It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
มธุรดา yuri บทที่ ๖/๑

บทที่ ๖/๑

นีร เมจกา อัคริมาถกกันถึงเรื่ององค์เทพีองค์ต่อไป อยู่ในวิหารยุรา

“น้ำว่าไหม พี่มานั่งคิดๆ ดูนะองค์วรทาแก่กว่าแม่อัคสิบสองปี แม่อัคแก่กว่าอัค ยี่สิบสี่ปี อัคแก่ว่าน้ำสิบสองปีแล้วทำไมน้ำถึงแก่กว่าวรัทยาถึงยี่สิบสี่ปี มันมากเกินไปนะ”

“นั่นสิ เหมือนๆ หายไปสองคน”

อัคริมาเห็นด้วยกับความคิดของเมจกา

“ไม่หายไปหรอกค่ะเพียงแต่ไม่ได้มาอยู่ที่เวียงฟ้าเท่านั้น ไม่จำเป็นที่อดีตองค์เทพีทุกคนจะต้องมาอยู่บนเวียงฟ้า”

“หมายความว่าไง พี่ไม่เข้าใจ”

“จริงๆ แล้ว ทุกคนกลับมาเกิดบนโลกใบนี้ตามระยะเวลาและวันเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องมาอยู่บนเวียงฟ้าก็เท่านั้น”

“แสดงว่าน้ำรู้ว่าทุกคนอยู่ที่ไหนแต่ไม่ตามตัวกลับมาใช่ไหม”

“ค่ะน้ำรู้ ก่อนที่ทุกคนจะลงมาเกิดใหม่จะมีบางสิ่งบางอย่างบ่งบอกว่าเธอจะกลับมา”

“เช่นอะไร”เมจกาเริ่มยิงคำถามค้างคาใจ

“เช่นดวงดาวเปลี่ยนไป ลดทอนแสงลง และสุดท้ายหมดแสง”

“ถ้าดาวหมดแสง แปลว่าจะลงมาเกิด ในวันนั้นๆ ใช่ไหม”

“พี่อัคเข้าใจถูกต้องแล้ว”

“แล้วตอนนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหนจะมีอายุแค่หกสิบเก้าปีหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ บางคนมากกว่านั้นแต่บางคนน้อยกว่านั้นแล้วแต่ว่าจะหมดหน้าที่ของตนเมื่อใด”

“ยกตัวอย่างมาหน่อยสิ”

“ไม่ต้องยกไกลตัวที่ไหนเลย แม่พี่อัคนั่นแหละคือหนึ่งในอดีตองค์เทพี

ที่มาเกิดบนโลกนี้และพี่อัคอีกคนก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน แต่ทุกคนไม่ต้องอายุจำกัดที่หกสิบเก้าปีเช่นพี่อัค ณ ตอนนี้”

เมจกาพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นีรอธิบายให้กับเธอได้รับฟังเธอรู้มาก่อน ว่าอัคริมาคือหนึ่งในอดีตองค์เทพีที่กลับชาติมาเกิด

แต่ในภพนี้ หน้าที่ของอัคริมาไม่ใช่เกิดมาเพื่อเวียงฟ้า หากแต่เกิดมาเพื่อเป็นที่รักของเธอซึ่งผิดกับนีรที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องเวียงฟ้า ให้พ้นภัยจากคนเลวอย่างชโวทัยเหลืออีกไม่กี่ปีหน้าที่ของนีรจะหมดลง คงเป็นหน้าที่ของวรัทยาทำหน้าที่สืบต่อจากนีร ตามวาระเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างแม่นยำ

“อีกไม่นานนัก หนึ่งในอดีตองค์เทพีจะมาที่โมระเราต้องไปต้อนรับเธอ” นีรบอกอย่างนั้น

“ใครกัน”

“บอกอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ไว้ถึงเวลาพี่จะรู้เอง”

“ใบ้หน่อยดิ น่านะ”

เมจกาถึงจะมีอายุมากแต่ยังคงใจร้อนเหมือนเดิม

“อายุมากกว่าพี่อัคก็แล้วกัน”

สิ่งที่นีรบอกใบ้ทำเอาเมจกาถึงกับต้องนิ่งคิด หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าคนที่จะมาต้องอายุมากกว่านีรยี่สิบสี่ปี นีรและอัคริมาอายุห่างกันสิบสองปี

เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก เวียงฟ้าไม่เคยทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่เคย

จากที่เมจกาเคยรับรู้มานั้นหนึ่งในอดีตที่เคยเป็นองค์เทพีเวียงฟ้าที่กลับมาเกิดคือ วรัญชลีคนที่เลี้ยงเธอมา

จากนั้นคือวรทา ตามมาด้วยญาตาวี แม่ของอัคริมาซึ่งมีอายุต่างจากอัคริมายี่สิบสี่ปี คนต่อมาคือนีร อายุต่างจากอัคริมาสิบสองปีและคนสุดท้ายวรัทยาต่างจากนีรยี่สิบสี่ปี นั่นแสดงว่าคนที่หายไปคือคนที่มีช่วงอายุระหว่างญาตาวีกับอัคริมา และระหว่างนีรกับวรัทยา

ณ ตอนนี้ วรัทยาอายุยี่สิบปี นีรสี่สิบสี่ส่วนเธอกับอัคริมาไม่อยากจะบอกอายุของตนเพราะบัดนี้เธอทั้งคู่กำลังจะย่างเข้าหลักหก อีกไม่นานกำลังจะ

ไปหลักเจ็ดอยู่รอมร่อถ้าไม่ติดที่อายุหกสิบเก้าเหมือนที่นีรเคยบอกเอาไว้

“คิดอะไรอยู่ล่ะยูง”

“กำลังคิดว่า ใครกันนะที่จะมาโมระ”

“นั่นสิ ใครกันน้อ แล้วจะไปคิดมากทำไมแก่แล้วคิดมากเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตก”

“อยากรู้”

“อยากรู้ก็นั่งสมาธิดูเอาสิ ไม่เห็นจะยากเลย”

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวลืมตื่นอีก”

“เป็นงั้นไป งั้นลืมตาคิดต่อไปเถอะ เราจะนอนแล้วปิดไฟด้วยล่ะ แล้วอย่านอนดึกมากนักเข้าใจไหม แก่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อายุน้อยๆจะได้นอนดึกตื่นเช้าได้” อัคริมาบ่นไปอย่างนั้นเธอรู้ดีว่าเมจกาไม่ทำตามที่เธอบอกหรอก

ตั้งแต่ตื่นจากการหลับอันยาวนานเมื่อหลายสิบปีก่อนเมจกากลายเป็นคนนอนยาก นอนครั้งล่ะไม่กี่ชั่วโมงก็ตื่น

“นี่ๆ อัค ถ้าเป็นอย่างที่น้ำว่า ผู้หญิงคนนั้นต้อง” เมจกานับนิ้วตัวเอง คิดเลขในใจ

“ไอ๊หย่า หกสิบแปดปี อีกปีเดียวสินะเอหรือว่าไม่เกี่ยว ไม่ได้เป็นองค์เทพีนี่หว่า”เมจกาบ่นกับตัวเอง อัคริมาหลับไปแล้ว เธอคิดว่าคงปลุกไม่ตื่นอย่างแน่นอน

อัคริมามักจะสะกดตัวเองให้นอนตรงตามเวลาและตื่นเป็นเวลาเพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน

“เฮ้อ...ใครกันน้อ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก” เมจกาบ่นเพียงเท่านั้น จากนั้น จึงลุกขึ้นไปปิดไฟกลับมาล้มตัวลงนอนข้างๆอัคริมา และหลับไปในที่สุด

รัญชน์ไปทำงานที่บ้านไม้ริมน้ำทุกวันงานของเธอคืบหน้าไปมาก ตัวบ้านบางส่วนถูกรื้อออกมาและนำไม้ใหม่ที่ทางบริษัทไม้วรัญชลีเอามาเปลี่ยนให้

ทำให้งานของรัญชน์เป็นไปได้สวย ไม่มีอาการติดๆ ขัดๆเธอได้พบกับหวานทุกวัน แล้วแต่ว่าหวานจะมาในเวลาไหน

การมาที่บ้านหลังนี้ทำให้รัญชน์เกิดความเคยชินที่จะได้พบกับผู้ช่วย ของเจ้านางความเคยชินนี้บอกไม่ถูกว่าเกิดเพราะการทำงาน หรือเพราะการที่

ทั้งสองคนได้พบปะพูดคุยกันทุกวัน

หวานยืนรอดักพบกับรัญชน์อยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นบ้านจึงเป็นฝ่ายทักทายรัญชน์ขึ้นก่อน

“สวัสดีค่ะคุณรัญชน์ วันนี้มาแต่เช้าเชียว”

“วันนี้จะให้ช่างเขาเอาคานขึ้นค่ะ ต้องรีบมาดูหน่อย”

รัญชน์บอกอย่างนั้นเธอกลัวว่าช่างจะทำให้หลังคาชั่วคราวที่มุงตัวบ้านเอาไว้พังลงมาหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวบ้านได้

ฤดูนี้เป็นฤดูฝนเธอจึงสั่งให้คนของเธอทำหลังคาสังกะสีมุงตัวบ้านอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะไหลลงไปในตัวบ้าน ระหว่างที่รื้อเอากระเบื้องมุงหลังคาออกมา

จริงๆ จะเรียกว่ากระเบื้องคงไม่ได้หลังคาของบ้านนี้มุงด้วยแผ่นไม้มากกว่ากระเบื้อง ภาษาช่างเรียกแผ่นไม้เหล่านี้ว่าแป้นเกล็ดมีลักษณะคล้ายๆ เกล็ดปลา แต่เป็นแผ่นไม้ที่แข็งแรงและมีน้ำหนักเบาข้อดีคือทำให้ตัวบ้านไม่ร้อน ลักษณะของหลังคาที่สูงชันของบ้านหลังนี้จึงทำให้น้ำไม่รั่วซึมลงไปยังตัวบ้าน ทั้งๆ ที่มีฝนตกหนัก

“คุณต้องรื้อหลังคาออกหมดเลยหรือคะ”

“ค่ะคิดว่าอย่างนั้น ทำหลังคาเสร็จคงถึงเวลาที่ต้องทำห้องด้านในแต่คงไม่ยากเท่าไหร่ แค่ทำตามแบบเดิมที่เจ้าของบ้านเก่าทำเอาไว้ คงต้องถามเจ้านางก่อนว่าจะเอาฝาผนังกั้นห้องเหมือนเดิมทุกห้องหรือเปล่า หรือว่าจะเปิดโล่งเอาไว้ได้ยินมาว่าจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่หรือคะถ้าเป็นแบบนั้นเปิดฝาห้องบางส่วนเอาไว้ก็น่าจะได้”

“เจ้านางฝากบอกว่าเรื่องกั้นห้องท่านจะมาสั่งการเองค่ะ”

“ค่ะ” รัญชน์พยักหน้ารับรู้เธอคิดว่าหวานคงเป็นคนสนิทของเจ้านางน้อยของโมระเป็นแน่

เท่าที่เธอได้พูดคุยกับหวานมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมาหวานมีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งพอสมควร และได้รับรู้ว่าตอนนี้หวานอายุแค่ยี่สิบปี ที่เธอเดาอายุของหวานว่าจะเท่าๆกับเธอในตอนแรกที่พบกันนั้นผิดถนัด

“พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้มาป่วนคุณทำงานแล้วนะคะ”

“อ้าว...ทำไมคะ”

“ฉันต้องกลับแล้วค่ะ”

“วีซ่าหมดแล้วสิ”

“ค่ะทำนองนั้น”

“โชคดีนะคุณ หวังว่าคงได้พบกันอีก ตอนที่บ้านเสร็จ”

“ค่ะ เราคงได้พบกันตอนบ้านเสร็จ”

“ฉันอยากเลี้ยงลาคุณ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเกรงใจจะแย่ที่คุณเลี้ยงข้าวฉันทุกวัน”

“นั่นมันอาหารพื้นๆที่ฉันกับคนของฉันต้องกินกันอยู่แล้ว”

รัญชน์หมายถึงกับข้าวที่คนงานของเธอทำมากินรวมๆ กันในมื้อเช้ากลางวัน หรือเย็น ในบริเวณบ้านหลังนี้ซึ่งบางครั้งรัญชน์ชักชวนให้หวานร่วมวงกับพวกเธอด้วย

“แค่นั้นก็ดีแล้วค่ะ”

“ที่โมระมีอาหารแบบนั้นทานไหมคะ”

“ไม่มีหรอกค่ะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีอาหารทานนะคะแต่เราไม่ได้ทานอาหารแบบที่คุณทานกัน”

“ทำไมคะ คุณไม่ได้ทานข้าวกันหรอกหรือ”

“ทานค่ะ แต่เราทานกับข้าวไม่เหมือนคุณพวกเราไม่ทานของดิบ จะปรุงสุกกันทุกอย่าง”

“อ้าว...แล้วกันแสดงว่าคนไทยป่าเถื่อนในสายตาคุณเลยสิคะ แย่จริงๆ”

รัญชน์คิดถึงลาบเลือด ลู่ และอื่นๆ ที่คนงานของเธอชอบทำมากินกัน

มื้อแรกเธอเห็นหวานงงๆ กับอาหารจานสีแดงๆ เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ตรงหน้า

เธอจัดการปั้นข้าวเหนียวและจิ้มลงไปในจานลาบเลือด จากนั้นนำเข้าปาก ทำเอาหวานนั่งมองตาปริบๆเธอเห็นว่าหวานคงกินในสิ่งที่เธอกินไม่ได้ จึงให้คนงานนำไปปรุงสุกมาก่อน

เมื่อลาบเลือดกลายเป็นลาบสุก หวานถึงได้ลงมือกินกับพวกเธอนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รัญชน์รู้ว่า หวานไม่ชอบกินอาหารดิบ ยกเว้นผักสด

“คนไทยไม่ได้กินอะไรแบบนั้นทุกวันหรอกค่ะแล้วแต่วัฒนธรรมของแต่ละที่ คนภาคกลางมีอาหารเป็นของตัวเอง ทางเหนือ อีสาน ใต้ตะวันออก ตะวันตก ล้วนแล้วแต่มีอาหารพื้นถิ่นทั้งนั้น”

“ทำไมคนของคุณถึงได้ทานเลือดทุกวัน”

“นั่นเพราะพวกเขาชอบเป็นการส่วนตัวสิคะ เอางี้แล้วกันวันนี้ฉันจะพาคุณไปทานอาหารชาววังกัน แต่อาจจะไม่วังร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะเป็นวังแบบบ้านๆ ที่หากินได้ทั่วไป ถ้าอาหารชาววังแท้แบบโบราณหาทานยากแล้วค่ะไม่ค่อยมีขาย ถึงจะมีราคาแพงมาก จนคนไทยอย่างฉันไม่มีปัญญาจ่าย”

“รบกวนคุณหรือเปล่าคะ”

“ไม่หรอกค่ะ ถือเป็นการเลี้ยงส่งคุณไปในตัวเดี๋ยวขอตัวสั่งงานคนงานก่อนนะคะ ยังไม่ได้สั่งงานอะไรพวกเขาเลย ตอนเย็นเจอกันค่ะ”

“ค่ะตอนเย็นเจอกัน”

รัญชน์มองตามร่างบางๆ ของหวานที่เดินไปจากเธอ

จากนั้นเธอจึงเดินขึ้นไปบนบ้าน ไปทำตามที่เธอบอกกับหวานและคุมงานอยู่ในนั้นจนถึงเวลาเย็น





Create Date : 23 พฤษภาคม 2556
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 18:49:51 น. 0 comments
Counter : 425 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.