It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

มธุรดา yuri บทที่ ๖/๑

บทที่ ๖/๑

นีร เมจกา อัคริมาถกกันถึงเรื่ององค์เทพีองค์ต่อไป อยู่ในวิหารยุรา

“น้ำว่าไหม พี่มานั่งคิดๆ ดูนะองค์วรทาแก่กว่าแม่อัคสิบสองปี แม่อัคแก่กว่าอัค ยี่สิบสี่ปี อัคแก่ว่าน้ำสิบสองปีแล้วทำไมน้ำถึงแก่กว่าวรัทยาถึงยี่สิบสี่ปี มันมากเกินไปนะ”

“นั่นสิ เหมือนๆ หายไปสองคน”

อัคริมาเห็นด้วยกับความคิดของเมจกา

“ไม่หายไปหรอกค่ะเพียงแต่ไม่ได้มาอยู่ที่เวียงฟ้าเท่านั้น ไม่จำเป็นที่อดีตองค์เทพีทุกคนจะต้องมาอยู่บนเวียงฟ้า”

“หมายความว่าไง พี่ไม่เข้าใจ”

“จริงๆ แล้ว ทุกคนกลับมาเกิดบนโลกใบนี้ตามระยะเวลาและวันเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องมาอยู่บนเวียงฟ้าก็เท่านั้น”

“แสดงว่าน้ำรู้ว่าทุกคนอยู่ที่ไหนแต่ไม่ตามตัวกลับมาใช่ไหม”

“ค่ะน้ำรู้ ก่อนที่ทุกคนจะลงมาเกิดใหม่จะมีบางสิ่งบางอย่างบ่งบอกว่าเธอจะกลับมา”

“เช่นอะไร”เมจกาเริ่มยิงคำถามค้างคาใจ

“เช่นดวงดาวเปลี่ยนไป ลดทอนแสงลง และสุดท้ายหมดแสง”

“ถ้าดาวหมดแสง แปลว่าจะลงมาเกิด ในวันนั้นๆ ใช่ไหม”

“พี่อัคเข้าใจถูกต้องแล้ว”

“แล้วตอนนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหนจะมีอายุแค่หกสิบเก้าปีหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ บางคนมากกว่านั้นแต่บางคนน้อยกว่านั้นแล้วแต่ว่าจะหมดหน้าที่ของตนเมื่อใด”

“ยกตัวอย่างมาหน่อยสิ”

“ไม่ต้องยกไกลตัวที่ไหนเลย แม่พี่อัคนั่นแหละคือหนึ่งในอดีตองค์เทพี

ที่มาเกิดบนโลกนี้และพี่อัคอีกคนก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน แต่ทุกคนไม่ต้องอายุจำกัดที่หกสิบเก้าปีเช่นพี่อัค ณ ตอนนี้”

เมจกาพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นีรอธิบายให้กับเธอได้รับฟังเธอรู้มาก่อน ว่าอัคริมาคือหนึ่งในอดีตองค์เทพีที่กลับชาติมาเกิด

แต่ในภพนี้ หน้าที่ของอัคริมาไม่ใช่เกิดมาเพื่อเวียงฟ้า หากแต่เกิดมาเพื่อเป็นที่รักของเธอซึ่งผิดกับนีรที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องเวียงฟ้า ให้พ้นภัยจากคนเลวอย่างชโวทัยเหลืออีกไม่กี่ปีหน้าที่ของนีรจะหมดลง คงเป็นหน้าที่ของวรัทยาทำหน้าที่สืบต่อจากนีร ตามวาระเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างแม่นยำ

“อีกไม่นานนัก หนึ่งในอดีตองค์เทพีจะมาที่โมระเราต้องไปต้อนรับเธอ” นีรบอกอย่างนั้น

“ใครกัน”

“บอกอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ไว้ถึงเวลาพี่จะรู้เอง”

“ใบ้หน่อยดิ น่านะ”

เมจกาถึงจะมีอายุมากแต่ยังคงใจร้อนเหมือนเดิม

“อายุมากกว่าพี่อัคก็แล้วกัน”

สิ่งที่นีรบอกใบ้ทำเอาเมจกาถึงกับต้องนิ่งคิด หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าคนที่จะมาต้องอายุมากกว่านีรยี่สิบสี่ปี นีรและอัคริมาอายุห่างกันสิบสองปี

เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก เวียงฟ้าไม่เคยทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่เคย

จากที่เมจกาเคยรับรู้มานั้นหนึ่งในอดีตที่เคยเป็นองค์เทพีเวียงฟ้าที่กลับมาเกิดคือ วรัญชลีคนที่เลี้ยงเธอมา

จากนั้นคือวรทา ตามมาด้วยญาตาวี แม่ของอัคริมาซึ่งมีอายุต่างจากอัคริมายี่สิบสี่ปี คนต่อมาคือนีร อายุต่างจากอัคริมาสิบสองปีและคนสุดท้ายวรัทยาต่างจากนีรยี่สิบสี่ปี นั่นแสดงว่าคนที่หายไปคือคนที่มีช่วงอายุระหว่างญาตาวีกับอัคริมา และระหว่างนีรกับวรัทยา

ณ ตอนนี้ วรัทยาอายุยี่สิบปี นีรสี่สิบสี่ส่วนเธอกับอัคริมาไม่อยากจะบอกอายุของตนเพราะบัดนี้เธอทั้งคู่กำลังจะย่างเข้าหลักหก อีกไม่นานกำลังจะ

ไปหลักเจ็ดอยู่รอมร่อถ้าไม่ติดที่อายุหกสิบเก้าเหมือนที่นีรเคยบอกเอาไว้

“คิดอะไรอยู่ล่ะยูง”

“กำลังคิดว่า ใครกันนะที่จะมาโมระ”

“นั่นสิ ใครกันน้อ แล้วจะไปคิดมากทำไมแก่แล้วคิดมากเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตก”

“อยากรู้”

“อยากรู้ก็นั่งสมาธิดูเอาสิ ไม่เห็นจะยากเลย”

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวลืมตื่นอีก”

“เป็นงั้นไป งั้นลืมตาคิดต่อไปเถอะ เราจะนอนแล้วปิดไฟด้วยล่ะ แล้วอย่านอนดึกมากนักเข้าใจไหม แก่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อายุน้อยๆจะได้นอนดึกตื่นเช้าได้” อัคริมาบ่นไปอย่างนั้นเธอรู้ดีว่าเมจกาไม่ทำตามที่เธอบอกหรอก

ตั้งแต่ตื่นจากการหลับอันยาวนานเมื่อหลายสิบปีก่อนเมจกากลายเป็นคนนอนยาก นอนครั้งล่ะไม่กี่ชั่วโมงก็ตื่น

“นี่ๆ อัค ถ้าเป็นอย่างที่น้ำว่า ผู้หญิงคนนั้นต้อง” เมจกานับนิ้วตัวเอง คิดเลขในใจ

“ไอ๊หย่า หกสิบแปดปี อีกปีเดียวสินะเอหรือว่าไม่เกี่ยว ไม่ได้เป็นองค์เทพีนี่หว่า”เมจกาบ่นกับตัวเอง อัคริมาหลับไปแล้ว เธอคิดว่าคงปลุกไม่ตื่นอย่างแน่นอน

อัคริมามักจะสะกดตัวเองให้นอนตรงตามเวลาและตื่นเป็นเวลาเพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน

“เฮ้อ...ใครกันน้อ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก” เมจกาบ่นเพียงเท่านั้น จากนั้น จึงลุกขึ้นไปปิดไฟกลับมาล้มตัวลงนอนข้างๆอัคริมา และหลับไปในที่สุด

รัญชน์ไปทำงานที่บ้านไม้ริมน้ำทุกวันงานของเธอคืบหน้าไปมาก ตัวบ้านบางส่วนถูกรื้อออกมาและนำไม้ใหม่ที่ทางบริษัทไม้วรัญชลีเอามาเปลี่ยนให้

ทำให้งานของรัญชน์เป็นไปได้สวย ไม่มีอาการติดๆ ขัดๆเธอได้พบกับหวานทุกวัน แล้วแต่ว่าหวานจะมาในเวลาไหน

การมาที่บ้านหลังนี้ทำให้รัญชน์เกิดความเคยชินที่จะได้พบกับผู้ช่วย ของเจ้านางความเคยชินนี้บอกไม่ถูกว่าเกิดเพราะการทำงาน หรือเพราะการที่

ทั้งสองคนได้พบปะพูดคุยกันทุกวัน

หวานยืนรอดักพบกับรัญชน์อยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นบ้านจึงเป็นฝ่ายทักทายรัญชน์ขึ้นก่อน

“สวัสดีค่ะคุณรัญชน์ วันนี้มาแต่เช้าเชียว”

“วันนี้จะให้ช่างเขาเอาคานขึ้นค่ะ ต้องรีบมาดูหน่อย”

รัญชน์บอกอย่างนั้นเธอกลัวว่าช่างจะทำให้หลังคาชั่วคราวที่มุงตัวบ้านเอาไว้พังลงมาหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวบ้านได้

ฤดูนี้เป็นฤดูฝนเธอจึงสั่งให้คนของเธอทำหลังคาสังกะสีมุงตัวบ้านอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะไหลลงไปในตัวบ้าน ระหว่างที่รื้อเอากระเบื้องมุงหลังคาออกมา

จริงๆ จะเรียกว่ากระเบื้องคงไม่ได้หลังคาของบ้านนี้มุงด้วยแผ่นไม้มากกว่ากระเบื้อง ภาษาช่างเรียกแผ่นไม้เหล่านี้ว่าแป้นเกล็ดมีลักษณะคล้ายๆ เกล็ดปลา แต่เป็นแผ่นไม้ที่แข็งแรงและมีน้ำหนักเบาข้อดีคือทำให้ตัวบ้านไม่ร้อน ลักษณะของหลังคาที่สูงชันของบ้านหลังนี้จึงทำให้น้ำไม่รั่วซึมลงไปยังตัวบ้าน ทั้งๆ ที่มีฝนตกหนัก

“คุณต้องรื้อหลังคาออกหมดเลยหรือคะ”

“ค่ะคิดว่าอย่างนั้น ทำหลังคาเสร็จคงถึงเวลาที่ต้องทำห้องด้านในแต่คงไม่ยากเท่าไหร่ แค่ทำตามแบบเดิมที่เจ้าของบ้านเก่าทำเอาไว้ คงต้องถามเจ้านางก่อนว่าจะเอาฝาผนังกั้นห้องเหมือนเดิมทุกห้องหรือเปล่า หรือว่าจะเปิดโล่งเอาไว้ได้ยินมาว่าจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่หรือคะถ้าเป็นแบบนั้นเปิดฝาห้องบางส่วนเอาไว้ก็น่าจะได้”

“เจ้านางฝากบอกว่าเรื่องกั้นห้องท่านจะมาสั่งการเองค่ะ”

“ค่ะ” รัญชน์พยักหน้ารับรู้เธอคิดว่าหวานคงเป็นคนสนิทของเจ้านางน้อยของโมระเป็นแน่

เท่าที่เธอได้พูดคุยกับหวานมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมาหวานมีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งพอสมควร และได้รับรู้ว่าตอนนี้หวานอายุแค่ยี่สิบปี ที่เธอเดาอายุของหวานว่าจะเท่าๆกับเธอในตอนแรกที่พบกันนั้นผิดถนัด

“พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้มาป่วนคุณทำงานแล้วนะคะ”

“อ้าว...ทำไมคะ”

“ฉันต้องกลับแล้วค่ะ”

“วีซ่าหมดแล้วสิ”

“ค่ะทำนองนั้น”

“โชคดีนะคุณ หวังว่าคงได้พบกันอีก ตอนที่บ้านเสร็จ”

“ค่ะ เราคงได้พบกันตอนบ้านเสร็จ”

“ฉันอยากเลี้ยงลาคุณ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเกรงใจจะแย่ที่คุณเลี้ยงข้าวฉันทุกวัน”

“นั่นมันอาหารพื้นๆที่ฉันกับคนของฉันต้องกินกันอยู่แล้ว”

รัญชน์หมายถึงกับข้าวที่คนงานของเธอทำมากินรวมๆ กันในมื้อเช้ากลางวัน หรือเย็น ในบริเวณบ้านหลังนี้ซึ่งบางครั้งรัญชน์ชักชวนให้หวานร่วมวงกับพวกเธอด้วย

“แค่นั้นก็ดีแล้วค่ะ”

“ที่โมระมีอาหารแบบนั้นทานไหมคะ”

“ไม่มีหรอกค่ะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีอาหารทานนะคะแต่เราไม่ได้ทานอาหารแบบที่คุณทานกัน”

“ทำไมคะ คุณไม่ได้ทานข้าวกันหรอกหรือ”

“ทานค่ะ แต่เราทานกับข้าวไม่เหมือนคุณพวกเราไม่ทานของดิบ จะปรุงสุกกันทุกอย่าง”

“อ้าว...แล้วกันแสดงว่าคนไทยป่าเถื่อนในสายตาคุณเลยสิคะ แย่จริงๆ”

รัญชน์คิดถึงลาบเลือด ลู่ และอื่นๆ ที่คนงานของเธอชอบทำมากินกัน

มื้อแรกเธอเห็นหวานงงๆ กับอาหารจานสีแดงๆ เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ตรงหน้า

เธอจัดการปั้นข้าวเหนียวและจิ้มลงไปในจานลาบเลือด จากนั้นนำเข้าปาก ทำเอาหวานนั่งมองตาปริบๆเธอเห็นว่าหวานคงกินในสิ่งที่เธอกินไม่ได้ จึงให้คนงานนำไปปรุงสุกมาก่อน

เมื่อลาบเลือดกลายเป็นลาบสุก หวานถึงได้ลงมือกินกับพวกเธอนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รัญชน์รู้ว่า หวานไม่ชอบกินอาหารดิบ ยกเว้นผักสด

“คนไทยไม่ได้กินอะไรแบบนั้นทุกวันหรอกค่ะแล้วแต่วัฒนธรรมของแต่ละที่ คนภาคกลางมีอาหารเป็นของตัวเอง ทางเหนือ อีสาน ใต้ตะวันออก ตะวันตก ล้วนแล้วแต่มีอาหารพื้นถิ่นทั้งนั้น”

“ทำไมคนของคุณถึงได้ทานเลือดทุกวัน”

“นั่นเพราะพวกเขาชอบเป็นการส่วนตัวสิคะ เอางี้แล้วกันวันนี้ฉันจะพาคุณไปทานอาหารชาววังกัน แต่อาจจะไม่วังร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะเป็นวังแบบบ้านๆ ที่หากินได้ทั่วไป ถ้าอาหารชาววังแท้แบบโบราณหาทานยากแล้วค่ะไม่ค่อยมีขาย ถึงจะมีราคาแพงมาก จนคนไทยอย่างฉันไม่มีปัญญาจ่าย”

“รบกวนคุณหรือเปล่าคะ”

“ไม่หรอกค่ะ ถือเป็นการเลี้ยงส่งคุณไปในตัวเดี๋ยวขอตัวสั่งงานคนงานก่อนนะคะ ยังไม่ได้สั่งงานอะไรพวกเขาเลย ตอนเย็นเจอกันค่ะ”

“ค่ะตอนเย็นเจอกัน”

รัญชน์มองตามร่างบางๆ ของหวานที่เดินไปจากเธอ

จากนั้นเธอจึงเดินขึ้นไปบนบ้าน ไปทำตามที่เธอบอกกับหวานและคุมงานอยู่ในนั้นจนถึงเวลาเย็น





 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:49:51 น.
Counter : 426 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๕/๒

บทที่ ๕/๒


ยี่สิบปีก่อน....

เจ้านางปริมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของครรภ์ของตน จึงได้บอกกับนีรเพื่อให้คนของเวียงฟ้าลงมาดูแลเธอ อัคริมารีบลงมาจากเวียงฟ้า เข้าใจว่าเจ้านางปริมคงจะใกล้ประสูติเต็มที และครั้งนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าเจ้านางจะประสูติพระธิดาสองพระองค์ หนึ่งในพระธิดานั้น จะต้องขึ้นไปอยู่บนเวียงฟ้า เมื่อถึงเวลาอันสมควร

เมจกาและเจ้าหลวงถิร เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องประสูติของเจ้านาง

ล่วงเวลาไปอีกเกือบวัน เจ้านางจึงให้กำเนิดเจ้านางน้อยๆ สองพระองค์ เมื่อนีรได้เห็นหนึ่งในสองเด็กทารกแรกเกิด เธอรับรู้ได้ในทันทีว่า ทารกคนใดคือวรทา

“สวัสดี วรทาน้อย สบายดีไหม”

เมื่อนีรเรียกชื่อทารกน้อย หนึ่งในนั้นหยุดร้องและทำท่าราวกับพยายามจะเงี่ยหูฟังในสิ่งที่นีรพูด

“ดูสิน้ำ ท่าทางจะใช่คนนี้แหละ” อัคริมาคือหนึ่งในผู้ทำคลอดให้กับเจ้านางปริมเอ่ยขึ้น ทั้งสองรับรู้และเข้าใจตรงกัน ว่าใครคือวรทา

“ปริมขอบใจนะเพื่อน” นีรบอกกับเจ้านางปริมที่มองหน้าเด็กทารกทั้งสองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเธอ

“คนไหนหรือน้ำ” เจ้านางเอ่ยถาม

นีรอุ้มทารกน้อยมาวางบนอกของเจ้านางปริม “คนนี้แหละปริม ท่านวรทา”

“โถ...ลูกแม่ เกิดมาไม่เท่าไหร่ต้องจากกันแล้วสินะ”

“ตัวไปหาลูกบนเวียงฟ้าได้นะ หรือจะเอาเจ้านางทั้งสองไปเลี้ยงบนเวียงฟ้าด้วยกันก็ได้ แต่พอหกขวบเราคงต้องขอตัวเอาไว้บนเวียงฟ้า ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการ สอนอะไรไม่ทัน”

“เราขอต่อรองนิดนึงได้ไหมน้ำ”

“ว่ามา”

“สิบขวบได้ไหม”

“เก้าแล้วกันนะปริม เราเข้าใจตัว แต่เราก็ต้องทำตามหน้าที่ของเรา ถึงตัวจะรั้งลูกเอาไว้ สักวันลูกตัวต้องไปอยู่บนเวียงฟ้าอยู่ดี นี่คือสิ่งที่บนนั้นลิขิตเอาไว้แล้ว” นีรเงยหน้ามองเพดานห้อง เพื่อบอกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

“เราเข้าใจ แต่เราทำใจไม่ได้นะน้ำ” เจ้านางปริมเอ่ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ความเป็นแม่ย่อมรู้สึกสงสารลูกที่ต้องพลัดพรากไปจากอก ตั้งแต่อายุยังน้อย

“องค์วรทาคงจะรู้ล่วงหน้า ถึงได้แบ่งภาคลงมาเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ สององค์ให้กับปริมไง ถึงจะไม่มีอีกคน ยังมีอีกคนให้ได้อยู่ใกล้ๆ กับแม่”

อัคริมาปลอบใจคนเป็นแม่หมาดๆ

“คงต้องเอาไปให้พ่อเขาดู ป่านนี้คงเดินเป็นเสือติดจั่น”

นีรบอกยิ้มๆ เธอกับอัคริมาจึงอุ้มทารกน้อยสองคนออกไปนอกห้องเพื่อให้เจ้าหลวงถิรและเมจกาได้เห็นพร้อมๆ กัน เป็นไปตามที่คาด ทั้งสองคนถามขึ้นมาพร้อมๆ กันว่า คนไหนคือองค์วรทากลับชาติมาเกิด คำตอบของนีรคือคนที่เกิดคนแรก อีกคนคือส่วนแบ่งภาคขององค์วรทาเช่นกัน หากแต่เธอเกิดมาเพื่อโมระ มิใช่เพื่อเวียงฟ้า นีรตั้งชื่อทารกน้อยที่จะขึ้นไปอยู่บนเวียงฟ้ากับเธอว่า“วรัทยา” แปลว่าผู้มีความกรุณาอันประเสริฐ

ส่วนอีกคนนั้น เมจกาเป็นผู้ตั้งชื่อให้ เด็กคนนั้นชื่อว่า “มธุรดา” แปลว่าความงดงาม ความหวาน หรือเป็นชื่อของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีสีสันจัดจ้าน แต่ไม่มีกลิ่น

“ทำใจนะทิดอ้น อีกไม่นาน หนึ่งในฝาแฝดต้องจากโมระ ไปอยู่กับเวียงฟ้า” เมจกาตบบ่าเจ้าหลวงถิร เป็นการปลอบใจ

“ผมทำใจไว้แล้วครับ แต่ปริมสิ จะทำใจได้อย่างผมหรือเปล่า”

“เรื่องปริม เดี๋ยวน้ำคงเป็นคนจัดการให้เองแหละ ต้องขอบใจองค์วรทา ที่ให้ทารกน้อยกับทิดถึงสองคน”

“ครับ ผมเข้าใจ” เจ้าหลวงถิรอุ้มลูกน้อยทั้งสองคนของเขาไว้ด้วยลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้าง

เขาสงสารปริม คนอุ้มท้องทารกในอ้อมแขนของเขา ณ วินาทีแรกที่ได้พบหน้ากัน ก็ต้องนับวันแห่งการจากลา น่าสลดใจยิ่งนักสำหรับคนเป็นแม่

หนึ่งในทารกนี้จะเป็นองค์เทพีเวียงฟ้าคนต่อไป และอีกหนึ่งในทารกนี้เช่นกัน จะกลายเป็นตัวแทนของเขาที่จะปกครองโมระให้ยั่งยืนสืบไป

“มาๆ ถ่ายรูปเอาไว้ด้วยกันหน่อย พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก” เมจกาจัดแจงท่าทางของเจ้าหลวง เจ้านางและเจ้านางน้อยทั้งสององค์ ให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด

รูปภาพนี้จะถูกเผยแพร่ให้กับประชาชนชาวโมระได้เห็น ภาพของเจ้าหลวงผู้มีใจงดงาม และครอบครัว คงเป็นภาพที่ชาวโมระหลายๆ คนอยากเห็น

“ไม่ต้องเกร็งเลยทิด ทำตัวตามสบาย ยูงไม่ได้ดูดวิญญาณทิดออกมาสักหน่อยแค่ถ่ายรูปเท่านั้นเอง”

เมจกาขำท่าทางคุณพ่อหมาดๆ ของเจ้าหลวงถิร ที่พยายามตั้งท่าถ่ายรูปให้ดูดีที่สุดเท่าที่คิดว่าทำได้

“อ้าวแล้วกัน ทำไมล่ะ เอาแบบหล่อๆ ไง”

“หล่อไปทำไม เขาจะดูรูปเจ้านางน้อยต่างหาก ไม่ดูหรอกเจ้าหลวง เบื่อขี้หน้าแล้ว”

ปริมขำกับคำพูดของเมจกา ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเจ้าหลวงแห่งโมระ ยกเว้นเมจกาเพียงคนเดียวเท่านั้น จริงอย่างเมจกาว่า เจ้านางน้อยทั้งสอง น่ารัก น่าตีไปในคราวเดียวกัน แม่อย่างเธอเมื่อต้องเลี้ยงลูกครั้งละสองคน เล่นเอาเหนื่อย เธอไม่อยากให้ใครมาช่วยเธอ เธอต้องการให้ลูกๆ ซึมซับความอบอุ่นจากอกของเธอ อีกไม่นานวรัทยาก็ต้องจากเธอไป เธอไม่ลำเอียงรักคนใดคนหนึ่ง ให้ความรักเอาใจใส่เท่าเทียมกัน

ใครไม่มีลูกฝาแฝด ไม่มีทางรู้ความเหนื่อยของเธอ คนหนึ่งร้อง อีกคนก็ร้องตาม คนหนึ่งหิว อีกคนก็หิวตาม คนหนึ่งตื่น อีกคนก็ตื่นตาม จากที่เธอเคยทำน้ำหนักล้ำหน้าไปเกือบสี่สิบกิโลในช่วงที่ตั้งท้อง ผ่านไปสามเดือน น้ำหนักของเธอลดลง และลดลงมากกว่าที่เคยมีอยู่ด้วยซ้ำ ทำให้เธอดูผอมไปในสายตาของเมจกา

“ปริมผอมไปนะเรา เดี๋ยวให้อัคเอายาบำรุงมาให้”

เมจกาบอกกับปริมอย่างนั้น

หลังจากนั้น ยาบำรุงหลายขนานก็ถูกขนมาให้เธอที่คุ้มเจ้าหลวง และมันก็กลายเป็นสิ่งที่เธอต้องดื่มทุกวัน ไม่นับรวมไปถึงอาหารมากมายที่เจ้าหลวงถิรนำมาให้เธอ

“ทานเยอะๆ นะปริม ลูกดื่มนมปริมจะได้แข็งแรงเหมือนแม่”

ดูเหมือนทุกๆ คนจะเป็นห่วงลูกของเธอมากกว่าตัวเธอซึ่งเป็นแม่ หากจะนับว่าดี ก็ดี แต่หากจะคิดน้อยใจคนรอบข้างนิดหน่อย คงไม่เป็นอะไรมั๊ง

c�-�<H� `N =TH>คงสั่งๆ กันเอาไว้มั๊ง” พัณณินเดามั่ว หากเป็นเธอ ถ้าสหวัตรสั่งอะไรไว้เธอต้องจดและจำคำสั่งนั้นเป็นอย่างดี หากกลัวลืมงัดเอาสมุดที่จดไว้ขึ้นมาดู เพราะสหวัตรออกคำสั่งมากจนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว

“ไม่รู้สิไม่เห็นตอนเข้ามาสั่ง”

“แกเลยไม่ได้เจอคนสวยของฉันสักที ใช่ปะ ว้า...น่าเสียดายจริงๆ ถ้าแกได้เจอสักครั้งแกคงชื่นชมแบบฉัน”

“ไม่อยากเจอนักหรอกนะ กลัวจะมาเล่นงานฉันมากกว่า จากสวยๆ เล่นเป็นนางเอกจะกลายเป็นตัวนางมารร้าย ประหนึ่งว่าลีมกโช้วมาเอง”

“เกินไป แกไม่รู้อะไร ลีมกโช้ว ก่อนที่จะมาเป็นนางมารร้าย หล่อนก็สวยจนใครๆ อยากเป็นเจ้าของนะยะ ถ้าเล็กเต็งง้วนไม่ทำให้นางเสียใจ นางคงไม่บ้าบอแบบนั้นหรอก”

“นี่ๆ จะอินมังกือหยกไปถึงไหน”

“แกไม่รู้เหรอ ฉันเป็นศิษย์น้องลีมกโช้วนะยะ”

“แกนี่นะเซียวเหล่งนึ่ง เสี่ยวข้าวเหนียวนึ่งสิ ดั้งแทบไม่มี ระวังเถอะกิน

ข้าวเหนียวมากๆ มันมีสารสลายดั้งนะแก” รัญชน์ยกมือขึ้นจับจมูกของเพื่อนบิดไปมา

“โอ๊ย... เจ็บนะแกไอ้รัน บิดไปบิดมาอยู่ได้ แกก็รู้ว่าฉันไปเสริมดั้งมา ไอ้เพื่อนเวร หรือแกอยากเป็นซะเองยะ นังเสี่ยวเหนียวหนึบหนับ” พัณณินเริ่มต่อว่ารัญชน์กลับบ้าง

คนอย่างรัญชน์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางควักเงินออกจากกระเป๋าง่ายๆ ยกเว้นเสียแต่ของสิ่งนั้นจำเป็นต้องใช้ อย่าว่าแต่อะไรอื่นเลย รถยนต์คันเก่าสับปะรังเคของรัญชน์ ใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ จนป่านนี้เพื่อนรักของเธอก็ยังไม่ขายและซื้อใหม่ บอกแต่ว่า ซื้อรถ คือลด ต้องซื้อบ้าน ถึงจะมีโอกาสเพิ่มมูลค่า รัญชน์อดทนใช้รถคันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

“เออๆ พูดกับแกทีไร ปวดประสาททุกที ทำงานต่อดีกว่า” รัญชน์รีบตัดบทสนทนาของเธอกับพัณณิน

เธอต้องรีบทำรายการของที่จัดเก็บไปไว้ในเรือนเล็ก ส่งให้กับสหวัตรภายในเช้าวันนี้ ไม่อย่างนั้น เธอนี่แหละจะโดนเฉ่งว่าทำงานล่าช้า

นี่แหละชีวิตคนทำงาน กินเงินเดือน

ทำดีเสมอตัว ทำชั่วโดนไล่ออก เหมือนๆ เป็นกฎที่ไม่ได้รับการยกเว้น แม้แต่คนทำงานเก่งๆ อย่างรัญชน์




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:46:27 น.
Counter : 400 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๕/๑

บทที่ ๕/๑

รัญชน์มาถึงบ้านริมน้ำในตอนบ่ายเหมือนกับเมื่อวานที่ผ่านมาเธอมองหาผู้หญิงที่ชื่อหวาน แต่ไม่เห็น เธอจึงเดินขึ้นไปบนตัวบ้านสั่งงานให้คนของเธอช่วยกันเก็บของออกจากห้องที่เหลือจากเมื่อวาน

จวนค่ำ รัญชน์จึงได้พบกับหวานอีกครั้ง

“อ้าว เพิ่งมาหรือคะวันนี้หวานแต่งตัวผิดจากเมื่อวาน ไม่ใส่ชุดเก่าๆ ขาดๆ ที่ใส่เหมือนเมื่อวานมาอีกแต่กลับนุ่งกางเกงยีนส์รัดรูป ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวขนาดพอดีตัว ส่วนผมยาวๆ นั้น รวบเอาไว้ลวกๆมัดด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดตา

หวานเดินเข้าไปหารัญชน์และเอ่ยตอบ “วันนี้ไม่ได้ทำงานที่นี่คะเลยมาช่วงเย็น ว่าแต่คุณเก็บของที่คนของฉันติดป้ายเอาไว้หมดหรือยังคะ”

“ยังค่ะ มันเยอะ ต้องทยอยเก็บไปบ้างบางส่วนแต่แยกเอาไว้นะคะ ว่าชิ้นไหนมาจากห้องไหนกลัวว่าตอนเอากลับมาเก็บที่เดิมมันจะย้ายที่”

“ทำงานละเอียดดีจังค่ะ”

“นิดหน่อยค่ะ เคยโดนด่ามาแล้วก็มากสมัยเข้ามาทำงานใหม่ๆ”

“เหรอคะ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างคุณจะเคยโดนลูกค้าต่อว่ามาก่อน”

“มีบ้างคะ บางรายถึงกับไม่ยอมเซ็นรับงานเพราะทำงานผิดไปจากที่ตกลงกันไว้ แต่จะโทษฉันฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะคะ ทางโน้นลดสเปคของลงแพงหน่อยก็ไม่เอา จะเอาของถูกๆ พอเอาของถูกมาลงให้ บอกว่าไม่ใช่ที่ตกลงกันไว้ลูกค้านะคะใครๆ บอกว่าคือพระเจ้า ลูกค้ามาจากนรกมีถมไป”

“ค่ะ แล้วนี่คุณจะกลับกี่โมงคะ” คนรับฟังมีรอยยิ้มนิดๆที่มุมปาก เมื่อรับฟังคำบ่นจากคนตรงหน้า

“สักพักจะกลับแล้วค่ะ รอคนงานเก็บของให้เรียบร้อยกลัวของหาย”

“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ที่นี่มียามเฝ้า”

“คุณไม่รู้อะไร ยามนั่นแหละตัวดีเป็นสายให้พวกหัวขโมยเข้ามาปล้นบ้าน” รัญชน์ออกความคิดเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย

ทุกวันนี้ คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยกลับกลายเป็นหัวขโมยไปเสียเองมีนักต่อนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกันทุกคนคนดีๆ ก็มี เพียงแต่ปลาเน่าตัวเดียวทำให้ปลาตายทั้งบ่อก็แค่นั้น

“อ้าว...เหรอคะ”

“ค่ะ”

“งั้น...ฉันไม่รบกวนเวลาทำงานของคุณแล้วค่ะจะไปทำงานของตัวเองบ้าง ฉันคงต้องไปดูว่าทหารยามของที่นี่คนไหนจะเป็นหัวขโมยได้บ้าง ไปนะ”

“เชิญค่ะ”รัญชน์หลีกทางให้กับหวาน เพื่อเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ถัดไปจากห้องที่เธอกับคนของเธอทำงานอยู่

จากนั้นต่างคนต่างตั้งหน้าทำงานของตน ไม่ได้สนใจกันและกันอีก



“นี่ไอ้รัญชน์ แกรู้อะไรไหมเจ้านางของฉันมีฝาแฝดด้วยนะแก แต่ น่าเสียดาย ตายตั้งแต่ยังเด็ก”

“เหรอ อือ...” รัญชน์รับคำส่งๆอีกตามเคย

“นี่ไงแก”พัณณินยื่นรูปจากหนังสือให้รัญชน์ดู ในรูปนั้นเป็นรูปเด็กทารกสองคนคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของชายวัยกลางคนส่วนอีกคนอยู่ในอ้อมแขนของหญิงที่ดูอ่อนเยาว์กว่า เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นเจ้าหลวงและเจ้านาง

“แล้วไง แค่ฝาแฝดตาย”

“มันไม่ใช่แค่นั้นพอแฝดตายเจ้านางเลยต้องรับภาระหน้าที่ในโมระคนเดียว น่าทึ่งนะ รับผิดชอบตั้งแต่ยังเด็กๆ”

“แล้วเจ้าหลวงอะไรของแก ไม่มีลูกอีกหรือไง ทำไมปล่อยให้ลูกสาวทำงานคนเดียว”

“มี นี่ไง รูปเจ้าหลวงกับเจ้าชายน้อย” พัณณินพลิกหนังสืออีกหน้าหนึ่งให้เพื่อนดู

“ถ้ามี แล้วทำไมไม่ให้ลูกอีกคนช่วย”

“ยังเด็กอยู่เลย ตอนนี้คงราวๆ สิบสองมั๊ง”

“มีลูกห่างกันเยอะเนอะ ปกติเจ้าหลวงอะไรเนี่ยต้องมีสนมเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ทำไมมีลูกแค่สองคน”

“เจ้าหลวงองค์นี้เติบโตที่เมืองไทยกว่าจะกลับไปโมระอายุเยอะแล้ว เลยติดนิสัยคนไทยมั๊ง ผัวเดียว เมียเดียว”

“จริงเหรอ ชายไทยดีๆ แบบนั้นมีน้อยนะแก” รัญชน์มองหน้าเพื่อน เธออยากรู้ความคิดของเพื่อนเกี่ยวกับชายไทยในปัจจุบัน

“เออ...เนอะลืมไป ผู้ชายเดี๋ยวนี้เจ้าชู้จะตายไป”พัณณินหัวเราะแฮะๆ แล้วเกาศีรษะของเธอเธอลืมในสิ่งที่รัญชน์พูดไปสนิท

“นั่นสิ ใครจะเหมือนพ่อแก รักเดียวใจเดียว”

“น้อยไปสิแก แม่เคยเล่าว่าสมัยพ่อยังเป็นหนุ่มเจ้าชู้ไม่เบานะเว้ย” พัณณินแย้ง แม่เธอเคยเล่าว่าก่อนที่พ่อของเธอจะมาพบรักกับแม่พ่อเจ้าชู้ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ เพียงแต่พ่อตัดทุกสิ่งทุกอย่างทิ้ง หลังจากที่แต่งงานกับแม่

“ยังดีที่พอแต่งงานแล้วพ่อแกไม่ไปสนใจผู้หญิงที่ไหนอีก”

“แล้วพ่อของแกล่ะ ไม่ได้รักแม่คนเดียวหรือไง”

“ไม่รู้สิ ตั้งแต่พ่อตายไป แม่ไม่เคยพูดถึงพ่ออีกเลยเออ...ใช่ เดี๋ยวต้องไปโอนเงินให้แม่” รัญชน์พูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“แม่แกอยู่วัด ต้องใช้เงินด้วยหรือไง”

“อยู่วัดต้องมีค่าใช้จ่ายนะแก ทำบุญบ้าง ไรบ้างนิดๆหน่อยๆ”

“งั้นแกก็รีบๆ ไปโอนเงินให้แม่แกเลยเดี๋ยวท่านจะไม่มีเงินใช้”

พัณณินบอกเพื่อน เธอเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อเริ่มทำงานในสายของวันนั้น งานที่คั่งค้างยังไม่ได้สะสางเลยสักชิ้นเดียว



ชาวเวียงฟ้ายังคงปฏิบัติภารกิจเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมานักบวชเวียงฟ้าทุกคนต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อสวดมนต์ประจำวันให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์จะทอแสง

นักบวชอาวุโสสองคน นั่งอยู่แถวหน้าของนักบวชทั่วไปต่อจากองค์เทพีที่นั่งเป็นประธานในการสวดมนต์ ต่อหน้ารูปเคารพยุราหรือนกยูงรำแพนหาง ที่ทำจากทองทั้งองค์ และประดับประดาด้วยอัญมณีหลากสีสัน

ชาวเวียงฟ้าทุกคน เคารพในองค์เทพยุราและเคารพต่อองค์เทพีของพวกเขาเช่นกันเวียงฟ้าไม่ติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายสิบปีปิดตัวเองหลังจากที่ทำพิธีมงคลให้กับเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน องค์เทพีให้เหตุผลว่าเวียงฟ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับใคร หากประชาชนทั่วไปอยากจะสักการะองค์เทพยุราไม่ต้องลำบากขึ้นมาถึงเวียงฟ้า

เธอทำศาลาประดิษฐานเทพยุราจำลองเอาไว้ด้านล่าง ก่อนทางขึ้นเวียงฟ้าเพื่อเป็นการย่นระยะทางให้กับประชาชนไม่ต้องเดินทางขึ้นมาสักการะองค์เทพถึงบนยอดเวียงฟ้าดังเช่นแต่เก่าก่อน นับวันจะมีประชาชนน้อยคนที่เดินขึ้นมาบนเวียงฟ้าในที่สุดไม่มีใครมุ่งมั่นเดินขึ้นมาบนวิหารยุราอีกเลยคนเหล่านั้นเริ่มคุ้นชินกับการไหว้รูปเคารพที่ศาลาด้านล่างมากกว่าสะดวกสบายกว่าการเดินขึ้นเขาเพื่อไปสักการะรูปเคารพบนเวียงฟ้า

องค์เทพีนีรเสร็จกิจประจำวัน จึงเดินออกมาจากวิหารยุรา เป็นคนแรกตามด้วยนักบวชหญิงอาวุโสอีกสองคน และนักบวชหญิงอ่อนวัยอีกหนึ่งคนแล้วจึงเป็นเหล่านักบวชอื่นๆ ค่อยๆ ทยอยออกมาจากวิหารยุราก่อนที่ประตูวิหารจะปิดลง โดยที่ไม่มีใครปิดมัน

ทั้งสี่คนเดินไปยังที่พักขององค์เทพีเพื่อทบทวนบนเรียนไสยเวทย์ที่ทั้งสี่ได้ร่ำเรียนมาและมีการสอนเพิ่มให้กับว่าที่องค์เทพีองค์ต่อไป ที่นั่งอยู่ต่อหน้านักบวชผู้ใหญ่ วรัทยานั่งฟังคำสั่งสอนนั้นด้วยความสงบเยือกเย็น สิ่งที่ผู้สูงวัยกว่าอบรมสั่งสอนเธอ เธอจดจำได้อย่างขึ้นใจราวกับเธอเคยเรียนบทเรียนนั้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยได้ยินหรือรับรู้มาจากที่อื่น

“เก่งมาก วรัทยา เจ้าเป็นคนที่หัวไวเหมือนกันนะ” องค์เทพีนีรเอ่ยชมเด็กสาวที่นั่งนิ่งสงบตรงหน้าเธอ

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ คงเป็นเพราะพวกท่านสอนเก่ง” วรัทยารับกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเธอยกความดีให้กับผู้ที่สั่งสอนเธอ

“อีกไม่นานเจ้าคงเรียนศาสตร์ และศิลป์ของเวียงฟ้าจบแต่เจ้าต้องกลับไปเรียนแพทย์ให้จบนะ ไม่เช่นนั้นจะเสียการเรียน” หนึ่งในนักบวชอาวุโสบอกกับวรัทยาเช่นนั้น

“เจ้าค่ะท่าน ข้าจะกลับไปเรียนให้จบและจะกลับมาช่วยดูแลคนในเวียงฟ้า ให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย หากแต่...”

“เจ้ามีอันใดรึ วรัทยา” องค์เทพีนีรเอ่ยถาม

“หากไปครั้งนี้ คงต้องไปนาน อย่างน้อยๆ คงราวๆ เกือบๆห้าปี ท่านทั้งสาม จะเหงาไหมเจ้าคะ”

“ไปเถอะ พวกเราสามคน ไม่เหงาหรอกเรามีองค์เทพยุราเป็นเพื่อน เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าให้เสร็จ ตั้งใจเรียนกลับมาช่วยเหลือประชาชนโมระ ให้มีสุขภาพที่ดี” นักบวชหญิงอีกคนบอกกับวรัทยาเพื่อให้วรัทยาสบายใจ ตั้งใจที่จะเล่าเรียนวิชาจากโลกภายนอกให้สำเร็จ

“อย่าลืมเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตำหรับยาโบราณของเวียงฟ้าด้วยนะวรัทยา หากไม่มีคนรุ่นเจ้าเวียงฟ้าอาจไม่มีใครสืบทอดตำหรับยาสมุนไพรโบราณเหล่านั้น เป็นเรื่องน่าเสียดาย”

“เจ้าค่ะท่านผู้อาวุโส”

“วันนี้เจ้าไปพักเถอะ พวกเราจะไปพักเช่นกัน” องค์เทพีนีรบอกกับ วรัทยาเช่นนั้น

วรัทยาลุกขึ้นทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งสามและออกไปจากที่พักขององค์เทพี

ลับหลังวรัทยาได้ไม่นาน หนึ่งในสามคนก็เอ่ยขึ้น

“อีกไม่นาน องค์เทพีองค์ใหม่จะกลับมารับตำแหน่งด้วยความภาคภูมิ”

“องค์เทพีองค์ใหม่รับตำแหน่งองค์เทพีองค์ปัจจุบันต้องจากไป”

“นั่นสิ น้ำทำใจเอาไว้แล้วหรือยัง”

“ทำใจได้ตั้งนานแล้วค่ะพี่เรื่องแบบนี้เป็นไปตามกฎของเวียงฟ้า ไม่มีใครสามารถขัดขืนได้ พี่นั่นแหละจะตามน้ำไปอยู่บนโน้นหรือเปล่า พี่ยูง พี่อัค”

“พวกพี่ทำใจตั้งนานแล้วน้ำนานเสียจนคิดว่ามันนานเกินไปด้วยซ้ำ อยากอยู่สงบๆบนโน้นตั้งแต่หมดเรื่องที่จะต้องห่วง”

“นั่นสินะ เสียแต่ที่วรัทยายังเด็กเหลือเกิน”

“น้ำรู้ไหม ครั้งหนึ่งองค์วรทาพูดกับพี่แบบที่น้ำพูดเป็นห่วงกันไปเป็นห่วงกันมา สองคนนี้น่ารักดีเนอะ”

“

น้ำเป็นห่วงจริงๆ นี่คะพี่โลกสมัยนี้มันดูวุ่นวายน่าปวดหัวมากกว่าสมัยที่เรายังเป็นเด็กๆ แล้วอีกอย่างพี่เห็นไหม หิมะบนเวียงฟ้าน้อยลงทุกวัน โลกร้อนขึ้น น้ำแข็งละลายจนเกือบจะหมดโลกอีกไม่นานคงหมดยุคที่มนุษย์อาศัยอยู่บนโลกนี้ได้”

“นี่เป็นคำทำนายขององค์เทพีหรือว่าคาดเดาเอาตามสภาพแวดล้อมกันล่ะน้ำ”เมจกาเอ่ยถามองค์เทพีที่นั่งส่ายหน้า เบื่อกับความแปรปรวนของโลก

“ออกความคิดค่ะ ไม่ได้ทำนายทายทักอะไรน้ำไม่ใช่โหรหรือนอสตรา-ดามุสนะพี่ยูง จะได้ล่วงรู้อนาคตไปจนถึงโลกหน้า”

“พี่ว่า...อีกไม่นาน พวกเราคงต้องบอกความจริงกับวรัทยาว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน เธอต้องทำหน้าที่อะไร”

“ตอนนี้เราปิดการรับรู้เกี่ยวกับอดีตชาติและเรื่องราวแต่หนหลังของวรัทยาเอาไว้หากเราต้องให้วรัทยามารับตำแหน่งต่อจากน้ำ เราคงต้องบอกก่อนถึงวันนั้น” อัคริมาเสนอความคิดของเธอบ้าง

ก่อนหน้าที่นีรจะเข้ามารับตำแหน่งองค์เทพีวรทาเคยให้นีรรับรู้ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแต่หนหลังทำให้นีรสามารถเข้าใจถึงหน้าที่ ที่ตนต้องทำหลังจากที่รับตำแหน่งองค์เทพีเป็นการง่ายที่จะปกครองเวียงฟ้าต่อจากองค์เทพีวรทา

แต่กับวรัทยา อัคริมายังคิดหนัก หากให้วรัทยารับรู้เกี่ยวกับครอบครัวเด็กคนนี้จะรับได้หรือไม่ หรือต้องเปิดการรับรู้ถึงอดีตชาติให้กับวรัทยาก่อนแล้วค่อยให้รับรู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับพ่อ แม่ และน้องสาวฝาแฝด อีกคน

อัคริมายังตอบอะไรกับคำถามที่ตัวเองถามขึ้นไม่ได้

“อย่างน้อยๆ ให้ทำใจ เราต้องให้พ่อ แม่ พี่น้องเขาได้พบกันสักที”

องค์เทพีนีรมีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย ในเรื่องที่อัคริมาเสนอ





 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:46:47 น.
Counter : 657 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๔/๒

บทที่ ๔/๒


รัญชน์มาที่บ้านไม้ริมน้ำอีกครั้งในเวลาบ่ายครั้งนี้เธอมาพร้อมกับช่างที่จะมาดูสถานที่ในการรื้อตัวบ้านบางส่วน

เธอเดินสำรวจในสิ่งที่เธอเก็บรายละเอียดเอาไว้ในครั้งแรกแต่เมื่อมาถึง ของบางอย่างถูกรื้อออกไปบ้างแล้วเธอจึงเดินหาคนที่รื้อสิ่งที่เธอจดเอาไว้ว่าจะต้องจัดเก็บเป็นกรณีพิเศษ

เธอเห็นคนๆ หนึ่งกำลังง่วนในการปีนป่ายขึ้นไปบนบันได สั่งให้ชายอีก

สองถึงสามคนรื้อเอาบางอย่างลงมาจากผนัง

“นี่คุณคะ ใครให้คุณมาเอาของออกไปแบบนั้นมันจะทำให้ของเก่าเสียหายรู้หรือเปล่า”รัญชน์เอ่ยปรามคนที่กำลังรื้อแผ่นไม้สักแกะสลักลงมา โดยไม่ใส่ใจว่าสิ่งๆนั้นจะเสียหายหรือไม่

“เจ้านายสั่งมาค่ะ” เสียงที่ตอบกลับมาทำให้รัญชน์นึกขันกับสำเนียงแปล่งๆนี่เธอต้องมาเจอกับชาวต่างชาติอีกแล้วหรือไร

“งั้นบอกเจ้านายคุณเลยนะ ของพวกนี้มันเก่ามากถ้าจัดเก็บไม่ดีอาจแตกหักเสียหายได้”รัญชน์บอกไปด้วยความหวังดี แม้เธอจะรู้สึกคุ้นตากับรูปร่างของคนที่ยืนอยู่บนบันได

เธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักโดยส่วนใหญ่คนที่ทำงานรับจ้างมักจะแต่งกายเช่นนี้ทั้งนั้นคลุมผ้าปิดบังตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงคอ แถมยังใส่เสื้อแขนยาวตัวโคร่งป้องกันไม่ให้ฝุ่นติดตัว และเกิดอาการคัน

ไม่นานนัก คนที่ยืนพูดกับเธอบนบันไดลิงปีนลงมา ปลดผ้าที่คลุมใบหน้าเพื่อป้องกันฝุ่นออกทำให้เห็นใบหน้าของคนที่รัญชน์เคยพบมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน

“อ้าวเธอนี่เอง” รัญชน์ถึงกับตกใจที่อยู่ๆ ได้พบกับหญิงสาวที่เคยวิ่งชนเธอในวันฝนตก

“ค่ะ ฉันเอง”

“นี่มารับจ๊อบเก็บของหรือไง”

“ค่ะ ฉันมารับงานเก็บของให้เจ้านาง” คนตอบคำถามพูดยิ้มๆ

“เจ้านางสั่งมา หมายความว่าไงทำไมไม่บอกให้บริษัทฉันมาทำให้ ใจร้อนจริงๆ ของมันแตกหักง่ายจะตายไป ดูสิ เห็นไหม” รัญชน์ชี้ไปที่รูปไม้แกะสลักรูปหนึ่ง ที่ตอนนี้หักและแตกออกเป็นสองท่อน

“ท่านสั่งมา ฉันต้องทำตามสั่ง ไม่ทำไม่ได้” อีกคนตอบมาแบบไม่อยากจะรับผิดในสิ่งที่ทำลงไป

“แล้วกัน แบบนี้ถ้าเจ้านางของคุณมาต่อว่าพวกฉันว่าทำของเสียหาย พวกฉันมิแย่หรือไง”

“ฉันขัดทัยท่านไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณก็รู้ว่าคนอย่างเจ้านาง สั่งอะไรแล้วต้องทำตามไม่อย่างนั้นพวกฉันคงตกงานกันเป็นแถว พวกฉันยังไม่อยากตกงานตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้ขอร้องอย่าบอกเจ้านางนะคะคุณ” คนพูดโบ้ยปากไปทางชายอีกสองสามคนที่ตอนนี้ยืนสงบนิ่งรอรับฟังคำสั่งจากหญิงสาวตรงหน้า

“เวร....”รัญชน์หยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น

เธอขำท่าทางของคนตรงหน้า ที่มองเธอราวกับว่าอยากจะขอร้องให้อย่าบอกเรื่องนี้กับเจ้านายของตน

“เอาเถอะๆ ฉันไม่บอกเจ้านายคุณก็ได้ เอาเป็นว่าคุณบอกฉันมาดีกว่า เจ้านายคุณจะให้เก็บอะไรกลับไปบ้างเดี๋ยวให้ช่างของฉันถอดออกให้ เริ่มจากห้องนี้ก่อนก็แล้วกัน”รัญชน์มองไปรอบๆ ห้องที่เธอและหญิงคนนั้นยืนอยู่

“นายของคุณให้เก็บอะไรออกไปบ้างล่ะ”

“อันนี้ อันนั้น อันโน้น อันนู้น...” หญิงตรงหน้าชี้ไปที่รูป บานใหญ่ ตู้กระจกที่มีของโบราณอยู่ด้านในและหีบไม้ใบใหญ่ยักษ์ในสายตาของรัญชน์

“หมดแล้วหรือยัง”

“คิดว่าหมดแล้วค่ะ”

“อ้าว... ไม่ได้จดมาหรอกรึว่านายสั่งว่าอะไรบ้าง”

“ปะ...เปล่าจ้า”

“แล้วกัน แล้วจะจำได้หมดหรือเปล่าเนี่ย ถ้าขาดหายไปฉันไม่รับผิดชอบนะขอบอกเอาไว้ก่อน”

“รับรองจ้า”

“ช่างๆ เอากล่องมาใส่ของในตู้ก่อนค่ะ แล้วค่อยๆปลดรูปบานนั้นลงมา ช่วยเขียนเอาไว้ข้างๆ กล่องด้วยนะคะว่ามีอะไรบ้างเวลาหาจะได้ง่ายๆ หน่อย” รัญชน์หันไปบอกกับคนของเธอที่กุลีกุจอเข้ามาทำงานทันทีที่เธอสั่ง

“เก็บแล้วจะให้เอาไปไว้ที่ไหนล่ะ”

“เรือนหลังเล็กค่ะ”

“โอเค เรือนหลังเล็กคุณให้คนของคุณช่วยบอกทางคนของฉันก็แล้วกัน ว่าอยู่ตรงไหน”

“จ้า” อีกคนรับคำอย่างง่ายดาย

กว่ารัญชน์และคนของเธอจะทำงานตามที่หญิงสาวบอกเสร็จเกือบจะสามทุ่ม รัญชน์จึงเสนอตัวไปส่งหญิงสาวคนนั้นกลับที่พัก

“กลับบ้านพร้อมกับฉันไหม ฉันจะไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับพร้อมคนของฉันได้” เธอปฏิเสธเสียงเรียบ

“พรุ่งนี้...คุณจะมาทำงานอีกหรือเปล่า”

“ต้องดูก่อนค่ะว่าจะมีงานอะไรมาให้ทำอีกหรือเปล่าถ้าไม่มี คงมาที่บ้านนี้อีกค่ะ แล้วคุณล่ะคะ จะมาอีกหรือเปล่า”

“มาค่ะ ฉันต้องมาทุกวันจนกว่าจะเก็บของหมด”

หญิงคนนั้นพยักหน้ารับรู้

“ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะดึกแล้วเดี๋ยวจะกลับถึงที่พักดึกมากเกินไป”

“เดี๋ยวคุณ คุณอะไรนะ จำชื่อไม่ได้แล้ว”

“มธุรดาค่ะ คุณรัน”

“จำแม่นดีจัง”

“แม่นสิคะคุณ เราวิ่งชนกัน ฉันถึงจำชื่อคุณได้เรียกฉันง่ายๆ ว่าหวานก็ได้ค่ะ”

“โอเคคุณหวาน คราวหน้าฉันจะเรียกชื่อคุณให้ถูกขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

“ไม่ส่งนะคะ”

“ค่ะ ไม่เป็นไร ตามสบายค่ะ”รัญชน์ปลีกตัวออกมาจากบ้านไม้ริมน้ำ ด้วยอาการที่บ่งบอกว่าเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส

รุ่งขึ้น รัญชน์มาถึงที่ทำงานด้วยอาการอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรไอ้รัน เหมือนเมื่อคืนแกปะทะศึกหนักกับสาวๆมา อย่างนั้นแหละ”

“ศึกบ้า ศึกบออะไรของแกไอ้แต้ว ฉันไปบ้านริมน้ำมาไปขนของตั้งแต่บ่าย กว่าจะออกมาสามทุ่มกว่า กว่าจะถึงบ้านโน่น...ห้าทุ่มกว่าๆแถมกว่าจะได้นอนปาไปเกือบๆ ตีหนึ่ง ตีห้าต้องแหกขี้ตาตื่นมาทำงานนี้แหละ”

“อ้าวๆ พูดนิดเดียว ไปหลายกว่าเลยเพื่อนตู”

“ไม่มาทำแบบฉัน ไม่รู้หรอกว่าเหนื่อยแค่ไหน”

“เดี๋ยวจะบอกบอสขอขึ้นเงินเดือนให้”

“ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อน ฝากงานหน่อยนะฉันต้องไปบ้านริมน้ำอีก”

“ไปทำไมบ่อยๆ วะ ไหนว่าเก็บของเสร็จแล้วไง”

“เสร็จไปสี่ห้อง เหลืออีกเกือบสิบห้อง”

“ไอ๊หย่า...ชิกหายเลี้ยว”พัณณินแกล้งอุทานออกมา

“เห็นแค่นั้น ของเยอะจนแทบไม่มีที่เก็บ แกรู้อะไรไหมเจ้านางอะไรของแก สั่งให้คนมาขนของออกไปเอง ไม่บอกพวกเราสักคำแถมยังทำรูปแกะสลักตกลงมาหักอีกต่างหาก นี่ถ้ามาโบ้ยว่าเราทำนะแกเอ๊ยสงสัยบอสคงไม่มีเงินจ่ายค่าของแน่ๆ”

“เมื่อวานบอสบอกแล้ว เจ้านางโทรมาหาบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องของเสียหาย คนของท่านแจ้งท่านแล้ว ว่าเราไม่ได้ทำ”

“เออดี รอดตัวไปฉัน”รัญชน์รู้สึกโล่งอกอย่างน้อยผู้หญิงที่ชื่อหวานไม่ได้ใส่ความเธอ

“คนของเจ้านาง ทำงานดีไหม”

“ถือว่าโอนะแก รู้หมดว่าเจ้านายสั่งให้เก็บอะไรบ้าง”

“คงสั่งๆ กันเอาไว้มั๊ง” พัณณินเดามั่วหากเป็นเธอ ถ้าสหวัตรสั่งอะไรไว้เธอต้องจดและจำคำสั่งนั้นเป็นอย่างดีหากกลัวลืมงัดเอาสมุดที่จดไว้ขึ้นมาดู เพราะสหวัตรออกคำสั่งมากจนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว

“ไม่รู้สิไม่เห็นตอนเข้ามาสั่ง”

“แกเลยไม่ได้เจอคนสวยของฉันสักที ใช่ปะว้า...น่าเสียดายจริงๆ ถ้าแกได้เจอสักครั้งแกคงชื่นชมแบบฉัน”

“ไม่อยากเจอนักหรอกนะ กลัวจะมาเล่นงานฉันมากกว่าจากสวยๆ เล่นเป็นนางเอกจะกลายเป็นตัวนางมารร้าย ประหนึ่งว่าลีมกโช้วมาเอง”

“เกินไป แกไม่รู้อะไร ลีมกโช้วก่อนที่จะมาเป็นนางมารร้าย หล่อนก็สวยจนใครๆ อยากเป็นเจ้าของนะยะ ถ้าเล็กเต็งง้วนไม่ทำให้นางเสียใจนางคงไม่บ้าบอแบบนั้นหรอก”

“นี่ๆ จะอินมังกือหยกไปถึงไหน”

“แกไม่รู้เหรอ ฉันเป็นศิษย์น้องลีมกโช้วนะยะ”

“แกนี่นะเซียวเหล่งนึ่ง เสี่ยวข้าวเหนียวนึ่งสิ ดั้งแทบไม่มีระวังเถอะกิน

ข้าวเหนียวมากๆมันมีสารสลายดั้งนะแก” รัญชน์ยกมือขึ้นจับจมูกของเพื่อนบิดไปมา

“โอ๊ย... เจ็บนะแกไอ้รัน บิดไปบิดมาอยู่ได้แกก็รู้ว่าฉันไปเสริมดั้งมา ไอ้เพื่อนเวร หรือแกอยากเป็นซะเองยะ นังเสี่ยวเหนียวหนึบหนับ”พัณณินเริ่มต่อว่ารัญชน์กลับบ้าง

คนอย่างรัญชน์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางควักเงินออกจากกระเป๋าง่ายๆยกเว้นเสียแต่ของสิ่งนั้นจำเป็นต้องใช้ อย่าว่าแต่อะไรอื่นเลย รถยนต์คันเก่าสับปะรังเคของรัญชน์ใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ จนป่านนี้เพื่อนรักของเธอก็ยังไม่ขายและซื้อใหม่ บอกแต่ว่าซื้อรถ คือลด ต้องซื้อบ้าน ถึงจะมีโอกาสเพิ่มมูลค่ารัญชน์อดทนใช้รถคันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

“เออๆ พูดกับแกทีไร ปวดประสาททุกที ทำงานต่อดีกว่า” รัญชน์รีบตัดบทสนทนาของเธอกับพัณณิน

เธอต้องรีบทำรายการของที่จัดเก็บไปไว้ในเรือนเล็ก ส่งให้กับสหวัตรภายในเช้าวันนี้ไม่อย่างนั้น เธอนี่แหละจะโดนเฉ่งว่าทำงานล่าช้า

นี่แหละชีวิตคนทำงาน กินเงินเดือน

ทำดีเสมอตัว ทำชั่วโดนไล่ออก เหมือนๆ เป็นกฎที่ไม่ได้รับการยกเว้นแม้แต่คนทำงานเก่งๆ อย่างรัญชน์




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:44:24 น.
Counter : 532 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๔/๑

บทที่ ๔

รัญชน์เริ่มต้นการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบ้านทรงแปลกตาที่เธอต้องออกแบบตกแต่ง เท่าที่ได้รับรู้ข้อมูลคร่าวๆจากพัณณิน ทำให้เธอหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเวียงโมระ ประเทศเล็กๆทางตอนเหนือของไทย ที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจใดๆ ในโลกมาก่อน

ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีทัศนียภาพอันสวยงามเท่าที่เธอได้รับรู้จากรูปถ่ายของนักท่องเที่ยวที่ได้ไปเที่ยวในดินแดนของเวียงโมระ

รูปบ้านไม้ทรงแปลกตา ที่เธอได้พบในข้อมูลที่ค้นหากลายเป็นบ้านปกติทั่วไปของคนโมระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุ้มเจ้าหลวงที่เธอเห็นภาพตรงหน้า คล้ายกับบ้านไม้ริมน้ำหลังนั้นอยู่มาก

หน้าจั่วหลังคาบ้านและหำยนต์หน้าห้องใหญ่ที่เธอกับพัณณินเข้าไปสำรวจล้วนแล้วแต่เป็นรูปนกยูงรำแพนหาง ลายเดียวกับคุ้มเจ้าหลวงที่เธอเห็น

สัญลักษณ์ของประเทศโมระคือนกยูงรำแพนหาง เป็นตราประจำพระองค์ของเจ้าหลวงแห่งโมระอีกด้วย

รัญชน์นั่งมองรูปหำยนต์ในมือของเธอแผ่นไม้สี่เหลี่ยมเหนือประตูด้านหน้าห้อง ลวดลายที่แกะสลักเอาไว้ช่างงดงามอ่อนช้อยยิ่งนัก นกยูงตัวนั้นราวกับมีชีวิต

เธอสังเกตสิ่งที่ส่องประกายวาววับที่ดวงตาของนกยูงตัวนั้น อาจจะเป็นกระจกสีประดับหรืออาจเป็นอัญมณีชนิดใดชนิดหนึ่ง

ถ้าต้องแกะแผ่นไม้นั้นออกมาทำใหม่คงต้องให้ช่างระวังและต้องคอยควบคุม ไม่ให้ใครมือบอน แกะ แงะ งัดเอาสิ่งที่ติดอยู่บนตัวนกยูงออกไป

จากที่เธอเคยศึกษามาบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

คนโบราณมักจะติดไอ้เจ้าหำยนต์แผ่นไม้ชื่อแปลกๆ เอาไว้เหนือประตู

ห้องนอนของเจ้าของบ้านเพื่อให้ปกปักษ์รักษาคนที่อยู่ในห้อง คล้ายๆ กับเป็นยันต์คอยปกป้องคุ้มครองคนที่อยู่ในห้องให้ได้รับแต่สิ่งที่ดีงาม

แต่บางกระแสบอกว่า ทั้งหำยนต์และกาแลเป็นสิ่งที่ชาวพม่าทำคุณไสยกับคนลานนา เพื่อให้อยู่ในอาณัติของคนพม่าตั้งแต่ครั้งที่ยังตกเป็นเมืองขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน

“เฮ้ย...ไอ้รัน ทำอะไรอยู่”อยู่ๆ เสียงของพัณณินดังขึ้น ทำเอาสมาธิของรัญชน์แตกกระเจิง

“ไอ้บ้า มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมด”

“ใครไม่ให้เสียง แกรู้ไหม ฉันเรียกแกตั้งหลายครั้งจนต้องเดินมาใกล้ๆ แล้วเรียกแกอีกนี่แหละ แกถึงได้ยินเสียงฉัน” พัณณินบ่นไปตามเรื่อง

“อ้าว...เหรอ โทษที มัวเพลินกับการหาข้อมูล”

“ข้อมูลอะไรของแก”พัณณินชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่อยู่ในมือของรัญชน์

“อ๋อ...ไอ้นี่เหรอ”

“แกว่าคุ้มเจ้าหลวงสวยไหม”

“ต้องสวยสิแก ไม้สักทองทั้งหลัง ไม่สวยได้ไง”

“ไม่ใช่... ฉันไม่ได้หมายถึงวัสดุแต่หมายถึงรูปทรงของตัวบ้านต่างหาก”

“ถือว่าโอนะ เหมาะเป็นบ้านของเจ้าผู้ครองประเทศ สวยสง่า ร่มรื่น น่าเกรงขาม”

“จะเอาอะไรเอาสักอย่างสิแก สวยก็ว่าสวยบ้านอะไรจะน่าเกรงขาม ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”

“แกเคยเข้าพระบรมหาราชวังใช่ปะล่ะแกรู้สึกว่าพระบรมหาราชวัง น่าเกรงขามหรือเปล่า สำหรับฉันนะ สถานที่แห่งนั้นทั้งน่าเกรงขาม ทั้งน่าเคารพ น่าอนุรักษ์ เพราะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไงแก”

“อ๋อ...เข้าใจแล้ว แกจะหมายถึงอะไร”

“ไอ้นี่มันอะไร”พัณณินหยิบรูปนกยูงไม้แกะสลักในมือของรัญชน์ขึ้นมาดู

“เข้าใจว่าน่าจะเป็นหำยนต์” รัญชน์พยายามอธิบายให้เพื่อนรับรู้

“อือๆ เล่นไสยศาสตร์กันเชียว ใช่เล่นนะเจ้าของบ้านหลังนี้”

“ฉันว่าน่าจะเป็นไปตามวัฒนธรรมมากกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องไสยศาสตร์อย่างที่แกว่าหรอกนะ”

“ทำไมล่ะ”

“นี่ไง” รัญชน์เอียงหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอให้กับเพื่อนเพื่อให้ดูได้ชัดๆ ถนัดตา เธอเปิดรูปบ้านในแบบต่างๆ ของคนโมระให้กับพัณณินได้ดู

“เออ...เนอะ มันมีทุกบ้านจริงๆ ราวกับว่าทุกคนในโมระชอบไอ้เจ้ารูปแกะสลักนกยูงรำแพนหางนี่เหลือเกิน”

“นั่นสิ หรืออาจเป็นสิ่งที่คนโมระเคารพมากที่สุดก็ได้”

“ฉันว่าน้า...”พัณณินลากเสียงยาว

“คนโมระคงเลี้ยงนกยูงเป็นสัตว์เศรษฐกิจแล้วก็ตัดหางนกยูงเป็นสินค้าส่งออก อะไรทำนองนั้นมากกว่าใครจะมาเคารพบูชานกยูงเป็นเทพ เป็นไปไม่ได้หรอกน่าไอ้รัน”

“ว่าได้รึ บางที่ยังนับถือแมว หมา กา ไก่ เยอะแยะไปหมด”

“เออ...เนอะ โอ๊ย... พูดกับแกแล้วปวดหัวไปหาอะไรกินกันดีกว่า เที่ยงกว่าแล้ว ฉันหิวตั้งแต่สิบโมง”ว่าจบพัณณินฉุดแขนของรัญชน์ให้ลุกจากเก้าอี้ ให้เดินตามเธอออกไปจากบริษัทเพื่อเตรียมตัวไปหาอะไรอร่อยๆ กระแทกปากให้หายหิว

สภาพการจราจรที่ติดๆ ขัดๆ ทำเอาพัณณินหิวจนตาลายแต่ต้องอดทน เธอจองโต๊ะเอาไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จะยกเลิกก็เสียดายเงินมัดจำจึงต้องจำทนหิวเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย

เมื่อไปถึงรัญชน์ส่งพัณณินไว้ที่หน้าตึก เธอขับรถขึ้นไปจอดเพื่อให้พัณณินไปสั่งอาหารเตรียมรอเธอไว้ก่อน ต่างคนต่างหิวด้วยกันทั้งคู่

รัญชน์เดินมาถึงร้านที่พัณณินบอกเอาไว้เมื่อมองเข้าไปเห็นพัณณินกำลังตักอาหารในจานเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

“ไม่รอกันเลยนะแกไอ้แต้ว”รัญชน์ต่อว่าพัณณินทีเล่นทีจริง

พัณณินไม่ตอบอะไร ตั้งหน้าตั้งตาโซ้ยอาหารตรงหน้าด้วยความหิวรัญชน์จึงไม่รอช้า หากช้ากว่านี้ พัณณินคงจัดการอาหารหมดก่อนที่เธอจะลงมือ

แต่แล้วพัณณินก็รีบวางช้อนลง

“เฮ้ย... เจ้านางคนนั้นไงไอ้รัน นั่นๆ เดินอยู่ตรงโน้น” พัณณินรีบชี้ให้รัญชน์ดู แต่รัญชน์กำลังง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้าจึงไม่ทันได้หันไปมองในสิ่งที่พัณณินชักชวนเธอ

“เร็วๆ เดี๋ยวเดินหายไปนะแก”พัณณินรีบลุกขึ้นจากโต๊ะ ฉุดรัญชน์ให้ลุกตามเธอ

“ไอ้บ้า...คนกำลังหิว นั่งลงเลยไอ้แต้ว ให้รู้เวลาบ้างจะบ้าจะบออะไรให้ดูเวลาหน่อย คนหิวจะเป็นลมตายดันทะลึ่งชวนไปดูเจ้านางบ้าบออะไรของแกไม่รู้” รัญชน์บ่นเธอรู้สึกเหมือนกับกำลังจะเป็นลมอย่างที่พูด

ด้วยความที่กว่าจะออกมาจากบริษัทปาไปเที่ยงกว่า

อีกทั้งพัณณินให้เธอขับรถมาจึงทำให้ต้องมาติดอยู่บนถนนอีกชั่วโมงกว่าๆ ณ เวลานี้เกือบจะบ่ายสาม อาหารกลางวันเพิ่งจะตกถึงท้องไปไม่ถึงสามคำพัณณินจะให้เธอลุกขึ้นไปจากอาหารอันแสนอร่อยตรงหน้า เห็นทีจะยาก...

“แฮะๆ โทษทีเพื่อนลืมไป แกกินไปก่อนนะฉันจะไปถ่ายรูปเจ้านางมาให้ดู”ว่าจบพัณณินลุกเดินออกจากร้านไปหน้าตาเฉยปล่อยให้รัญชน์จัดการกับอาหารตรงหน้าเพียงลำพัง

ไม่นานนักพัณณินกลับมา ด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง

“เป็นไงแก ได้เรื่องไหม”รัญชน์เอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วจากสีหน้าท่าทางของเพื่อน

“ได้บ้าอะไร รู้งี้นั่งกินข้าวต่อดีกว่าไปไหนแล้วไม่รู้เร็วจริงๆ ขนาดฉันวิ่งไปแล้วนะ ยังไม่ทันเลย” พัณณินหยิบแก้วน้ำของเธอขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้วด้วยความกระหายเต็มที่

“งี้แหละ คนสำคัญ แกอย่าบ้านักเลย”

“ถ้าไม่สวยจริงๆ ฉันไม่บ้าขนาดนี้หรอกน่า”

“เออ... ถึงจะสวยจริงอย่างที่แกว่ามันกินแทนข้าวไม่ได้นี่หว่า จะกินอะไรอีกไหมจะได้สั่งเพิ่ม”

“เออ...ดีเหมือนกัน วิ่งไป วิ่งมาที่กินเข้าไปเมื่อกี้ กระฉอกไปนอนอยู่ก้นลำไส้หมดแล้ว น้องๆ ขอเมนูหน่อย” พูดจบพัณณินยกมือขึ้นเรียกบริกรในร้านมาสั่งอาหารเพิ่มแทบจะทันที


สาวิตรีนำแบบตกแต่งคร่าวๆและรายละเอียดที่บริษัทรับเหมาส่งมาให้มธุรดาพิจารณา

“นมว่า...แบบที่เขาส่งมาให้ใช้ได้ไหมคะ” มธุรดาเอ่ยถามสาวิตรีเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา

“นมว่าดีนะเจ้าคะเจ้านางแบบที่เขาทำมาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ใจจริงนมอยากให้เอาช่างจากโมระมาทำมากกว่าช่างของเราเองทำบ้านของเราน่าจะเข้าใจงานของเราดีกว่าคนอื่น แต่เจ้าหลวงสิเจ้าคะจะให้เพื่อนทำให้ นมไม่อยากจะขัดทัยท่าน เดี๋ยวจะเป็นเรื่องขึ้นมาอีก” สาวิตรีอธิบายตามความคิดของเธอ

“นั่นสิ น่าแปลกที่เจ้าพ่ออยากให้บริษัทนี้ทำ ทั้งๆ ที่ช่างของเราเก่งกว่าตั้งเยอะ”

“เจ้าค่ะเจ้านาง”

“แบบนี้มันยังหยาบเกินไป หญิงมองๆ ดูแล้วถ้าช่างที่มาทำไว้ใจไม่ได้ ของในบ้านบางอย่างอาจจะหายไป”

“เจ้านางคิดว่าอะไรสำคัญให้คนของเราถอดเก็บไว้ก่อนสิเจ้าคะ”

“นั่นสิ พรุ่งนี้หญิงมีอะไรต้องไปทำที่ไหนหรือเปล่านม”

“ไม่มีเจ้าค่ะ ว่างทั้งวัน”

มธุรดาพยักหน้าเป็นการรับรู้ในสิ่งที่สาวิตรีบอกกับเธอพรุ่งนี้เธอคงต้องเข้าไปดูบ้าน เพื่อให้คนของเธอเก็บของสำคัญเอาไว้ก่อนที่จะสูญหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ






 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:43:14 น.
Counter : 883 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.