It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

มธุรดา yuri บทที่ ๓

บทที่ ๓

“บ้านนี้ดูแปลกประหลาดพิกล” พัณณินบอกกับรัญชน์หลังจากที่เธอวิ่งเข้ามาเกาะแขนของเพื่อนไม่ยอมปล่อย

“งี้แหละ บ้านที่ไม่มีคนอยู่ มันดูน่ากลัวถูกปล่อยรกร้างมาตั้งนาน แถมยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ อยู่รอบๆ บ้านความน่ากลัวเลยยิ่งมากขึ้น” รัญชน์พยายามใช่เหตุผลประกอบเพื่อปลอบใจตัวเองไปด้วย

ใช่ว่าเธอจะไม่กลัว เธอกลัวเหมือนกัน ยิ่งบ้านหลังนี้สร้างมานานร่วมๆร้อยปี แค่ประวัติความเป็นมาก็ทำให้ขนลุกขนพอง

“นั่นสิ ฉันว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ได้ข่าวว่า เมื่อก่อนเคยเป็นโกดังเก็บไม้ของปางไม้เชียวนะแก”

“โกดังเหรอ”

“อือ...โกดังเก็บไม้สักที่ล่องมาตามแม่น้ำเป็นของใครน้า นึกก่อน” พัณณินทำท่าคิดอยู่สักพัก “อ๋อ...แม่เลี้ยงวรัญชลี เจ้าของปางไม้ที่โด่งดังเมื่อสมัยเจ็ดสิบกว่าปีก่อนโน้น ว่าไปแม่เลี้ยงคนนี้ก็มีข่าวเยอะนะ”

“แกไปรู้จักเขาได้ไง กลับชาติมาเกิดรึ”

“ไอ้บ้า ฉันเคยทำบ้านไม้หลังหนึ่ง ฉันซื้อไม้จากบริษัทของแม่เลี้ยงไงแกจำไม่ได้รึ” พัณณินพยายามเท้าความถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน

เธอต้องหาไม้สักเพื่อเอามาซ่อมบ้านไม้หลังโตของผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เธอได้ไม้สักทองชั้นดีจากบริษัทวรัญชลีปางไม้ที่ยังพอมีเก็บเอาไว้แต่ราคาของไม้สักแต่ละท่อนสูงลิบลิ่วจนคนอย่างเธอไม่สามารถที่จะซื้อหาเอามาทำบ้านได้ นอกจากลูกค้าจะสั่งเท่านั้น

“จำได้แล้ว บ้านไม้ทรงขนมปังขิงอะไรของแกนั่นใช่ไหม”

“ใช่หลังนั้นแหละ อยู่ไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่แกเคยไปนี่นา ใช่ปะ”

“เคย บ้านของคุณนาลันทา ฉันจำได้แม่น ชื่อเธอแปลกหูแล้วไงต่อ”

“ไม่แล้วไง ฉันรู้มาแค่ แม่เลี้ยงเคยเป็นคนของเวียงโมระย้ายมาอยู่เมืองไทยก่อนการกบฏ ไม่ได้กลับไปโมระอีกเลย บ้านหลังนี้คงสร้างราวๆ นั้น”

“เกือบร้อยปี ยังแข็งแรงขนาดนี้แสดงว่าช่างที่มาสร้างเอาไว้คงเก่งมาก” รัญชน์มองไปรอบๆห้องที่เธอยืนอยู่ รู้สึกทึ่งกับฝีมือช่างไม้ในสมัยนั้นเป็นอย่างมากงานออกมาอย่างแนบเนียนแม้เวลาจะผ่านเลยมานานความสวยยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไป

“นั่นสิ ว้าย...” อยู่ๆพัณณินร้องขึ้นมาทำเอารัญชน์ที่กำลังเดินถ่ายรูปเก็บรายละเอียดของห้องแต่ละห้องต้องตกใจตาม

“ไอ้บ้า ร้องมาได้ ตกใจหมด” รัญชน์กระโดดตัวลอยเข้าไปกอดพัณณินเอาไว้แน่น

เธอแทบจะทิ้งกล้องถ่ายรูปในมือหล่นพื้นโชคดีที่เธอเอาสายกล้องคล้องติดมือเอาไว้ไม่อย่างนั้นคงได้เสียเงินซื้อกล้องตัวใหม่โดยไม่จำเป็น

“แกๆ รูปๆ”พัณณินพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ เธอชี้ไปยังรูปแขวนผนัง

รัญชน์มองตามนิ้วของเพื่อน เห็นภาพๆ หนึ่ง เป็นภาพเก่าๆที่เจ้าของบ้านคงตั้งใจแขวนเอาไว้ให้ดูเด่นเป็นสง่า

น่าแปลก เธอเข้ามาในห้องนี้ครั้งแรกทำไมไม่เห็นหรือเป็นเพราะตู้ไม้สักขนาดใหญ่ ดึงดูดสายตาของเธอแทนภาพๆ นั้นก็เป็นได้

“น่ากลัว มีพวงมาลัยแขวนเอาไว้ด้วย”

รัญชน์มองดูรายละเอียดในภาพนั้น พบว่าคงเป็นภาพเก่าสีไม่ใช่แค่เพียงซีด หากแต่ยังแตกลายเป็นสีน้ำตาลเก่าๆ เหมือนๆ กับภาพโบราณทั่วๆไป แต่ความใหญ่ของภาพนั้นทำให้รัญชน์ต้องจ้องมองมันไม่วางตา

ในภาพนั้นมีรูปของผู้ชายคนหนึ่ง นุ่งโสร่ง โพกศีรษะเหมือนๆกับชาวพม่า แต่ไม่น่าจะใช่ รูปแบบการโพกผ้าที่ศีรษะนั้นไม่ได้ทิ้งปลายเหมือนกับที่เคยเห็นรูปภาพเก่าของชาวพม่าหากแต่มันถูกจับเก็บปลายไปจนหมด

“เหมือนๆ พวกเจ้านายฝ่ายเหนือ”รัญชน์บอกอย่างนั้น

“ไม่มั๊ง พวกนั้นไม่นุ่งโสร่ง”

“นั่นดิ อาจเป็นรูปเจ้าของบ้านก็ได้ หรือไม่ก็เดาว่าเป็นชาวโมระคนใดคนหนึ่งที่เจ้าของบ้านเคารพบูชา”รัญชน์รีบสรุป หากมัวโอ้เอ้อยู่ที่ภาพๆ นี้ เธอ

คงไม่ได้ทำงาน

“แกจะไปไหน” พัณณินเอ่ยถามเมื่อเห็นรัญชน์ทำท่าจะเดินจากไป

“ไปทำงานต่อสิ ขืนยืนอยู่ตรงนี้ถึงมืดค่ำมีหวังไม่ฉันก็แกหัวโกร๋นแน่” ว่าจบรัญชน์รีบยกกล้องของเธอถ่ายรูปที่เธอต้องการ โดยไม่หันไปสนใจพัณณินอีกเลย

มธุรดากลับมาถึงโรงแรมในช่วงดึก หลังจากที่ต้องออกไปทำตามหน้าที่ของเธอ

วันนี้ร้านเพชรของเวียงโมระเปิดตัวที่ห้างหรูใจกลางเมือง เพชรจากเวียงโมระเป็นที่ต้องการของผู้สะสม ด้วยความแวววาวยิ่งกว่าเพชรที่ขุดได้จากที่อื่นทำให้ราคาของเพชรจากเวียงโมระสูงลิบลิ่ว

หลังจากที่เจ้าพ่อของเธอขึ้นปกครองเวียงโมระ ท่านได้ทำให้เวียงโมระมีชื่อเสียงในทุกด้านแต่เป็นการทำแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่หักโหมและไม่ทำให้ประชาชนของเวียงโมระต้องเปลี่ยนพฤติกรรม

รายได้หลักของโมระมาจากเหมืองเพชร ป่าไม้และของป่า ด้วยความที่ประชาชนเวียงโมระมีไม่มากนักจึงทำให้การแจกจ่ายสวัสดิการทางสังคมให้กับประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึง

แม้เวียงโมระจะเป็นประเทศในหุบเขา แต่มีสาธารณูปโภคทุกอย่างพร้อมโรงพยาบาล หมอ โรงไฟฟ้าพลังลม พลังน้ำ ถนนหนทางที่ไปถึงทุกหมู่บ้านเครือข่ายการสื่อสาร และอื่นๆ

โมระเป็นประเทศปิด จึงทำให้การติดต่อค้าขายกับนานาประเทศมีน้อยส่วนใหญ่เวียงโมระจะเป็นฝ่ายเสนอขายสินค้ามากกว่าการซื้อเข้าประเทศทำให้ดุลการค้าของเวียงโมระไม่เคยเสียเปรียบประเทศใด

เธอเคยถามท่านพ่อของเธอ ว่าเหตุใดจึงไม่เปิดประเทศทำไมต้องจำกัดคนที่จะเข้ามาลงทุน หรือท่องเที่ยวในประเทศของเธอ

เธอคิดว่าการที่มีเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศจะทำให้โมระมีเงินสกุลอื่นมาช่วยหนุนเงินทุนสำรองของประเทศให้มั่นคงมากขึ้น

คำตอบที่ได้มาทำให้ตัวเธอรู้สึกอึง

“หญิงเคยลงทุนทำการค้าไหมลูก”

“เคยเจ้าค่ะ”

“หญิงต้องการอะไรจากการทำการค้าบ้าง”

“กำไรสิเจ้าคะ”

“หญิงคิดว่า ถ้าเราให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในบ้านเมืองเรามากๆเขาจะได้กำไรจากการลงทุนนั้นหรือเปล่าคะ”

“ได้สิคะท่านพ่อ”

“แล้วถ้าเขาได้กำไร เขาจะเอาเงินกำไรไปทำอะไร”

“เอาเก็บสิเจ้าคะ หรือไม่ก็เอามาลงทุนเพิ่ม”

“แล้วถ้าเขาได้กำไรจากกำไรที่เขาลงทุนเพิ่มนั้นอีกเขาจะเอาไปทำอะไร”

“คงส่งกลับประเทศ”

“นั่นสิคะ ถ้าเขาได้กำไรและกำไรนั้นถูกส่งกลับประเทศเขาจนหมด โมระจะได้อะไรจากการลงทุนเหล่านั้นคะหญิง”

เธอจำได้ว่าเธอไม่มีคำตอบให้กับเจ้าพ่อนั่นทำให้เธอกลับไปคิดทบทวนถึงโครงการที่เธออยากจะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโมระดูเหมือนว่า ท่านพ่อจะพอใจกับการบริหารประเทศแบบดั้งเดิมที่โมระเคยทำมาร่วมพันปี

โมระไม่มีกองกำลังทหารที่ทันสมัย ทหารของโมระมีจำนวนไม่มากนั่นก็อีกประเด็นหนึ่งที่เธอเคยถามเจ้าพ่อ

“ทำไมเราไม่สร้างกองกำลังให้แข็งแกร่งกว่านี้ล่ะคะท่านพ่อ”

“เรามีทหารพอเพียงกับการป้องกันประเทศ มีมากไม่เป็นผลดีกับเรา”

“ทำไมถึงไม่ดีล่ะเจ้าคะในเมื่อประเทศข้างเคียงมีด้วยกันทั้งนั้น”

“โมระไม่เคยคิดจะรุกรานใคร เราอยู่อย่างสงบสันติมานานถ้าวันใด วันหนึ่ง เราสร้างกองกำลังที่มีศักยภาพอย่างที่ลูกว่ามาประเทศเพื่อนบ้านต้องหวาดระแวงเรา เรานั่นแหละจะลำบากอีกอย่างพ่อไม่ชอบการรบราฆ่าฟันกัน”

“ถ้าประเทศมหาอำนาจต้องการที่จะฮุบประเทศเราแต่เราไม่มีกองกำลังอะไรจะป้องกันประเทศเจ้าพ่อไม่คิดบ้างหรือเจ้าคะว่าเราคงสิ้นประเทศ”

“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ชาวโมระทุกคนจะเป็นทหารหากใครอยากครอบครองประเทศที่ไม่มีประชาชนหลงเหลืออยู่ในประเทศเลยสักคน ให้เขา

เอาไปถ้าวันนั้นมีจริง พ่อนี่แหละจะเป็นคนแรกที่สละชีพเพื่อประเทศของเรา”

คำตอบของเจ้าพ่อทำให้มธุรดาต้องคิดหนักดูเหมือนว่าความคิดระหว่างเธอกับเจ้าพ่อมีบางอย่างที่ยังไม่ตรงกัน

เธอเติบโตมาจากต่างแดน ถูกส่งให้ไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กความรู้สึกนึกคิดจึงต่างไปจากเจ้าพ่อของเธอ แต่เมื่อเจ้าพ่อยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ เธอจึงต้องทำตาม

ประชาชนชาวโมระไม่เคยลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการปกครองของเจ้าหลวงหนำซ้ำยังเคารพและยำเกรงเจ้าหลวงยิ่งกว่าสิ่งใด จะมีแต่เวียงฟ้าเท่านั้นถ้าเวียงฟ้ามีประกาศิตอะไรลงมา ถึงเป็นเจ้าหลวงก็ต้องทำตาม

ก่อนหน้านี้ เธอไม่เคยพบกับองค์เทพีของเวียงฟ้ามาก่อน จะว่าไปเธอไม่เคยพบคนของเวียงฟ้าเลยด้วยซ้ำเธอจึงไม่ค่อยรู้สึกเคารพเวียงฟ้าเหมือนประชาชนชาวโมระทั่วไป

แต่เมื่อสองปีก่อนเธอกลับมาโมระเป็นการกลับมาหลังจากที่จากประเทศบ้านเกิดไปหลายปี

คนของโมระมาต้อนรับเธอ องค์เทพีเสด็จมารับด้วยองค์เองเธอรู้สึกถูกชะตากับองค์เทพีเวียงฟ้าองค์นี้มาก แต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกันองค์เทพียกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอลงสามครั้ง จากนั้นจึงหลบให้ผู้มาต้อนรับคนอื่นๆเข้ามาหาเธอ

หลังจากนั้น เธอได้มีโอกาสขึ้นเวียงฟ้าพร้อมๆ กับเจ้าพ่อเพื่อขึ้นไปทำบุญประจำปีให้กับพระศพของเจ้าหลวงองค์ก่อนๆ

บนเวียงฟ้าผู้คนบางตา อากาศค่อนข้างเย็นเธอรู้สึกชอบสภาพแวดล้อมที่เธอได้เห็น วิหารใหญ่ของเวียงฟ้า ที่เธอเข้าไปนั้นทำให้เธอแทบลืมหายใจ

พิธีกรรมต่างๆ ที่เธออยู่ร่วมดูขลังจนขนลุกองค์เทพีพาเธอและเจ้าพ่อเข้าไปยังสุสานของเจ้าหลวงโมระในที่แห่งนั้นดูสงบไม่น่ากลัวอย่างที่เธอคิดไว้แต่แรก

แต่...เธอไม่เห็นพระศพของเจ้านางหลวงเมจกาในสุสานแห่งนั้น

เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่า เจ้านางหลวงเมจกาเป็นหญิงจึงไม่ได้บรรจุพระศพเอาไว้ ณ ที่นั้นและจนบัดนี้เธอยังไม่มีคำตอบให้กับตัวเองในเรื่องนี้

องค์เทพีขอพบเธอเป็นการส่วนตัว ในวิหารยุรา ส่วนเจ้าพ่อของเธอทำ

สมาธิอยู่ในสุสานราวกับว่ากำลังจะทำการสื่อสารกับเจ้าหลวงองค์ก่อนที่อยู่ในสุสานแห่งนั้น

องค์เทพีนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง มีเธอนั่งอยู่ตรงกันข้ามการสนทนาจึงเริ่มขึ้น

“เราไม่ได้พบกันนานเลยนะมธุรดา”

“เราเคยพบกันด้วยหรือเจ้าคะท่าน”

“เราเคยพบกันตอนที่เจ้าเกิด”

“เจ้าค่ะ”

“ท่านแม่เจ้าสบายดีไหม”

“สบายดีเจ้าค่ะ”

“เรากับท่านแม่ของเจ้าเคยเป็นเพื่อนกัน”

“เจ้าค่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังเช่นนั้น”

“เรายินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง”

“เจ้าค่ะ”

“เจ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเวียงฟ้าบ้างหรือไม่”

“อยากทราบเท่าที่ท่านจะเล่าเจ้าคะ” มธุรดาเกร็งไปหมด เธอไม่เคยรู้สึกยำเกรงใครเท่าองค์เทพีองค์นี้มาก่อน

“เวียงฟ้าเป็นแบบที่เจ้าเห็น ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอยากอยู่บนเวียงฟ้านี้ไหม”

“แล้วแต่ท่านจะกรุณาเจ้าค่ะ”

“อย่าเกร็งเลย เราคุยกันได้บนเวียงฟ้าแห่งนี้เราเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น”

“เฮ้อ...”มธุรดาปล่อยลมหายใจของเธอออกมายาวๆ

“อึดอัดสินะ”

“เจ้าค่ะ ไม่เคยรู้สึกอึดอัดแบบนี้มาก่อน”

“ปล่อยตัวตามสบาย”องค์เทพีลุกขึ้นเดินมาใกล้ๆ เก้าอี้ที่มธุรดานั่งอยู่

สองมือขององค์เทพียกขึ้นวางทาบบนศีรษะของมธุรดาความรู้สึกของมธุรดาในตอนนั้น ราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆผ่านจากมือคู่นั้นส่งมายังศีรษะ ของเธอ ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายเกิดขึ้นกับเธอสิ่งที่เคยคิดฟุ้งซ่านในใจ

หมดไปอย่างไม่น่าเชื่อ

“จากนี้ไป เราจะสื่อสารกันทางจิตได้” เสียงๆ หนึ่งก้องในหูของมธุรดา และเสียงนั้นเป็นเสียงขององค์เทพี

“อะไรนะเจ้าคะ”

“เราบอกเจ้าว่า จากนี้ไปเราจะสื่อสารกันทางโทรจิตได้เจ้าลองคิดที่จะพูดกับเราโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาสิ”

มธุรดาทดลองทำตามที่องค์เทพีบอกกับเธอ “ทำได้หรือเจ้าคะ” ราวกับปาฏิหาริย์เสียงที่เธอคิดในสมองส่งผ่านไปยังองค์เทพีอย่างง่ายดาย

นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอสามารถสื่อสารกับองค์เทพีแห่งเวียงฟ้าทางโทรจิตหลังจากนั้น เธอกับองค์เทพีสามารถพูดคุยกันได้ทุกครั้งที่เธอต้องการ

เพียงแค่กำหนดจิต คิดว่าจะพูดอะไรเสียงของเธอถูกส่งไปยังองค์เทพีแห่งเวียงฟ้าได้อย่างง่ายดาย

ด้วยเหตุนี้ความคิดเกี่ยวกับเวียงฟ้าของเธอจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเธอนับถือเวียงฟ้ายิ่งกว่าอื่นใดในโลก เธอเข้าใจประชาชนชาวโมระ ว่าเหตุใดจึงเลื่อมใสศรัทธาเวียงฟ้ายิ่งกว่าอื่นใด




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:39:14 น.
Counter : 446 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๒/๒

บทที่ ๒/๒


รถของพัณณินพารัญชน์มายังบ้านเก่าโบราณหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา

บ้านหลังนี้มีเนื้อที่กว้างขวางกว้างเสียจนเมื่อรถแล่นเข้าไปด้านในมองแทบไม่เห็นรั้วบ้าน

“โอ้โห รวยน่าดู” พัณณินอุทานออกมาเบาๆ

“รวยสิเป็นถึงเจ้าหลวงเวียงโมระ ไม่รวยได้ไง”

“ไม่นะได้ข่าวว่าบ้านหลังนี้เป็นของแม่เลี้ยงปางไม้ทางเหนือพอแม่เลี้ยงเสียก็ยกให้กับเจ้านางหลวงของเวียงโมระ”

“เยอะจัง มีทั้งเจ้านางหลวง เจ้านางน้อย”

“แกไม่เคยอ่านหรือไง เขาลงข่าวกันให้ครึกโครม”

“ไม่เคย”

“เออ...ดีนะเพื่อนฉัน จะบอกให้นะว่า เรื่องมันซับซ้อนหลังจากที่เจ้านางหลวงท่านขึ้นครองราชย์ ได้ไม่นานก็สิ้น”

“หือ ทำไมล่ะ โดนลอบปลงพระชนม์หรือไง”

“ข่าวว่าท่านไม่สบาย ทรงงานหนัก”

“เจ้าหลวงองค์นี้ขึ้นตำแหน่งแทนว่างั้น”

“อือ ท่านเป็นพระญาติที่สนิทที่สุดทางเวียงฟ้าเลยเชิญท่านให้รับตำแหน่งแทน”

“มีเวียงโมระแล้วยังมีเวียงฟ้าอีกนะ”

“นั่นแหละ เวียงโมระแบ่งการปกครองออกเป็นสองฝ่ายมีฝ่ายกษัตริย์กับเวียงฟ้าเวียงฟ้าเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนมีองค์เทพีเป็นผู้นำส่วนฝ่ายกษัตริย์มีเจ้าหลวงเป็นผู้นำ”

“แล้วทหารล่ะ ไม่มีส่วนปกครองหรือไง”

“ไม่มี ทหารจะแบ่งเป็นสองฝ่ายเหมือนกันมีฝ่ายเจ้าหลวงกับฝ่ายของเวียงฟ้า”

“แบบนี้ก็แย่ดิ ถ้าทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันมิตีกันจนบ้านเมืองพินาศหมดหรือไง”

“ไม่หรอก เวียงฟ้าไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการปกครอง”

“ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่คนที่เราต้องมาพบเขาอยู่ที่ไหนหว่า”

“นั่นสิ มองๆ อยู่เหมือนกัน นั่นๆ แกตรงนั้นมียามเฝ้าเราขับเข้าไปจอดตรงนั้นคงได้” พัณณินทำตามที่เธอพูดเธอขับรถเข้าไปจอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ข้างๆ ตัวบ้าน

ทั้งคู่ลงจากรถ เข้าไปบอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้

“เชิญทางนี้ครับ” ทหารเดินนำทั้งคู่ให้เข้าไปนั่งรออยู่ใต้ถุนบ้าน

ไม่นานนักปรากฏร่างของหญิงคนหนึ่งเดินมาจากด้านหลังบ้าน

ทั้งสองลุกขึ้นเพื่อทักทาย

“สวัสดีค่ะ ฉันพัณณิน และนี่คุณรัญชน์เรามาจากบริษัทตกแต่งภายใน

ที่คุณนัดเอาไว้ค่ะ”

“เชิญนั่งค่ะ ฉันสาวิตรีค่ะ เป็นตัวแทนของเจ้านางน้อยยินดีที่ได้รู้จักกับพวกคุณ”

“เช่นกันค่ะ คืองี้ค่ะฉันสองคนเอาแบบที่เคยออกแบบไว้มาให้ทางคุณดูก่อนค่ะ ว่าจะให้ทำแบบประมาณไหนบอสของฉัน คือฉันหมายถึงคุณสหวัตร ให้เราทั้งคู่เอาแบบมาให้คุณพิจารณาให้เก็บรายละเอียดของงาน ดูว่าเราจะต้องปรับปรุงอะไรก่อนที่จะลงมือตกแต่งใหม่หรือเปล่า”รัญชน์เริ่มเข้าเรื่อง ก่อนที่ทั้งสามจะนั่งลงคุยกันด้วยซ้ำไป

“ค่ะ พอทราบ แต่ฉันคงตัดสินใจอะไรไม่ได้คงต้องเอาแบบไปให้เจ้านางท่านทรงทอดเนตรก่อน ถ้าท่านตัดสินใจเลือกแบบไหนเราค่อยมาคุยกันอีกครั้งดีไหมคะ”

“ค่ะได้ค่ะ แต่วันนี้ฉันคงต้องขออนุญาตถ่ายรูปบ้านจะได้ไหมคะ ไม่อย่างนั้นฉันคงออกแบบอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีรายละเอียดอะไรประกอบ”

“ได้สิคะ เชิญเลย”

“ต้องทุกห้องด้วยนะคะ”

“คงได้ไม่ทั้งหมดหรอกค่ะ บางห้องเราขอสงวนเอาไว้”

“ไม่มีปัญหาค่ะ ห้องไหนถ้าคุณไม่ให้เข้าบอกได้ค่ะพวกฉันคงไม่เข้าไปรบกวน”

“ไม่ได้ถือเป็นการรบกวนหรอกค่ะแต่บางห้องเป็นห้องปิดตาย จะเข้าได้เฉพาะเจ้าหลวงกับเจ้านางน้อยเท่านั้นคุ้มแห่งนี้ถึงจะอยู่นอกอาณาเขตของประเทศเวียงโมระแต่เราขอให้ทางการไทยใช้สิทธิทางการทูตถือว่าเป็นของเวียงโมระค่ะ”

“ค่ะๆ พอเข้าใจ”พัณณินชักรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อต้องนั่งพูดคุยอยู่กับสาวิตรี ภายในบ้านหลังนี้

“เชิญตามสะดวกเลยค่ะ ฉันจะให้ทหารพาคุณเดินถ่ายรูปฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปธุระต่อ”

“ค่ะ เชิญค่ะ”รัญชน์และพัณณินรีบลุกขึ้นยืนส่งสาวิตรี พวกเธอยืนมองหญิงสูงวัยกว่าเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน

“แกว่ามะไอ้รัน บ้านหลังนี้มันบรื้อๆ ไงไม่รู้”

“น่าบรื้ออยู่หรอก บ้านเก่าขนาดนี้ ฉันว่าดูขลังดีนะไม่ค่อยได้เห็นบ้านแบบนี้บ่อยนัก”

“นั่นสิ จะว่าเหมือนบ้านแบบลานนาคงไม่ใช่จะเป็นบ้านทรงไทยคงไม่เชิง มันออกแบบแปลกๆ” พัณณินกำลังพิจารณาบ้านที่ออกแบบแปลกตาจากที่เธอเคยพบมาทำเอาสถาปนิกอย่างเธอเดาทางไม่ออกกันเลยทีเดียว

“งานช้างแน่ๆ ฉัน”รัญชน์บ่นกับตัวเอง

“ฉันว่างานแมมมอสมากกว่านะแก โบสุดๆ เก่าสุดๆแถมยังน่ากลัวสุดๆ ยิ่งคิดยิ่งขนลุก แกรีบๆ ไปเถอะถ้าค่ำมืดฉันคงไม่อยู่กับแกหรอกนะ ท่าทางน่ากลัวจะตายไป”

“แกอย่าทำฉันขวัญเสียสิ ไอ้แต้วแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้”

“เออๆ มาโน่นแล้วคนนำทาง รีบไปเถอะ เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน” พัณณินรีบจ้ำพรวดเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวของทหารที่จะนำเธอไปเดินถ่ายรูปห้องต่างๆในบ้านหลังใหญ่หลังนี้

เดาได้ว่า คงอีกหลายชั่วโมง กว่ารัญชน์เพื่อนของเธอจะทำงานเสร็จ

งานนี้ไม่น่าหลวมตัวมาเป็นเพื่อนรัญชน์เลย ทำไงได้ ในเมื่อมาแล้วต้องอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะเสร็จงาน

ไม่อย่างนั้น เธอคงโดนรัญชน์ตบหัวหลุดออกจากบ่าพัณณินยืนคิดอะไรเพียงไม่กี่อึดใจ เมื่อหันมาอีกทีรัญชน์หายไปจากสายตาของเธอทำเอาเธอร้องลั่น

“ไอ้รัน รอด้วย” พัณณินรีบวิ่งเสียงดังโครมครามไปบนพื้นไม้สักแผ่นโตตามหลังรัญชน์ที่เดินลับหายไปหลังประตูบานใหญ่ยักษ์ ที่อยู่ไม่ไกลนัก




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:38:22 น.
Counter : 693 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๒/๑

บทที่ ๒

แท็กซี่ที่ทั้งสองคนโดยสารมาพาทั้งคู่เข้ามาส่งหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่มธุรดาบอกให้ไป

“จอดด้านหน้านี่ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเดินไปเอง” มธุรดาบอกอย่างนั้น

แท็กซี่จอดส่งบริเวณด้านหน้าทางเข้าโรงแรมหรู

“แน่ใจนะว่าคนในโรงแรมจะให้คุณเข้าไป” รัญชน์มองคนที่มากับเธอการแต่งกายแบบนี้เธอกลัวว่าเจ้าหน้าที่ของโรงแรมจะไม่ให้คนที่นั่งข้างๆเธอเยื้องกรายเข้าไปด้านใน

“แน่ใจค่ะ” มธุรดาส่งยิ้มนิดๆให้กับรัญชน์

“โอเคค่ะ โชคดีนะคะ”เมื่อคนถูกถามตอบคำถามเรียบร้อยและลงจากรถ รัญชน์จึงไม่มีคำถามอื่นใดอีกมีเพียงคำกล่าวลาที่แสนจะเรียบง่าย

“เช่นกันค่ะ”มธุรดาตอบกลับเปิดประตูลงจากรถ เมื่อปิดประตูกลับคืน เธอรอให้รถแล่นออกไปก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปในโรงแรมหรูแห่งนั้น

ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นประตูด้วยซ้ำ เสียงคุ้นๆ หูร้องทักเธอแถมด้วยหญิงสาวรูปร่างอ้วนกลม วิ่งกระปุ๊กลุกมายังที่เธอเดินอยู่

“ต๊าย...ตาย... ตาย เจ้านางเจ้าขา ทำไมเพิ่งเด็ดกลับมารู้ไหมนมเป็นห่วงแค่ไหน ฝนตกหนักอย่างนี้ ไหนบอกนมว่าจะกลับมาก่อนนมไงเจ้าคะทำไมถึงได้มาถึงช้าแบบนี้”

“หญิงไปเดินเล่นในห้างมาน่ะนม ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

“ไม่มีอะไรได้ยังไงเจ้าคะเจ้าหลวงท่านทรงห่วงเจ้านางมาก ทรงโทรมาถามว่าเจ้านางอยู่ที่ไหน นมต้องโกหกไปว่าเจ้านางสรงน้ำอยู่ ไม่อย่างนั้น หัวของนม ต้องหลุดจากบ่าแน่ๆ เชียว”

“เอาน่านม เดี๋ยวหญิงโทรคุยกับท่านพ่อเอง นมอย่าโวยวายนักเลยเออ...ว่าแต่ว่า เรื่องที่หญิงให้นมติดต่อกับผู้ออกแบบตกแต่งบ้านนมติดต่อไปถึงไหนแล้ว”

“กำลังติดต่ออยู่เจ้าค่ะทางนั้นเขาว่าพรุ่งนี้จะส่งคนออกแบบมาคุยกับเราเจ้าค่ะ”

มธุรดาพยักหน้ารับรู้เธอกำลังจะปรับปรุงบ้านของญาติผู้ใหญ่ในเมืองไทยให้ทันสมัยกว่าที่เคยเป็นรวมถึงรื้อเอาไม้ที่ผุกร่อนไปตามกาลเวลาออกจากตัวบ้าน ต้องให้ช่างหาไม้ใหม่มาทดแทนซึ่งนั่นเท่ากับว่าเธอต้องได้ช่างฝีมือดี และไว้ใจได้มาทำงานให้กับเธอ

“บริษัทนี้เขาไว้ใจได้เจ้าค่ะเจ้านางเจ้าหลวงทรงรับสั่งว่าเจ้าของเป็นเพื่อนท่าน เขาเคยเห็นบ้านเมื่อสมัยที่ยังสวยๆอยู่ คงพอจำได้ว่าต้องแก้ไขให้เป็นแบบไหน”

“อืมๆ” มธุรดาค่อยๆเดินคุยไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูลิฟต์ที่จะขึ้นไปยังห้องพักของเธอ

“พรุ่งนี้เจ้านางต้องไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือเจ้าค่ะนมให้เขานัดเอาไว้ที่ห้องอาหารของโรงแรม”

“จ๊ะ”

“ตอนเย็นเจ้านางต้องไปงานเปิดตัวร้านเพชรเจ้าค่ะ”

“จ้า”

“ส่วนตอนดึก”

“พอๆ นมหญิงว่าหญิงขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ไปเถอะลิฟต์มาแล้ว” พูดจบ มธุรดาเดินนำพระนมของเธอเข้าไปในลิฟต์ก่อนที่พระนมจะสาธยายงานของเธออีกยืดยาว จนเธอหูชา

“พรุ่งนี้ทำตามตารางนัดหมายนะคะนม” มธุรดาบอกเมื่อเธอเข้ามายืนอยู่ในลิฟต์เป็นที่เรียบร้อย

“แล้วคนของบริษัทตกแต่งล่ะคะเจ้านาง”

“นมจัดการไปตามสะดวกเลยค่ะหญิงคงไม่มีเวลาพบพวกเขาหรอก”

“เจ้าค่ะเจ้านาง”

มธุรดากำลังคิดถึงผู้หญิงที่เธอพบโดยบังเอิญ หญิงคนนั้นคงจะโกรธเธอ

เหมือนกันที่ทำให้หล่อนเปียกปอนเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ทำให้เธอนึกเรื่องบางอย่างได้ จนต้องอุทานออกมา “ตายแล้ว ลืมสนิมเลย”

“อะไรเจ้าคะเจ้านาง”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร หญิงลืมขอเบอร์ติดต่อใครคนหนึ่ง”

“ใครเจ้าคะ บอกนมสิเจ้าคะจะได้ให้คนของเราติดต่อกลับไปให้”

“ไม่มีอะไรหรอกนม แค่ลืมแค่นั้น ไม่ได้สำคัญอะไร”

“เจ้าคะ”

ลิฟต์พามธุรดาและพระนมของเธอ มาถึงชั้นที่เป็นที่พักของทั้งสองคนมธุรดาจึงเดินนำเข้าไปยังห้องพักที่ลิฟต์ตัวนั้นคือประตูห้องของเธอ

“หญิงขอตัวนะคะนม เหนื่อยจังเลยวันนี้”

“เดี๋ยวนมเตรียมน้ำสรงให้นะเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไรคะนม หญิงทำเองดีกว่า นมไปพักผ่อนเถอะเหนื่อยมาทั้งวันเหมือนกัน”

“เจ้าค่ะเจ้านาง”สาวิตรีรับคำสั่งอย่างว่าง่าย พรุ่งนี้เธอคงต้องทำตามที่เจ้านางน้อยสั่งเอาไว้และคิดว่ากว่าจะสะสางงานเสร็จอาจจะดึกดื่นค่อนคืนเหมือนเช่นวันนี้

รัญชน์มาถึงที่ทำงานแต่เช้า เธอเข้ามาเตรียมอะไรบางอย่างเพื่อที่จะไปพบลูกค้าในวันนี้

“รันเข้ามาพบผมหน่อย”เสียงเรียกจากเจ้านายสุดหล่อของรัญชน์ดังมาแว่วๆ

“ค่ะบอส”รัญชน์รับคำและรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เธอยังไม่ทันได้นั่งเพื่อไปยังห้องทำงานของสหวัตร

“บอสมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมขอดูแบบที่คุณเตรียมเอาไว้หน่อยวันนี้ลูกค้าขอดูแบบคร่าวๆ”

“รันยังไม่ได้ออกแบบใหม่นะคะบอส รันยังไม่เห็นตัวบ้านไม่แน่ใจว่าทางนั้นต้องการแบบไหน รันเอาแบบที่เคยทำไว้ไปให้เขาดูก่อน”

“อืมๆ เอามาดูก่อน ลูกค้าคนนี้สำคัญมาก”

“ค่ะ”รัญชน์รีบเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเธอหยิบเอกสารเกี่ยวกับการออกแบบทั้งหมดที่เธอรวบรวมเอาไว้ไปให้สหวัตรคัดเลือก

“เอาแบบนี้แล้วกัน”สหวัตรเลือกแบบออกมาห้าแบบเขาเคยเห็นบ้านไม้หลังนั้นมาแล้วในสมัยที่เขายังเป็นนักเรียนแต่นั่นล่วงเลยมาเกือบสามสิบปี

เขายอมรับว่าบ้านหลังนั้นดูขลังและน่ากลัว แต่ถ้าจัดการตกแต่งใหม่น่าจะทำให้ความน่ากลัวลดลง และกลายเป็นสิ่งที่น่าเก็บรักษาเอาไว้

บ้านหลังนั้นอยู่ห่างออกไปจากตัวกรุงเทพฯ ไม่มากนักถ้าเป็นสมัยก่อนเรียกว่าไกลปืนเที่ยง แต่เมื่อผ่านมาสามสิบกว่าปีถนนหนทางเส้นใหม่ๆ ถูกตัดขึ้นมามากมาย ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น

ผิดกับสมัยก่อนที่ต้องเดินทางทางเรือเท่านั้นจึงทำให้บ้านหลังนั้นกลายเป็นที่พักอันสงบหากต้องการตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก

“วันนี้ลูกค้าจะส่งตัวแทนมาดูงานของคุณแต่เราต้องไปพบเขาที่บ้าน ผมจะให้คุณเก็บรายละเอียดทั้งหมดของบ้านเราคงต้องปรับแก้ตัวบ้านให้แข็งแรงก่อน ถึงจะปรับปรุงด้านในผมคิดว่าตัวบ้านคงโทรมน่าดู”

“ค่ะ”

“เออใช่ บ้านหลังนี้เป็นของเจ้าหลวงโมระนะ ต้องทำดีๆ”

“ตายๆ บอส แล้วเขาจะส่งใครมาคุยกับเราล่ะ” รัญชน์ค่อนข้างตกใจเมื่อรู้ว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นคือใครเธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“น่าจะเป็นเจ้านางน้อย”

“หว่ายๆต้องไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยที่พื้นหรือเปล่าคะนั่น”

“ไม่ต้องหรอก”

“เฮ้อ...โล่งใจ” รัญชน์โล่งใจที่เธอไม่ต้องทำอะไรที่ไม่ค่อยจะได้ทำ

“ทำไมกลัวหรือไง”

“ไม่เชิงค่ะ แค่ไม่เคยเข้าพบเจ้านาย ทำตัวไม่ถูก”

“คุณไปเตรียมตัวได้แล้ว สักสิบโมงเราคงต้องออกไป”

“ว่าแต่บ้านนั้น อยู่แถวไหนคะ

“นนทบุรี ไม่ไกลมาก”

“ค่ะบอส”รัญชน์เดินออกมาจากห้องของสหวัตรด้วยความรู้สึกแปลกๆ

เธอเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เห็นพัณณินมาถึงที่ทำงานแล้วจึงรีบปรี่เข้าไปหา

“เฮ้ย...ไอ้แต้ว มีเรื่องขอความช่วยเหลือ อย่างด่วน”

“มีอะไรแก ฉันยังไม่ทันได้นั่งเลย รถติดโคตรๆ” พัณณินเริ่มบ่น เธอเพิ่งจะเข้ามาในบริษัทยังไม่ทันได้นั่งเก้าอี้เพื่อนซี้รีบปรี่เข้ามาหาทำหน้าเหมือนหมูกำลังจะโดนเชือด

“คืองี้ ฉันยังไม่ได้เอารถออกจากอู่เลยฉันคงต้องให้แกช่วยหน่อย”

“ช่วยอะไร อย่าบอกนะว่าจะขอยืมรถฉัน เรื่องแค่นั้นจิ๊บๆทำไมต้องทำหน้าตาตื่นมาด้วยวะ”

“ไม่ใช่แค่ยืมรถ แต่แกต้องขับรถให้ฉันด้วย”

“เฮ้ย...ไม่ได้ วันนี้ฉันต้องไปพบลูกค้าแกจะมาลากฉันไปไหน มาไหนกับแกไม่ได้หรอก”

“เออน่า... เดี๋ยวฉันบอกบอสเอง ว่าจะเอาแกไปด้วยน่านะเพื่อน ขอร้อง ได้โปรด.......” รัญชน์เอ่ยอ้อนเสียงหวาน

“มาไม้นี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เลย ไหนว่ามาสิ เรื่องอะไร”

“คืองี้....”และแล้วรัญชน์เล่าทุกอย่างให้กับพัณณินได้รับรู้

“เฮ้ย...จริงดิ ดีๆแกรู้ไหมว่าเจ้านางน้อยโมระสวยขั้นเทพ”

“จริงอะ

“ช่ายแล้ว แกจำไม่ได้หรือไง ที่ฉันเอารูปมาให้แกดูเมื่อวาน”

“รูปอะไร” รัญชน์เริ่มรู้สึกว่าเธอคงพลาดอะไรไปสักอย่าง

“อ้าว...เวร รูปขึ้นปกนิตยสารไง ความจำเสื่อมหรือไงแก” พัณณินจิ้มนิ้วของเธอไปบนหน้าผากของรัญชน์แรงๆ

“ไม่ใช่จำไม่ได้ ไม่ได้ดูต่างหาก” รัญชน์ตอบเสียงอ่อย

เมื่อวานเธอไม่ได้สนใจที่จะดูรูปที่พัณณินเอามาให้ดูจริงๆ นั่นแหละ

“เป็นงั้นไป วันนี้ฉันไม่ได้เอาหนังสือมาด้วยสิแต่เมื่อคืนนะแก ขอบอกเลย เจ้านางสวยโคตรๆ สวยจนฉันอยากแปลงร่างเป็นผู้ชายเข้าไปจีบ แต่อย่างว่าเนอะ เรามันแค่คนทำงานหาเช้ากินค่ำ คนอย่างเจ้านางน้อยแห่งเวียงโมระคงไม่ลดตัวลงมาเป็นแฟนกับผู้ชายกระจอกๆอย่างฉันแน่ๆ” พัณณินพูดเองเออเอง

“เป็นเอามากเพื่อนฉัน”

“แกไม่ได้เห็นแบบฉัน แกไม่เข้าใจหรอกน่า”

“แล้วพี่ต้อมไม่ว่าอะไรแกบ้างหรือไง”

“รายนั้นจะว่าอะไรได้ ยืนมองน้ำลายหยดสิไม่ว่า”

“เออ...เป็นทั้งคู่ว่างั้น” รัญชน์ยิ้มขำๆกับการแสดงออกจนโอเวอร์ของเพื่อนเธอ

“แหม...นิดนึง ว่าแต่แกต้องไปกี่โมง”

“สิบโมง บอสบอกว่างั้น”

“ตายๆ นี่มันเก้าโมงกว่าแล้ว ไม่ได้ๆฉันต้องแต่งหน้าเพิ่ม” พัณณินยกนาฬิกาข้อมือของตนขึ้นมาดู เธอรีบกุลีกุจอค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าของตนออกมา

“แต่งทำไม”

“เอ้า...ไอ้เซ่อ จะไปพบสาวสวยทั้งทีต้องแต่งหน้าให้สวยกว่าสิ”

“เจริญ”

พัณณินไม่ฟังเสียงของรัญชน์อีกต่อไปเธอนั่งประจำที่หยิบกระเป๋าเครื่องสำอางออกมาเพื่อที่จะแต่งหน้าให้สวยขึ้น

รัญชน์มองแล้วนึกขำในความคิดของเพื่อน เจ้านางน้อยแห่งเวียงโมระคงจะสวยบาดใจจริงๆไม่เช่นนั้นเพื่อนของเธอคงไม่ลงทุนแต่งหน้าเพื่อให้สวยเทียบเคียงคนที่เธอกำลังจะไปพบเป็นแน่





 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:36:54 น.
Counter : 723 Pageviews.  

มธุรดา yuri บทที่ ๑

บทที่ ๑

“เฮ้ย...สวยปะวะ” อยู่ๆเพื่อนสาวของรัญชน์ก็ยื่นหนังสือนิตยสารฉบับหนึ่งมาตรงหน้าเธอ

“เออ...สวย” รัญชน์ตอบส่งๆไปอย่างนั้น เธอไม่ได้เหลือบตาแลดูหนังสือในมือของเพื่อนสาวด้วยซ้ำไป

ปกติแม่แต้วแต้แว้ดหรือพัณณินเพื่อนซี้ของเธอชอบหารูปนางแบบสาวๆ สวยๆมาให้เธอดูอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าเพื่อนสาวจะชื่นชอบความสวยของนางแบบที่ลงปกนิตยสารเพื่อนสาวของเธอชอบชุดที่นางแบบเหล่านั้นสวมใส่ถ่ายแบบเสียมากกว่า

พัณณินชอบชุดที่ทันสมัย เปลี่ยนชุดเป็นว่าเล่นและยังมีหัวในการเอาชุดโน้นมาใส่กับชุดนี้ ประมาณว่าชอบเอาโน่นนิด เอานี่หน่อยมาผสมผสานกันแล้วก็ทำให้การแต่งตัวของพัณณินสวยในสายตาของรัญชน์

“เนอะ...ฉันว่าสวย”คนหยิบหนังสือมาให้ดู พูดจบก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

รัญชน์ไม่ได้สนใจที่จะดูรูปบนหน้าปกอีกต่อไปเธอก้มหน้าก้มตาทำงานของเธอต่อ ตั้งแต่เช้าที่เข้าบริษัท รัญชน์ได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นใหม่

แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ต้องมาหาข้อมูลในการทำงานชิ้นนี้ไหนจะต้องไปพบลูกค้ารายใหม่ ไหนจะต้องเตรียมแบบเก่าๆที่เคยออกแบบให้ลูกค้าเอาไปลองเสนอให้กับลูกค้าใหม่ดูปะเหมาะเคราะห์ดีอาจมีบางแบบที่ลูกค้าใหม่สนใจ เธอจะสบายไม่ต้องออกแรงคิดให้เหนื่อยสมอง

“คนอะไรว้า สวยก็สวย รวยก็รวยแถมยังเก่งอีกต่างหากแกว่าไหม” พัณณินยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่สนใจว่ารัญชน์จะรับฟังหรือไม่

“อือ...”รัญชน์ส่งเสียงจากลำคอแทนคำตอบ เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเพื่อนมากนัก ฟังผ่านๆราวกับว่าเป็นเสียงนกเสียงกา

“นั่นสิเนอะนี่ถ้าฉันเป็นผู้ชายคงหลงใหลได้ปลื้มไปกับนาง อย่างว่า คนสูงๆแบบนี้คงไม่มองผู้ชายธรรมดาๆ หรอกเนอะ แกว่าไหมไอ้รัน”

“อือ...”เสียงจากลำคอยังคงส่งออกไปเช่นเดิมโดยที่ไม่ได้ฟังคำถามที่ออกมาจากปากของเพื่อนอีกตามเคย

“เฮ้ย....ไอ้บ้า นี่แกฉันฟังฉันอยู่หรือเปล่าวะไอ้รัน”

“อะไรวะ!!! ส่งเสียงดังจนตกใจหมดฉันฟังแกอยู่นี่ไง ไม่ฟังจะตอบแกได้รึ” รัญชน์แก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“จริงของแก ทำอะไรง่วนหัวฟูตั้งแต่ฉันมาแกพูดกับฉันนับคำได้”

“งานเข้าไง แกอย่ามายุ่งกับฉันตอนนี้ได้ไหมขอเวลาทำงานก่อนเถอะ เสร็จไม่ทันวันนี้ฉันตายแน่ๆ นังแต้ว”

“เออ... ตามใจแก วันๆ ทำแต่งานๆสักวันงานจะทับตัวแกตาย เงินทองมีมากมาย ไม่มีเวลาเอาไปใช้ ว่างๆแกเอามาให้ฉันใช้แทนแกก็ได้นะไอ้รัน ฉันว่างใช้เงินแทนแกอยู่”

“ประสาท”รัญชน์ว่าจบก้มหน้าก้มตาหางานเก่าๆ ของเธอต่อไป ไม่สนใจเสียงกระแตแต้แว้ดของเพื่อนที่ส่งเสียงสูงบ้างต่ำบ้างเมื่อเปิดดูรูปในนิตยสารฉบับที่พัณณินได้มาใหม่จากร้านหนังสือใต้ตึกที่บริษัทของเธอเช่าอยู่

รัญชน์รีบหาข้อมูลจนลืมเวลาเธอเสร็จงานเลยเวลาเลิกงานไปนานแล้ว พัณณินบอกกับเธอว่าจะออกไปธุระที่ไหนสักแห่งเธอฟังไม่ชัดเท่าใดนัก

เท่าที่จับใจความได้ เหมือนๆพัณณินจะไปรอใครที่จะมาเปิดงานอะไรสักอย่างในห้างหรูใกล้ๆ ที่ทำงานของเธอ รัญชน์ยกแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับบิดตัวสลัดเอาความเมื่อยขบออกไปจากร่างกายเมื่อรู้สึกดีขึ้นหลังจากสลัดเอาความเมื่อยออกไปได้แล้ว เสียงๆ หนึ่งร้องดังขึ้น

“ครืด....โครก..”

“ฮ่าๆ” รัญชน์หัวเราะตัวเองเธอทำงานจนลืมเวลากินเวลาพัก เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่าเกือบจะสองทุ่ม “ตายๆ สองทุ่มกว่า มิน่าถึงหิว”

เมื่อเช้ารัญชน์เอารถคู่ใจไปเข้าศูนย์เอาไว้เธอกะว่าถ้าทำงานเสร็จจะไปรับเจ้าหอยทากออกจากศูนย์ แต่ตอนนี้คงไม่สามารถทำได้แล้วศูนย์ซ่อมรถคงไม่เปิดรอเธอ ความคิดที่จะกลับไปรับรถที่ซ่อมเสร็จ จึงต้องพักไปรัญชน์เก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบย่อมๆ ของเธอ จากนั้นสะพายมันเดินออกมาจากบริษัทก่อนที่จะไปหาอะไรรองท้องข้างๆ ตึกที่ทำงาน

แล้วอยู่ๆ ฝนตกโดยไม่มีวี่แววมาก่อน รัญชน์ต้องวิ่งเข้าไปหลบฝนพร้อมๆกับผู้ร่วมชะตาชีวิตของเธออีกหลายสิบคน

“บ้าฉิบ ตกมาได้ไงไม่ขออนุญาต”รัญชน์บ่นไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วเธอรู้อยู่แก่ใจดีว่าฟ้าฝนนั้นไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ถึงจะบอกว่าไม่อนุญาตให้ตกก็ตามเถอะหากฝนจะตกคงต้องตกลงมาอยู่ดี สภาพการจราจรที่ติดขัดอยู่แล้วเมื่อมีน้ำเจิ่งนองบนผิวจราจรยิ่งทำให้ติดขัดหนักกว่าที่เคยเป็น

“อะไรวะ แท็กซี่ไม่มีมาสักคัน จะกลับบ้านไงเนี่ย” รัญชน์บ่นรถสาธารณะที่ไม่เคยได้อย่างใจเวลาที่ต้องการจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนเวลาที่ไม่ต้องการจะมาจอดรอข้างทางให้รถที่วิ่งเลนซ้ายสุดติดขัดเป็นแถวยาวโดยเฉพาะเวลาเร่งด่วนจะรีบไปตอกบัตร

เสียงโทรศัพท์ของรัญชน์ดังขึ้น เธอจึงละความสนใจจากสายฝนที่ตกหนักและการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนหันมาสนใจอุปกรณ์สื่อสารเครื่องจิ๋วที่เธอเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง

“ว่าไง..มีอะไรแก”รัญชน์ส่งเสียงเบื่อหน่ายไปกับโทรศัพท์ของเธอ

“แกเอ๊ย... แกไม่มากับฉัน นังรันเอ๋ยคนอะไรไม่รู้สวยบาดใจจริงๆ ผู้หญิงอะไรไม่รู้สวยจนผู้หญิงด้วยกันอิจฉาถ้าแกได้มาเห็นนะ ฉันว่าแกต้องตกหลุมรักหล่อนแน่ๆ”

“เออๆ แกตกหลุมรักไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่ว่างไปตกอยู่หล่มหลุมเดียวกับแกหรอกเดี๋ยวอดตาย”

“ตามใจแก ฉันแค่จะโทรมาบอกแก ว่าแกพลาดเรื่องเด็ดๆในชีวิตไปแล้วเท่านั้น แค่นี้นะ เบื่อพวกฤๅษีชีไพร...ชิ”จากนั้นเสียงจากโทรศัพท์กลายเป็นเสียง “ตุ๊ดๆๆๆๆ”

รัญชน์ยิ้มให้กับโทรศัพท์ของตัวเอง ตกลงเพื่อนของเธอเป็นเอามาก มากจนไม่สามารถกู่กลับได้แล้วกระมังถ้าไม่รู้มาก่อน ว่าเพื่อนสาวของเธอคนนี้มีคู่หมั้นแล้ว เป็นชายหน้าตาหล่อเหลารับรองได้ คงมีคนฟันธงว่าเพื่อนสาวของเธอเป็นเลสเบี้ยนอย่างแน่นอน

เพราะอะไรน่ะรึ? เพราะพัณณินไม่ค่อยจะกรี๊ดกร๊าดผู้ชายหล่อๆแต่กลับมากรี๊ดกร๊าดสาวๆ ด้วยกันเอง แถมแต่ละองค์แต่ละนางที่พัณณินกรี๊ดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสาวสวยระดับไฮเอ็น เอ้ย....ไม่ใช่...ไฮโซแทบทั้งสิ้น

“นังแต้วเอ้ย... ตกลงฉันหรือแกกันแน่วะที่ชอบผู้หญิง” รัญชน์ส่ายหน้าแล้วยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนที่จะยกเป้ของตนขึ้นเหนือศีรษะเดินข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งคลองเพื่อหาทางกลับบ้านด้วยวิธีใหม่

“จะเด็ดไปไหนเจ้าคะ”หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงแรกรุ่นที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกกำลังจะลงจากรถ

“รถติดแบบนี้จะให้นั่งแช่อยู่ในรถคงไม่ไหวนะนม”มธุรดาเปลี่ยนจากเปิดประตูรถที่ตนนั่งกลับมาตอบคำถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเธอ

“นี่ไม่ใช่บ้านเรานะเจ้าคะเจ้านางจะเด็ดไหนต้องมีคนคุ้มกัน”

“ยิ่งไม่ใช่บ้านเราสิดี ไม่มีใครรู้จักเราหรอกน่าเชื่อหญิงสินม อ้อแล้วอีกอย่างไม่ต้องเรียกหญิงว่าเจ้านางแล้วเพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา”

“มิได้เจ้าค่ะ”

“พระนม!!” น้ำเสียงดุๆแสดงความไม่พอใจออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านางของอีกคนหนึ่ง

“เจ้านางยังเรียกนมว่าพระนมอยู่เลย”

“เออ...ใช่ลืมไป นมไม่ต้องห่วงหญิงออกไปเดินเล่นแถวนี้ โรงแรมอยู่ข้างหน้า ไม่ต้องตามไปหรอก รับรองหญิงถึงโรงแรมก่อนนมแน่ๆ”เมื่อโดนแย้ง สรรพนามที่เรียกจึงเปลี่ยนไปทันที

“เดี๋ยวเจ้าค่ะแล้วจะลงไปทั้งชุดอย่างนี้ได้หรือเจ้าคะ”

“ลืมไป” มธุรดามองชุดของตน จัดแจงถอดชุดออกหน้าตาเฉย

ข้างในชุดหรูนั้นมีชุดกางเกงขาสั้นเหนือเข่าและเสื้อกล้ามสีขาวแนบลำตัว ราวกับว่าเจ้าตัวได้เตรียมการเพื่อที่จะลงไปเดินถนนมาแต่แรกเธอคว้าเสื้อคลุมสีขาวมาใส่ทับเสื้อกล้ามของเธออีกชั้นหนึ่ง

“แบบนี้พอได้ไหมนม”

“โอเค นมจะได้เบาใจ” เธอรู้ดีว่าเจ้านางของเธอต่อให้บอกว่าห้ามก็ไม่

สามารถห้ามได้เธออยู่กับเจ้านางมานานจนรู้ ว่าความเป็นส่วนตัวของเจ้านางนั้นมีสูงตั้งแต่สมัยที่ไปเรียนอังกฤษ เจ้านางของเธอไม่เคยจะเชื่อฟังคำเอ่ยห้ามของเธอแถมยังใช้ชีวิตเหมือนๆ กับคนทั่วๆ ไป

หากไม่บอกใครว่าผู้หญิงตรงหน้าเธอคนนี้เป็นหญิงสูงศักดิ์ในราชสกุลของประเทศแถมอนาคตยังเป็นพระพี่นางเธอของอนาคตกษัตริย์พระองค์ใหม่ คงไม่มีใครรู้

“ขอบใจนะจ๊ะคนดีของหญิง”มธุรดาโอบคอของพระนมมาใกล้ๆ ตัวเธอพร้อมๆ กับหอมแก้มไปฟอดใหญ่ เธอเปิดประตูรถคันหรูลงไปเดินตากฝนอยู่ท่ามกลางผู้คนในเมืองหลวงที่ชื่อว่า กรุงเทพมหานคร

รัญชน์เดินลงรถไฟฟ้าใต้ดินเธอนั่งมาแค่เพียงสถานีเดียวต้องขึ้น จริงๆ แล้วถ้าฝนไม่ตก เธอคงใช้วิธีเดินจากตึกมายังถนนแห่งนี้เวลานี้ฝนตกหนักมากเธอจึงต้องตัดสินใจใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นทางเลือกในการเดินทางมายังห้างที่อยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นรถไฟฟ้าถ้าไม่มาที่นี่ เธอคงหาอะไรกินไม่ได้ แม่ค้าพ่อค้าที่เคยขายของริมทางเท้าหายไปพร้อมกับสายฝน เธอต่อคิวเดินออกจากเครื่องหยอดเหรียญดูเหมือนว่าผู้คนที่คิดเช่นเดียวกันกับเธอจะมีมากมายมหาศาลฝนที่ตกทำให้คนที่เดินออกมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน เริ่มแออัดจนแทบจะเบียดกันตาย

รัญชน์ตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมา เพื่อหนีผู้คนจำนวนมาก เธอวิ่งตากฝนไปยังทางเข้าห้างตรงหน้าเธอเธอหวังว่าเมื่อเข้าไปด้านในแล้วเธอจะได้ทำความสะอาดตัวเอง อย่างน้อยๆไม่ต้องเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

อยู่ๆ เธอกระแทกเข้ากับใครบางคนจนทั้งคู่ล้มลงไปก่อนที่จะถึงประตู

“ยายเด็กบ้าเอ๊ย เดินชนมาได้ไม่มีตาหรือไง” เท่าที่ดูด้วยตา คนที่ชนเธอจนล้มคงเป็นเด็กสาวอายุไม่เกินยี่สิบ

ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอ ทำเอารัญชน์ถึงกับตะลึง

“ขอโทษคะ”เป็นคำพูดประโยคที่สองที่รัญชน์เอ่ยกับหญิงคนนั้น

เมื่อเธอลุกขึ้นตั้งตัวได้ เธอยื่นมือของเธอให้กับหญิงคนนั้นเพื่อช่วยฉุดให้ลุกจากการนั่งจมอยู่กับน้ำที่ท่วมพื้นถนน

หญิงคนนั้นรับไมตรีจากรัญชน์เมื่อลุกขึ้นได้ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปในห้าง

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันได้มองว่าคุณเดินมาตรงนั้น” น้ำเสียงแปร่งๆ

ที่ส่งออกมาจากริมฝีปากคู่สวยนั้นทำให้รัญชน์เดาได้ว่า คนที่ชนเธอจนล้มลงไป คงไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์

“ฉันต้องขอโทษคุณเหมือนกันค่ะ แต่ฉันว่าตอนนี้แทนที่เราจะขอโทษกันไปมาเราไปหาห้องน้ำทำความสะอาดตัวเองกันดีไหมคะ”

หญิงคนนั้นไม่ตอบอะไร เธอพยักหน้ารัญชน์เดินนำหล่อนไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนักทั้งคู่จับจองอ่างล้างมือกันคนละที่ ลงมือล้างทำความสะอาด

รัญชน์แอบมองและสังเกตว่าหญิงคนนี้ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง

ครั้งแรกที่เธอเห็นยังคิดไปว่าหญิงคนนี้อาจจะอายุราวๆ ยี่สิบหรือไม่ก็เป็นพวกเด็กนักศึกษา พอดูอีกครั้งเธอคิดว่าตัวเองนั้นอาจคิดผิดด้วยใบหน้าและท่าทางที่ได้เห็นเต็มๆ ตานั้นรัญชน์คิดว่าอายุของหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอกับตัวเธอเองคงพอๆ กัน

“ฉันว่าเราสองคนคงต้องไปหาซื้อชุดใหม่มาใส่แล้วล่ะคุณ”

“ฉันไม่มีเงินไทยติดตัวเลยสักบาท” คนยืนข้างๆ รัญชน์บอก

“อ้าว” เมื่อได้ยินดังนั้นรัญชน์คิดถึงพวกสิบแปดมงกุฎที่ชอบหลอกลวงให้คนตกหลุมพราง ดูดเอาทรัพย์สินของคนที่โง่หลงเชื่อไปจนหมดเนื้อหมดตัว คิดอีกทีเธอเองก็ผิดที่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเข้าห้างไม่ได้มองว่ามีใครวิ่งมาพร้อมๆ เธอหรือเปล่า หากต้องเสียเงินซื้อเสื้อผ้าให้ใหม่คงไม่เป็นอะไร

“ไม่เป็นไร ฉันซื้อให้ได้คุณไม่ต้องเอาเงินมาคืนฉันหรอก ถือว่าเป็นการขอโทษที่ฉันวิ่งชนคุณจนหกล้มก็แล้วกัน”

“โอเค” หญิงคนนั้นยักไหล่น้อยๆเป็นการบอกว่าเธอยินดีรับข้อเสนอ

ทั้งสองคนเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าราคาถูกที่ลดราคากองอยู่ในกระบะกลางห้างหลังจากได้ชุดใหม่คนละชุดจึงเดินเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนชุด ชุดแห้งๆทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น เมื่อตัวอุ่นท้องก็เริ่มร้อง

“หิวไหมคุณรัญชน์เอ่ยถาม

หญิงตรงหน้า พยักหน้าน้อยๆ “ฉันไม่มีเงินเลยสักบาทจะกินได้หรือ

“งั้น...ไปกินข้าวกัน ฉันก็หิว เงินนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก” รัญชน์เดินนำหญิงแปลกหน้า ที่กำลังจะกลายเป็นคนคุ้นหน้าไปยังศูนย์อาหาร

เธอเลือกซื้อข้าวราดแกงสองจาน เอามาวางไว้ให้คนแปลกหน้าหนึ่งจานของเธออีกหนึ่งจาน

“กินก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ถูกปากค่อยว่ากันใหม่”

ทั้งคู่ลงมือกับอาหารตรงหน้าด้วยความหิวเหมือนกัน

“คุณพักที่ไหน ฉันจะไปส่ง” รัญชน์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“แถวๆ นี้แหละ ไม่ไกลมาก ซอยสิบเอ็ด”

รัญชน์พยักหน้านิดๆ เป็นการรับรู้ในสิ่งที่หญิงแปลกหน้าบอกกับเธอ เธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงเป็นชาวต่างชาติที่มาทำงานรับจ้างในร้านอาหาร

คนไทยโดนแย่งงานจากชาวต่างชาติไปหลายตำแหน่ง จะโทษคนพวกนั้นคงไม่ได้ในเมื่อคนไทยไม่คิดจะทำงานเหล่านั้น คนไทยชอบสบาย งานหนักๆจึงตกเป็นของชาวต่างชาติเกือบหมด ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ตกงาน

“รอฝนหยุดแล้วค่อยไปก็ได้”มธุรดาเสนอ เธอรู้สึกถูกชะตากับคนแปลกหน้าที่บังเอิญวิ่งชนกับเธอ อย่างน้อยๆหากเธอคบหาเป็นเพื่อนกับหญิงสาวคนนี้เอาไว้ ช่วงเวลาที่เธออยู่ในเมืองไทย จะได้มีเพื่อนชาวไทยสักคนที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหนการคบกันจะสะดวกใจกว่า

“ลืมไปเลย ฉันมธุรดาค่ะ”เธอยื่นมือให้กับรัญชน์

“ฉันรันค่ะ”รัญชน์รับไมตรีจากคนตรงหน้า และรับรู้อีกว่ามือที่เธอจับอยู่นั้นช่างนุ่มเหลือเกิน

“ชื่อคุณวิ่งนี่เอง มิน่าวิ่งมาชนฉันจนล้มเลยเชียว”

“อ้าว...แล้วกัน”เสียงหัวเราะของมิตรใหม่สองคนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

นี่เป็นมิตรคนแรกที่เกิดจากการวิ่งชนของรัญชน์เลยเชียวนะ ขอบอก




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:32:25 น.
Counter : 455 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.