโคลนฉันออกมาด้วยแล้วฝังลงที่มดลูกของฉัน ฉันกับเธอจะได้อยู่ใกล้กันไม่พรากจากกันอีก”

หมอจัดการทำตามคำสั่งของฉันอย่างว่างง่ายและนำเนื้อเยื่อของเธอและของฉันไปทำการโคลนนิ่ง หลังจากนั้นไม่นานเด็กทารกหญิงน้อยๆ สองคนก็กำเนิดออกมาบนดวงดาวของฉัน คนที่มาจากฉันเธอชื่อราตรี ส่วนคนที่มาจากเธอฉันตั้งชื่อว่าทิวา

เด็กทั้งสองคนถูกเลี้ยงดูและให้การส่งเสริมจากฉันผู้เป็นแม่เพียงคนเดียว

เราจะไม่พรากจากกันอีกต่อไปชมพู่ มุมกลับแห่งดวงดาวของฉัน

... จบ ...





 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2551 15:16:43 น.
Counter : 393 Pageviews.  

เรื่องสั้น : ความในใจของรถอย่างฉัน

ความในใจของรถอย่างฉัน โดยผิงดาว


ฉันรถรถมิร่าคันน้อย แรงเครื่องหกร้อยซีซี พ่อกับแม่บอกว่าฉันเป็นรถ City car ที่ประหยัดที่สุดในตอนนั้น

เพราะฉันไม่กินน้ำมันแบบรุ่นพี่ยุโรปทั่วไป ฉันเคยมีความฝันว่าเมื่อโตขึ้นฉันจะเป็นเหมือนพี่เบนซี่ คันหรูสีดำข้างๆ บ้าน หรือไม่ก็เป็นเหมือนพี่แซบซ๊าบ ที่จอดอยู่ในบ้านหรูหน้าปากซอย ไม่แน่ฉันอาจจะโตเป็นพี่วอนโว่ ที่ชอบคุยโอ่ว่านิ่งเงียบราวกับวิ่งบนพรมก็ได้

พ่อก็ให้อาหารฉันทุกวัน ตั้งแต่ยังมีสารตะกั่วจนพัฒนามาเป็นไร้สาร ไม่มีมลพิษ เพราะต้องการให้ฉันสะอาดหมดจด แต่ฉันกินไปเท่าไหร่ พอออกกำลังพาพ่อไปทำงานไปตลาด หรือไปที่ทำงาน ฉันก็ตัวหดเล็กเหมือนเดิม แคระแกรนแบบเดิมๆ

พ่อคงโมโหเพราะระยะหลังๆ พ่อให้ฉันกิน E20 พ่อบอกว่าประหยัดสุดๆ สำหรับพ่อ แต่สำหรับฉัน เมื่อเจ้า E20 อยู่ในตัวนานๆ เจ้านี้ปล่อยกลิ่นเน่าในท้องของฉัน ฉันว่ามันต้องกินหญ้าเน่ามาแน่ๆ เลยนะ ตอนนี้ฉันปวดท้องมากๆ วิ่งไปสะอึก อึ๊กอั๊ก จะแหวะก็ไม่ได้ จะผายลมก็ไม่เชิง

พ่อคงเห็นท่าทางของฉันไม่ดี พาฉันไปหาหมอ หมอทำการล้างท้องฉัน จัดการทำฟิตให้ฉันใหม่ หมอบอกพ่อว่า E20 ประหยัดจริงแต่ต้องไม่ตกค้าง ต้องให้ฉันกินให้หมด ไม่อย่างนั้นฉันจะเน่า

โอ้วพระเจ้า ช่วยฉันด้วยฉันยังไม่อยากตายเพราะ E20 ตอนนี้ พ่อจ๋าแม่จ๋า ถึงหนูจะมีอายุอานามมากมายหลายปีแต่หนูก็ยังฟิตเปรี๊ยะ อย่างกับติดเทอร์โบนะจ๊ะ อย่าเอาหนูไปกินไอ้เจ้า E20 อีกเลย หนูเข็ดแล้ว ต่อไปหนูจะไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนอีกแล้ว หนูสัญญาว่าหนูจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนกับพ่อกับแม่

จริงๆ นะ สัญญาจริงๆ

แต่ไม่นานเมื่อพ่อเห็นพี่ต้าข้างบ้านไปไปแปลงเพศมาใหม่พ่อของพี่ต้าบอกว่า

“โอ๊ย ตอนนี้น้องต้ากิน LPG ไม่เปลืองอะไรเลย ใส่อาหารเสริมออโตลูป ให้นิดๆ หน่อยๆ หมั่นดูว่าเครื่องหัวฉีดยังใช้การได้ดีหรือเปล่าก็แค่นั้นแถมประหยัดเงินในกระเป๋าผมอีกหลาย ปั๊มก็เกลือนเมือง สยายหายหว่งคุณ”

ฉันก็ได้แต่ฟังพวกพ่อๆ คุยกัน แต่พี่ต้าแอบมากระซิบฉันว่า ตอนนี้พี่ต้าก้นบานแล้ว โดยเสียบไปหลายหน พี่ต้าบอกว่าตอนแรกก็ทำใจไม่ได้ที่ผู้ชายอย่าพี่ต้าจะต้องมาโดนเสยก้นแบบนี้ แต่เมื่อโดนเสยไปเรื่อยๆ พี่ต้าก็เริ่มทำใจได้ เริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

พี่ต้าพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็น แถมพี่ต้าบอว่า ตอนนี้พี่โว่ขี้โอ่หน้าปากซอยก็กำลังจะเบี่ยงเบนทางเพศมาเป็นแบบพี่ต้าแล้วเหมือนกัน พี่ต้ายังบอกอีกว่าอีกไม่กี่วันพี่ต้ากับพี่โว่จะเป็นแฟนกัน จะแต่งงานกันที่ร้านขาย LPG หน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน

ฉันเห็นพี่ซี่สีเหลือง เขียว ชมพู แดง ม่วงหรอย ต่อคิวแต่งงานกันที่ร้านชาย LPG ทุกวัน ในเวลา บ่ายสามกว่าๆ ยาวจนฉันอยากจะไปร่วมวงไพบูรณ์ด้วย แต่พ่อบอกว่าฉันคงทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะฉันไม่ฟิตพอ แหมๆๆ พ่อดูถูกฉันจริงๆ เลย ถึงฉันจะตัวเล็กแต่ก็ยังพอมีเรี่ยวแรงแบกน้ำหนักบ้างหรอกน่าพ่อจ๋า

แต่แล้วพี่ซูสาวสวยบ้านเยื้อกันเธอก็ต้องกลายเป็นนางกลางเมือง ฉันเสียดายเธอจริงๆ ที่ต้องมาเปิดกระโปรงให้ใครต่อใครดู มันช่างน่าอับอายจริงๆ แม่ของพี่ซูคุยกับพ่อฉันว่า

“รัฐเค้าให้เงินสนับสนุนในการเปลี่ยนนะคะคุณขา นี่ราคาตั้งหกหมื่นกว่าฉันเสียไปแค่สี่หมื่นกว่าๆ เอง โอ๊ย ประหยัดค๊าประหยัดทั้งค่าน้ำมัน ค่าแก๊สก็ถูกแสนถูก ไม่ต้องคิดมากหรอก” แม่พี่ซูบอกกับแม่ฉัน

“แต่ปั๊มมันไม่ค่อยมีนี่คะ” แม่ฉันยังคงมีคำถามอยู่ในใจ

“โอ๊ยคุณขาถ้ามัวคิดแบบนั้นเมื่อไหร่โลกจะเจริญกันคะ เค้าพัฒนาพลังงานทางเลือกมาให้เราแล้ว ยิ่งตอนนี้เสียค่าติดตั้งน้อยๆ ไม่คว้าไว้ก็ไม่รู้ว่าจะพูดไงแล้วล่ะคุณเอ๊ย” แม่พี่ซูยังโฆษณาชวนเชื่อให้แม่ฉันฟังตลอด

ฉันได้แต่ภาวนาว่าแม่จ๋าอย่าเอาฉันไปเปิดกระโปรงอล่างฉ่างแบบพี่ซูเลยนะฉันอายประชาชี ถึงฉันจะแก่แต่ก็ยังไม่หน้าด้านพอที่จะไปเปิดอะไรให้ใครต่อใครเค้ารู้เค้าเห็นหรอกว่าฉันมีตับไตใส้พุงกี่ขดกี่กด

ดูเหมือนว่าการภาวนาของฉันไม่เสียหลาย พ่อกับแม่ไม่ได้ทำการแปลงเพศฉัน ไม่ได้เปิดฉันอล่างฉ่างแบบที่พี่ๆ ข้างๆ บ้านฉันโดนกระทำ เพราะพ่อกับแม่ก็ไปไหนมาไหนกับฉันไม่ได้ไกลมากนัก

พ่อไม่ได้ป้อน E20 ให้ฉันกินอีก อย่างมากก็ E5 เท่านั้น รอดตัวไป เหลือไว้แค่เมื่อไหร่ที่ฉันจะต้องออกไปไหนมาไหน ฉันก็แค่ทำตัวดีๆ พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไร ยังคงอาบน้ำให้ฉันทุกวัน เมื่อยามที่ฉันไปคลุกฝุ่นดินโคลน

พ่อคุยกับแม่ว่าอยากจะเอาฉันไปแปลงเพศ หรือไม่ก็ขายฉันให้กับเซียงกง แต่พอเอาฉันไปตีราคา พ่อแทบร้องไห้ เพราะราคาค่าตัวของฉันยังไม่สามารถซื้อน้องฟี่โน่ได้เลย ครั้งจะแปลงเพศฉัน ก็เกินกว่าที่จะทำได้ ฉันก็เลยอยู่รอดปลอยภัย

อีกอย่างต้องของคุณแม่ที่ยังคิดที่จะเลี้ยงฉันไว้ดูต่างหน้าแม่บอกว่า

“อย่าขายเลยพ่อ เอาไว้ใช้เมื่อยามฉุกเฉินจริงๆ ขายไปได้เงินก็ไม่เท่าไหร่ เสียดายน้องร่าเค้าอยู่กับเรามาตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัว”

พ่อได้ยินแม่พูดก็คงจะนึกขึ้นได้ว่าฉันยังคงพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แม้จะน้อยนิดก็ตามที

แล้ววันหนึ่งแม่ก็คลอดน้องคนใหม่น้องมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับฉัน แม่บอกว่าน้องกินจุน้อยกว่าฉัน น้องชอบนุ่งชุดสีแดง ส่วนฉันชอบชุดสีน้ำเงิน แม่ตั้งชื่อให้น้องคนใหม่ว่าลูกหนู แม่ดูจะรักน้องมาก เสียอย่างเดียวน้องไปแปลงเพศเป็นกระเทยตั้งแต่แม่เอาน้องออกมาจากโรงพยาบาล ก้นน้องต้องบานเพราะ LPG

ส่วนพ่อก็พาน้องใหม่เข้ามาแม่บอกว่าเป็นลูกเมียน้อย พ่อไปพาน้องมาน้องมีชื่อว่าน้องรีส น้องรีสของฉันชอบนุ่งชุดสีเหลืองอ๋อย มาอเห็นได้ตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน แต่น้องรีสของฉันมีรสนิยมเหมือนพี่ซู น้องรีสชอบที่จะเป็นนางกลางเมือง

เวลาที่น้องลูกหนูหิวน้องจะบอกพูดเสมอๆ ว่า

“หิวแล้วช่วยป๋มด้วยคร๊าบป๋มอยากโดนเสียบก้น ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยผมที อยากจะตายอยู่แล้ว”

ส่วนน้องรีสก็จะประมาณว่า

“ช่วยด้วยเถอะค่ะอยากเหลือเกินแล้ว ใครก็ได้ช่วยป้อนหนูที”

น้องทั้งสองดูน่าสงสารเมื่ออาหารไม่ตกถึงท้อง เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนอาหารของน้องๆ หมดไปจากตลาดดูน้องๆ จะเศร้าซึมกันยกใหญ่ กระมิดกระเมี้ยน เข้าปั๊มเดียวกับฉัน เปิดฝาถังน้ำมันที่นานๆ จะได้เปิดสักครั้ง

ฉันว่าไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยคลาสสิคดีออกจะตายไปที่จะเปิดฝาถังรูดซิบกระโปรงด้านข้างให้พี่เด็กปั๊มเติมน้ำมันลงไป แต่แปลกตรงที่น้องๆ ถนัดที่จะเอาก้นไปให้เสียบ เปิดกระโปรงให้ดูมากกว่าการเปิดซิบข้างกินอาหารแบบที่ฉันเป็น

มีอยู่วันหนึ่งแม่พาน้องลูกหนูไปให้หมอตรวจเช็คตามระยะ พ่อก็เลยพาฉันไปทำงานด้วย ฉันดีใจจังเลยที่พ่อยังใช้งานฉันอยู่ ฉันทำตัวดีกับพ่อเหมือนเช่นที่เคยทำ ไม่ดื้อไม่เกเรไม่ซุกซน

แม่เอาน้องรีสลูกของพ่อไปทำงานแทนและพาน้องรีสไปที่ร้านอาหาร แต่แม่เข้าผิดที่อาจจะเป็นเพราะความเคยชินของแม่ก็เป็นได้ น้องลูกรีสร้อง

“จ๊าก!!!! ไม่นะหนูไม่อยากเสียประตูหลังอีกนะ หนูยอมตายที่จะโดนเสียบ”

กว่าแม่จะรู้ตัวว่าแม่เข้าร้านอาหารผิด ก็ตอนที่พี่ในร้านอาหารของน้องมาบอกว่า

“พี่ครับคันนี้ NGV เติม LPG ไม่ได้ครับพี่”

แม่ก็เลยถึงบางอ้อกลับมาเล่าให้พ่อกับฉันฟังว่าแม่หน้าแตก ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมโลกถึงได้เปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้

คุณล่ะคะเกิดเหตุการณ์แบบพ่อกับแม่ฉันหรือเปล่า

ถ้าเกิดเป็นคุณจะเลือกทางไหน

ฉัน น้องลูกหนู หรือน้องรีส

ลองคิดดูนะจ๊ะ

จากใจมิล่าตัวน้อย

... จบ ...

ผิงดาว ณ คืนไร้เดือน ๐๘-๐๗-๒๕๕๑




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 16:14:41 น.
Counter : 382 Pageviews.  

เรื่องสั้นแนวยูริ : เงา

เงา เรื่องสั้นแนวยูริ โดยผิงดาว

ฉันผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรดีกว่าใครๆ

เธอคนที่เด่นดังในแวดวงสังคม ไม่ว่าเธอจะเดินไปแห่งไหน ก็จะมีคนจำเธอได้และเข้ามาทักทายเธอเสมอ

ฉันต้องกลายเป็นโจรมุมตึกเวลาจะไปไหนกับเธอ ฉันต้องกลายเป็นเงาในซอกหลืบมืดๆ ที่ใครก็ไม่เคยที่จะมองเห็นฉัน เพราะคนเหล่านั้นที่รุมล้อมเธอ จะเห็นเพียงแสงสว่างของเธอเพียงคนเดียว เธอเป็นแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางผู้คนมากมาย

เธอเคยบอกกับฉันว่าเธอมีความรักให้กับหญิงสาวคนหนึ่ง และหญิงคนนั้นก็เหมาะเจาะราวกับเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะมาเติมเต็มให้กับชีวิตที่สะเปะสะปะของเธอให้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ฉันเฝ้ามองความรักของเธออยู่ห่างๆ ในฐานะเพื่อนสนิท และทำตัวเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่เธอเคยมี

เธอบอกฉันซ้ำๆ กันหลายๆ ครั้งว่า เธอกับหล่อนคนนั้นรักกันมากแค่ไหน เธอมอบความรักให้หล่อนอย่างที่ไม่เคยมีข้อแม้ เธอรักหล่อน เธอทุ่มเททุกอย่างให้หล่อน

มันเหมือนภาพสะท้อนในกระจกเงาตรงหน้าของฉัน แต่มันกลับด้านกันตรงที่ ฉันทุ่มเททุกอย่างให้เธอ ฉันรักเธอโดยไม่มีข้อแม้

ฉันทุ่มเททุอย่างเพื่อเธอ แต่มันเหมือนกับการทิ้งสิ่งดีๆ และมีคุณค่าลงไปในเหวลึกที่ไม่มีทางจะหยั่งถึงก้นบึ้งของหุบเหวนั้น ยิ่งทิ้งลงไปก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งทิ้งลงไปก็ยิ่งถลำลึก

เมื่อครั้งที่เธอเจ็บช้ำมาจากใครคนนั้นของเธอ ฉันมีอ้อมกอดของเพื่อนที่แสนดีให้เธอได้พักพิง

ฉันทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี คอยซับน้ำตาคอยล้างใจเธอที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน จากสิ่งเลวร้ายให้สะอาดอีกครั้ง

จนหัวใจสีช้ำเลือดช้ำหนองของเธอกลับมาสีสวยอีกครั้งและฉันก็ต้องกลับมายืนที่เดิม ยืนห่างๆ มองความเป็นไปของเธอไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร

ฉันคนนี้ก็จะคอยส่งเสริมเมื่อยามที่เธอกำลังจะถึงจุดมุ่งหมาย คอยฉุดเธอให้ลุกขึ้นยืน เมื่อยามที่เธอล้ม

บทบาทของฉันเป็นเพียงคนข้างตัว แต่ไม่ใช่คนข้างใจ

บทบาทที่ต้องเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่ฉันยังไม่สามารถที่จะผละตัวเองออกมาจากเธอได้ ฉันก็ต้องจำยอมและยินดีที่จะเล่นบทบาท ซ้ำซากและปวดใจ ไปเรื่อยๆ

เมื่อแรกเริ่มแสดงมันเจ็บปวด ร้าวลึกลงไปในหัวใจดวงน้อยๆ ปวดจนกระทั่งอยากกระอักออกมาเป็นเลือด ปวดแปลบที่อกข้างซ้าย ต่อให้ไปหาหมอที่ไหนก็ไม่สามารถที่จะรักษาโรคหัวใจของฉันได้

แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป ยิ่งแสดงก็เริ่มชินชา ยิ่งแสดงก็เริ่มไม่รู้สึก

เหมือนอ่านละครฉากเก่าๆ บทเก่าๆ ที่มีตัวแสดงเอกคือเธอกับฉันคนที่ปวดใจ เล่นซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนหลายรอบ ราวกับเป็นฉากที่ฮิตติดตาแฟนละคร

นิยายเรื่องเดิมของเธอถูกนำมาเล่นใหม่กับคนใหม่ แต่ตัวเอกที่ปวดใจก็ยังคงเป็นฉันเช่นเดิม

ค่าจ้างในการเล่นละครเรื่องนี้ของฉัน คือน้ำตา

ค่าจ้างของการเล่นละครเรื่องนี้ คือหัวใจที่กำลังจะกลายเป็นหินผา

ค่าของฉันในสายตาของเธอคือดอกไม้ริมทางในสวนสวย ให้เธอเหยียบย่ำไปในดินแดนแห่งความสวยงาม ฉันเปรียบตัวเองเป็นดอกหญ้าที่ไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับทุ่งทิวลิปที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ขอบเขตที่กว้างไพศาลของทุ่งทิวลิปที่มีฉันเป็นตัวบ่งบอกว่า สุดเขตแดนของทุ่งดอกไม้สวยๆ ทุ่งนั้นแล้ว

“นุ่นเดี๋ยววันนี้เราจะไปกับจิ๊ดนะเราไม่กลับบ้าน ไม่ต้องรอ” เธอบอกฉันในเวลาอาหารเช้า

“อืมแล้วก็ระวังนักข่าวด้วยแล้วกัน”

“ได้ๆ จะระวังอย่างดีไปนะแม่ผู้จัดการคนสวยไม่ต้องห่วง” เธอก้มลงจุ๊บที่แก้มฉันเบาๆ

ฉันมองดูเธอที่เป็นเพื่อนสนิทและเป็นเจ้านายที่แสนดีเดินออกไปขึ้นรถคันโก้หรู เพื่อที่จะเดินไปหาทุ่งดอกไม้แสนสวยของเธอ

ฉันไม่มีน้ำตา ฉันไม่มีความเศร้า ขอเพียงแค่เธอสนใจฉันบ้างเพียงแค่เศษเสี้ยวของวินาทีฉันก็ดีใจจนเนื้อเต้น

รอยลิปสติตของเธอยังติดอยู่ที่แก้มของฉัน ทั้งวันฉันไม่ได้ลบมันทิ้ง ฉันทำงานบ้านไปเรื่อยๆ และแอบนึกถึงภาพของเธอที่ก้มลงจูบฉันเมื่อเช้า ในยามที่ฉันเหนื่อยกับการทำงานบ้านที่นานๆ จะได้ลงมือทำสักครั้ง เหมือนเป็นกำลังใจสิ่งเดียวที่ฉันมี เหมือฝนที่นานๆ จะตกสักครั้งในทะเลทรายที่ร้อนและแห้งแล้ง

เสื้อผ้าที่ต้องซักรีด บ้านที่ต้องคอยปัดกวาดเช็ดถู และตารางการทำงานของเธอที่ฉันเป็นคนรับงานให้ รายได้ของฉันมาจากการแสดงของเธอ นั่นหมายถึงว่าหากเธอมีงานเสดงมากๆ ฉันก็มีรายได้มากตามไปด้วย

แต่ฉันไม่เคยรับงานให้เธอจนล้นมือ ฉันไม่เคยให้เธอต้องเหนื่อยเกินไป ฉันมีตารางงานและวันว่างให้เธอสัปดาห์ละสองวัน

เธอเคยบ่นฉันเมื่อยามที่เธออกหักว่าอยากมีงานเยอะๆ แต่ก็เป็นเธออีกเช่นกันที่บ่นฉันเมื่อยามที่เธอมีความรักว่าทำไมถึงจัดตารางงานให้เธอมากมายเช่นนี้ ทำให้เธอไม่มีเวลาหายใจ ไม่มีเวลาเที่ยวกับใครคนนั้นของเธอ

ฉันทำตัวไม่ถูกเหมือนเธอเป็นสายลมเอื่อยๆ เมื่อยามที่เธออารมณ์ดี แต่เธอกลับกลายเป็นพายุลมกระโชกแรง เมื่อยามที่เธออารมณ์ร้าย

แต่ต่อให้เธอเป็นเช่นไร ฉันก็ยังรักและหวังดีกับเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ฉันยอมเป็นคนโง่ในสายตาของใครๆ

ฉันยอมเป็นคนบ้าใบ้ในเรื่องความรัก

ฉันยอมเป็นอะไรก็ได้ ขอเพียงแค่ให้ได้รักเธอ

เสียงรถขับเข้ามาในบ้านและเสียงเบรกแรงๆ ดังขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงปิดประตูรถดัง

“ปัง” และรองเท้าที่ถูกถอดกระเด็นอย่างไม่ใยดี กระทบกระจกประตูเสียงดัง “โครม”

“เมามาอีกล่ะสิท่าเฮ้อ” ฉันบ่นกับตัวเอง และก็วิ่งออกมาจากครัว ฉันกำลังทำอาหารมื้อเย็นสำหรับตัวเอง เพราะเธอบอกว่าไม่กลับบ้านก็เลยไม่มีอะไรเตรียมไว้ให้

“นุ่นเค้าหลอกเรา เค้าไม่ได้รักเรา เค้าโกหกหลอกลวงเรา” เธอเข้ามากอดฉันและซบหน้าร้องไห้

อีกครั้งแล้วหรือที่เธอต้องมีน้ำตาให้กับใครคนนั้น มันกี่คนแล้วล่ะที่ทำให้เธอต้องปวดใจ ต้องร้องไห้

“ใจเย็นๆ สิตองอย่าพึ่งโวยวาย อย่าร้องไห้ ไหนเล่าให้เราฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้ร้องไห้แบบนี้” ฉันโอบกอดเธอลูบผมของเธอไปมาเป็นการลดอารมณ์ที่รุนแรงของเธอให้ลดลง

“จิ๊ดหลอกเรา เค้าหลอกเรา”

“เค้าหลอกอะไรตองเค้าทำอะไรตอง”

“เค้าหลอกให้เราไปหาแล้วเค้าก็เอาเรื่องของไปบอกกับนักข่าว เค้าเอาเรื่องของเราไปบอกใครๆ ว่าเราวิปริตผิดเพศ เค้าลงทุนพนันกับเพื่อนๆ ว่าภายในสามวันเราต้องยอมสยบแทบเท้าเค้า เค้ามาหลอกเราทำไมนุ่นเค้าทำเราทำไม” เสียงเธอโวยวายอยู่กับอกฉัน

“ใจเย็นๆ ตองไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวเราเคลียร์ให้อย่าห่วงเลย” ฉันยังคงเป็นฉันคนเดิม คนที่คอยล้างคอยเช็ดเรื่องที่เธอไปทำสกปรกทิ้งไว้

แต่งานนี้คงไม่ง่ายที่จะคอยเช็ดล้างแบบวิธีเดิมๆ อาจต้องมีเครื่องมือบางอย่างที่จะต้องคอยเช็ดสีหลากหลายที่มีคนนับร้อยนับพันคอยเทมาแต่งแต้มจนเกินความเป็นจริง จากรูปที่สวยงามมีราคาอาจกลายเป็นรูปที่ไร้ค่าไร้ความหมาย

ต้องรีบเช็ดก่อนที่สีจะแห้ง ต้องรีบแต่งก่อนที่จะแก้ไขไม่ได้ มันคือสิ่งที่ฉันต้องทำ และมันก็คือหน้าที่ของฉัน

“ตองจำได้ไหมมีเรื่องนึงที่ติดต่อตองให้แสดงเป็นหญิงรักหญิง” ฉันพูดขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องนั้นได้

“จำได้แต่เราไม่ได้รับเล่น เพราะบทมันไม่ส่ง แถมดูแล้วอาจจะโดนแบนก็ได้” เธอตอบฉันทั้งๆ ที่ดวงตาของเธอยังแดงก่ำ

“นั่นแหละ ตอนนี้ตองต้องรับเล่นแล้ว และก็ปัดไปว่าตองกำลังจะเล่นเรื่องนี้ก็เลยทำตัวเป็นเลสหรืออะไรก็ได้ เพื่อให้อินกับบท มันเป็นทางเลือกเดียว ที่เราจะกลบข่าวนั้นได้ เดี๋ยวเราโทรไปบอกผู้จัดเลยนะว่าตองรับเล่นเรื่องนี้”

ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากเธอ สิ่งที่เธอทำในตอนนี้ก็คือนั่งกุมขมับและคว้าขวดเหล้าขึ้นมากระดกจากขวดแบบที่ไม่ต้องรินใส่แก้วให้เสียเวลา

ฉันติดต่อผู้จัดละครได้เรียบร้อย ผู้จัดรายนั้นออกจะดีใจที่ได้เธอเป็นนักแสดงหลัก ไม่ง่ายนักที่จะได้ดาราเจ้าบทบาทแบบเธอมาแสดงเรื่องแนวแปลกๆ แบบนี้ แต่ครั้งนี้เธอยอมแสดงนั่นหมายความว่าเธอยอมที่จะพลิกบทบาทครั้งใหญ่ และยอมที่จะสวมบทบาทเพื่อทำให้ผู้ชมเห็นว่าเธอเป็นคนๆ นั้นจริงๆ

และก็เป็นจริงดังคาด ฉันไม่ให้ตองให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ เลยสักฉบับ แต่ให้ทางผู้จัดละครเป็นคนแพร่ข่าวออกไปว่าเธอจะเล่นละครเรื่องที่ว่า จากนั้นเสียงลือเล่าอ้างก็กลายเป็นการที่เธอทำอะไรลงไปเพราะเป็นเหมือนการโปรโมทละครเรื่องที่เธอจะเล่น แถมยังเป็นที่ฮือฮากันในหมู่คนดูละครว่า การพลิกบทบาทของเธอ เป็นสิ่งที่น่าติดตาม

ก่อนละครจะออนแอร์ ราคาค่าโฆษณาของละครก็พุ่งกระฉูดปรู๊ดปร๊าด ละครสามสิบตอนจบ โดนยืดออกไปอีกหลายตอน เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าโฆษณาจำนวนมหาศาล นั่นหมายถึงเธอก็ได้ค่าตัวเพิ่มขึ้นจากที่ได้ตกลงตามตอนที่เธอรับแสดง

ผู้คนชอบบทบาทของเธอในฐานะดาราที่กล้าเล่นบทแปลกแหวกแนว

นักวิจารณ์ออกมาต่อว่าว่าละครเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดศีลธรรม และทำให้สังคมเสื่อมทราม

“ฉันรับไม่ได้หรอกนะคะที่เห็นผู้หญิงด้วยกับมาจูบปากจูบคอกันเองเห็นแล้วสยอง แถมยังมีบทนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่บนเตียง เรื่องแบบนี้ไม่น่าที่จะเอามาเผยแพร่ในเวลาที่เด็กดูอยู่ ฉันอยากจะถามคนเขียนบทเหลือเกินว่า เขียนเรื่องพรรณนี้ออกมาได้อย่างไรกัน คุณคิดดูสิคะว่าเด็กๆ จะเอาเยี่ยงอย่างจากเรื่องนี้มากแค่ไหน เด็กยังอ่อนต่อโลกมากนักนะคะเกิดเด็กๆ เห็นเป็นแฟชั่นที่ต้องเลียนแบบมิแย่กันไปใหญ่เหรอ ฉันว่าทางสถานีต้องพิจารณาถอดละครเรื่องนี้ออกจากผังละครได้แล้วนะคะ” คุณหญิงระบบ พงไพรพนาออกมาวิจารณ์งานของเธออย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน

“แล้วคุณหญิงว่าควรจะทำอย่างไรกับละครเรื่องนี้ดีครับ” นักข่าวที่รุมสัมภาษณ์อยู่ก็ตั้งคำถามขึ้นอีก

“ปลดกลางอากาศไปเลยค่ะ เร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี” คำตอบนั้นทำให้ฉันที่นั่งดูรายงานข่าวอยู่ถึงกับหัวเราะ หึหึ

ยิ่งมีคนวิพากวิจารณ์หนาหูเท่าไหร่ จำนวนคนดูก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในขณะนั้น ฉันว่าสถานีไม่ยอมปลดเรื่องนี้ออกจากผังง่ายๆ หรอก

และก็จริงดังคาด ทางสถานีไม่ปลดออกแถมยังมีรายการทอล์คโชว์ต่างๆ เชิญดาราที่แสดงในเรื่องนั้นไปออกรายการต่างๆ มากมาย รายการที่ช่องมีอยู่กี่รายการ เธอถูกเชิญไปออกทุกรายการ แถมยังถูกเชิญให้ไปเล่นเกมส์โชว์ต่างๆ ทั้งที่แสดงความมีกึ๋นและเล่นพอเป็นพิธี

บางรายการก็บอกว่าจะให้เงินเท่านั้นเท่านี้เล่นไปแล้วกลับไม่ได้จริงๆ เพราะไม่มีเงินจะให้ผู้เข้าเล่นเกมส์ เหมือนเป็นการแหกตาประชาชน (ใช้คำพูดแรงไปสักนิดแต่ก็คือเรื่องจริง) จ่ายให้แค่ค่าตัวของผู้เข้าร่วมเล่นเกมส์เท่านั้น

ฉันบอกกับเธอว่าไม่เป็นไร เป็นการะโปรโมทตัวเธอเองด้วยการที่ได้ออกรายการเล่นเกมส์โชว์ต่างๆ ทำให้คนได้เห็นหน้าของเธอในจอมากกว่าปกติ จะช่วยให้ตัวเธอมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยไม่ต้องเสียค่าประชาสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น

และเธอก็มีข่าวรักโปรโมทกับดาราสาวที่แสดงคู่กัน ว่าออกไปกินข้าวไปดูหนัง ฟังเพลงด้วยกัน และทางทีมงานก็ต้องออกมาโต้ข่าวว่าเธอและดาราที่แสดงร่วมไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าคำว่าเพื่อน

“ไม่ไหวเลยนุ่นกระแสข่าวมาแรงจริงๆ” เธอบ่นเมื่ออ่านคอลัมภ์ในหนังสือพิมพ์หน้าดาราหลายๆ ฉบับก่อนที่จะกระแทกวางหนังสือพิมพ์แรงๆ ลงบนโต๊ะกระจก จนฉันกลัวว่ากระจกนั้นจะแตก

“เอาน่าตองไม่ต้องคิดอะไรมากปล่อยไปตามน้ำ อีกหน่อยก็จะชินและซาไปเอง ตองรู้ไหมในอินเตอร์เนท ตองเป็น Idol ของเด็กๆ เลยนะ เหมือนกับว่าตองเป็นคนจุดประกายหญิงรักหญิงในตอนนี้”

“แล้วมันจะดีเหรอนุ่น” เธอหันมามองหน้าฉันเหมือนต้องการความมั่นใจจากคำตอบของฉันอีกครั้ง

“อย่างน้อยหากวันข้างหน้าตองอยากจะเปิดเผยตัวตนจริงๆ ของตองคนก็เริ่มที่จะรับตองได้มากกว่าเดิมแล้วล่ะ”

“ขอให้จริงอย่างที่นุ่นพูดเถอะ เราไปอาบน้ำก่อนนะวันนี้เจอแสงมาทั้งวัน แสบตาชะมัดเลย”

“ไปเถอะฝันดีนะ”

“นุ่นก็อย่านอนดึกนึกล่ะ นอนบ้างก็ได้ พรุ่งนี้เราไม่มีคิวงานใช่ไหม”

ฉันเปิดดูตารางงานของเธอในสมุดแล้วก็ตอบ “อืมไม่มี”

“งั้นพรุ่งนี้เช้าจัดกระเป๋าไปทะเลให้ด้วยแล้วกัน”

“จะไปไหนตองไปกี่วัน”

“ไปเท่าที่ไม่มีคิวงาน”

“ห้าวันเลยเหรอ” เท่าที่ดูเธอมีวันหยุดยาวๆ ถึงห้าวัน เธอคงไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ

“อืม”

“งั้นไปเกาะนะมีที่เงียบๆ ให้เล่นน้ำ หลายเดือนก่อนมีเจ้าของที่พักมาเสนอที่พักฟรี เดี๋ยวเราโทรติดต่อเลยแล้วกัน” ฉันเสนอ

“ก็ดี ติดต่อให้ด้วยเราไปนอนแล้วนะง่วงจริงๆ” เธอบอกแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอน

ฉันนั่งติดต่อกับเจ้าของ Resort ที่เคยให้เบอร์ติดต่อไว้ว่า “ถ้าต้องการที่พักบอกได้เลยนะฮ้า พี่เต็มใจให้บริการคุณน้องตองเต็มที่เลยฮ่า”

เมื่อติดต่อได้ เธอก็ได้รู้ว่าห้อง Deluxe มีเหลือห้องสุดท้าย แถมยังเป็นที่ลับตาผู้คน เจ้าของที่พักก็ใจดีแสนดี ลดราคาให้เกินครึ่ง เพราะช่วงนี้เป็นช่วง Low season การลดแลกแจกแถมจึงเป็นเรื่องปกติ และยิ่งบอกว่าแขกคนสำคัญคือดาราชื่อดังที่สุดในตอนนี้ ยิ่งทำให้เจ้าของกระดี้กระด้าจนแทบจะมาอุ้มตองถึงที่บ้านให้ไปพักที่ Resort ของเธอ

..........................

รุ่งเช้าวันใหม่อากาศขมุกขมัว เพราะฝนที่ตกตั้งแต่ก่อนรุ่งสางทำให้บรรยากาศโดยรอบไม่น่าออกไปไหนเลยสักนิด แต่ด้วยความที่เมื่อคืนตองได้สั่งเธอไว้ ก็เลยต้องไปปลุกคนขับรถให้เอารถมาเตรียมรอไว้ก่อน เผื่อว่าตองจะออกไปแต่เช้า

ตองลงมายังห้องอาหารและก็นั่งกินข้าวเช้าของเธอจนเรียบร้อย

“นุ่นๆ” เสียงตองเรียกฉันอีกครั้ง

“ว่าไง”

“ไปกันหรือยังทะเลที่ว่า”

“อ้าวตองไม่ได้ไปคนเดียวเหรอเราต้องไปด้วยเหรอ” ฉันแปลกใจกับคำถามที่เธอถามเพราะไม่เห็นมีวี่แววว่าเธอจะเหน็บฉันติดเอวไปด้วย

“บ้าแล้วนุ่นใครจะไปทะเลคนเดียวเหงาตายสิ” เธอบ่นฉัน

“ก็ไม่ได้บอกเรานี่ว่าจะให้เราไปด้วยใครจะไปรู้เล่า” และเป็นฉันบ่นเธอกลับบ้าง

“ก็นึกว่ารู้ ไปๆ ให้เวลาครึ่งชั่วโมงไปจัดกระเป๋าก่อนที่เราจะเปลี่ยนใจ”

“เปลี่ยนใจก็ไปเองเถอะ” ฉันงอนเธอเข้าให้แล้วสิ นานๆ ความรู้สึกงอนแบบนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน เพราะใจของฉันอารมณ์ของฉันมันตายด้านจนกลายเป็นหินไปแล้ว

“แล้วจะนอนกันยังไงห้องก็มีห้องเดียว” ฉันบ่น

“ก็นอนด้วยกันสิ จะไปยากอะไร” เธอตอบง่ายๆ

“ไอ้นอนก็นอนได้หรอก แต่ตองจะเป็นส่วนตัวเหรอ”

“แปลกตรงไหนนุ่นอย่างกับว่าเราไม่เคยนอนห้องเดียวกัน จำไม่ได้เหรอเมื่อตอนที่เข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ๆ เราสองคนอยู่หอเดียวกันอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด อย่างกับไม่เคยนะนุ่น”

“มันก็ใช่แต่นั่นมันหลายปีดีดักแล้ว นานจนเราว่าถ้าเป็นเด็กก็โตเป็นสาวแล้ว”

“เอาน่าไม่ต้องพูดมากไปจัดกระเป๋าแล้วไปทะเลกันเถอะเราอยากเห็นทะเลจะแย่แล้ว” เธอเร่งฉันให้รีบๆ ฉันก็เลยไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธออีก

หลังจากที่จัดกระเป๋าเรียบร้อยเธอบอกว่าไม่ต้องให้ลุงขับรถไปเธอจะไปกับฉันเอง ใครจะไปขัดใจดาราเจ้าอารมณ์อย่างเธอได้ ก็ต้องตามใจเธอไปอย่างนั้น

กว่าจะเดินทางมาถึงที่หมายทางฝั่งตะวันออกสุดของประเทศก็กินเวลาค่อนข้างนาน เจ้าของที่พัก จัดเตรียมคนมารับและหาที่จอดรถคันหรูให้กับตองแถมยังพาขึ้นเรือเร็วที่รอรับบริการลูกค้าไปยังที่พักอีกด้วย

Resort แห่งนี้ ตกแต่งบ้านพักแบบไทยๆ เป็นเรือนไทยสี่ภาค เหนือ กลาง อีสาน ใต้ จำนวณบ้านพักมีไม่มากหลัง สถานที่ตกแต่งเป็นแบบไทยๆ ซุ้มดอกไม้ไทยโดยเฉพาะการะเวกมีให้เห็นหน้าบ้านพักทุกหลัง เวลายามเย็นแบบนี้กลิ่นดอกการะเวกหอมฟุ้งไปทั่ว

ต้นลั่นทมต้นโตผลิตดอกอวดโฉมบานเต็มต้น และบางดอกร่วงหล่นลงบนพื้น ราวกับเป็นพรมสีขาวของดอกไม้ให้ผู้คนได้เดินชื่นชมความงามและกลิ่นของมัน

ตองล้มตัวลงแรงๆ นอนบนเตียงเดี่ยวกว้างๆ ผ้าคลุมที่ทำจากผ้าฝ้ายทอมือผืนสวยยังคงคลุมอยู่บนเตียงนั้น

“เหนื่อยจังเลยทำไมเหนื่อยแบบนี้นะ” ตองนอนหลับตาบ่นพึมพำ

“ขับรถมาทั้งวันยังต้องนั่งเรือต่อมาอีกรอบก็เหนื่อยเป็นธรรมดาแหละตอง” นุ่นเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อผ้าของตองที่เธอเป็นคนจัดไว้ให้เองกับมือ ใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าเรียงตามวันอย่างเรียบร้อย

จากนั้นก็หยิบเครื่องประทินผิวของตองออกมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เรียงจัดเป็นของใช้กลางวันและกลางคืน ก่อนที่จะเดินเอากระเป๋าเดินทางของตองไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า

เธอหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเดินทางของตัวเองจัดเรียงอีกไว้อีกตู้ที่อยู่ติดๆ กันกับตู้ของตอง และหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อคลุมออกมาจากตู้เพื่อให้คนที่นอนแผ่อยู่ให้ลุกไปอาบน้ำ

แต่เมื่อหันมาเธอก็ต้องตกใจที่เห็นตองนอนจ้องเธออยู่

“นุ่นนี่เป็นแม่บ้านแม่เรือนเหมือนกันนะ”

“พึ่งรู้เหรอตองเราก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว”

“เปล่ารู้มาตั้งแต่เด็กแล้วแต่พึ่งพูดกับนุ่นต่างหาก”

“แล้วไงเป็นแม่บ้านแม่เรือนแล้วไม่ดีตรงไหน”

“ดีสิ เรายังเคยคิดเลยนะนุ่นว่าถ้าวันไหนเราไม่มีนุ่นชีวิตของเราคงไม่เต็มร้อย คงวุ่นวายน่าดู”

“เหรองั้นก็จ้างเราไว้ตลอดชีวิตเลยสิ เราจะได้ไม่ต้องไปหางานใหม่ทำ”

“นุ่นเป็นมากกว่าผู้จัดการส่วนตัวของเรานะ เพราะนุ่นเป็นเพื่อนคู่คิดของเราด้วย เราขอโทษนะที่ทำให้นุ่นต้องปวดหัวกับเรื่องของเรามาตลอด”

“ไม่เป็นไรมันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว” นุ่นตอบเลี่ยงๆ แต่ในใจเธออยากจะพูดเหลือเกินว่า

‘เธอเต็มใจที่จะทำให้ตองทุกอย่างเพราะเธอรักตอง’ แต่เธอก็พูดไม่ได้

เธอกับตองเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแถมยังเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน ตองบอกเธอเสมอว่าโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ อย่างเธออยู่ใกล้ๆ เธออยากจะบอกกับตองนักว่าเธอตั้งใจที่จะเรียนที่เดียวกับตอง ไม่ว่าตองจะไปเรียนที่ไหน เธอก็จะพยายามที่จะไปเรียนคณะเดียวกับตอง เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ร่วมห้องเรียน ร่วมหอ และรวมถึงร่วมห้องนอน

เธอเห็นตองมีความรักและอกหักมาหลายครั้ง เป็นความรักที่ลุ่มๆ ดอนๆ ทุกครั้งที่ตองอกหัก เธอก็เหมือนจะอกหักตามตองไปด้วย

ความเป็นห่วงเป็นใยมีให้กับตองหญิงสาวที่นอนเหยียดยาวอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ตลอดเวลา

ตองฉุดข้อมือฉันให้ลงไปนอนข้างๆ เธอ

“หยุดพักงานบ้านเถอะนุ่น เราอยากให้นุ่นพักบ้างดูแลเรามาหลายปีแล้ว”

“ไม่ได้เหนื่อยอะไรนี่ เราเต็มใจทำให้ตองอยู่แล้ว”

“เต็มใจที่จะรักเราด้วยหรือเปล่า” เธอถามฉันเสียงแผ่วเบาจนฉันแทบไม่ได้ยิน

“ตองว่าอะไรนะ” ฉันถามซ้ำเพราะเหมือว่าหูฉันจะฝาดไป

“ถามว่าเต็มใจที่จะรักเราด้วยหรือเปล่า” เสียงของเธอดังฟังชัด

“รักสิเรารักตองมากเลยนะ เราไม่เคยรักเพื่อนคนไหนเท่าตองมาก่อนเลย” ฉันตอบเสียงดังกลับไปเช่นกัน

“ว้าเหรอ เราในสายตาของนุ่นคงเป็นได้แค่เพื่อนสินะ”

“ทำไมล่ะตองความเป็นเพื่อนมันยืนยาวกว่าความเป็นแฟนฉาบฉวยตั้งเยอะไม่ดีเหรอ”

“ก็ดี” ตองทำหน้าเซ็งๆ ก่อนที่จะฉุดข้อมือฉันให้ลุกตามเธอและเดินไปดูวิวชายหาดที่ระเบียง

“สวยนะ” ฉันยืนมองดูวิวแล้วก็พูดออกมา

“อืมสวยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะสวยขนาดนี้”

“นั่นสิ วิวที่นี่สวยมากๆ รู้งี้มาตั้งนานแล้ว” ฉันมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกลงไปในทะเล แสงสีแดงสาดส่องก่อนที่จะลับลาโลกไปในแผ่นน้ำที่เวิ้งว้าง

“แสงสุริยาลาลับขอบโลก หวานปนโศกส้มเศร้าให้เหงาหงอย
แสงสีส้มแสงสีแดงเลื่อนเคลื่อนคล้อย หล่นปรอยสู่ผืนน้ำกำเนิดจันทร์”

ตองร่ายกลอนราวกับว่าตัวเธอเป็นกวีเอก คนอย่างฉันไม่มีทางที่จะยอมเธอได้หรอกน่าก็เราเพื่อนกันนี่

“แสงจันทร์สีนวลตาน่าพิศ ชื่นจิตชมนภาเวหาหน
กระต่ายน้อยล่องลองดูน่ายล ให้ฉงนกระต่ายเจ้าอยู่อย่างไร”

“กระต่ายน้อยลอยล่องบนฝั่งฟ้า สิงสถิตจันทราดังใจมั่น
สองตายายตำข้าวในเงาจันทร์ ทุกทุกวันจันทร์เพ็ญเห็นเคยตา”

“ตากับยายคงเหนื่อยต้องตำข้าว ปวดรวดร้าวหัวไหล่และแขนขา
อยากบีบนวดตายายให้หายล้า จะได้มีแรงเลี้ยงกระต่ายได้ต่อไป”

“แสงดาวแสงเดือนพราวพร่างเต็มฟ้า ผืนนภากระจ่างสว่างไสว
ดังดวงจิตตายายแอบแนบใกล้ ให้หัวใจสองดวงต่างผูกพัน”

“ถ้อยเอยถ้อยแถลงคำของเจ้า ทำให้เราชวนคิดจิตใฝฝัน
หากเมื่อใดเจ้าลบเลือนคำพูดนั้น ใจเรานั้นคงแดดิ้นสินชีวา”

“หากมิรักจักมิเอ่ยให้ได้รู้ มิอาจสู้หน้าเจ้าได้ดอกหนา
หากมิรักจักมิเอ่ยคำนำพา ให้ระคายเคืองโสตแต่อย่างใด”

“เพียงล้างก็จางหายหากเป็นโสต จะเป็นโทษหากใจล้างมิได้
หากวาจาเอื้อนเอ่ยเลื่อนไหล ดวงใจคงเศร้าโศกตรม”

“ทำไมล่ะเราพูดอะไรผิดเหรอนุ่น”

“เปล่าหรอกมันไปตามกลอนต่างหาก”

“อยากเล่นน้ำอาบแสงจันทร์จังเลย”

“คิดประหลาด เล่นน้ำตอนนี้อันตรายจะตายไป ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยไปเล่นเถอะ เราหิวแล้วตองไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“ก็ดีเหมือนกันเริ่มหิวแล้วปะไปกินข้าวได้” ตองเดินนำฉันจากระเบียงไปที่ร้านอาหารของ Resort

ฉันเดินตามหลังตองและมองแผ่นหลังของเธอฉันไม่เคยคิดที่จะเดินคู่เธอ มันอาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่ฉันจะต้องเป็นเงาเดินตามหลังเธอ เงาที่ไม่มีทางที่จะเดินนำทาง ไม่มีทางที่จะเดินเคียงข้าง และจะจางหายไปในความมืดมิดเมื่อไร้แสง

ตองได้รับการ Vote จากรายการหนึ่งที่ให้ประชาชนส่งคะแนนด้วยวิธี SMS ตองติดอันดับหนึ่งอยู่สองเดือนกว่าๆ และค่อยๆ ร่วงลงมา แต่ฉันไม่ยอมให้ตองชื่อร่วงลงจากโผอย่างแน่นอน ฉันให้เธอรับเล่นละครอีกเรื่อง เรื่องนี้เป็นนางเอกสู้ชีวิต เจ้าน้ำตาและน่าสงสาร และเล่นอีกเรื่องในบทนางเอกน่ารักสนุกสนานโปกฮา

เมื่อเรื่องหนึ่งจบก็มีอีกเรื่องต่อมาเรื่อยๆ ดังนั้นตองจึงกลายเป็นดาราที่เห็นหน้าบนจอแก้วเกือบตลอดทั้งปี จะมีห่างหายไปบ้างก็ไม่นานนัก

นั่นหมายถึงว่าค่าตัวของตองก็พุ่งขึ้นสูงลิ่ว เกือบเรียกได้ว่าเป็นดาราสาวที่มีค่าตัวสูงสุดในประเทศ

เมื่อเป็นเช่นนี้ การรับงานของตองก็ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ ฉันวางไว้ว่าปีหนึ่งให้ตองรับงานแค่สองเรื่อง การวางตัวของตองก็ต้องเป็นแนวสบายๆ เป็นกันเองกับคนทั่วไป ฉันบังคับให้ตองไปออกกำลังกาย ร่างกายจะได้ดูดี ตองก็เลยกลายเป็นดาราที่รักษาสุขภาพที่ดีคนหนึ่ง

เมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง สุขภาพใจของตองก็ดีตามไปด้วย แม้ไม่มีความรักเข้ามาทักทายให้ใจของตองต้องหวั่นไหว ตองจึงมีเวลาอยู่บ้านกับฉันมากยิ่งขึ้น ปลูกต้นไม้ที่เธอชอบ ตองตัดสินใจซื้อไร่ที่เมืองปราจีน ทำสวนผลไม้ และปลูกบ้านหลังน้อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีทิวเขาโอบล้อม

เราสองคนออกเดินรับอรุณกันรอบๆ บริเวณไร่ ในยามเช้า

“มานี่สินุ่นมาเดินข้างๆ เรา” เธอบอกฉันพร้อมกับฉุดแขนฉันให้เดินเคียงข้างเธอ

“เราเดินตามตองก็ดีแล้วจะได้ระวังหลังให้”

“ไม่ต้องหรอกนุ่นนี่มันบ้านของเรา ไม่ต้องเดินตามเราเป็นเงาตามตัวสักวันจะได้ไหม”

“ก็ได้ๆ” ฉันเดินข้างๆ ตอง ในใจยินดียิ่งนัก เมื่อคนที่ฉันรักยอมที่จะให้ฉันเดินเคียงข้าง แม้จะเป็นเวลาไม่นานแต่ก็ทำให้ หัวใจหินผาของฉันค่อยๆ กร่อนลงเป็นทรายละเอียดป่นลงเรื่อยๆ

บ้านของเรา คำๆ นี้ฟังดูมีความหมายสำหรับฉันจริงๆ ตองซื้อที่แห่งนี้ด้วยเงินของเธอ แต่ก็ใส่ชื่อของฉันลงในโฉนดที่ดินผืนนี้ด้วย ต่อให้ฉันจะแย้งอย่างไรเธอก็ไม่ยอมรับฟัง

“นุ่น เราเป็นหุ้นส่วนกันนุ่นไม่ต้องปฏิเสธความหวังดีของเรา ถ้าวันไหนเราไม่มีงานแสดง ที่ผืนนี้จะเป็นที่ๆ นุ่นกับเราพอจะมีรายได้จากมันขึ้นมาบ้าง การขายเงาของเรามันไม่จีรังยั่งยื่น พอเราอายุสักสามสิบกว่าๆ ก็มีเด็กรุ่นใหม่ มีคลื่นลูกใหม่มาไล่คลื่นลูกเก่าอย่างเราให้จางหายไป ที่ผืนนี้เป็นที่ตายของเรา นุ่นรักษามันไว้ให้เราเข้าใจไหม”

เหตุผลของเธอทำให้ฉันจำใจต้องยอมรับ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดแผ่นนั้น

...................

ในวันที่ตองได้รับตำแหน่งดาวค้างฟ้าเมื่อยามที่ตองอายุเกือบจะสี่สิบปี

พิธีกรวัยรุ่นประกาศชื่อของตองให้ขึ้นไปรับรางวัล เธอเดินอย่างสง่า แม้วัยเกือบสี่สิบตองก็ยังคงสวยในสายตาของฉัน

“ขอบคุณนะคะที่ยังยกรางวัลนี้ให้คนแก่” ตองพูดติดตลก

“ยอมรับค่ะว่าค้างฟ้ามานานมากๆ แล้ว หากจะให้ตอบว่าต้องขอบคุณใครบ้างฉันคงจะพูดไม่หมด ที่แน่ๆ ก็ต้องขอบพระคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิด และของคุณนุ่นเพื่อนที่แสนดีที่สุดในชีวิตเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของฉัน ขอบคุณคนที่ชักนำฉันให้เข้าสู่วงการบันเทิง และขอบคุณผู้ที่จัดงานนี้ให้ฉันได้รับรางวัลขอบคุณค่ะ”

ตองยกรางวัลขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็โพสท่าให้กับบรรดากระจอกข่าวได้เป็บภาพของเธอไว้ พร้อมกับโบกมือทักทายแขกผู้มีเกียรติที่เข้ามาในงาน

ฉันลุกขึ้นยืนรอตองเดินกลับมานั่งที่ของเธอ ตองกอดฉันและบอกว่า

“ขอบใจนะนุ่นถ้าไม่มีนุ่นก็ไม่มีเราในวันนี้” เธอหอมแก้ฉันทั้งๆ ที่ฉันต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายหอมแกมเธอ

หลังจากงานในวันนั้นตองก็ไม่ได้กลับเข้าวงการอีกเลย หันกลับมาอยู่ที่ไร่ไม่ยอมไปไหน

“นุ่นเมื่อไหร่จะใจอ่อนรักเราซะที” เธอถามฉันเมื่อเรานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านดูดาวจิบไวน์

“อะไรนะก็รักไงรักอยู่”

“ไม่ใช่รักแบบเพื่อนนะรักแบบคนรักเรารอนุ่นมานานมากแล้วนะ ไม่ยอมใจอ่อนกับเราสักที”

“บ้ามารอเราทำไมกันก็เห็นๆ กันอยู่ทุกวัน”

“นี่แสดงว่านุ่นก็รักเราใช่ปะ” ตองส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ฉันและโอบกอดฉันที่นั่งข้างเธอให้ไปพิงไหล่ของเธอ

“ทำไมไม่ตอบ”

“อะไรเล่า ไม่รู้บ้างหรือไงว่าเค้ารักมาตั้งแต่เด็กแล้วมัวแต่ไปมองคนอื่นอยู่ได้ ใก้ลจะลงโลงแล้วค่อยมองห็นเราหรือไง”

“เฮ้ยจริงดิ นุ่นรักเราตั้งแต่เด็กๆ แล้วเหรอ”

“ก็ใช่นะสิคนอะไรเห็นเราเป็นแค่เงาที่เดินตามหลังไม่เคยเหลียวมามองเราสักนิด” ฉันพูดด้วยอาการน้อยใจ ในโชคชะตาแห่งรักที่ผ่านมา

“แล้วก็ไม่บอกแต่แรก จะได้ไม่มีตาไปมองใครอีก” ตองกอดฉันแน่นยิ่งขึ้น

“เข้าห้องกันเถอะน้ำค้างแรงแล้ว วันนี้นอนห้องเรานะ”

เราทั้งคู่เดินประคองกันเข้าไปในบ้าน วันนี้ไม่มีแสงสว่างใดๆ ไม่มีแสงจันทร์ไม่มีแสงดาว แต่ตองกลับเห็นเงาของฉันที่อยู่ข้างๆ เธอ

เงาอย่างฉันได้ปรากฏรูปร่างให้เธอเห็นและไข่วคว้าได้

จากนี้ต่อไป ฉันจะไม่เป็นแค่เพียงเงา แต่จะเป็นเพื่อนร่วมทางชีวิตของเธอตลอดไป

...จบ......




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 10:17:28 น.
Counter : 786 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.