It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

มธุรดา yuri บทที่ ๑๐/๔

บทที่ ๑๐/๔


"อย่าขัดน้าบุษได้ไหมพี่รัน นิลยากำลังตั้งใจฟังอยู่เชียว”

“คนมันสงสัยนี่หว่า นาคไม่สงสัยหลบไปห่างๆ ได้ไหม”

“เฮ้อ...มนุษย์ ช่างสงสัยเสียจริงๆ ทั้งๆ ที่สงสัยไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์โพดผลอะไรสักนิด ไอ้ที่น้าบุษเล่ามานั้น มันเกิดขึ้นมาเป็นพันๆ ปีแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ จะถามไปทำไมกัน เสียเวลาฟังเรื่องสนุกๆ”

“พอๆ ไม่ต้องเถียงกัน จะให้แม่เล่าต่อไหม” บุษบงกตรีบขัดขึ้นก่อนที่ลูกสาวของเธอจะต่อปากต่อคำกับนิลยา

“ต่อค่ะแม่ อยากรู้”

“เอาเรื่องเวียงฟ้ากับโมระเลยดีกว่าค่ะน้าบุษ เวียงฟ้ากับที่อื่นๆ ไม่ต้องเล่าหรอก พี่รันเขาไม่อยากรู้”

“แสนรู้นักนะเรา”

“เป็นนาคไม่ใช่หมา จะได้แสนรู้ นิลยาน่ะ ล้านรู้ มากกว่าแสนตั้งเยอะ” นิลยาใช้มือของเธอเปิดไรผมที่ปิดหน้าผากของเธอให้เสยขึ้นไป เผยให้เห็นหน้าผากกว้างๆ ของเด็กน้อย ทำเอารัญชน์อมยิ้มกับการกระทำนั้น

“เวียงฟ้ามาอยู่ที่เขาแห่งนี้เมื่อสามพันกว่าปีก่อน”

“โห...แม่เจ้าสามพันกว่าปี ให้ตายเถอะโรบิ้น”

“แก่กว่านิลยา สองพันปี ก็โอนะ อายุเท่าเจ้าพ่อเลย”

“สามพันปีก่อน ราวๆ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แล้วเวียงฟ้าเกี่ยวอะไรกับดวงจันทร์หรือเปล่าคะแม่”

“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ดวงจันทร์เกิดขึ้นตอนที่โลกยังไม่อิ่มตัว และถูกอุกกาบาตขนาดพอๆ กับดวงจันทร์พุ่งเข้าชน จากนั้นมวลของโลกกระเด็นออกไปอยู่นอกการหมุน เมื่อเวลานานวันเข้า เศษฝุ่นที่กระจัดกระจายและมวลใหญ่ๆ บางส่วนที่ยังร้อนอยู่รวมตัวกันกลายเป็นดวงจันทร์ในปัจจุบัน ลูกรู้ไหม สมัยโบราณนานมาแล้ว โลกเรามีดวงจันทร์ถึงสองดวง แต่อีกดวงถูกชนจนหลุดไปจากวงโคจรของโลก จึงเหลือดวงจันทร์เพียงแค่ดวงเดียว และอีกประมาณล้านๆ ปี โลกของเราจะไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร”

“ทำไมคะแม่”

“เป็นข้อพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ไงพี่รัน เชยอีกแล้ว ไม่เคยดูสารคดีเลยหรือไง เขาว่ากันว่า แรงไทดอลระหว่างโลกกับดวงจันทร์ จะทำให้โลกและดวงจันทร์ค่อยๆ ขยับห่างกันไปอย่างช้าๆ ปีละ ราวๆ สองเซน และในที่สุด ทั้งโลกและดวงจันทร์ จะหันหน้าด้านเดียวเข้าหากันตลอดเวลา แต่เมื่อถึงตอนโน้น..... มนุษย์ไม่มีแล้ว เพราะมันนานเกิ๊น...” นิลยาลากเสียงยาวเฟื้อย

“เอาซะวิชาการเลยนะแม่ตัวยุ่ง”

“งี้แหละ หาว่าเราแสนรู้ เราล้านรู้ บอกแล้วก็ไม่เชื่อ”

“อย่างที่น้องบอกนั่นแหละ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”

“แล้วทำไมมีคนบอกว่า เวียงฟ้ามีฤทธิ์เฉพาะตอนกลางวัน ตกกลางคืนจะหมดแรงล่ะคะ”

“ใครเล่าให้รันฟัง”

รัญชน์ชี้ไปที่นิลยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ “ตัวยุ่งนี่แหละแม่ เล่าเรื่อยเปื่อย”

“จริงอย่างที่น้องบอกอีกนั่นแหละ เวียงฟ้าจะไม่มีพลังพอที่จะทำอะไร หากอยู่ในคืนเดือนมืด ไม่มีแสงสว่างมากพอ พลังของเวียงฟ้าจะหดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ และจะฟื้นกลับมาอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น”

“งั้นจุดบอดของเวียงฟ้าคือความมืดสิคะ”

“เวียงฟ้าถึงเป็นนกยูงไฟไงจ๊ะ เมื่อคืนเดือนมืดมาถึง นกยูงแห่งเวียงฟ้าจะเป็นนกยูงไฟ ส่องสว่างให้กับคนของเวียงฟ้า”

“อ๋อ...พอเข้าใจแล้ว ที่มาของนกยูงไฟ มาจากเรื่องนี้นี่เอง”

รัญชน์พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เธอรู้ ถึงจะเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ไม่เกินความสามารถของสมองน้อยๆ ของเธอที่จะแปลความหมายนั้นออกมา




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:19:22 น.
Counter : 1127 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๑๐/๓

บทที่ ๑๐/๓ 


เป็นอย่างที่บุษบงกตบอกทุกอย่างเมื่อหมดแสงอาทิตย์ บริเวณที่อยู่ก็เย็นลงจนรัญชน์ต้องหาเสื้อแขนยาวมาใส่ไว้ ความเย็นแม้จะไม่ลดลงฮวบฮาบแต่ทำให้รู้สึกขนลุก และสั่นสะท้าน

ยามใดที่มีลมพัดมา ลมนั้นหอบเอาความเย็นมาปะทะผิวกายให้รู้สึกหนาวสะท้านทุกครั้ง

“ไปยืนทำอะไรที่ระเบียงล่ะรัน เข้ามาข้างในเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย” บุษบงกตเรียกลูกสาวของเธอ

“ค่ะแม่ รันว่าจะเข้าไปอยู่พอดี หนาวจริงๆอย่างที่แม่ว่า” รัญชน์รีบเปิดประตูกระจกและวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อบรรเทาอาการหนาวของเธอ

“อูย..หนาว...”รัญชน์พูดไปพร้อมๆ กับริมฝีปากของเธอสั่นเบาๆ นั่งลงข้างๆ แม่ของเธอ

“แม่บอกแล้วว่าจะหนาว”

“ไม่คิดว่าจะหนาวเร็วอย่างนี้นี่คะ ไม่ถึงสิบนาทีเย็นวาบ กอดหน่อยๆ หนาวๆ” รัญชน์โอบกอดแม่ของเธอเบาๆ

“ทำตัวอ้อนแม่เป็นเด็กๆ เลยนะเราอยู่ใกล้เวียงฟ้าเป็นแบบนี้แหละ บนเวียงฟ้าจะเย็นกว่านี้อีก”

“แบบนี้หรือเปล่าคะแม่ ที่เขาเรียกว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว”

“ก็น่าจะมีส่วน”

“นิลยาไม่เห็นจะหนาวเลย ข้างนอกกำลังสบายดีกว่าเมืองไทยตั้งเยอะ” นิลยาโผล่มานั่งข้างๆ บุษบงกตทำให้รัญชน์ตกใจแทบตกเตียง

“ไอ้บ้าเอ๊ย.... โผล่มาแบบนี้อีกแล้วบอกแล้วใช่ไหมว่าจะมา จะไปให้บอกก่อน โผล่มาอย่างนี้ ตกใจหมด” รัญชน์โวยวาย

“ยังจะมาว่ากันอีกเค้าออกไปดูลาดเลาว่าจะขึ้นเวียงฟ้าได้หรือเปล่า ทำดีไม่ได้ดี ชิ..”

“ไหนว่ามา ทางขึ้นเวียงฟ้าเป็นยังไง”

“ขอบอกนะขอบอก.... ชันสุดๆ ลื่นสุดๆบันไดเป็นพันขั้นไม่สิเป็นหมื่นๆ ขั้น เดินกันน่องโป่งแน่ๆ บางที่ขาวชิดผาซ้ายชิดเหว เสียวไส้จริงๆ”

“เฮ้ย... อย่าโม้น่า”

“ไม่ได้...โม้...”นิลยาเลียนแบบสำเนียงนักมวยชื่อดัง ที่ตอนนี้ตกกระป๋องไปเรียบร้อย

“จริงหรือคะแม่”

“จริงจ๊ะ”

“แม่จะขึ้นไปไหวเหรอ ทางทั้งชันทั้งน่ากลัว”

“สมัยก่อนโน้น ตอนที่แม่ขึ้นไปครั้งแรกมีคนที่ศรัทธาเวียงฟ้า เดินสามก้าว ก้มกราบหนึ่งครั้ง จนกว่าจะถึงยอดเขา ถึงจะหยุด”

“แม่เจ้า มีคนแบบนั้นด้วยหรือคะ”

“มีสิพี่รัน คนแบบที่พี่ว่ามีเยอะไป”

“แล้วเขาจะได้บุญเยอะหรือไงคะแม่”

“อยู่ที่ใจนะลูก”

“รู้หรือเปล่าพี่รันคนพวกนั้นเขากราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ด้วยนะ”

“มีด้วยเหรอกราบแบบนั้น รู้จักแต่เบญจางคประดิษฐ์”

“มีสิ กราบทั้งตัวไง ตอนกราบล้มตัวลงไปนอนกับพื้นเลยไงให้ร่ายกายแปดส่วน มือสอง เข่าสอง เท้าสอง ลำตัว และหน้าผากติดกับพื้น แล้วค่อยๆลุกขึ้นเดินอีกสามก้าว แล้วลงกราบอีก”

“โห...ลำบากแท้”แค่คิดรัญชน์รู้สึกถึงความลำบากที่คนมีจิตศรัทธาเหล่านั้นต้องกระทำหากเป็นเธอคงทำไม่ได้ ลุกๆ ล้มๆ คงหมดกำลังใจไปก่อนที่จะเดินถึงยอดเขา

“สมัยก่อนจะมีคนที่ศรัทธาเดินไป กราบไปแบบนั้นเยอะแต่ตอนนี้โลกคงเปลี่ยนไป จึงมีน้อยคนนักที่จะทำแบบนั้นอีก” บุษบงกตอธิบายให้ฟังคร่าวๆ

“เวียงฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากๆ เลยหรือคะแม่”

“อยู่ที่คนศรัทธานั่นแหละลูกทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น”

“ค่ะแม่ ว่าแต่ว่าเวียงฟ้านับถืออะไรคะแม่”

“เทพยุรา”

“หือ...ชื่อแปลกๆ ไม่เคยได้ยิน”

“เทพนกยูงนั่นแหละ”

“หา... นับถือนกยูงนี่นะ ตอนแรกคิดว่าเป็นแต่โมระที่มีสัญลักษณ์เป็นนกยูงรำแพนหาง เวียงฟ้าด้วยเหรอคะแม่”

“ใช่ ตำนานของเทพยุรา ออกจะแปลกๆ สักหน่อย”

“แม่เล่าให้รันฟังหน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิลูก”บุษบงกตเริ่มต้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเวียงฟ้าให้ลูกสาวของเธอฟังอย่างช้าๆ

ในอดีตกาลนานแสนนานนับแสนล้านปีมนุษย์ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้นบนโลกใบสีฟ้าแห่งนี้ ไดโนเสายังไม่ใช่สิ่งที่ครองโลก ในยุคแรกๆแห่งดาวสีน้ำเงิน ดาวดวงนี้ยังเป็นสีแดง มีความร้อนละอุไปทั่ว

ยังมีกลุ่มเทพเจ้ากลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาจากโลกอื่นซึ่งวิวัฒนาการมากกว่าโลกใบเล็กๆ จักรวาลอันไกลโพ้นที่ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ปัจจุบันมักเรียกขานกันว่า “มนุษย์ต่างดาว”

ดวงดาวอันไกลโพ้น เกือบจะเกิดการแตกดับ ด้วยอายุและการโคจรที่ใกล้กันเกินไปกับดาวคู่แฝดไม่มีใครคาดคิดว่าดาวทั้งสองดวงจะกลืนกินกันเอง

ก่อนหน้านั้นสิ่งมีชีวิตบนดาวทั้งสองเดินทางไปมาหาสู่กันด้วยวิธีกำหนดจิตวิวัฒนาการของทุกสิ่งบนดาวสองดวงนั้น เกินกว่าคำว่ากายสภาพแม้กายสภาพจะเป็นเพียงเศษฝุ่นผงเล็กๆ แต่จิตสภาพของสิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะเปรียบประมาณ

หากต้องการที่จะรอดดวงจิตทุกดวงต้องกำหนดการเดินทางของกายสภาพตนให้ไปหาดาวดวงใหม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

อุกกาบาตลูกหนึ่ง พุ่งชนดาวที่กำลังกำเนิดใหม่ซึ่งอีกหลายล้านล้านปีต่อมา จึงก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์กายสภาพที่ฝังรากอยู่ในพื้นผิวของเปลือกโลกจึงต้องพยายามวิวัฒน์ตนเองให้เป็นบางสิ่งบางอย่าง

บางสิ่งที่ว่านั้นก่อกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งในเวลาต่อมามนุษย์เรียกสิ่งๆ นั้นว่า “เทพ”เทพมีสรวงสวรรค์อยู่ไม่ห่างจากพื้นดินมากนัก

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สรวงสวรรค์ที่สร้างขึ้นถูกผลักดันให้ลอยห่างจากพื้นดินออกไปทุกทีๆ จนสุดท้ายแทบจะหลุดไปจากวงโคจรของโลก

หากแต่...ดวงจิตเหล่านั้นยังคงวนเวียน ลงมาเกิดบนโลกสีฟ้าใบนี้

“แม่อย่าบอกนะว่าคนบนเวียงฟ้าเป็นมนุษย์ต่างดาว”

รัญชน์แย้งในสิ่งที่แม่ของเธอเล่า

“พี่ไม่เคยได้ยินหรือไง หนังเรื่อง the one ก็มีให้ดู เชยชะมัด” นิลยาขัดขึ้นมาบ้าง

“ไอ้เคยมันก็เคย แต่เท่าที่ฟังมามันเกินความจริง”

“แล้วนิลยาล่ะ เกินความจริงไหม”

เมื่อได้ยินคำถามจากนิลยา ทำเอารัญชน์ต้องคิดหนักจริงอยู่เธอไม่เคยเชื่อเรื่องที่เกินไปกว่าที่ตามนุษย์ของเธอมองเห็นแต่เมื่อเธอได้พบกับนิลยา บางอย่างที่เคยคิดก็เปลี่ยนไป

“ไม่รู้สิ มันอธิบายไม่ได้”

“เมื่ออธิบายไม่ได้ ไม่ต้องพยายามหาคำอธิบาย” บุษบงกตบอกเช่นนั้นและเริ่มเล่าต่อ

วันหนึ่งเมื่อบนโลกมนุษย์ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้น เมื่อหลายล้านปีก่อนทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหลากหลายมากขึ้น

จากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เริ่มพัฒนาไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ขึ้นไดโนเสากำเนิดเกิดก่อ ณ ช่วงเวลานั้น จากนั้นไม่นาน อุกกาบาตอีกลูกพุ่งชนโลกอีกครั้งทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไดโนเสา สูญพันธุ์ไปอย่างสิ้นเชิง

โลกสีฟ้าปรับสภาพตัวเองอีกครั้ง ในครั้งนี้โลกสีฟ้าเย็นตัวลงมากกว่าตอนที่เพิ่งจะรวมตัวกันใหม่ๆทำให้มีสิ่งมีชีวิตเพิ่มมากขึ้นไปอีก

มนุษย์ดึกดำบรรพรุ่นแรกถือกำเนิดบนโลกคนจากเวียงฟ้าเฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงของโลกใบเล็กที่พวกเขาเข้ามาหลบแฝงเร้นอยู่เริ่มให้ความรู้กับมนุษย์โลกเมื่อราวๆ แสนปีก่อน

ทุกมุมโลกเริ่มรู้จักเทพ ไม่ว่าจะเป็นเทพผู้สร้าง เทพผู้ทำลายเทพที่มีแต่การให้และอำนวยพรให้กับผู้ที่เคารพนับถือเทพเหล่านั้น

“แม่อย่าบอกนะว่าเวียงฟ้าคือแหล่งกำเนิดสารพัดเทพในนิยายปรัมปรา ทั้งของกรีก อียิปต์ และที่อื่นๆ บนโลก”

“ถูกต้องแล้วลูก นั่นแหละคือเทพของเวียงฟ้าไม่ว่าจะเป็นเทพที่ไหนๆ ล้วนแล้วแต่มาจากเวียงฟ้าทั้งสิ้น”

“แม่เจ้าแล้วทำไมเวียงฟ้าถึงต้องให้คนเคารพบูชานกยูงด้วยล่ะคะ”

“

เคยได้ยินไหม เกี่ยวกับการสร้างราชวงศ์แห่งหนึ่งของประเทศเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องนกไฟ”

“นกฟีนิกซ์หรือคะแม่”

“ไม่ใช่ นั่นคือร่างๆ หนึ่งของเทพนกยูงไม่ใช่นกฟีนิกซ์อย่างที่ทุกคนคิดกัน”

“หือ จริงดิ”

บุษบงกตพยักหน้าเป็นการบอกว่าเรื่องที่เธอเล่านั้นจริงทุกคำ

“หรือจะเป็นตำนานอื่นๆที่คนเหล่านั้นเรียกว่านกฟีนิกซ์ แต่นั่นคือนกยูงไฟ กายจำแลงของเทพเจ้าแห่งเวียงฟ้าทั้งสิ้น”

“ไม่น่าเชื่อเลยแม่ ไม่น่าเป็นไปได้”

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นั่นคือเรื่องจริงนะพี่รัน” นิลยาทำตัวเป็นผู้รู้ขึ้นมาในบัดดล

“แล้วนาคล่ะ นาคเป็นคนของเวียงฟ้าหรือเปล่าคะแม่”

“นาคคือหนึ่งในชนชาติของเวียงฟ้า ที่แตกแขนงออกไปเหมือนๆ มนุษย์โลกที่มีผิวสีแตกต่างกันเพียงแต่นาคเลือกที่จะอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่หลบเร้นอยู่บนโลกนี้เท่านั้น”

“มีมิติหลบเร้นด้วยหรือคะ”

“มีสิ บอกแล้วไงว่าให้ดูหนังเรื่อง The one พี่บอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ มันเกินความจริง แล้วก็มานั่งงงอยู่นี่แหละคนเราน้อ น่าเบื่อจริงๆ เชียว”

รัญชน์นิ่งไปพักหนึ่ง เธอเริ่มคิดทบทวนสิ่งต่างๆที่เธอได้รับรู้จากแม่ และนำสิ่งเหล่านั้นมาเรียบเรียงใหม่ในหัวสมองน้อยๆ ของเธอจากนั้นจึงพยายามทำความเข้าใจกับคำว่า เวียงฟ้า และเทพบนเวียงฟ้า

“แล้วทำไมเทพของเวียงฟ้าถึงได้เป็นนกยูง”

“ที่เราเลือกนกยูงเพราะนกยูงเป็นสัตว์ที่สวยงามเมื่อยามโบยบินไปบนท้องฟ้า ปีกจะสยายกว้าง หางจะยาวรี ราวกับกางเขนบินได้”

“หือ กางเขนหรือคะ แม่อย่าบอกนะว่า...” รัญชน์หยุดคำพูดของเธอเอาไว้เท่านั้น บุษบงกตพยักหน้ารับช้าๆเป็นอันเข้าใจกัน

“สมัยนั้น เมื่อเทพนกยูงปรากฏกายให้มนุษย์โลกได้เห็นจะทำให้เห็นเป็นนกไฟ บินล่องลอยไปในอากาศ มนุษย์สมัยนั้นยังหวาดกลัวไฟไม่สามารถที่จะก่อไฟขึ้นมาเองได้ หากจะให้มนุษย์นับถือต้องทำในสิ่งที่ทำให้มนุษย์ขลาดกลัว หันมาเทิดทูนบูชา”

“มนุษย์ในสายตาของเวียงฟ้าคงเป็นแค่สัตว์เลี้ยงโง่ๆเชื่องๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น”

“เปล่าเลย เวียงฟ้าไม่เคยคิดถึงมนุษย์ในแง่นั้น”

“แม่พูดเหมือนกับว่าแม่เป็นคนบนเวียงฟ้าอย่างนั้นแหละ”




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:18:41 น.
Counter : 410 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๑๐/๒

บทที่ ๑๐/๒

รถที่รัญชน์นั่งโดยสารมาค่อยๆ ขับเคลื่อนไปยังจุดมุ่งหมาย ภูเขาสีเขียวมีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดเขาตรงหน้าของเธอ นี่หรือเวียงฟ้า

แม่เคยเล่าว่า เวียงฟ้าสูงเสียดฟ้า เทียมเมฆ เธอยังคิดว่าแม่พูดเล่น ประกอบกับที่แม่บอกว่า ต้องเดินขึ้นเขา ระยะทางยี่สิบกิโลเมตร เธอยังคิดว่าแค่เดินขึ้น คงไม่ถึงตาย

เธอเคยเดินขึ้นภูกระดึงมาแล้วหลายครั้ง ยังรอดมาได้ แต่พอเห็นทางขึ้นไปเวียงฟ้า รัญชน์แทบจะถอดใจ

“โห...สูงจังเลย” นิลยาเป็นคนแรกที่ส่งเสียงออกมาให้รัญชน์ได้ยิน

“นั่นสิสูงจัง” รัญชน์เริ่มเห็นด้วยกับนิลยา

“สูงอย่างนี้แม่จะเดินขึ้นไหวหรือคะ” รัญชน์หันไปถามผู้เป็นแม่ ด้วยความเป็นห่วง

“ใช่ๆ น้าบุษ จะเดินขึ้นไปไหวรึ” นิลยากลายเป็นลูกขุนพลอยพยักกับเขาอีกคน

“ไม่ไหวก็ต้องไหว แม่จำเป็นต้องขึ้นไปเวียงฟ้าจริงๆ”

“ถามจริงๆ เถอะค่ะแม่ ทำไมต้องไปหาเพื่อนบนนั้นด้วย ให้เพื่อนแม่ลงมาหาแม่ข้างล่างไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้หรอก แม่ต้องขึ้นไปเอง มันเป็นหน้าที่ของแม่”

“หน้าที่ รัญชน์มองหน้าแม่และหันไปมองนิลยาเหมือนจะตั้งคำถาม

อะไรคือหน้าที่ของแม่? นิลยาส่ายหน้าไปมา เด็กตัวน้อยไม่รู้เช่นกัน

“ถึงข้างบนรันจะรู้ ว่าหน้าที่ของแม่คืออะไร”

“กว่าจะถึง รันว่ารันเหนื่อยตายก่อน”

“ไม่ต้องห่วงพี่รัน เดี๋ยวนิลยาจัดการเอง”

“หาเรื่องอะไรอีก”

“อีกแระ ว่าเค้าอีกแระ เค้าจะทำตัวเบาๆ เป็นนุ่นให้ต่างหาก ไม่ได้หาเรื่องอะไรสักหน่อย”

“ก็ได้ๆ ไม่ว่าก็ได้ ขี้น้อยใจจริงๆ นะเรา”

“เชอะ...” นิลยาเดินตุปัดตุป่องไปหาบุษบงกต เกาะแขนของบุษบงกตเดินเข้าไปยังโรงแรมเล็กๆ ที่รถโรงแรมในเมืองนำพวกเธอมาส่ง

“น้าบุษตัดสินใจแน่แล้วหรือจ๊ะ” นิลยาเงยหน้าถาม

“แน่สิ มันเป็นสิ่งที่น้าต้องทำ ก่อนจะต้องไปจากที่นี่”

“น่าเสียดายจัง นิลยายังไม่อยากให้น้าไปเลยนะ นานๆ จะมีคนเล่นกับนิลยาแบบน้า”

“รันยังอยู่นี่นา ให้รันเล่นเป็นเพื่อนสิ”

“ชิ...อย่างพี่รันนะเหรอ น่าเบื่อจะตายไป ในสมองมีแต่เรื่องงาน เข้าไปหาอะไรหนุกๆ ในนั้นไม่เห็นมีเลย”

“แล้วสมองน้ามีเรื่องสนุกๆ หรือไง”

“ในสมองของน้ามีแต่เรื่องสงบเจ้าค่ะ เข้าไปแล้วซึมซับแต่ความดีงาม นิลยาช้อบชอบ”

“แล้วทำไมเราไม่ทำแบบที่น้าทำบ้างล่ะ”

“โอ๊ย...ไม่ไหวหรอกค่ะ นิลยายังเด็กนะ จะให้ไปใช้หมองนั่งมาธิแบบนั้น เห็นทีจะไม่ไหว ไม่ไหว” แล้วนิลยาก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดอิคคิวซังทันที

“แบบนี้พอลุ้น เถรน้อยเจ้าปัญญา”

“เค้ามีแต่เณรน้อยเจ้าปัญญา เถรเถินที่ไหนกัน” รัญชน์แย้ง

“นั่นแหละๆ เหมือนๆ กันนั่นแหละ บวชนานๆ จากเณรเป็นเถรไปเองแหละ”

“คิดได้เนอะ นี่ถ้าไม่ใช่นิลยา คิดแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย” รัญชน์แซวเด็กน้อยอายุพันปี

“น้อยๆ หน่อยพี่รัน ถึงนิลยายังเด็ก แต่มีสมองนะเฟ้ย ขอบอก”

“แม่ดูสิคะ ไม่เคยจนมุมสักที” รัญชน์ฟ้อง

“แบบนี้แหละ ถ้าไม่เป็นแบบนี้ไม่ใช่นิลยา ไปกันเถอะ รีบๆ เข้าพัก ก่อนที่จะมืดค่ำ ถ้ามืดแล้วอากาศจะหนาวมาก ลมจากเขาจะพัดลงมา”

“ค่ะแม่” รัญชน์รับคำ เธอรีบขนของเข้าไปยังโรงแรมเล็กๆ แห่งนั้น ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:16:55 น.
Counter : 377 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๑๐/๑

บทที่ ๑๐

มธุรดาพาแขกของเธอไปยังหมู่บ้านเล็กๆ นอกโมระเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าพื้นเมืองให้กับพัณณิน เธอให้รัญชน์ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ที่เธอขอยืมมาจากร้านขายเสื้อผ้าการไปไหนมาไหนด้วยรถมอเตอร์ไซด์ ย่อมดีกว่าการเดิน สะดวกรวดเร็วและไม่ยุ่งยากหมู่บ้านนอกเมืองแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนักถือเป็นหมู่บ้านตัวอย่างของโมระเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติที่มักแวะเวียนเข้ามาหาซื้อของพื้นเมืองนำไปฝากผู้ที่ไม่ได้มาเยือน

รัญชน์เห็นบ้านทรงแปลกตา จึงใช้โทรศัพท์ของเธอถ่ายรูปเก็บเอาไว้เธออาจจะได้ใช้ประโยชน์จากรูปที่เธอถ่ายเก็บๆ เอาไว้ในวันข้างหน้าก็เป็นได้ใครล่ะจะรู้

“วิญญาณสถาปนิคเข้าสิงหรือคะ”

“นิดหน่อยค่ะ เห็นแล้วอยากเก็บเอาไว้ดู เผื่อได้ใช้”

“จะเข้าไปดูในบ้านไหมคะ”

“ได้หรือคะ

“ได้ค่ะ ตามมาสิคะ” มธุรดาเดินนำเข้าไปในบริเวณบ้าน

เมื่อเธอเข้าไปในนั้น ทุกคนในบ้านต่างวิ่งกรูกันเข้ามาและกำลังจะนั่งยองๆ ลงที่พื้น

“ไม่ต้องนั่งหรอก พาเพื่อนมาดูบ้านหน่อยเดียวเท่านั้น”

มธุรดาพูดเป็นภาษาโมระ เธอเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน

“บ้านของใครคะ”

“ของเจ้าหลวงค่ะ ท่านโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อรับแขกบ้านแขกเมือง พอไม่มีแขกก็ให้ชาวบ้านมาทำงานในนี้ มีคนเข้าออกบ้านจะได้คึกครื้น”

“ดีจังคะ เจ้าหลวงของคุณมีความคิดที่ดีมากไม่ปล่อยอะไรทิ้งไว้รกร้าง

ปกติบ้านที่มีคนอยู่จะโทรมช้ากว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่”

“ค่ะ ฉันก็ว่าอย่างนั้น เหมือนคุ้มที่เมืองไทยพอไม่มีคนอยู่โทรมจนผิดตา” มธุรดาเดินนำรัญชน์เข้าไปชมห้องต่างๆในบ้านหลังนั้น

จากนั้นจึงพารัญชน์ลงมาเลือกซื้อเสื้อผ้าพื้นเมืองที่รัญชน์อยากได้

“ไม่มีชุดแบบ สีเหลืองๆ ผ้าถุงต่อสามชั้นบ้างหรือคะ”

“แบบไหนนะคะ”

“คือเสื้อเหลืองๆ แบบทบป้ายๆ ผ้าถุงแบบมีช่วงบนช่วงกลางกับช่วงล่าง เอามาเย็บติดกัน”

“เอ... แบบไหนน้อ”มธุรดาเริ่มคิดในสิ่งที่รัญชน์บอก

ชุดที่รัญชน์พูดถึงนั้น เหมือนๆ กับชุดที่เธอใส่เมื่อวานแต่คงเป็นไปไม่ได้ ที่รัญชน์จะเห็นเธอใส่ชุดนั้น

“มีแต่สีอื่นค่ะ สงสัยจะไม่มีใครทำ” มธุรดาเลือกเสื้อสีสดๆ ให้กับรัญชน์จากนั้นจึงให้คนของเธอนำผ้าถุงมาให้มธุรดาเลือกอีก

“สวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ เลือกไม่ถูกจริงๆ”

“เอาแบบเข้าชุด เป็นวันไหมคะ”

“แบบไหนคะ

“คนโมระมักจะใส่สีที่ถูกโฉลกกับวันค่ะเช่นวันจันทร์สีขาวหรือสีนวลออกเหลืองนิดๆ ส่วนผ้าถุงเราใส่ตามชอบค่ะ”

“อ๋อ...ค่ะ เอาเจ็ดสีคะ เลือกตามแบบที่คนโมระใส่ยายแต้วคงใส่ไม่ซ้ำแน่ๆ ว่าแต่ผ้าถุงมีแบบเย็บสำเร็จไหมคะ แต้วคงใส่ผ้าถุงไม่ได้แน่ๆหลุดชัวร์”

“เราไม่ได้เย็บสำเร็จหรอกค่ะถ้าจะให้เย็บคงต้องวัดขนาดมาให้ก่อน”

“แล้วกัน นั่นสินะ ลืมเรื่องขนาดเอวไปเลย งั้นไม่เป็นไรค่ะซื้อไปแบบนี้แล้วให้ยายแต้วเอาไปตัดเองดีกว่า”

รัญชน์เลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ไม่นานก็เสร็จเธอนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ของหวานกลับไปยังร้านขายเสื้อที่เธอทั้งสองขอยืมรถมา

“ไม่ให้ไปส่งที่โรงแรมจริงๆ หรือคะ”

มธุรดาเอ่ยถามรัญชน์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ค่ะไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะฉันเดินกลับเองได้ใกล้แค่นี้เอง จะได้แวะถ่ายรูปไปตามทางด้วย”

“งั้น...แยกกันตรงนี้นะคะ เย็นมากแล้วฉันคงต้องกลับบ้าน”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะที่พาไปซื้อของ”

“ยินดีค่ะ”มธุรดาพูดจบหันหลังให้กับรัญชน์

นิลยาจับมือของรัญชน์เขย่าเบาๆ

“พี่ๆ เห็นอะไรไหม”นิลยาชี้ให้รัญชน์ดูบางอย่างที่เรืองแสงออกมาจากร่างของหวาน

“พี่คนนี้ไม่ธรรมดานะพี่รัน ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”

รัญชน์พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นิลยาบอกกับเธอหวานต้องมีอะไรบางอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปอย่างเธอไม่มีและเป็นอะไรที่เธอไม่สามารถรู้ได้ในตอนนี้

ช่างเถอะ.... คิดมากไปก็เท่านั้นพรุ่งนี้เธอต้องเดินทางไปเวียงฟ้าพร้อมๆ กับแม่ของเธอ เธอคงไม่ได้พบกับหวานอีกนาน

รัญชน์ว่าจ้างรถจากโรงแรมให้ไปส่งเธอกับแม่ที่เชิงเขาทางขึ้นเวียงฟ้าเธอได้ยินแม่กับคนขับรถพูดคุยกันถึงเรื่องอะไรบางอย่าง ที่เธอไม่สามารถแปลออกเธอแปลกใจที่แม่พูดภาษาโมระได้ สื่อสารกับคนขับรถได้เป็นอย่างดี

ส่วนเธอนั่งปิดปากเงียบ มองวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆโดยมีนิลยานั่งอยู่ข้างๆ

วันนี้นิลยาใส่ชุดนินจาเต่า น่าจะเป็นไมเคิลเองเจโลในมือถือไม้กระบองสองท่อนอยู่ด้วย

“ไปเอามาจากไหน” รัญชน์ถามนิลยาที่กวัดแกว่งไม้กระบองสองท่อนนั้นอยู่เนืองๆ

“พี่คนที่เคยถูกหวยที่ตลาดให้มา”

“หากินกับการใบ้หวยหรือไงเรา”

“เปล่า เห็นเค้าจนเลยสงสาร”

“สงสารหรืออยากได้ของเล่นกันแน่”

“สงสารจริงจริ๊ง”นิลยาลากเสียงยาวและสูง จนรัญชน์แสบแก้วหู

“เบาๆ หน่อยสิ นั่งนิ่งๆ ได้ไหม เวียนหัวฟังภาษาโมระก็ปวดหัวแล้ว”

“แปลให้เอาปะ”

“ฟังออกด้วยหรือไง”

“ออกสิ ของกล้วยๆ ลูกพญานาคซะอย่างสบายไปร้อยล้านอย่าง”

“เกินไป ตั้งร้อยล้าน แค่แปดอย่างก็ทำให้ได้ก่อนเถอะ”

“ดูถูกกันจริงๆ นะ”

“ก็ดีกว่าดูผิดนะ ลูกพญานาคอะไร มุดอยู่แต่ในหินมาคีไม่รู้จักทำประโยชน์เพื่อมนุษย์บ้าง”

“อ้าวๆ สวยสิพูดอย่างนี้” นิลยา เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักมวยหญิงทันที แถมยังสวมมงคลที่ศีรษะอีกด้วย

“ฮ่าๆ”รัญชน์ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นรถ ที่เห็นนิลยาในชุดนักมวย เตรียมพร้อมจะต่อกรกับเธอ

คนขับรถมองกระจกหลังเพื่อดูว่ารัญชน์เป็นอะไร อยู่ๆนั่งหัวเราะคนเดียว ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรให้น่าขำเลยสักนิด

“ลูกฉันเขาฟังวิทยุอยู่ค่ะ”บุษบงกตบอกกับคนขับรถแบบนั้น เธอรู้ว่าเธอพูดปด แต่ต้องทำเช่นนั้นไม่อย่างนั้นคนขับรถคงคิดว่าลูกสาวของเธอเป็นบ้า นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว

“ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ”รัญชน์บอกกับแม่อย่างนั้น เธอรู้ว่าแม่ของเธอเห็นนิลยาแต่งชุดแปลกๆ เช่นกัน

“เอาไงว่ามาเลย พร้อมแล้ว จะต่อยกันกี่ยกที่ไหนเมื่อไหร่” นิลยายกมือขึ้นชูกำปั้นตั้งการ์ดรอรับการต่อยจากรัญชน์

“ประสาท ใครจะไปต่อยกับเธอ แม่ตัวยุ่ง”

“ไม่ได้ยุงสักหน่อย เชอะ เรารึหวังดีมาชวนคุยมาหาว่าเรายุ่ง ต่อไปเราจะไม่เล่นด้วยแล้ว”นิลยางอนจนออกนอกหน้า

รัญชน์ยังคงนั่งขำต่อไป เด็กหนอเด็ก ถึงจะรู้ว่าอายุเกือบพันกว่าปีแต่พฤติกรรมแบบนี้ ยังเด็กชัดๆ





 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:16:16 น.
Counter : 391 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๙/๓

บทที่ ๙/๓

รัญชน์เดินตามหวานเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแห่งเดียวบนถนนสายนี้ ในร้านมีเสื้อผ้าหลายหลากมากมายให้เลือก ทั้งเสื้อผ้าเด็กๆ เสื้อผ้าผู้ใหญ่และชุดประจำชาติ

รัญชน์มองหาชุดที่เธอเห็นหวานใส่เมื่อวาน หากได้ไปฝากพัณณินเพื่อนของเธอคงชอบของฝากชิ้นนี้เป็นพิเศษ

พัณณินชอบเสื้อผ้าพื้นเมืองทุกชนชาติและมักจะใส่มาอวดเธออยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญพัณณินไม่เคยแคร์สายตาใครหากคนเหล่านั้นจะหาว่าพัณณินเป็นบ้าหรือบ้านนอก เธอเคยถามพัณณินว่าไม่อายหรือวันนั้นพัณณินนุงโจง พันผ้าแถบมาทำงาน

“อายทำไมยะ นี่แหละชุดไทยแท้แต่โบราณฉันไม่เคยเห็นพวกสาวยุ่นอายเลย เวลาใส่กิโมโนออกมาเดินกลางถนน”

“นั่นมันสาวยุ่น นี่มันสาวไทยนะยะหล่อน”

“ใส่แบบนี้มันผิดตรงไหน รับรองว่าชุดๆนี้ไม่หลุดแน่นอน จงนี่เย็บมาอย่างดี มันเหมือนๆ กางเกงนั้นแหละแล้วไอ้พันอกนี่ก็นะ ติดซิปข้างเอาไว้ รับรองว่าไม่หลุดให้ต้องอายใคร”

เธอเห็นพัณณินใส่ชุดไทย นุ่งจงมาอยู่อีกเป็นเดือนหลังจากนั้นพัณณินเปลี่ยนเป็นชุดชาวเขา ที่เพื่อนของเธออีกคนส่งมาให้จากบนดอยเช่นเคย พัณณินไม่แคร์ใคร ต่อให้ใครจะว่าอะไร พัณณินยังคงใส่ต่อไปนี่แหละพัณณินเพื่อนรักคนเดียวของเธอ

“หาอะไรอยู่หรือคะหวานถามขึ้นเมื่อเห็นรัญชน์ยืนนิ่ง

“หาชุดพื้นเมืองค่ะ ว่าจะซื้อไปฝากเพื่อนหน่อย”

“ในนี้ไม่มีหรอกค่ะถ้าอยากได้ชุดพื้นเมืองต้องออกไปนอกเมือง ไปถามซื้อจากชาวบ้านที่เขาตัดเอาไว้”

“อ้าว...แบบนี้ก็หายากสิคะ”

“ไม่ยากหรอกค่ะ ทุกบ้านในโมระ ทอผ้าเย็บเสื้อใส่เองกันทั้งนั้น”

“โอ้...แม่เจ้า เก่งจริงๆ”

“หญิงโมระทุกคนต้องทอผ้าเป็น ย้อมผ้าเป็นเย็บปักถักร้อยเป็น”

“สุดยอดจริงๆ คุณหวานล่ะคะ ทำเป็นกับเขาหรือเปล่า”

“เป็นค่ะ เป็นหลักสูตรในโรงเรียน นักเรียนหญิงทุกคนต้องทำเป็นตั้งแต่ปั่นด้าย ย้อมด้าย ปั่นเข้าหลอด”

“โห ทำเองทุกกระบวนการเลยหรือคะนึกว่าซื้อด้ายมาทอเสียอีก”

“ไม่หรอกค่ะ ชาวโมระชอบทำอะไรเอง เหมือนๆกับการสร้างบ้านไงคะ พวกเขาจะขออนุญาตตัดไม้เอามาไว้ก่อน แล้วค่อยๆทำทีละนิดล่ะหน่อย ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จ โดยที่ไม่ต้องจ้างใคร”

“คุณเคยบอกเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้วค่ะ รันจำได้แต่ไม่คิดว่าทำเองหมดตั้งแต่การตัดต้นไม้”

“ต้นไม้ทุกต้น เราใช้อย่างระมัดระวัง เมื่อตัดมาเราปลูกทดแทน ทำให้ป่าต้นน้ำของเรายังคงสมบูรณ์ที่สุดในประเทศแถบนี้”

“คนโมระทำให้ฉันคิดถึงคนไทย”

“ทำไมคะ

“คนไทยทำอะไรตามใจคือไทยแท้ มักไม่อยู่ในระเบียบ”

“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนคะ ฉันไม่เข้าใจ”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะว่าแต่เสื้อกันหนาวที่คุณจะพาฉันมาซื้ออยู่ตรงไหนคะ จะได้ซื้อให้เสร็จฉันจะทำให้คุณเสียเวลาเลือกซื้อของๆ คุณเปล่าๆ”

“ไม่เสียเวลาหรอกค่ะ ฉันว่างทั้งวันจะให้พาไปซื้อเสื้อพื้นเมืองยังไหว”

“จริงหรือคะ

“จริงสิคะ ถือว่าฉันเป็นเจ้าบ้านคุณเป็นแขก”

“งั้นโอเคค่ะ”

“นี่ๆ ก่อนจะโอเคถามเค้าบ้างปะว่าโอเคไหม” นิลยาส่งเสียงมาเช่นเคย

“โอหรือไม่โอ จะไปซื้อมีไรปะ”

“มี อยากได้ตัวนั้น”นิลยาชี้บอกรัญชน์ไปทางทิศที่ขายเสื้อผ้าเด็ก

“ไม่เอา ซื้อจากประตูน้ำให้ตั้งเยอะแล้วไง”

“จะเอาอีกนี่ ซื้อให้ด้วยนะ”ว่าจบร่างนั้นก็หายวับ ไปโผล่ออยู่เหนือราวแขวนเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินผ้าคลุมไหล่สีแดง ตรงกลางมีรูปตัว เอส และเพชร

“เฮ้ย...จะเป็นซุปเปอร์แมนหรือไง” รัญชน์ตกใจ เมื่อเห็นชุดที่นิลยาอยากได้

“เยส.... พรุ่งนี้ขึ้นเขา จะเป็นซุปเปอร์แมนบินไป”

“น่าเกลียด อยู่ๆ ใส่กุงเกงในนอกกุงเกง” รัญชน์บ่นแต่เดินไปยังราวแขวนขายชุดที่นิลยาบอก

“เอาชุดไหน”

“นี่ๆ ชุดนี้ แล้วก็ชุดนี้ แล้วก็นี่อีกชุด” นิลยาชี้ๆ ไปที่ชุดที่เธออยากได้ชุดเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นฮีโร่ในหนังการ์ตูนแทบทั้งสิ้น

ซุปเปอร์แมน นินจาเต่า ที่สำคัญที่สุดชุดสาวน้อยมหัศจรรย์ที่นิลยาเลือกนั้น ทำเอารัญชน์ปวดหัว

“ซื้อฝากน้องหรือคะ”

มธุรดาเห็นรัญชน์ง่วนกับการเลือกซื้อชุดสำหรับเด็กอยู่จึงเอ่ยถาม

“ค่ะ น้องชอบ สักครู่นะคะคุณหวานเลือกชุดพวกนี้เสร็จแล้วจะตามไปดูเสื้อกันหนาวค่ะ”

“ตามสบายเถอะค่ะ บอกแล้วว่าวันนี้ฉันว่างทั้งวัน”

รัญชน์ทำตามที่นิลยาบอกเธอ เธอหยิบชุดมาทาบกับตัวของนิลยาในสายตาของมธุรดา เหมือนๆ กับรัญชน์กำลังดูชุด วัดขนาดกับอากาศที่ว่างเปล่า

“วัดแบบนั้นจะใส่ได้หรือคะ หรือว่าไม่รู้ขนาดของน้อง”

“ก็ตัวเท่าๆ นี้แหละค่ะ”

รัญชน์จับนิลยามายืนตรงหน้าหวาน ทำมือกำหนดความสูงและขนาดของนิลยาให้กับหวานได้เห็น

“ค่ะ คงพอใส่ได้เนอะ”มธุรดายิ้มกับการกระทำของรัญชน์

“รับรองว่าได้แน่ๆ ค่ะ มือชั้นนี้แล้ว ไปค่ะเสร็จแล้วไปดูเสื้อกันหนาวกันดีกว่า”ว่าจบรัญชน์จึงเดินนำหวานไปอีกฝั่งของร้าน ที่วางขายเสื้อกันหนาวหลากหลายยี่ห้อ

“เอาแบบกันน้ำได้ด้วยจะดีที่สุดค่ะ” มธุรดาบอกอย่างนั้น

รัญชน์เห็นด้วยกับความคิดของหวาน ถ้ามีหิมะตกใส่ชุดแบบธรรมดาคงไม่ไหวชุดด้านในจะเปียกหมด

“มีของเด็กไหมคะ”

“มีเด็กมาด้วยหรือคะ”

“ค่ะ มีมาด้วยหนึ่งคน”

“พาเด็กขึ้นเขาอันตรายนะคะ”

“เธอเก่งค่ะ รับรองว่าไม่อันตราย” รัญชน์พูดไปมองหน้าของนิลยาไป

“เชอะ...”นิลยาแบะปากแลบลิ้นให้กับรัญชน์

“นี่ๆ พี่คนนี้เขามีอีกเงาด้วยนะ”

“อะไรนะรัญชน์เผลอหลุดปากออกมา ทำเอามธุรดางง

“อะไรคะ

“เปล่าๆ ค่ะ พอดีคิดอะไรบางอย่างเลยเผลอพูดออกมาไม่มีอะไรคะ มันเหมือนๆ เป็นคำถาม ที่ถามตัวเองอะไรทำนองนั้น”

“อ๋อค่ะ ตลกดีจัง”

“จริงๆ นะ พี่คนนี้เขามีเงาของอีกคนอยู่ข้างๆ เขาแต่ไม่ใช่เงาร้ายอะไรนะพี่รัน เงานั้นสว่างกระจ่าง สวยงามมาก ราวกับมีเทวดาอารักษ์แบบนั้นแหละ”

รัญชน์พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นิลยาบอกกับเธอ

“แต่... มีแต่นะพี่ พี่คนนี้เขาไม่ใช่คนธรรมดา”

“ไม่ใช่แบบไหน”รัญชน์เริ่มเก็บความรู้สึกได้จึงเอ่ยกับนิลยาในใจ

“เขาเหมือนๆ กับเป็นคนสูงศักดิ์ พี่เห็นไหม รอบๆข้างตัวเขา มีออร่าสวยเชียว”นิลยาจับมือของรัญชน์ทำให้รัญชน์เห็นแสงออร่าที่เกิดจากตัวของหวานชัดถนัดตา

“แม่เจ้า” รัญชน์อุทานออกมาเบาๆ

“อะไรคะ

มธุรดารู้สึกว่ารัญชน์ชักมีอะไรผิดปกติจึงเดินเข้าไปช่วยรัญชน์เลือกเสื้อกันหนาวและเครื่องกันหนาว

“เลือกไม่ถูกหรือคะ หรือว่าแพงไป”

“เปล่าคะ แค่อยากได้สีสว่างๆ เท่านั้น มีแต่สีทึบๆทั้งนั้นเลย” รัญชน์พยายามคิดหาประเด็นในการคุยเพื่อเบี่ยงบ่ายเรื่องที่เธอกำลังพูดกับนิลยา

“เอาสีสว่างๆ แบบไหนคะ”

“ประมาณสีสะท้อนแสง” เมื่อพูดไปแล้วต้องดำน้ำต่อไปเรื่อยๆ

มธุรดาจึงเรียกคนขายมาช่วยหาเสื้อสีสว่างๆ อย่างที่รัญชน์ต้องการท่าทางการแสดงออกของคนขายกับหวานทำให้รัญชน์แปลกใจ

“คนที่นี่เขาเห็นลูกค้าเป็นพระเจ้าหรือไงคะ” รัญชน์กระซิบถาม

มธุรดามองหน้ารัญชน์ เธอไม่เข้าใจในความหมายที่รัญชน์ถามเธอ

“เห็นเขาทำราวกับว่า เราสองคนเป็นเทพเจ้าอะไรทำนองนั้น”

เมื่อได้ยินคำพูดจากรัญชน์ ทำให้มธุรดารู้ว่าคำถามนั้นมาจากอะไรคนขายแทบจะคุกเข่าต่อหน้าเธอ เธอห้ามเอาไว้เสียก่อน ด้วยกลัวว่ารัญชน์จะรู้ว่าเธอไม่ใช่แค่หญิงสาวที่ชื่อหวานหากแต่เธอคือ มธุรดา เจ้านางน้อยแห่งโมระ

ถ้าความจะแตก เธอคงให้แตกตอนนี้ไม่ได้เธอหันไปพูดกับเจ้าของร้านด้วยภาษาโมระที่คิดว่ารัญชน์จะฟังไม่เข้าใจ

“ไม่ต้องแสดงกิริยาแบบนั้นก็ได้นะ ตามสบายเถอะ”

“ขอรับเจ้านาง” คนขายจึงค่อยๆยืดตัวขึ้นเล็กน้อย

“เฮ้ย....” นิลยาร้องลั่น

“เสียงเด็กที่ไหนคะ”มธุรดาหันไปมองรอบๆ ตัว

เธอไม่เห็นมีเด็กสักคนอยู่แถวนั้น

“ไหนคะ เสียงเด็กที่ไหน”

“หวานได้ยินเสียงเด็กร้องค่ะ เมื่อสักครู่”

“ไม่มีนี่คะ”รัญชน์แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่หวานพูดกับเธอ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเสียงนั้นเป็นของ นิลยา

“ฉันคงหูแว่วไปเอง ได้เสื้อหรือยังคะ”

“ได้แล้วค่ะ”รัญชน์หยิบเสื้อสีสะท้อนแสงสามตัวส่งให้กับเจ้าของร้าน

เธอรีบเดินไปคิดเงิน และรีบออกไปจากร้านแห่งนั้นก่อนที่หวานจะรู้ว่ามีนิลยาอีกคนที่เดินต้วมเตี้ยมตามเธอมา

นิลยาจึงกลายเป็นน้ำท่วมปาก รู้แล้วแต่พูดไม่ได้ เธอจะอ้าปากพูดรัญชน์บอกว่า

“หยุดพูดเลยนะ ถ้าพูดอีกจะไม่พาไปไหนอีกแล้ว” รัญชน์รู้สึกโกรธ นิลยา ที่ไม่ระมัดระวังตัวปล่อยให้เสียงดังออกมาจนทำให้หวานได้ยิน

โชคดีที่เวลานี้เป็นเวลากลางวัน หวานจึงไม่กลัวในสิ่งที่ได้ยินหากเวลานี้เป็นเวลากลางคืน เธอไม่อยากคิดเลยว่าคนที่ได้ยินเสียงนิลยาร้องอย่างนั้นจะเป็นเช่นไร นั่นทำให้นิลยาอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นาคน้อยอย่างเธอคันปากยิบยับแต่ต้องหยุดปิดปากเงียบสนิท ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนอีก

เธออยู่ห่างจากมาคีสีนิลได้ไม่เกินเก้าวา หากเกินกว่านั้นอำนาจของมาคีไม่สามารถปกป้องเธอจากอันตรายใดๆ ได้

ถ้ารัญชน์ทิ้งหินมาคีเอาไว้ที่โรงแรม เธอคงเหมือนคนติดคุก ไปไหนมาไหนไม่ได้

ที่สำคัญ โมระไม่ใช่ถิ่นปกครองของท่านพ่อของเธอหากจะร้องขอความช่วยเหลือคงเป็นไปได้ยาก แถมเมื่อคืนเธอยังดื่มน้ำเมาไปมากมายอิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่ก็หดหาย จนจะกลายเป็นงูดินอยู่รอมร่อ ถ้าต้องเป็นอย่างนั้นต่อให้คันปากอยากพูดแค่ไหน ก็ต้องปิดปากให้สนิทเท่าที่จะทำได้

อยากเที่ยวนี่นา เรื่องอื่นไม่สนใจ นิลยาซะอย่าง สบายไปแปดอย่าง

อ๊ะ!! หรือว่าเก้าอย่าง

เอ.... ไม่แน่ สิบอย่างมั๊งเนอะ คริกๆๆ




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:13:37 น.
Counter : 635 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.