It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๖

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๖

รุ่งขึ้นอีกวัน พี่นิพาเราไปดูทุ่งหญ้าป่าสนและทุ่งดอกไม้ ระหว่างทางที่จะไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่เมื่อไปถึงน้ำตกเราก็ได้เห็นแต่น้ำน้อยนิดที่ไหลเอื่อยๆ ลงมาน้ำน้อยๆ คนมากมายทั้งๆ ที่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์

“แกว่าไหมไอ้แป๊ดว่าถ้ามันเป็นน้ำตกเพ็ญพักตร์น้ำมันคงจะมากกว่านี้” จันทร์จิราไม่รู้ว่าจะมีมุขอะไรมาต่ออีก

“ทำไมวะไอ้เจ้า” ฉันถามจันทร์จิราไปเพราะอยากรู้จริงๆ

“นี่มันน้ำตกเพ็ญพบใช่ปะน้ำก็เลยน้อยแต่ถ้าเป็นน้ำตกเพ็ญพักตร์แล้วมายืนโพสท่าถ่ายแบบนู๊ดมันก็จะมีน้ำลายของพวกเราหกลงไปไงแก ฉันว่าน้ำมันคงเพิ่มมากว่านี้หลายเท่าเลยวะฮ่าๆๆ” และเพื่อนทุกคนก็หัวเราขำกับความคิดของจันทร์จิรากันเป็นแถวไม่เว้นแม้กระทั่งครูทัศนา พี่นิและพี่ตา

จากนั้นเราก็ไป น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ ระหว่างทางเดินเราผ่านป่าเมเปิ้ลที่มีใบเมเปิ้ลสีแดงๆ ตกเกลื่อนพื้นไปหมด

“ไม่ต้องไปถึงแคนนาดาก็มีเมเปิ้ลให้เห็นได้เน๊อะครู” จินตนาเอ่ยขึ้น

“อืมนั่นสิไม่ต้องไปไหนไกลๆ เมืองไทยเราก็มีแต่เหนื่อยหน่อยเท่านั้นเอง” ครูทัศนาเห็นด้วยกับจินตนา

สักพักพวงทองเอาหยิบเอาใบเมเปิ้ลที่ตกเรียงรายกลาดเกลื่อทั่วบริเวนมาปิดที่เรือนร่างของเธอแบบเดียวกับหุ่นแกะสลักที่เราเคยเห็นตามนิตยสารหรือรูปภาพทั่วไปพร้อมกับโพสท่าเลียนแบบนางแบบ อวดเรือนร่างที่ตรงเป็นไม้กระดานของเธอ

“เพ็ญพักตร์ใหม่หรือจะสู้พวงทอง”

“ทุเรศว่ะไอ้ปุ๊ก” จันทร์จิราบอกกับพวงทองที่ยืนแอ่นหน้าแอ่นหลังอยู่กับใบเมเปิ้ลในมือ

“ทำไมวะ” พวงทองที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานกับไปรยาถามจันทร์จิราที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“ก็แกนะท่าทางอย่างกับหุ่นไม้ มาทำท่าแบบนี้ต้นแบบเค้าเสียหมดมันไม่เหมือนนางแบบนู๊ดเลยวะไอ้ปุ๊ก แต่มันเป็นนางแบบวู๊ดกระดานแทนเว่ยเพื่อน”

“ไอ้เจ้าแกตาย” จากนั้นพวงทองกับจันทร์จิราก็วิ่งไล่กันไปตามทางที่จะไปน้ำตกธารสวรรค์ที่สุดท้ายของวันนี้

กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบจะค่ำมืด คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะนอนอยู่บนภูสูง พวกเราก็เลยชักชวนกันไปนอนดูดาว ทะเลดาวบนภูส่องแสงระยิบระยับ สวยอย่างไม่มีที่ใดจะเปรียบ

ฉันนึกถึงเพลง “ผิงดาว” ของวงคาราวาน ในเนื้อความที่ว่า “คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนฟ้า จากรัก จากศรัทธาของเรา” และการผิงดาวท่ามกลางสายลมเอื่อยฉิวที่พัดมา ก็ทำให้เราไม่รู้สึกหนาวเย็นจนจับขั้วหัวใจ เพราะในอ้อมแขนของฉันมีเธอเคียงข้างอยู่ไม่ห่างกาย

………………………

วันรุ่งขึ้นพวกเรารีบตื่นกันตั้งแต่เช้า เพราะว่าอยากจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นอีกสักครั้ง เพราะเราไม่แน่ใจว่าจะได้มาที่นี่อีกหรือเปล่า เพราะขนาดว่าเรามาในวัยที่ยังเด็กและมีเรี่ยวแรงมากๆ แบบนี้แต่ละคนก็อ่วมอรทัยกันหมด

คุณเคยถามตัวเองบ้างไหม

ทำไมคนเราถึงต้องเดินทางไปไหนไกลๆ เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก ในดินแดนที่ห่างไกล เพราะพระอาทิตย์ก็ดวงเดียวกัน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือตกก็ไม่ได้แตกต่างกัน

เพียงแค่ต่างกันที่ละติจูดลองติจูดของพระอาทิตย์ที่ขึ้นเท่านั้น

หรือว่าพระอาทิตย์ในดินแดนบนภูสูงจะดวงใหญ่กว่า พระอาทิตย์ที่ขึ้นบนหลังคาบ้าน

คำตอบก็คือ “ไม่ใช่” แต่เป็นเพียงสถานที่ที่พระอาทิตย์ดวงเดิมส่องสว่างก็เท่านั้น

เราไม่ผิดหวังเลยที่ตัดสินใจมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันนี้อีกครั้งเพราะว่าวันนี้พระอาทิตย์เป็นไข่แดงลูกโตค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้ามาทีละนิดๆ และค่อยๆ สว่างเจิดจ้าขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกับวันใหม่ของพวกเราที่กำลังทอแสงเปล่งประกายเจิดจรัส

“พวกเธอดูไว้นะ พระอาทิตย์ขึ้นมันสวยงามมากแค่ไหน พวกเธอก็เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ยามเช้า ที่ค่อยๆ เปล่งประกายรัศมีขึ้นมาเรื่อยๆ ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ กับชีวิตที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมาย ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้ พระอาทิตย์มีวันขึ้นก็มีวันตก ไม่ว่าใครๆ ก็หลีกหนีวัฏจักรของชีวิตไปไม่พ้น จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและทำตัวให้ดีฝากชื่อไว้ให้คนรุ่นหลังได้เล่าขานก็พอแล้ว เพราะคนเราอยู่ได้ไม่นานก็ต้องตายจากโลกนี้ไป”

“ทัศพูดเหมือนตัวเองจะไปบวชอย่างนั้นแหละหรือว่าปรึกษากับป้าแจ่มเรื่องทางโลกมากเกินไป นี่อย่านะทัศเธอจะไปบวชแบบป้าแจ่มไม่ได้นะเราเสียดายคนสวยๆ อย่างเธอแน่ๆ เลย” นิชาภัทรเอ่ยขัดจังหวะทัศนา

“เปล่าหรอกนิ เราเพียงแต่อยากสอนให้ลูกๆ ของเราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เราไปไหนตอนนี้ไม่ได้หรอกเรามีหน้าที่สอนเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม ถ้าเราไปตอนนี้เราก็คงทำหน้าที่ของเราขาดตกบกพร่องไป นิไม่รู้หรอกว่าเวลาที่เราเป็นเรือจ้างพาเด็กๆ ไปสู่งฝั่งฝันมันรู้สึกว่าดีใจแค่ไหน”

“พี่ทัศดูเป็นครูที่ดีจังเลยนะคะ ถ้าเป็นตาคงเป็นคงทำได้ไม่ถึงครึ่งที่พี่ทัศทำในตอนนี้” อนันตราเอ่ยปากชมทัศนาอย่างจริงใจ

“ไม่หรอกตา พี่ว่าการที่คนเราทำอะไรในความรับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุดถือว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ไง น้องตาเองก็ทำหน้าที่ของน้องตาให้ดีมันก็ถือว่าน้องตาได้ทำให้คนได้สนุกเฮฮา แต่ละคนแต่ละอาชีพก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปในสังคมที่สลับซับซ้อน เด็กๆ พวกนี้ก็เหมือนกัน เค้าก็คืออนาคตของชาติ ทัศเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองเมื่อสมัยอายุเท่าพวกเค้า นิว่าไหมดูสิเค้าแต่ละคนสดใสร่าเริง เหมือนนิสมัยก่อนเลยนะ”

“ใช่แต่ละคนน่ารักไร้เดียงสา ทัศทำถูกแล้วที่พยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกเค้าตั้งแต่ตอนนี้ เพราะโลกของเรามีอะไรมากมายที่เป็นเหมือนเชื้อโรคร้ายที่คอยบ่อนทำลายจิตใจที่ดีงามของคนเราลงไปเรื่อยๆ เราดีใจนะที่ทัศกลับมาเหมือนเดิมได้ ตอนที่จักรทิ้งทัศไปทัศเหมือนคนไร้วิญญาณ”

“มาว่าแต่เรานะนิ เธอเองก็ใช่ย่อยตอนที่แอมไปแต่งงานทำอย่างกับว่าตัวเธอดีกว่าเรางั้นแหละ” ทัศนานึกถึงวันที่รมัญยาทิ้งนิชาภัทรไป นิชาภัทรที่เคยมุ่งมั่นในการทำงานกลับกลายมาเป็นนิชาภัทรที่ขี้เมาหยำเป กว่าที่จุไรพรเลขาของนิชาภัทรจะทำให้นิชาภัทรกลับมาเป็นนิชาภัทรคนเดิมได้ก็นานโข

“ฮ่าๆๆ ก็จริงนะ เวลาที่คนเราจิตตกมันก็แบบนี้แหละทัศดูเหมือนโลกทั้งโลกมันมืดมิดไปหมด แต่ทัศเก่งกว่าเราเยอะที่ปรับตัวได้เร็วกว่าเรา”

“เราไม่เก่งหรอกนิ เพียงแต่เรารู้ว่าเรามีหน้าที่ใหม่มาทดแทนหน้าที่เดิมของเรา หน้าที่ของเรือจ้างที่จะนำทางคนที่จ้างเราไปถึงฝั่งฝัน และเราก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เพราะเท่ากับเรารับผิดชอบชีวิตของคนที่จ้างเราไว้ด้วย”

“แล้วจักรไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลยเหรอหลังจากที่นุชตายไป”

“ติดต่อมาเหมือนกัน แต่แล้วไงล่ะนิ คนที่เคยทิ้งเราไปแล้วจะกลับมามีอะไรมาประกันว่าเค้าจะไม่ทิ้งเราไปไหนอีก เราถามกลับกันถ้าแอมกลับมานิจะรับแอมเข้ามาอีกหรือเปล่า”

คำถามที่ทัศนาถามนิชาภัทรทำให้คนที่ถูกถามกลับถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่จะตอบว่า

“เราคงไม่เหมือนกันทัศ”

“นั่นสิเราเองก็เหมือนนิเราคงไม่สามารถกลับไปคบจักรได้อีกแล้วเพราะมันสิ้นสุดกันตั้งแต่วันนั้นที่เค้าบอกเราว่านุชท้อง” ทัศนามีน้ำตาคลอที่ดวงตาของเธอ

พวกเราเด็กๆได้แต่นั่งฟังกันเงียบๆ พร้อมๆ กับมองดูไข่แดงเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม และสุดท้ายแสงนั้นก็ทำให้เราแสบตา

“ไปเด็กๆ ไปเก็บข้าวของได้เราจะลงภูกันแล้ววันนี้ เร็วๆๆ” พี่นิชาภัทรรีบเร่งให้เด็กๆ อย่างพวกเราเตรียมตัวออกเดินทางไปเก็บของลงภู

ถึงเวลาอำลาภูกระดึง ดินแดนที่เดินขึ้นมาด้วยแรงขาหยดเหงื่อและหยาดน้ำตา

“เฮ้ยรอด้วยเว่ยเดินไม่ทัน” จันทร์จิราบอกกับธิติมากับกันตาที่เดินจ้ำอ้าว ลงไปเรื่อยๆ แต่เธอกลับขาสั่นพับๆ เพราะกลัวทางเดินลงระหว่างหลังแปไปซัมแคร่

“ทีตอนขาขึ้นทำไมไม่สั่นวะไอ้เจ้า” ธิติมาหันมาถามจันทร์จิราที่พยายามกระถดตัวเองลงมาจากก้อนหินก้อนใหญ่

“ก็ตอนขึ้นมันไม่ได้มองลงนี่หว่า แต่นี่มันตอนลงเว่ยมันต้องมองลงแล้วฉันก็กลัวนี่หว่าไอ้ธิแกมาเอาฉันลงไปหน่อยสิไอ้เขาทราย” จันทร์จิราเรียกธิติมาด้วยสรรพนามใหม่ที่เธอตั้งให้กับธิติมา

“ให้ฉันช่วยก็ต้องพูดดีๆ หน่อยสิวะไอ้เจ้ามาเรียกแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดไม่เอาลงมาจากก้อนหินเลยไอ้นี่” ธิติมาเดินกลับมาช่วยอุ้มจันทร์จิราลงมาจากก้อนหินก้อโตนั้นแล้วก็บ่นไปตามประสา

“ก็แกสองคนกับเจี๊ยบอย่างกับเขาค้อเขาทรายเลยนี่หว่าเพื่อนแรงดีไม่เคยตก ไม่ให้เรียกแบบนี้แล้วให้เรียกไง” จันทร์จิราพอลงมายืนบนพื้นได้ก็ใส่ธิติมาไม่ยั้ง

“อ้าวไอ้นี้ฉันออกจะสวยเริด มาเรียกฉันสองคนเป็นนักมวยพี่น้องไปแล้ว รู้งี้ไม่ช่วยลงมาซะก็ดีหรอกให้นั่งติดอยู่บนก้อนหินไปอย่างนั้นจนค่ำมืดซะดีมะปั๊ดโธ่เว่ย”

“น่านะไอ้ธิฉันรู้ว่าแกมันใจดีแค่ไหน เอาฉันเดินต่อไปเถอะนะเพื่อนไม่อย่างนั้นฉันคงตายอยู่บนนี้แน่ๆ เลยเพื่อน” จันทร์จิราทำท่าว่าจะบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาซะอย่างนั้น

“เออไม่ต้องมาร้องไห้เลยฉันไม่ทิ้งแกแน่ๆ เพื่อนไปปะลงไปต่อได้แล้ว” ธิติมายื่นมือสวยและแข็งแรงของเธอฉุดข้อมือของจันทร์จิราให้เดินไปด้วยกันกับเธอ และเธอเองก็เป็นเหมือนกำแพงหนาคอยป้องกันจันทร์จิรากับชนกพรเมื่อยามที่ต้องเดินลงไปบนทางที่สูงชัน

ฉันก็ไม่ได้ต่างกับธิติมาที่คอยดูจันทร์จิรา ชนกพรและจินตนา เพราะฉันก็คอยดูแลคนรักของฉันเช่นกัน ฉันเห็นพี่นิชาภัทรคอยดูแลพี่อนันตราและครูทัศนาระหว่างทางเดินลง เห็นพวงทองจูงมือไปรยาค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน เห็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยของรตีกับจินตนา มันเป็นภาพที่ติดตราตรึงใจฉันมาจวบจนทุกวันนี้

ภูกระดึงสร้างความสัมพันของเพื่อนให้เพิ่มขึ้นมากว่าเดิม

ภูกระดึงทำให้พวกฉันรู้ว่าไม่มีใครจะดีไปมากกว่าเพื่อนรักทั้งแปดคน และไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นที่ภูกระดึงไปตราบจนชีวิตฉันจะหมดลมหายใจ

..............................

ลุงสมานมารับเราให้ไปที่พักและอาบน้ำแต่งตัวใหม่เนื่องจากว่าพวกเราไต่เขาลงมาก็มีทั้งเหงื่อและความสกปรก กันทั้งนั้นทุกคนปวดเมื่อยมากว่าเดิม ที่เคยเป็น

จันทร์จิราแทบจะกลิ้งลงเขาเพราะเธอรั้งตัวเองไม่อยู่ ล้มลุกคลุกคลานดีที่ชนกพรรั้งไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นเราคงต้องแบกจันทร์จิราลงมาจากภู

อาการปวดระบมทั้งน่องและต้นขาทำเอาเราแทบจะนอนไม่ได้ระหว่างการเดินทางกลับ

“ไอ้หมอมียาแกปวดกินเปล่าวะ” จันทร์จิราชักทนไม่ไหว

“มีเดี๋ยวนะจันทร์เราหยิบให้” ภัทรทราภรณ์ล้วงยาในกระเป๋าใบน้อยของเธอให้กับจันทร์จิรา

“แม่ไอ้แป๊ดขอฉันด้วยสิ” จากนั้นพวงทองก็ขอยาด้วยอีกคน

“ใครจะเอายาอีกบ้าง” ภัทรทราภรณ์ถามพวกเราและทุกคนก็พร้อมเพรียงกันยกมือยกเว้นธิติมากับกันตา

“เป็นไอ้ธิก็ดีแบบนี้เองเน๊อะออกกำลังกายบ่อยๆ ไม่ต้องมาบ่นปวดเมื่อยแบบพวกเรา” รตีดูเหมือนว่าจะสรรเสริญธิติมาจริงๆ จังๆ

“ก็พวกแกมัวแต่อ่านหนังสือไม่ยอมออกกำลังกายกันเองนี่หว่าจะมาว่าฉันได้ไง”

“เปล่าไม่ได้ว่าเว่ยแค่บอกว่าน่าอิจฉาเท่านั้นเองไอ้นี่คิดมาก” รตีบ่นอีกแล้ว

พวกเรารับยามาจากภัทรทราภรณ์และก็นั่งทาถูนวดที่ขาของพวกเราเอง ส่วนธิติมาก็หยิบเอาน้ำมันมวยออกมาและก็มานั่งนวดให้พวกเราราวกับว่าพวกเราไปขึ้นชกบนเวทีมวยที่หลังแปมา จนกลิ่นยานวดผสมกลิ่นน้ำมันมวยตลบอบอวลไปทั้งรถ เรียกได้ว่าแสบตาจนต้องเปิดกระจกหน้าต่างให้ระบายกลิ่นเมนทอลออกไปจากรถตู้บ้าง ไม่เช่นนั้นพวกเราก็คงกลายเป็นแปดเซียนชุบเมนทอลอบกรอบอยู่ในรถตู้คันนี้ไปแล้ว

....................

เมื่อลงมาจากภูกระดึงอีกไม่กี่วันพวกฉันก็ต้องไปส่งครูทัศนากลับบ้าน เรากลับบ้านด้วยกัน ในตอนแรกคิดว่าจะเอารถไปสองคันเพราะคนสิบเอ็ดคนกับค่าตั๋วคงจะไม่ไหว ไปรยากับกันตาก็อยากจะไปบ้านกับพวกเราด้วย

คราวนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากขับรถ เพราะยังคงเจ็บระบมกับการเดินทางขึ้นภูลงภู ไม่อยากจะบอกว่าแม้กระทั่งการลุกการนั่งเราเองก็เจ็บระบมไปหมดทั้งหน้าขา โชคดีที่ห้องน้ำบ้านเราเป็นชักโครก ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากว่าเป็นห้องน้ำแบบนั่งยองๆ พวกเราจะเป็นอย่างไร

นั่งโอยลุกโอย ที่ใครๆ เคยบอกว่าเป็นอาการของคนแก่ๆ ตอนนี้พวกเราทุกคนเป็นกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งธิติมากับกันตาที่ว่าอึดแล้วก็ยังคงมีเสียงบนออกมาจากปากของสองสาว

แถมพวกเรายังมีร่องรอยของรองเท้าที่กัดจนเป็นแผลเปิด เมื่อโดนน้ำเราแทบจะกระโดด แม้ว่าภัทรทราภรณ์จะเอาพลาสเตอร์ไปปิดให้พวกเราไว้แล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ตุ่มน้ำพองใสๆ มันหายไปได้

ภัทรทราภรณ์ทำหน้าที่เพื่อนที่ดีทำแผลให้กับพวกเราทุกคน ถึงแม้ว่าเธอจะเจ็บเนื้อปวดตัวไม่แพ้พวกเราเหมือนกัน

ครูทัศนาบอกว่าภัทรทราภรณ์กำลังจะมีสัญชาตญาณของหมอเกิดขึ้นในหัวใจของภัทรทราภรณ์แล้ว เพราะคนเป็นหมอจะไม่ยอมปล่อยให้ใครๆ ต้องมาเจ็บป่วยต่อหน้าต่อตาไปได้หรอก

ฉันเริ่มจะเห็นด้วยกับครูทัศนาเกี่ยวกับเรื่องของภัทรทราภรณ์ เพราะในตอนนี้ฉันเห็นแววตาของหมอ

ไม่รู้สิ ฉันว่าฉันเห็นอะไรสักอย่างในแววตาของภัทรทราภรณ์ ที่เธอส่งมันออกมา ราวกับว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ฉันเองยังค้นไม่พบ แววตาอ่อนโยนเมื่อเห็นเพื่อนๆ ร้องโอดโอย กริยาท่าทางที่แสดงความห่วงใยเพื่อนๆ เมื่อยามที่เธอทำแผลให้

ฉันเคยคิดว่าหากฉันเป็นภัทรทราภรณ์ ฉันจะทำได้อย่างที่เธอทำหรือเปล่า เพราะขนาดแค่ดูแลตัวของฉันเอง ในตอนนี้ฉันยังทำอะไรไม่ได้ มากไปกว่าเดินไปห้องน้ำ และหาอะไรเข้าปากตัวเองแก้หิวเท่านั้นเอง

พี่นิชาภัทรเสนอให้ลุงสมานคนขับรถคนเดิมไปส่งพวกเรากลับบ้าน เพราะพี่นิบอกว่าให้ลุงสมานกลับไปเยี่ยมบ้านไปด้วยในตัว ฉันก็พึ่งจะรู้ว่าลุงสมานเป็นคนจังหวัดเดียวกับฉัน

พี่นิเป็นคนใจดีที่พวกฉันเห็นว่าหากต้องเป็นเจ้านายของใครสักคน ฉันจะไม่ใช้พระเดชมั่วซั่ว ฉันจะใช้พระคุณมาปกครองลูกน้องแบบพี่นิบ้าง พี่นิถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งในสายตาของพวกเรา เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นเพื่อนของครูทัศนามาได้จนทุกวันนี้

เพราะพวกฉันคิดว่าคนอย่างครูทัศนาต้องมีเพื่อนที่ดีเหมือนครูเช่นกัน

มีคนเคยบอกว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คนบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” ฉันว่าคำๆ นี้ใช้กับคนทั่วไปได้จริงๆ

มีเพื่อนที่ดี มักจะดีกว่ามีทรัพย์เป็นร้อยล้าน และฉันเองก็มีเพื่อนที่ดี มีครูที่ดี มีแฟนที่ดี ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่เรามีคนรู้ใจและสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง

รถตู้ของลุงสมานพาเรากลับมาที่บ้านได้อย่างปลอดภัย ลุงสมานไม่ได้ขับรถเร็วอะไร เรารู้สึกว่าลุงสมานขับรถดีถึงดีมากๆ หลับมาในรถได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่ารถจะไปเกิดอุบัติเหตุกลางทางที่ไหนหรือไม่

“ไว้จะกลับวันไหนโทรบอกผมนะครับคุณๆ” ลุงสมานบอกพวกเราก่อนที่จะออกรถไปบ้านของตนเอง

“หลบมาบ้านลาว แสนสุขจาย” จันทร์จิราร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ที่เธอแต่งขึ้นเองเสียงสูงปรี๊ด

“อะไรของแกวะไอ้เจ้าหลบไปบ้านลาวที่ไหน” ธิติมาบ่นจันทร์จิราที่ร้องเพลงบ้าๆ บอๆ ของตัวเอง

“เอ๊าไอ้นี่ไม่รู้เหรอ ว่าแปลว่าไร” จันทร์จิราเล่นลิ้นตอบธิติมา

“ก็เออสิว่ะใครจะไปตรัสรู้เรื่องที่แกพูดได้ทุกเรื่องฉันไม่ใช่พหูสูตรนะเว่ยจะได้เข้าใจ” ธิติมาตอกกลัทันที่เช่นกัน

“ไอ้คำว่าหลบนี่แปลว่ากลับเว่ย เป็นภาษาใต้ไงเพื่อน” จันทร์จิราอธิบาย

“เออก็แล้วไป นึกว่าไปหลบบ้านลาวที่ไหน เพราะแถวนี้ไม่มีลาวที่จะให้แกไปหลบ ยกเว้นแกเองนั่นล่ะที่เป็นลาว อิอิ”

“วอนแล้วไหมเพื่อนฉันก็ไม่ใช่ลาวเว่ยฉันคนเมืองแต้ๆ หนาเปื้อน” จันทร์จิราเมื่อกลับมาถึงบ้านก็เล่นซาวนด์แทรกกับธิติมาอีกรอบ

“เออฮาฮู้เน้อว่าคิงเป๋นคนเมืองแต่เน๊อะเปื้อน เมืองอย่างคิงนะมันเมืองแปดเปื้อน”

“เปื้อนตรงไหนวะไอ้ธิ”

“ก็เปื้อนลาวไง ฮ่าๆๆๆ” ธิติมาพูดจบก็วิ่งไปหลบหลังครูทัศนาที่กำลังหิ้วกระเป๋าของครูเข้าบ้าน เพราะพวกเราแวะมาลงที่บ้านครูแทนที่จะให้ลุงสมานไปส่งเรากลับบ้าน

เนื่องจากว่าบ้านของพวกเราแต่ละคนมันช่างไปคนละทิศคนละทาง และบ้านของครูทัศนาก็ใกล้ที่สุดเราเห็นใจลุงสมานที่จะต้องขับไปส่งพวกเราตามบ้านเพราะเมื่อยามที่ลุงสมานตื่นขับรถ พวกเราก็หลับกันเป็นตาย หากจะให้ลุงสมานไปส่งพวกเราอีกก็จะเป็นการรบกวนลุงสมานมากเกินไป

หลังจากที่เราให้ลุงสมานแวะเติมน้ำมันจะเต็มรถแล้ว เราก็ปล่อยลุงสมานให้กลับไปเยี่ยมบ้านที่นานๆ ครั้งจะได้กลับ และพวกเราก็มารวมตัวกันที่บ้านของครูรอให้พ่อกับแม่มารับพวกเรากลับบ้านอีกทอดหนึ่ง

พวกเราผลัดกันโทรไปหาพ่อกับแม่ให้มารับ แต่พ่อกับแมของพวกเราบอกว่าจะแวะมารับพวกเราหลังเลิกงาน เพราะตอนนี้พวกท่านยังคงทำงานกันอยู่ เราก็เลยอาศัยบ้านของครูทัศนาเป็นที่พักพิงนั่งเล่นนอนเล่นกัน

จันทร์จิราเห็นเปียนโนของครูทัศนาตั้งวางไว้แถมยังมีผ้าสีขาวคลุมไว้อีกทอดหนึ่ง เธอก็เลยเอ่ยปากขอครูทัศนา

“ครูขาหนูเล่นเปียโนได้หรือเปล่าค่ะ”

“ได้สิจันทร์เล่นได้เลยครูอนุญาตเล่นได้เลยตามสบาย ตั้งแต่พ่อครูท่าไม่ค่อยแข็งแรงก็ไม่มีใครเล่นหรอกเปียนโนเครื่องนี้”

จากนั้นจันทร์จิราก็เปิดผ้าคลุมเปียนโนเครื่องเก่าของครูทัศนาและลงมือเล่นเปียนโนที่เงียบสงบอยู่ข้างบ้านมาเป็นเวลานาน ให้มีเสียงติ้งๆ ต่องๆ ก่อนที่จะลงมือบรรเลงเพลงอย่างพลิ้วไหว

นิ้วของจันทร์จิราที่เล่นไปบนคีย์เปียนโนบ่งบอกได้ว่าจันทร์จิราคุ้นเคยกับการเล่นมันมากมาย เสียงเพลงเริ่มทยอยออกมาจากปลายนิ้วของจันทร์จิราเรื่อยๆ จากหนึ่งเพลงเป็นสองเพลง และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนนับไม่ถ้วน พวกเรานั่งฟังเสียงเปียนโนของจันทร์จิราไม่รู้เบื่อ

ดนตรีช่วยให้เราผ่อนคลาย และคนเล่นดนตรีก็ดูเหมือนว่าจะมีอารมณ์คล้อยตามไปกับเสียงเพลงที่ตนเองเล่นด้วยเช่นกัน

แต่แล้วจู่ๆ จันทร์จิราก็เล่นเพลงน้ำเซาะทราย และชนกพรก็ร้องเพลงนั้นไปตามเสียงบรรเลงเพลงของจันทร์จิราตามไปด้วย

“วิ่งหารักมาอ่อนใจ เอื่อยไหลซบทรายกระเซ็น ชื่นฉ่ำเย็น อยากเป็นน้ำ เซาะทราย โลกของฉันมีแต่เธอเฝ้าฝันละเมอไม่วายอยากบอกทราย กับสายน้ำ จำนรรจา ว่ารัก ฉันสร้างจากทรายอาจสลาย เพียงในพริบตา”

เสียงของชนกพรเริ่มเคลือๆ เหมือนๆ กับจะปนเสียงสะอื้น

“คลื่นรัก ทยอยสาดมาเซาะอุรา น้ำตา กระเซ็น แอ่งน้ำนั้นปลาใฝ่ปองแต่รักของทรายจะเย็นไม่วายเว้น ต้องการน้ำ เซาะทราย โลกของฉันมีแต่เธอ เฝ้าฝันละเมอไม่วาย อยากบอกทราย กับสายน้ำ ในความจริง แอ่งน้ำนั้นปลาใฝ่ปองแต่รักของทรายจะเย็นไม่วายเว้น ต้องการน้ำ เซาะทราย โลกของฉันมีแต่เธอเฝ้าฝันละเมอไม่วายอยากบอกทราย กับสายน้ำ ในความจริง”
เพลงน้ำเซาะทราย : จำรัส เศวตาภรณ์


ชนกพรก็ไม่ต่างกับจันทร์จิราที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวว่า ปราสาททรายที่ทั้งสองคนได้สร้างขึ้นมันกำลังจะพังทลายลงในอีกไม่ช้านี้ พังเพราะคลื่นแห่งรักของเธอทั้งสอง คลื่นรักที่ไม่สามารถทำให้ปราสาทแห่งความรักที่ช่วยกันก่อร่างสร้างขึ้นมานั้นต้องพังคลืนลงอย่างไม่เป็นท่า

แล้วอยู่ๆ น้ำตาของเพื่อนของเราทั้งสองก็ไหลอาบแก้ม ทั้งคนเล่นเปียนโนและคนร้องเพลง

โลกแห่งความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายกับหัวใจของทั้งคู่

จันทร์จิรามองหน้าของชนกพรคนที่เธอรักผ่านม่านน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง ในวันนี้เธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่เธอไม่อาจจะรับได้ โลกที่มีแค่เพียงครอบครัว โลกที่ไม่มีชนกพรคนที่เธอรักมาเดินเคียงข้างกัน

จันทร์จิรายอมรับกับตนเองว่าเธอเองก็แอบอิจฉาพวงทองอยู่ลึกๆ ที่สามารถอยู่ในโลกแห่งความฝันและโลกแห่งความจริงไปพร้อมๆ กันได้

แต่สำหรับเธอและชนกพร เมื่อกลับมาสู่บ้านเกิด กลับมาสู่ความเป็นจริง ทั้งสองคนไม่สามารถที่จะปริปากบอกให้คนที่ครอบครัวของทั้คู่รู้ได้เลยว่าทั้งสองคนรักกันมาเพียงใด

ไม่สามารถบอกให้ใครๆ รับรู้ได้เลยว่าทั้งสองคนมีความสุขเพียงไหนที่ได้รักกัน และได้ยืนอยู่เคียงข้างกัน ในวันที่มีชนกพรยืนอยู่ข้างๆ เธอ ชนกพรร้องเพลงและเธอเล่นดนตรี จะเป็นอะไรก็ได้ เปียนโน กีตาร์ หรืออะไรก็ได้ ที่มีเธอและชนกพรร่วมร้องและบรรเลงไปพร้อมๆ กัน

เธอจะมีความสุขมากมายเกินกว่าที่ใครๆ จะเข้าใจ

จันทร์จิราละมือทั้งคู่ของเธอออกมาจากคีย์เปียนโนและโอบกอดชนพร ทั้งคู่โอบกอดกันโดยที่ชนกพรกอดจัทร์จิราที่นั่งซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกของชนกพรที่ยืนปลอบประโลมคนรักของเธอด้วยการลูบผมยาวๆ ของจันทร์จิราไปมา

พวงทองหยิบกีต้าร์ของจันทร์จิราที่พกกลับมาด้วย ขึ้นมาดีดเพลงและร้องเพลงที่เธอคิดว่า มันเป็นเพลงที่สามารถทำให้เพื่อนๆ ทั้งสองของเธอมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นได้

“ในโลกแห่งความฝันและวันที่เป็นจริง...เรื่องราวทุกสิ่งต่างกันมากมาย..เธอจงเสาะหา พกพานำไป...มีรักเต็มหัวใจ กำลังใจเต็มทรวง…”

พวกเราทุกคนช่วยพวงทองร้องเพลงนี้ ไปพร้อมๆ กัน

“ถ้าเธอเหนื่อยนัก..หยุดพักเสียก่อน..ล้มตัวลงนอนแนบตักฉันนี่..จะหนาวจะร้อน จะคอยพัดวี..หลับฝันถึงสิ่งดี หลีกหนีสิ่งเลว..
แม้นเธอปวดร้าว ก็ขอเพียงสู้..ฉันยังยืนอยู่คู่เธอมิเแหนงหน่าย..หากเธออยากถามว่าฉันเป็นใคร..ฉันคือหัวใจศรัทธาของผองชน”

***เพลงถึงเพื่อน : พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์***


เราทั้งแปดคนกอดคอกันกลมเมื่อสิ้นเสียงร้องของพวงทอง ถึงแม้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เราแปดคนก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอไปไม่ใช่หรือ

“อย่าคิดมากนะไอ้เจ้าไอ้นก ถึงแกจะเป็นไงฉันก็รักพวกแกเสมอและเป็นกำลังใจให้แกตลอดไป ตราบใดที่แกยังคงสู่ต่อไป แกยังมีฉันและเพื่อนๆ เป็นกำลังใจให้พวกแกเสมอเพื่อน อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้ เราต้องสร้างวัคซีนป้องกันโรคที่กำลังจะรุมเร้าเข้ามา เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเราเองเพื่อน” พวงทองหยุดเพื่อหายใจ เพราะตอนนี้น้ำตาของเธอก็กำลังจะไหลลงมาเช่นกัน

“ไอ้เจ้าแกจำได้ไหมว่าเมื่อวันที่แกพยายามให้ฉันเลิกกัญชาแกเคยบอกฉันว่าไง ตอนนี้ฉันก็จะบอกแกเหมือนกันว่าแกไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก แกยังมีฉัน ฉันยังเป็นเพื่อนของแก และฉันก็จะคอยดูแกกับไอ้นกจนกว่าจะถึงวันที่แกสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แกไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องเลิกคบกันนี่นาจริงไหม แกยังสามารถคบกันต่อไปได้เรื่อยๆ ต่อให้พ่อกับแม่ของพวกแกรู้ ถ้าแกยังเป็นลูกที่ดีของท่าน ท่านจะว่าอะไรแกได้ เพียงแค่พวกแกไม่แต่งงานท่านคงไม่ถึงขนาดตัดขาดพวกแกออกจากตระกูลหรอกน่าเพื่อนใจเย็นๆ ไว้” พวงทองที่นานๆ จะพูดอะไรกับใครเขาบ้าง บอกกับจันทร์จิราและชนกพร

ฉันว่าก็เป็นจริงอย่างที่พวงทองพูด ตราบใดที่ทั้งคู่ยังคงเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกที่ไหน พวกท่านก็คงไม่มาบังคับกะเกณฑ์พวกเราให้ทำตามใจของท่านได้หรอก

ก่อนที่น้ำตาจะท่วมบ้านของครูทัศนา จินตนาก็ใช้มุขเดิมๆ ที่ไม่มีวันเบื่อของตัวเองเพื่อลบคราบน้ำตาของเพื่อนๆ ให้ออกไปจากใบหน้า

“เฮ้ยพวกแกฉันหิวแล้ว”

“ไอ้นี่เค้ากำลังเศร้าๆ กันอยู่มาทำเป็นน้องผู้หิวโหยแถวนี้ไปได้” รตีก็คือรตีบ่นจินตนาได้ไม่เว้นวัน

“เอ๊าก่อนที่จะทำอะไรไม่เคยได้ยินคำพูดของนโปเลียนเหรอไอ้ตี “กองทัพเดินด้วยท้อง” เว่ย”

“ใช่สิอย่างแกนะต้องเอาท้องเดินแล้วไอ้จิน กินอย่างกับยัดกระสอบ แถมกะสอบแกก็ไม่มีก้นกระสอบด้วยสิ ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ที่ไหน ฉันว่าแกไปถ่ายพยาธิบ้างก็ดีเหมือนกันนะไอ้จิน ดูสิกินไปตั้งเยอะไม่เห็นจะอ้วน”

“เอ๊าคนเราก็ต้องมีดีกันบ้างสิวะไอ้ตีจะให้ฉันไม่มีอะไรดีกะเค้าบ้างเลยหรือไง”

“นี่นะเหรอที่เรียกว่าดี ฉันว่ามันเรียกว่าพวกตลกบริโภคต่างหาก ไม่ใช่ดีเดออะไรหรอกว่ะ”

“ถ้าไม่ดีแล้วแกมารักฉํนทำไมวะ”

“เอ๊ะไอ้นี่ใครบอกว่าฉันรักแก” รตีระเบิดเสียงลั่นบ้านครูทัศนา

“อ้าวเหรอแกไม่ได้รักฉันเหรอว๊า หลงเข้าใจผิดตั้งนาน เออก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้หาคนใหม่ได้ทันเพราะรู้ว่าแกไม่ได้รักฉันอย่างที่คิดไว้” จินตนาพูดจบก็หันไปหาไปรยา

“นี่ๆ กอล์ฟ เพื่อนกอล์ฟคนนั้นไงคนที่สวยๆ ที่ไปเรียนเมืองนอกชื่ออะไรนะที่บอกว่าเป็นดี้ด้วยคนที่ไอ้แป๊ดมันแกล้งเอาหมามุ่ยไปใส่เสื้อตอนไปรับน้องคราวที่แล้ว”

“ชื่อพิศลยาเรียกเค้าว่าปริมก็ได้ ว่าแต่ถามทำไมเหรอจิน”

“เปล่าจะถามว่ามีแฟนหรือยังเราจะไปจีบแล้วเด็กอินเตอร์น่ารักน่าหม่ำแบบนี้น่าสนใจนะกอล์ฟ” สิ้นเสียงของจินตนาหูของจินตนาก็โดนดึงด้วยมือของรตีทันที

“นี่ไหนๆ มาพูดกันให้รู้เรื่องสิไอ้จินเด็กอินเตอร์ที่ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้นะ” รตีกลายร่างเป็นแม่เสือขึ้นมาในทันใด

“เปล๊า เปล่า เด็กอินตงอินเตอร์ที่ไหน ไม่มี๊ไม่มี” จินตนาปฏิเสธเสียงหลง

“ไม่มีได้ไงเมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองรูหู” รตียังไม่ยอมปล่อยใบหูของจินตนาไปจากมือของเธอ และตอนนี้ใบหูนั้นก็แดงจนแทบจะเขียวคล้ำแล้ว

“โอ๊ยเจ็บๆ นะไอ้ตี ไม่มีจริงๆ นะจ๊ะที่รักจ๋า ก็ไหนว่าไม่รักเค้าแล้วมาดึงหูเค้าทำไมล่ะจ๊ะ เอ๋ หรือว่ารักเค้าแต่ไม่กล้าบอกกันจ๊ะที่รัก” จินตนาเริ่มแกล้งรตีที่ตอนนี้เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองพลาดไปเต็มๆ ที่แสดงอาการหึงออกมาจนออกนอกหน้า

“ใครว่าล่ะ ใครไปรักแกไอ้จิน คนสวยๆ อย่างฉันไม่มีทางไปชอบแกได้ร๊อก ระวังเถอะจะโดนเด็กอินเตอร์หลอกแล้วจะหาว่าสวยไม่เตือน”

“แหมคนสวยจ๋าถ้าลงทุนเล่นกันซะขนาดนี้ก็ช่วงลงทุนอีกสักนิดจะเป็นไรมี”

“ให้ฉันลงทุนอะไรยะแม่ชูชก”

“ก็ลงทุนเป็นอมิตาดาหวานใจที่แสนดีชูชกคนนี้ไง”

พอสิ้นคำพูดของจินตนาน้ำตาที่เคยไหลของจันทร์จิราและชนกพรหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้ๆ กันตอนนี้ก็คือว่า นอกจากจินตนาจะกินเก่งแล้วยังเจ้าคารมณ์กับเขาเหมือนกัน

และฉันก็รับรู้ว่าจินตนายอมลงทุนให้ตนเองโดนรตีทำโทษเพียงเพราะเธอต้องการเห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆ แทนน้ำตาที่หยดลงมาเมื่อสักครู่ ให้หายไปจากใบหน้าของเพื่อนๆ ได้ใรพริบตาเช่นกัน

ฉันยังคิดว่าถ้าฉันเป็นจินตนาจะยอมลงทุนเจ็บตัวแบบที่จินตนาทำหรือไม่ เพราะมือของภัทรทราภรณ์ก็ไม่ได้เบาๆ หากฉันโดนดึงหูแบบนั้น หูของฉันคงขาดไปแล้ว และอีกอย่างซึ่งเป็นเรื่องสำคัญด้วยสิเพราะแม่เสืออย่างรตีกับแม่เสืออย่างภัทรทราภรณ์ มีความดุไม่ได้แตกต่างกันแต่ประการใด

ตามสบายนะเพื่อนฉันไม่กล้างลงทุนแบบที่เพื่อนทำหรอก เดี๋ยวหูหลุดไปไม่สวย อรุณวิลัยไม่เอาด้วยหรอก กลั๊วกลัว จริงๆ นะ

..... จบบทที่ ๒๖ ....



Create Date : 28 มิถุนายน 2551
Last Update : 28 มิถุนายน 2551 16:05:14 น. 2 comments
Counter : 342 Pageviews.

 
เหนื่อย (ใจ) จังค่ะ แต่พอมาเจอว่าคุณเอาเรื่องไอ้แป๊ดกับคุณหมอกิ่งมาให้อ่านแล้ว ค่อยดีขึ้นหน่อย


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.166.246 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:18:14:02 น.  

 
โอ้วคุณต้นรังเป็นอะไรค่ะ

มาๆๆ นวดๆๆๆ

อย่าคิดมากค่ะ เป็นกำลังใจให้

ว่าแต่ แป๊ดนี่เหมือนเป็นชนชั้นสองไงไม่รู้เน๊อะ อิอิ


โดย: รันหณ์ วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:19:29:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.