It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๓

บทที่ ๑๓

เปิดเทอมวันแรกพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาตื่นแต่เช้ามืดเพราะกลัวเรื่องการจราจร ฉันเอาชนกพรพ่วงท้ายไปด้วย เพราะฉันเองก็ยังไม่คุ้นทางมากนัก กับการขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปมหาวิทยาลัย

การเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซด์ สามารถซอกแซกไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ก็ต้องระวังรถเมล์ที่วิ่งตามหลังมาเพราะรถเมล์ไม่เคยจะเห็นมอเตอร์ไซด์ที่ใช้ถนนร่วมกันหรอก

“ไม่เอาแล้วนะแป๊ด ฉันไม่มามอกับแกอีกแล้วเข็ดหวะ” ชนกพรรีบออกปากเมื่อฉันพาเธอมาถึงมหาวิทยาลัย

“นี่แกจะทิ้งเพื่อนเลยเหรอวะไอ้นก” ฉันตัดพ้อเพื่อนร่วมทาง

“ไม่ทิ้งไม่ไหวหวะไอ้แป๊ดก็ฉันยังอยากมีชีวิตรอดนี่หว่าอีกอย่างแกก็ไม่ชำนาญทางฉันกลัวว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งก่อนวัยอันควร” ชนกพรตอบฉันเสียงอ่อย

“ก็ได้วะต่อไปนี้ฉันจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่พึ่งพาอาศัยแกก็ได้จำไว้เลยเพื่อน”

ฉันพูดงอนๆ แต่ก็เข้าใจเพื่อนเช่นกัน เพราะขนาดฉันเองเป็นคนขี่ฉันยังกล้าๆ กลัวๆ รถเมืองกรุงไม่เหมือนรถบ้านนอกแถมกระโปรงสอบของฉันก็เป็นอุปสรรคในการขี่รถด้วย

ฉันกะเอาไว้ว่าหากวันไหนเอารถมาอีกฉันจะใส่กางเองมาและเอากระโปรงมาเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยจะดีกว่า เพราะมันสะดวกกว่าการขี่ด้วยประโปรงสอบๆ แบบนี้

ชนกพรเดินไปที่คณะของเธอและฉันก็หาที่จอดรถข้างๆ คณะของฉันเช่นกัน

ไปรยานั่งรอฉันอยู่ที่ใต้โถงและเธอก็เอาใบกรอกลงทะเบียนมารออยู่แล้ว เทอมนี้ฉันลงไป ๗ วิชา ทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก มันดูจะไม่เยอะแต่ก็เหมือนเยอะ เพราะโดยปกติก็เรียนกัน ๑๘ ถึง ๒๑ หน่วย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้

ฉันเลือกลงเยอะในเทอมนี้ไว้ก่อนเพราะเมื่อเรียนชั้นปีที่สูงขึ้นวิชาจะยากมากขึ้นมันคงทำให้ฉันแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากตั้งหน้าตั้งตาเรียน

ฉันกับไปรยาเอาใบเลือกวิชาไปส่งเรียบร้อยก็กลับมานั่งคุยกันถึงเรื่องปิดเทอมว่าพวกเราไปทำอะไรมาบ้าง

ไปรยาบอกว่าเธอไปเที่ยวอังกฤษกับครอบครัวและไปพบพิศลยามาด้วยเช่นกัน พิศลยาดูท่าทางจะเรียนหนักมากๆ เพราะต้องเรียนถึงหกวัน และภาษาของพิศลยาก็ดีมากๆ ด้วย ไปได้ไม่ถึงสองเดือนพิศลยาก็พูดได้คล่องแล้ว แถมสำเนียงยังเหมือนคนอังกฤษด้วยสิ

พิศลยาฝากน้ำหอมมาให้ฉันหนึ่งขวดและบอกว่าให้เอาเงินให้เธอด้วยหนึ่งบาท ไปรยาบอกว่าเธอจ่ายให้ไปแล้ว และฉันก็ต้องควักเงินหนึ่งบาทคืนให้ไปรยา

“ทำไมต้องเอาเงินหนึ่งบาทด้วยหละกอล์ฟ” ฉันถามเพราะไม่รู้จริงๆ

“ก็ฝรั่งเค้าถือไงว่าการให้น้ำหอมกับคนอื่นมันเป็นลางไม่ดี เหมือนบ้านเราที่ให้ผ้าเช็ดหน้าแล้วก็ต้องเอาเงินให้ด้วยไง”

“อ๋อเหรอไม่เคยรู้เลยนะนี่ว่ามีถือแบบนี้ด้วย ว่าแต่ไอ้กลิ่นนี้ก็หอมดีนะชอบจังเลย” ฉันยกน้ำหอมขึ้นมาดม

“น้ำหอมก็ต้องหอมสิ ว่าแต่ทำไมวันนี้ตัวเธอมีกลิ่นควันรถเยอะแบบนี้หละ”

“ก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาไงก็เลยรับควันรถเมล์ไปเต็มๆ”

“หาอะไรนะขี่มอเตอร์ไซด์มาเรียนนี้นะช่างกล้าหาญชาญชัยอะไรเช่นนี้หนอเพื่อนฉัน”

“เราขี้เกียจรอรถเมล์ไงตอนเช้ามันมาช้ามากๆ อีกอย่างมารถมอไซด์ก็เร็วดีซอกแซกได้รถไม่ติดนอกจากติดไฟแดงแค่นั้นเอง”

“แต่มันก็อันตรายนะแป๊ด ขี่ๆ ก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

“ใช่สิอันตรายมากเมื่อเช้าเกือบโดนรถเมล์สอยร่วงไปกลางทาง จนไอ้นกมันบอกว่าจะไม่มามอกับเราอีกแล้ว เออว่าแต่ว่าวันนี้ว่างหรือเปล่าหละไปท่องเมืองกรุงกับเราหน่อยสิ กล้านั่งมอเตอร์ไซด์หรือเปล่า”

“กล้าสิจะไปไหนหละ”

“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าเพื่อนไปไหนไปกันไม่หวันไม่ไหว เรากะว่าจะไปแถวบ้านเธอก็ได้ เราไม่เคยไปเลย พาเราไปดูทางหน่อย แต่ก่อนไปไปหาซื้อกางเกงขาสั้นแถวตลาดกันก่อนแล้วกันไอ้กระโปรงนี่ทำเราขี่ไม่ถนัดเอาเลย”

“ได้เลยเพื่อนไปซื้อเสื้อแจ๊คเก็ตด้วยสิเสื้อขาวๆ เปื้อนหมด หาอะไรมาคลุมหน่อยก็ดีไปซื้อที่หลังกระทรวงก็ได้ใกล้ดีเราเห็นมีเยอะด้วย”

ฉันกับไปรยาเดินหาซื้อเสื้อแจ๊คเก็ตและกางกางเกงขาสั้น พร้อมกับหมวกกันน๊อคใบใหม่ อีกหนึ่งใบสำหรับคนซ้อนท้าย เพราะฉันมีหมวกกันน๊อคอยู่แค่ใบเดียวที่หยิบมาจากบ้านพร้อมกับน้องแดงรถคู่ใจ

ฉันเปลี่ยนจากกระโปรงเป็นกางเกงขาสั้นที่ร้านขายเสื้อผ้าในทันทีที่ตกลงซื้อกางเกงได้ราคาไม่แพงมากพอถูไถสำหรับใส่ในวันนี้ และได้เสื้อแจ๊คเก็ตสองตัวสีแสบตา เพราะไปรยาบอกว่ารถเมล์จะได้เห็นถนัดๆ เมื่อตอนที่ฉันขี่รถอยู่บนถนน

จากนั้นเราก็ย้ายสถานที่ไปพาหุรัตหาอะไรกินกัน เดินเล่นแถวคลองถม และเมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วฉันจึงไปส่งไปรยากลับบ้าน แต่ด้วยความที่ฉันมีไปรยาบอกทางมาโดยตลอดก็เลยลืมที่จะจำเส้นทางกลับบ้านของตัวเอง อีกอย่างทางที่ไปรยาบอกให้มานั้นมันเป็นวันเวย์ทั้งนั้น

“กอล์ฟ คืองี้เรากลับบ้านไม่ถูก” ฉันบอกไปรยาขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน

“อ้าวไหงงั้นหละ”

“แหะๆๆ ก็นะเราไม่รู้ว่าต้องกลับบ้านทางไหน กอล์ฟพาเรากลับไปหน่อยสิเดี๋ยวเราพากอล์ฟกลับมาส่งที่บ้านใหม่นะๆ เพื่อนนะ” ฉันอ้อนวอนไปรยา เพราะถ้าเธอไม่พาฉันกลับไปส่งที่เดิมฉันก็คงจะกลับบ้านไม่ได้

“งั้นรอเราเดี๋ยวนะเราไปบอกแม่ก่อนแล้วจะเปลี่ยนกางเกงด้วยนั่งแบบนี้มันไม่ค่อยถนัด”

“ได้เลยเพื่อนขอบใจนะ” ฉันลิงโลดมากๆ เพราะตอนนี้ถ้าไปรยาไม่มาส่งหรือติดรถไปด้วยฉันคงแย่แน่ๆ ทั้งๆ ที่ระยะทางไม่ได้ไกลอะไรเลย แต่ฉันก็จำเส้นทางไม่ได้

จากนั้นไปรยาก็บอกเส้นทางให้ฉันและพาไปวนแถวปากคลองตลาด จริงๆ เธอบอกว่าถ้าขึ้นสะพานพุธแล้วตรงไปก็จะถึงประตูผี แต่ฉันบอกว่าให้เธอพาไปนอกเส้นทางจะดีกว่าเธอก็เลยพาฉันกลับมาที่มหาวิทยาลัยและฉันก็พอจำเส้นทางได้คร่าวๆ แล้ว

ฉันขี่ไปส่งไปรยาที่บ้านแถวฝั่งธนอีกครั้งและขึ้นสะพานพุธวิ่งตรงตัดออกมาทางพาหุรัตและเมื่อถึงภูเขาทองฉันก็จำทางกลับบ้านได้ แต่กว่าจะถึงบ้านก็เล่นเอาอ่วม

“เป็นไงแกหายไปพร้อมน้องแดงเลยนะนึกว่าสังเวยรถเมล์ไปแล้ว” รตีแซวฉันที่เดินจูงน้องแดงเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางหมดแรง

“เออว่าเข้าไป สักวันฉันคงไปนอนเล่นใต้ท้องรถหรอกแก ว่าแต่แกเถอะไอ้ตีเอารถไปมอมีปัญหาอะไรเปล่าหลงทางบ้างเปล่า”

“ไม่หลงหรอกแต่ไม่มีที่จอดเท่านั้นเองกว่าจะหาที่จอดได้แทบตายน่ะแก”

“อืมมีรถก็ใช่ว่าจะสบายเน๊อะ ฉันไปอาบน้ำก่อนนะเหม็นควันรถจะแย่แล้ว”

“เออไปเถอะแล้วก็ออกมากินข้าวด้วยฉันหิวเว่ย” ธิติมาบอกพร้อมๆ กับรุนหลังฉันให้รีบๆ ไปอาบน้ำ

ไม่นานนักฉันก็ลงมาร่วมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันหกสาว ระหว่างกินข้าวทุกคนก็กินไปชวนกันคุยเรื่องลงทะเบียนบ้าง คุยเรื่องฉันที่ไปเที่ยวพาหุรัตมาบ้าง และเรื่องฉันหลงทางกลับบ้านไม่ถูกจนไปรยาต้องนั่งซ้อนกลับมาส่งทางเดิม

“ไอ้ปุ๊กจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้เน๊อะ” จู่ๆ จันทร์จิราก็พุถึงพวงทองขึ้นมา

“ห่วงมันมากเหรอไอ้เจ้าแกก็โทรไปหามันสิ” ธิติมาเสนอ

“มันจะอยู่หอหรือเปล่าก็ไม่รู้เห็นว่าวันนี้มีเรียนดรออิ้งค์มันคงมุดอยู่ในห้องวาดรูปหละมั๊ง” จันทร์จิราพูดลอยๆ เหมือนเพ้อ

“ไอ้นี่ท่าจะห่วงไอ้ปุ๊กเอามากๆ” ชนกพรเหน็บแนมจันทร์จิรา

“ก็เพื่อนกันนี่หว่าไม่ให้ห่วงมันแล้วจะให้ไปห่วงใคร” จันทร์จิราแย้ง

“เออว่าไปก็โทรไปหามันดีกว่าดูสิว่ามันทำอะไรอยู่” รตีลุกจากที่นั่งไปหมุนโทรศัพท์โทรไปที่หอของพวงทองทันที

รอสายได้ไม่นานพวงทองก็รับโทรศัพท์และบอกว่าเธอสบายดี ไม่ได้ไปข้องแวะกับกัญชาอีกเพราะเข็ดแล้วและกลัวพ่อแม่จะเสียใจ

พวกเราก็สบายใจไปได้นิดหน่อย เพราะเรารู้ดีว่าพวงทองโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อนๆ มากแค่ไหน เกิดวันดีคืนดีมีคนมาชักชวนอีกพวกทองจะใจแข็งปฏิเสธไปได้มากน้อยเพียงใด

เราตัดสินใจว่าต้องให้พวงทองกลับมาที่บ้านเช่าทุกๆ วันหยุด แม้ว่าพวงทองจะเถียงเสียงอ่อยๆ ว่ามันไกลเดินทางลำบากหรือว่าบางครั้งมีงานต้องรีบส่ง

แต่พวกเราก็ไม่ยินยอมให้พวงทองทำตามใจตัวเอง อย่างน้อยๆ หากว่าพวงทองหลงไปสูบอีกครั้ง สองวันที่พวงทองกลับมานอนที่นี่เราก็จะได้ดูแลได้

รตีวางสายของพวงทองไปแล้วและก็กลับมานั่งที่เดิม

“แกรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ฉันไปเจอะใครมา” อยู่ๆ ธิติมาก็ถามขึ้น

“เจอพี่ปุ๊เหรอแกพี่ปุ๊ไปคณะแกเหรอ” จินตนาที่นั่งฟังเงียบๆ ก็รีบถามขึ้นมาทันทีเพราะพี่ปุ๊เป็นนักร้องในดวงใจของจินตนา

“เปล่าไม่ได้เจอพี่ปุ๊แต่ฉันเจอเจี๊ยบ” ธิติมาตอบนั่นทำให้พวกเรางงว่าธิติมาพูดถึงใคร

“เจี๊ยบไหนวะ” จินตนาถามเพราะเธอจำได้ว่าคนชื่อเจี๊ยบนี่คือใคร

“ก็เจี๊ยบคนที่แข่งเทควันโดกับเราที่เชียงใหม่ไงพวกแกลืมไปแล้วเหรอ”

“อ่อแม่สาวหน้าสวยคนนั้นนี่เอง แล้วไปเจอกันได้ไงวะไอ้ธิ” จินตนาถามซ้ำอีกครั้งเพราะไม่คิดว่าโลกมันจะกลมได้ถึงขนาดนี้

“เจี๊ยบเรียนคณะเดียวกับไอ้ตีนะพวกแก แต่เรียนคนละเอก เค้ายังบอกเลยว่าเคยเจอไอ้ตีแต่ไอ้ตีจำเค้าไม่ได้เลยไม่กล้าทัก พอดีวันนี้เราไปรอกลับบ้านพร้อมไอ้ตีก็เลยเจอเจี๊ยบเข้าเค้าเลยมาทักเราว่าจำเค้าได้หรือเปล่า”

“อืมโลกมันกลมดีวะ ตอนแรกคิดว่าน้องลูกไก่จะเรียนมอชอซะอีกที่ไหนได้มากอทอมอแล้ว” จินตนายังชวนธิติมาคุยต่อไป

“ตอนแรกเจี๊ยบก็ติดมอชอนะแต่พอรู้ว่าเราไม่ติดก็เลยถามเราว่าเราจะเลือกคณะที่ไหน เราเลยว่าคงเลือกเรียนที่กรุงเทพ เค้าก็เลยสละสิทธิ์มาสอบใหม่ เราไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเค้าจะมาเลือกเรียนที่นี่ เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันก็ตอนที่ประกาศผลโควต้าสร็จแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”

“แสดงว่าแม่น้องลูกไก่ของแกนี่ตั้งใจจะตามแกมาเรียนที่นี่ว่างั้น” ชนกพรแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง

“ไม่รู้สิตอบไม่ได้ว่ะแก แต่ที่แน่ๆ เจี๊ยบก็เรียนมอเดียวกับเราแล้วตอนนี้” ธิติมาพูดเหมือนคิดหนัก

“แล้วแกจะเอาไงวะจะสานสัมพันธ์ต่อหรือว่าจะเลิกติดต่อกันไปเลย” รตีถามขึ้นมาบ้าง

“แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้มีใจอะไรกับเค้าแล้วอีกอย่างท่าทางเค้าดูจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มากๆ ฉันเห็นแล้วกลัวเลยวะแก”

“สงสัยจะโดนอุ้งตีนหมีควายของแกไปคราวนั้นก็เลยสมองเลอะเลือนไปแล้วมั๊งไอ้ธิ” จันทร์จิราพูดติดตลก แต่ไม่ได้ทำให้ธิติมาขำออกมาได้เลยสักนิด

“ไม่ขำเลยนะไอ้เจ้านี่ฉันเครียดอยู่นะเว่ย” ธิติมาแย้งจันทร์จิราขึ้นมาทันที

“แล้วแกจะทำไงวะ” ฉันถามธิติมาขึ้นมาเหมือนกัน

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะคงต้องปล่อยเลยตามเลยแกก็รู้ว่าแค่เรื่องเรียนฉันก็จะแย่อยู่แล้ว ยังมีเรื่องนี้ให้ปวดหัวอีกมึนไปเลยว่ะไอ้แป๊ด” ธิติมานั่งกุมขมับตัวเอง

พวกเราหกคนช่วยรวมหัวคิดและก็ต้องมึนไปกับการช่วยเหลือธิติมาแต่จะทำไงได้ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนไปตามระเบียบ

.......................

รตี จันทร์จิราและธิติมาไปเรียนพร้อมกันทุกวัน เป็นความโชคดีของจันทร์จิราที่ตึกเรียนของเธอใกล้ๆ กับรตีจึงไม่ต้องเดินไปเรียนไกลมาก ส่วนธิติมานั้นตึกเรียนของเธอไกลออกไปอยู่มาก ต้องใช้เวลาเดินไปที่ตึกนานพอสมควร

ทั้งสามนั่งกินข้าวเช้ากันที่โรงอาหารข้างๆ คณะของรตีพร้อมกันทุกวัน แต่วันนี้มีผู้ไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมวงด้วย

กันตาหรือน้องลูกไก่ของแปดเซียนเข้ามาร่วมกลุ่มกินข้าวด้วยโดนไม่ได้ขออนุญาตใครมาถึงก็นั่งแหมะลงข้างๆ ธิติมาและส่งยิ้มให้กับอีกสองสาวที่ทำหน้างงๆ กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญทันที

“สวัสดีธิอิ่มหรือยังรอเจี๊ยบก่อนนะ เดี๋ยวเจี๊ยบมาอย่าพึ่งรีบไปไหนนะ” สั่งเสร็จกันตาก็วิ่งไปซื้อโจ๊กและรีบเดินกลับมานั่งข้างๆ ธิติมาต่อ

สามเพื่อนรักมองหน้ากันไปมา ใช่ว่าจะไม่อยากต้อนรับกันตาหรอกนะแต่มาแบบจู่โจมแบบนี้ทั้งสามคนก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“ทำไมเงียบกันไปเลยหละ นี่เราเจี๊ยบไงเราเคยเจอกันตอนงานแข่งกีฬาในเครือเมื่อปีที่แล้วไงจำเราไม่ได้เหรอ” กันตาแนะนำตัวเองให้กับรตีและจันทร์จิราได้รู้จักอีกครั้ง

“ธินะไม่ยอมแนะนำเราให้กับเพื่อนธิรู้จักเลย เราเลยต้องแนะนำตัวเอง” กันตาแสดงท่าทางงอนๆ กับธิติมาทั้งๆ ที่ธิติมานั่งใบ้เป็นพระเตมีย์ไปแล้ว

“จ๊ะๆๆ เราพอจะจำได้” จันทร์จิราตอบแบบติดๆ ขัดๆ ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้มาแรงแซงทางโค้งแล้วเว่ย

“เอ่อ” ธิติมากำลังจะเอ่ยปากก็โดนแทรกขึ้นมาทันที

“เรากับธิเจอกันเมื่อวานนี้เห็นธิบอกว่ากำลังจะรอติดรถตีกลับบ้านบ้านตีไปทางไหนเหรอ เรานะมาอยู่ที่นี่เหงามากๆ เลยนะ ตอนนี้เราเช่าห้องอยู่แถวๆ อุรุพงษ์อยู่คนเดียวเหงาจะตายไป นี่นะถ้ามีเพื่อนๆ อยู่ด้วยแบบพวกเธอนะเราคงไม่เหงาแบบนี้หรอก นี่ๆ ธิเธอมีเรียนกี่โมงวันนี้เราไม่มีเรียนหรอกนะ เราเรียนบ่ายให้เราไปเรียนกับธิด้วยได้หรือเปล่าแล้วเย็นนี้ธิจะรอเรากลับบ้านด้วยหรือเปล่าหละ งั้นธิรอเราก็แล้วกันนะเราจะกลับบ้านพร้อมธิ เออว่าแต่ว่าตีทำไมไม่ตอบเราหละว่าบ้านตีอยู่แถวไหน แล้วธิพักที่ไหน พักที่เดียวกันหรือเปล่า เออนี่จันทร์วันก่อนเราเห็นที่คณะเธอเค้าจะจัดดนตรีการกุศลท่าทางสนุกดีนะ เราฝากซื้อบัตรให้เราใบนึงสิ โอ๊ย...ทำไมมันถึงได้เหนื่อยแบบนี้นะ งั้นเราของกินโจ๊กก่อนแล้วกันเหนื่อยจังเหมือนหายใจไม่ทัน” จากนั้นกันตาก็ก้มหน้าก้มตากินโจ๊กจนหมดชาม

เพื่อนรักสามคนมองหน้ากันด้วยความงงเพราะระดับความเร็วในการพูดของกันตาไม่ได้ลดลงเลยมีแต่จะเร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเว้นช่องไฟให้ทั้งสามคนได้สอดแทรกอะไรออกมาได้สักคำเดียว

จวบจนทุกคนกินข้าวเสร็จและธิติมาขอตัวไปเรียนก่อนโดยมีกันตาเดินตามไปต้อยๆ เหมือนลูกไก่เดินตามแม่ไก่อย่างนั้นแหละเพราะถึงธิติมาจะเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นเดินทนมาราทอนกันตาก็เดินตามได้อย่างกระชั้นชิด จนจันทร์จิราที่มองตามเพื่อนถึงกับส่ายหน้า

“ไอ้ตีแกว่าไงวะเรื่องน้องลูกไก่คนนี้”

“นั่นสิแก ไอ้ธิใบ้กินแน่ๆ พี่ท่านเล่นพูดไม่เว้นช่องไฟ หรือว่าเก็บกดวะไอ้เจ้า หรือว่าแม่ลูกไก่จะเก็บกดไม่มีคนคุยด้วยจนเพี้ยน” รตีหันมามองหน้าจันทร์จิราแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรคงปล่อยให้ธิติมารับไปเต็ม

...............

ทางด้านธิติมาเมื่อเข้ามานั่งเรียนโดยมีกันตาเกาะเป็นปลิงไม่ยอมปล่อยให้ธิติมาคลาดสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว เพื่อนๆ ของธิติมาเข้ามาทักทายเธอและก็ต้องงงว่าอยู่ๆ มีเด็กอักษรตามธิติมามาเรียนด้วยได้อย่างไร

“เฮ้ยไอ้ธิแกไม่แนะนำหน่อยเหรอว่าสาวอักษรคนนี้เป็นใคร” ยศเพื่อนสนิทที่คณะของธิติมาถามขึ้นเมื่อเห็นกันตาเกาะแขนธิติมาไม่ยอมปล่อย

“เอ่อนี่เจี๊ยบเพื่อนเราสมัยเรียนมัธยม” ธิติมาแนะนำแบบเสียไม่ได้

ท่าทางของกันตาดูนิ่งเงียบไปจากที่เคยเป็น เธอไม่พูดไม่จากับเพื่อนของธิติมาแม้แต่คำเดียว แม้ว่าธิติมาจะพยายามชวนคุยหรือหาหัวข้อสนทนาเพื่อชวนกันตาคุยก็ตามที

กันตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมคณะของธิติมา ราวกับหน้ามือหลังเท้า เพราะเหล่าบรรดาเพื่อนของธิติมาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ก็ช่วยไม่ได้นี่คณะนี้เป็นคณะวิทยาศาสตร์ไม่ใช่คณะอักษรที่จะมีผู้หญิงเรียนเยอะๆ

ดีที่วิชานี้เป็นวิชาพื้นฐานที่ใครๆ ก็เข้ามาเรียนต่างคณะได้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีนิสิตต่างคณะมาเรียนร่วมกัน เพราะบางครั้งก็จะมีรุ่นพี่มาเรียนรวมกันไปด้วย

กว่าจะหมดชั่วโมงเรียนก็เล่นเอาธิติมาเกร็งไปทั้งตัว เพราะกันตาเอาแต่นั่งท้าวคางมองหน้าธิติมาตลอดทั้งชั่วโมงจนอาจารย์สอนเรียบร้อยและสั่งงานกลุ่มธิติมาแยกวงมานั่งกับเพื่อนผู้ชายคณะเดียวกับเธออีก ๗ ถึง๘ คน ทั้งกลุ่มมีเพียงธิติมาคนเดียวที่เป็นผู้หญิง

กันตาก็นั่งแปะอยู่กับธิติมาจนการประชุมกลุ่มของธิติมาเสร็จสิ้น จากนั้นเพื่อนๆ ของธิติมาก็ชักชวนกันเดินลงไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร โดยมีกลุ่มผุ้ชายห้อมล้อมธิติมาอีกเช่นเคย

กันตาดูเงียบขรึมไปจนธิติมานึกว่ากันตาไม่สบาย หลังกินข้าวเสร็จทั้งสองก็เดินออกมายืนอยู่หน้าโรงอาหาร

“ธิเราจะกลับคณะแล้วนะธิไม่ไปส่งเราหน่อยเหรอ” กันตาพูดได้หลังจากที่เงียบไปประมาณสามชั่วโมง

“อ้าวพูดเป็นแล้วเหรอเจี๊ยบ” ธิติมาเลิกคิ้วถามกันตาด้วยความสงสัย

“พูดเป็นสิ แต่เราไม่อยากพูดกับผู้ชายก็เท่านั้นเอง”

“เนี่ยะนะเหตุผลไม่ชอบคุยกับผู้ชายเลยทำให้เงียบไปสามชั่วโมงจนน้ำลายบูด ว่าแต่ทำไมเจี๊ยบไม่พูดกับผู้ชายหละ”

“อืมก็ใช่นะสินี่แหละเหตุผลของเรา เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราไม่ชอบคุยกับผู้ชาย มันไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่คุยกับพ่อเรานะ สำหรับพ่อเราเราก็คุย”

ระหว่างการสนทนาทั้งสองก็เดินไปที่คณะของกันตาไปด้วย โดยที่ธิติมาไม่รู้ตัวว่าเดินตามกันตามาได้อย่างไรทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือทำรายงาน

“แปลกดีนะเจี๊ยบเป็นคนที่แปลกมากๆ เลย แล้วถ้าไปซื้อของเกิดคนขายเป็นผู้ชายหละ”

“เราก็ชี้ๆ ว่าจะเอาตัวนี้ตั้วนั้นเค้าอยากขายเค้าก็ขายเราเองแหละ แล้วตกลงตอนบ่ายธิมีเรียนหรือเปล่า” กันตาหันไปถามธิติมาที่เดินมาด้วยกันจนเกือบถึงคณะของกันตา

“ไม่มีหรอกแต่เราคงต้องไปหาหนังสือทำรายงานแล้วก็จะกลับบ้านเลย”

“ว้างั้นเหรอ แล้วธิไม่รอคุยต่อกับเราเหรอเรามีเรื่องคุยกับธิตั้งเยอะแยะเลยนะ”

“อืมเหรอแต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะหาหนังสือเสร็จเร็วหรือช้าเอางี้ถ้าเราเลิกเร็วเรากลับบ้านก่อนแต่ถ้าเราเลิกช้าเจี๊ยบก็รอเราก็แล้วกัน” ธิติมาพูดออกไปแล้วก็เริ่มจะคิดได้ว่าแล้วเธอจะมารอกันไปมาทำไมในเมื่อรตีกับจันทร์จิราก็ต้องกลับบ้านพร้อมเธออยู่แล้ว

“งั้นเราจะรอธิที่หน้าตึกนะตอนเราเรียนเสร็จตกลงไหม”

“ก็ได้แล้วเจอกันนะ” ธิติมาทำตามกันตาอย่างว่าง่ายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงตอบตกลงไปง่ายดายแบบนั้น

เธอรู้แต่ว่ากันตามีอะไรให้ต้องค้นหาและคิดว่ากันตาไม่เหมือนใคร เพียงแต่ตอนนี้เธอจะต้องพยายามค้นให้ได้ว่าอะไรที่เก็บซ่อนอยู่ในผู้หญิงสองบุคลิกคนนี้

....................

ตกเย็นธิติมาบอกให้รตีกับจันทร์จิรากลับบ้านไปก่อนพร้อมกับฝากกระเป๋าหนังสือกลับบ้านไปด้วย เพราะถ้ารอกลับพร้อมกันกันตาอาจจะตามกลับไปที่บ้านเช่า ซึ่งทั้งสองคนก็เห็นด้วยเพราะจากที่ธิติมาเล่ามานั้นทั้งสองคนเห็นว่ากันตาท่าทางจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งแบบเข้าขั้นเลยทีเดียว

ธิติมารอกันตาอยู่ที่หน้าตึกจนได้เวลาเลิกเรียนกันตาก็เดินลงมา

“อ้าวธิเราคิดว่าธิจะไม่รอเราแล้ว”

“รอสิสัญญาว่าจะรอก็ต้องรอ ว่าแต่เจี๊ยบจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าหรือว่าจะไปไหนก่อน” ธิติมายื่นมือไปขอหนังสือที่กันตาถืออยู่เพราะเธอเห็นว่าตัวเธอไม่มีของอะไรอีกอย่างท่าทางของกันตาก็แสดงออกว่าหนังสือที่เธอถืออยู่นั้นมันหนักเอาการอยู่

“ไปหาอะไรกันกันก่อนกลับดีหรือเปล่า เวลากลับไปที่หอเราจะได้ไม่ต้องไปหาอะไรกินอีก” กันตายื่นหนังสือบางส่วนให้กับธิติมาและเดินมาเกาะแขนของธิติมาแบบไม่ยอมปล่อยอีกครั้ง

ทั้งสองคนแวะกินข้าวที่สยามสแคว์และเดินเล่นกันแถวนั้น กันตาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้แต่ไม่ได้ซื้ออะไรติดมืออกมาสักอย่าง ทำเอาธิติมาชักเบื่อ

“จะเดินอีกนานไหมเจี๊ยบเราเมื่อยแล้ว”

“อ้าวเหรองั้นกลับบ้านก็ได้ธิแวะไปที่หอเราก่อนไหมหละ”

“ก็อาจได้ถ้ามันไม่นานมาก”

“จะรีบกลับไปทำรายงานเหรอส่งตั้งอาทิตย์หน้าทำไมรีบนักหละ”

“ต้องรีบหน่อยสิ มันมีรายงานหลายวิชาเราไม่ชอบพอกหางหมูเอาไว้ แค่พอกไว้ที่พุงก็เดินจะไม่ไหวแล้ว” ธิติมาลูบพุงตัวเองเพราะตั้งแต่ที่เธอไม่ได้เล่นกีฬาพุงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาทีละนิดละหน่อยจนเธอรู้สึกอึดอัดไปหมด

“ไว้ธิว่างๆ เราไปเล่นกีฬากันเอาไหมเราเองก็ไม่ได้เล่นนานแล้วเหมือนกัน เราอาศัยเดินจากที่มอกลับบ้านทุกวันก็เลยไม่ลงพุง

“โหจากที่มอกลับบ้านไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะเดินไหวเหรอ”

“ไหวสิเมื่อก่อนเราก็วิ่งทุกวัน วันละหลายกิโลแค่เดินกลับบ้านมีวิวให้ดูเพลินๆ ทุกวันดีออก แต่เสียอย่างเดียวควันมันเหม็นไปหน่อยก็แค่นั้นเอง ไม่เชื่อธิลองเดินกลับบ้านกับเราไหมหละ”

“ไม่ไหวมั๊งวันนี้เราเดินจนเมื่อยไปหมดแล้วไว้วันหลังเถอะ”

“ก็ได้ธิสัญญาแล้วนะว่าวันหลังธิจะเดินกลับบ้านพร้อมเรา”

ธิติมาเริ่มรู้สึกว่าเธอติดกับดักของกันตาสาวสวยสองบุคลิกอีกครั้งแล้ว นี่เธอไม่ทันคนถึงขนาดนี้เลยเหรอ

................

ธิติมานั่งรถเมล์ไปส่งกันตากลับหอพักและเธอก็รู้ว่าหอพักของกันตาเลยซอยเข้าบ้านเช่าของเธอไปเพียงแค่ป้ายรถเมล์เดียว

ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยเห็นหรือพบกันตาบนรถเมล์มาก่อนหรือเป็นเพราะกันตาเดินไปและเดินกลับก็อาจเป็นได้ ทั้งสองก็เลยไม่เคยพบกัน

กันตารูดบัตรเปิดประตูหอเสร็จก็ชักชวนธิติมาให้ขึ้นไปที่ห้องของเธอ

“จะดีเหรอเจี๊ยบเราพึ่งเคยรู้จักกันเจี๊ยบไม่กลัวเราปล้นเจี๊ยบเหรอ”

“เราไม่กลัวหรอกเพราะรู้ว่าธิไม่ใช่คนแบบนั้นแน่ๆ ไปเถอะไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้แล้วค่อยกลับบ้าน” กันตาจูงมือของธิติมาให้เดินตามเธอขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพักของเธอ

ห้องของกันตาไม่มีอะไรมากมีเตียงขนาดใหญ่ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะเขียนหนังสือ ที่ทางหอพักมีไว้ให้ใช้ ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องก็มีตู้เย็น และโทรทัศน์วางไว้คู่กัน

กันตาใช้ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งเป็นฉากกั้นไม่ให้คนมองเข้ามาเห็นเตียงนอนนี่ก็คงเป็นส่วนหนึ่งของหอพักที่จัดไว้ให้ ธิติมานั่งลงที่ปลายเตียงของกันตาเพราะไม่รู้ว่าจะไปนั่งตรงไหนดี

กันตาเปิดตู้เย็นและหยิบน้ำออกมาให้ธิติมาดื่มพร้อมด้วยขนมสองสามอย่าง

ธิติมารับน้ำมาดื่มอย่างหิวกระหายจนหมดแก้ว เพราะตั้งแต่เดินเล่นที่สยามกับกันตาเธอก็ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก กันตาเองก็เช่นกัน

“เอาน้ำอีกไหมท่าทางจะหิว” กันตาชูขวดน้ำดื่มพลาสติคที่พึ่งจะเปิดฝาขวดใหม่ๆ ให้ธิติมาดู

“ขออีกนิดก็ดี”

กันตาเทน้ำให้ธิติมาเพิ่มและธิติมาก็ดื่มไปจนหมดแก้วอีกรอบ

“ไม่กลัวเราจะใส่ยานอนหลับหรือยาปลุกเซ็กส์ไว้ในน้ำเหรอ”

“เออนั่นสิ” แล้วธิติมาก็แกล้งล้มตัวลงนอนสลบเหมือนคนโดนมอมยา

ท่าทางของธิติมาทำให้กันตารู้สึกขบขัน และล้มตัวลงนอนตามธิติมาไปติดๆ ทั้งสองจ้องตากันและกัน ก่อนที่ธิติมาจะได้สติและลุกพรึบขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

“เราคงต้องกลับก่อนนะเจี๊ยบ”

“ไว้วันหลังแวะมาอีกนะธิ”

“อือไว้เราแวะมาถ้าวันไหนว่าง” ธิติมาตอบเลี่ยงๆ และลุกขึ้นยืน แต่ก็ช้ากว่ากันตาที่คว้าข้อมือของเธอไว้

“ธิสัญญานะว่าจะมาอีกอย่างให้เรารอเก้อนะธิ” กันตากอดเอวของธิติมาไว้หลวมๆ

“จ้าแต่ตอนนี้เราต้องไปแล้วนะไม่ต้องลงไปส่งเราหรอกเราลงไปเองได้ไม่ต้องห่วงเรา ไปเจี๊ยบไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ” ธิติมาพูดพร้อมกับปลดแขนของกันตาที่กอดเอวของเธอไว้ออกไป และรีบเปิดประตูเดินออกมาจากห้องของกันตาไม่รอลิฟต์แต่วิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

เพราะหากว่าเธออยู่ต่ออีกนิดเรื่องบางเรื่องอาจเกิดขึ้นโดยที่เธอเองไม่ได้ตั้งใจ

หากจะเกิดอะไรขึ้นมันควรจะสวยงามกว่านี้ไม่ใช่เพียงเพราะอารมณ์หลงใหลไปเพียงชั่วคราวของเธอ

สำหรับเธอความรักมันต้องสวยงามไม่ใช่หรือ

..... จบบทที่ ๑๓ ....




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:08:15 น.
Counter : 296 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๒

บทที่ ๑๒

ภัทรทราภรณ์ถึงกับตาโตเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของพวงทอง พวกเราจับกลุ่มคุยกันอยู่กลางบ้าน หลักฐานความผิดของพวงทองวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ โดยมีพวงทองเป็นจำเลยในการถูกซักแกมขอร้อง

“ไอ้ปุ๊ก พวกเราของร้องหละนะแกเลิกเถอะนะในฐานะเพื่อน เราขอร้องจากใจจริง” ชนกพรเอ่ยปากออกมาก่อนใครๆ

“ใช่ปุ๊กเราก็ขอร้องเหมือนกัน การที่ปุ๊กพี้ยาแบบนี้มันไม่ได้เป็นผลดีกับตัวปุ๊กเลยนะ” ภัทรทราภรณ์เริ่มผสมโรงไปด้วยอีกคน

“พวกแกไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาที่คิดงานไม่ออก เวลาที่มองอะไรไม่เห็นมันทำอะไรไม่ได้จริงๆ ไอ้นั่นมันช่วยให้จินตนาการของฉันบรรเจิดขึ้นมา แกไม่เข้าใจหรอกใครๆ เค้าก็ใช้กันทั้งนั้น” พวงทองพยายามอธิบาย

“แล้วแบบนี้พวกศิลปินทั้งชาติทั้งประเทศถ้ามาเป็นแบบแกคิดงานไม่ออกมิต้องพี้กัญชากันไปหมดเลยหรือไง งั้นใครๆ ที่พี้กัญชาก็อ้างได้สิว่าคิดงานไม่ออก โธ่เว่ยไอ้สิ้นคิด” จันทร์จิราโพล่งทะลุกลางปล้องขึ้นมาในทันที

“แกไม่มีวันเข้าใจฉันหรอกไอ้เจ้าแกลองมาเป็นฉันดูบ้างสิแล้วจะรู้” พวงทองยังคงแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“ทำไมจะไม่เข้าใจวะ เวลาที่ฉันทำอะไรไม่ได้ฉันก็อยากจะทำแบบแก แต่ทำไมฉันทำได้หละไอ้ปุ๊ก ก็เพราะฉันยังมีสมองไง ยังรู้มากกว่าแกอีกว่ากว่าพ่อแม่จะหาเงินส่งพวกเราเรียนได้เลือดตาแทบกระเด็นออกมาแค่ไหน พ่อกับแม่ไม่ได้พิมพ์แบ๊งค์ออกมาได้เองนะเว่ยไอ้ปุ๊ก กว่าจะได้ไอ้ของเวรนี่ของแกมาสักแท่งแกรู้ไหมว่าพ่อกับแม่ต้องเหงื่อหยดไปกี่หยดเสียน้ำตาไปกี่ปี๊บ แกลองเอาสมองโง่ๆ ของแกคิดดีๆ ก็แล้วกันไอ้เพื่อนชั่ว” จันทร์จิราเอานิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของพวงทอง ทำให้พวงทองหน้าสลดลงเหลือสองนิ้ว

“แกซื้อมันมาเท่าไหร่” จันทร์จิราตะโกนถามพวงทองเสียงดังจนคอขึ้นเอ็น

ไม่มีเสียงตอบจากพวงทองเธอยังคงนิ่งเงียบ

“ฉันถามแกว่าแกซื้อมันมาเท่าไหร่ห๊ะไอ้ปุ๊ก!!!” จันทร์จิรายังคงตะโกนถามเช่นเดิมและคว้าคอเสื้อของพวงทองขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างจนพวงทองที่ร่างกายซูบผอมแทบจะลุกติดมือของจันทร์จิราขึ้นมา

“เบาๆหน่อยก็ได้ไอ้เจ้า” ฉันเข้าไปห้ามจันทร์จิราเพราะเธอเริ่มใช้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล

“อย่ามายุ่งนี้มันเรื่องระหว่างฉันกับไอ้ปุ๊กแกไม่เกี่ยวไอ้แป๊ด” จันทร์จิราหันมาตะหวาดฉัน

“บอกมาไอ้ปุ๊กแกซื้อมาเท่าไหร่” จันทร์จิราหันไปตวาดพวงทองอีกครั้งเพื่อที่จะคาดคั้นเอาความจริง

“สองร้อย” พวงทองตอบอ้อมแอ้ม

“อะไรนะตั้งสองร้อย แกรู้มั๊ยว่าค่ารถเมล์มันแค่บาทห้าสิบเงินสองร้อยที่แกเอาไปละเลงเล่นไอ้ใบไม้แห้งบ้าบออะไรของแกนี่มันขึ้นรถเมล์ได้กี่ครั้ง ร้อยสามสิบสามครั้งนะไอ้ปุ๊กพวกฉันประหยัดกันแทบตายนั่งรถเมล์ไปเรียน ซื้อจักรยานมาแทนการขึ้นมอเตอร์ไซด์ไปตลาด แต่แกเอาเงินมาละเลงเล่น พ่อแม่แกรวยนักหรือไงว่ะ แล้วที่แกผอมโซจนเห็นแต่กระดูดแบบนี้แกอดตายเพื่อจะได้ไอ้ใบไม้ทุเรศของแก มันน่าต่อยมั๊ยไอ้เพื่อนระยำ” จันทร์จิรายังคงจะโกนด่าพวงทองไม่ยั้ง

“ยังไงแกก็ไม่เข้าใจฉันอยู่ดีหละไอ้เจ้า พวกแกไม่เคยเข้าใจฉันเลย เสียแรงที่คิดว่าพวกแกเป็นเพื่อนรักเสียแรงจริงๆ”

พวงทองทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ แต่รตีกับจินตนากดบ่าของพวงทองเอาไว้

“จะไปไหนไอ้ปุ๊กแกต้องพูดกับพวกฉันให้รู้เรื่องก่อน” รตีที่คว้าแขนของพวงทองไว้ได้ทันก็รีบชิงพูดก่อน

“อย่าไปทำอะไรไอ้ปุ๊กมันเลยมันกำลังเมายา” ชนกพรบอกกับพวกเรา

“อ๋อเมายาเหรอมานี่เลยไอ้ปุ๊กมานี่เลยแกตามฉันมานี่” จันทร์จิราฉุดคอเสื้อของพวงทองเพื่อลากพวงทองเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นเธอก็เอาน้ำในโอ่งที่เย็นแสนเย็นราดลงบนตัวพวงทองทั้งตัว

“เป็นไงหายเมาหรือยัง” จันทร์จิราตักน้ำราดพวงทองอย่างไม่ปราณี น้ำตาของจันทร์จิราไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย พวงทองเองก็เช่นกัน

“ไอ้จันไอ้บ้า” พวงทองพยายามดิ้นรนจากเงื้อมมือของจันทร์จิราอย่างบ้าคลั่ง

“ฉันจะไม่ให้แกเข้าไปยุ่งกับไอ้สิ่งนั้นอีกต่อไปแล้วไอ้ปุ๊ก ฉันเป็นเพื่อนแกฉันรักแกยิ่งกว่าใครในโลก แกจะรู้วันนี้แหละเพื่อน ขอร้องหละนะปุ๊กฉันขอร้อง” จันทร์จิรานั่งลงข้างๆ พวงทองก้มลงกอดพวงทองไว้แนบอก

ใครที่เห็นภาพนั้นก็คงจะรับรู้ได้ถึงความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน ความผูกพันที่มีให้กันมานานแสนนานแม้เพื่อนจะหลงเดินทางผิด เพื่อนก็ย่อมที่จะต้องมีหน้าที่ชักนำเพื่อนให้กลับมาเดินตามทางที่ถูกที่ควร เราอีกหกคนมองภาพนั้นแล้วก็ต้องร้องไห้ตามจันทร์จิราไปด้วย

แม้จะเป็นเพียงแค่กัญชาแต่มันก็อาจนำพาเพื่อนของเราไปลองเล่นอย่างอื่น หรือแม้แต่เฮโรอีนเพราะใครๆ หลายๆ คนมักจะพูดเสมอว่ากัญชานำพาไปสู่สิ่งอื่นได้อย่างง่ายดาย

ฉันเคยอ่านเรื่อง “น้ำพุ” ของคุณสุวรรณี สุคนธาที่เธอเขียนถึงเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอที่ต้องจากไปเพราะยาเสพติด ฉันไม่อยากให้เพื่อนของฉันต้องมาจบชีวิดลงแบบน้ำพุ และพวกฉันก็ต้องทำให้ได้

หลังจากวันนั้นเมื่อพวงทองอยากจะสูบบุหรี่เมื่อไหร่พวกเราก็จะเอาขนมหวานเข้าไปประเคนให้ถึงที่หรือเอาลูกอมมาใส่ปากเธอแทนพร้อมด้วยน้ำเปล่าอีกเป็นขวดบังคับให้พวงทองกินและดื่มเข้าไป

จริงๆ แล้วพวกเรามีกำหนดการกลับบ้านกันในวันเสาร์ที่จะถึงนี้แต่เมื่อเห็นสภาพของพวงทองเราทุกคนก็ตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจนกว่าพวงทองจะดีขึ้นไม่อย่างนั้นเราจะไม่กลับบ้าน ทั้งๆ ที่เราคิดถึงบ้านกันแทบขาดใจ

พวงทองให้ความร่วมมือกับพวกเราเป็นอย่างดี ถึงตอนนี้จะลดความอยากลงไปได้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไปนัก

จากนั้นเราก็ตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกันในอีกสองอาทิตย์ถัดมาแม้จะเป็นการกลับบ้านได้เพียงแค่เก้าวัน แต่ก็เป็นเก้าวันที่พวกเรารอคอยมาตลอดเวลาสี่เดือนมิใช่หรือ

…………………..

บ้านของพวงทองเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ในสวนผลไม้ แวดล้อมไปด้วยทุ่งนาพ่อของพวงทองทำงานเป็นพนักงานธนาคารพื้นฐานของครอบครัวของเธอคือเกษตรกร โดยมีแม่เป็นหัวแรงใหญ่ในการทำสวน พวงทองเคยเล่าว่าที่บ้านต้องจ้างคนมาทำสวนเพราะแม่ทำคนเดียวไม่ไหว ในวันหยุดเธอเองก็ต้องมาช่วยแม่เอาน้ำไปรดต้นไม้ ฐานะทางบ้านแม้จะไม่ดีมากมายแต่ก็พออยู่พอกิน

พวงทองเป็นลูกคนเดียวเธอบอกว่าเธอเคยจะมีน้องแต่แม่ก็แท้งไปก่อน จากนั้นแม่ก็ไม่ยอมมีลูกอีกเลยเพราะกลัวว่าลูกจะตายไปอีก พวงทองจึงเป็นที่รักของคนในครอบครัว

“เติ้ลลูกผอมไปนะเรียนหนักมาเลยเหรอลูกหรือเงินที่แม่ส่งไปให้ไม่พอใช้ข้าวของที่นั่นคงแพงมากใช่ไหมลูกงั้นเดือนหน้าแม่จะให้เงินเพิ่มอีกนะลูก” แม่ของเธอเมื่อเห็นหน้าพวงทองก็ทักทายและลูบไล้ไปตามใบหน้าของลูกตัวเอง หอมแกมทั้งซ้ายและขวา

พวงทองรู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อพ่อแม่ ทำผิดต่อครอบครัว ทำผิดต่อคนที่รักเธอ เธอกอดแม่และร้องไห้ออกมาไม่หยุด

“แม่จ๋าเติ้ลติดยาเติ้ลสูบกัญชาเติ้ลขอโทษคะแม่ เติ้ลผิดไปแล้ว ต่อไปนี้เติ้ลจะไม่ทำอีกแล้วเติ้ลขอโทษฮือๆๆ” เธอคุกเข่าลงร้องไห้สารภาพกับแม่ของตัวเองจนหมดเปลือก และไม่กลัวที่จะบอกทุกเรื่องที่เธอทำ


“แล้วตอนนี้ยังติดอยู่หรือเปล่าลูกไปหาหมอมั๊ยหมอช่วยได้นะลูก” แม่ของพวงทองทรุดลงนั่งข้างๆ เธอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว นี่ลูกของเธออ่อนไหวถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เธอคงปล่อยลูกให้ไปเผชิญชะตากรรมในโลกกว้างเพียงลำพังมากจนเกินไป ลูกของเธอเป็นคนมีจิตใจอ่อนไหวกับสิ่งรอบกายมาแต่ไหนแต่ไร เธอเองรู้ดีมาโดยตลอด เธอไม่โทษลูกเธอโทษตัวเองที่เลี้ยงลูกไม่ดีพอ

พวงทองขอโทษพ่อกับแม่ในสิ่งที่เธอทำลงไป พ่อและแม่ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวเธอเหมือนที่จันทร์จิราและพวกเราทำ ทั้งสองท่านยังคงรักและเอ็ดดูเธอดุจดั่งแก้วตาดวงใจเหมือนเช่นเคย

ฉันมองเห็นภาพพ่อและแม่ของพวงทองกอดเธอและยังส่งผ่านความรักที่มีให้กับพวงทองเสมอต้นเสมอปลาย ฉันยังคิดอยู่เลยว่าหากพ่อแม่ของพวงทองรับไม่ได้กับสิ่งที่เธอทำลงไป พวงทองจะมีอนาคตเช่นไร เธอยังจะได้กลับไปเรียนที่เดิมอีกหรือไม่

แต่ตอนนี้พ่อกับแม่ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังหากับข้าวกับปลามาเลี้ยงดูปูเสื่อพวกฉันอย่างดี แม้จะเป็นกับข้าวพื้นๆ หมูทอดกับน้ำพริกหนุ่มจิ้มข้าวเหนียว แต่ก็เป็นอาหารที่พวงทองกินไปและยิ้มไปทั้งน้ำตา

ความรักที่บริสุทธิ์ของพ่อกับแม่มีการให้อภัยลูกเสมอเมื่อยามที่ผิดพลั้ง มีไออุ่นให้กับลูกเมื่อยามที่หนาวเหน็บ มีความผูกพันจากสายเลือดจากสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น

ชีวิตของคนเราจะมีอะไรดีมากไปกว่าความเข้าใจของคนในครอบครัวคงไม่มีอีกแล้ว ฉันและเพื่อนๆ เดินออกมาจากบ้านของพวงทองพร้อมด้วยรอยยิ้ม ต่อจากนี้ไปพวงทองจะมีเกราะบางๆ จากความรักของพ่อกับแม่และเกราะอันแข็งแกร่งจากความรักของเราเหล่าแปดเซียนคอยคุ้มครองเธอตลอดไป

.....................

แปดเซียนกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของโรงเรียน พวกเรารู้ว่าครูยังต้องมาทำงานเพราะอย่างน้อยก็มาตรวจข้อสอบ พวกเราเดินไปที่ห้องพักครูและก็ยกมือไหว้สวัสดีทักทายครูหลายๆ ท่านที่นั่งทำงานอยู่ ครูทักทายเราตอบและยังจำชื่อของพวกเราทั้งแปดคนได้อย่างแม่นยำ เราคุยกันจนเป็นที่พอใจแล้วก็เดินเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ต่อหน้าครูทัศนา

“ว่าไงพวกแปดเซียนดำดินมาโผล่ที่นี่ได้ไงกันอ๊ะหรือว่ารูที่อยู่มันคับแคลเลยต้องโผล่ออกมายืดตัว” ครูทัศนาก็ยังคงเป็นครูทัศนาคนเดิมกัดพวกเราไม่ปล่อย

“ว่าที่คุณหมอเรียนเป็นไงบ้างคงจะเรียนหนักหละสิอดทนหน่อยนะภัทรทราภรณ์ถึงมันจะยากแต่ก็เป็นสิ่งที่เธอฝันไว้ไม่ใช่หรือ”

“ค่ะครู”

“นี่ครูขาคนที่เรียนยากนะไม่ได้มีแต่กิ่งคนเดียวนะคะครูหนูก็เรียนยาก ถึงจะยากไงกิ่งเค้าก็เก่งเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” จันทร์จิราเอ่ยบ่นอาการน้อยใจ

“อย่างเธอนะเหรอจะรู้สึกสำนึกว่าการเรียนยากครูไม่อยากจะเชื่อเลย ปกติเห็นเรียนๆ เล่นๆ ไปวันๆ ไม่เห็นเคยจริงจังกับใครเค้าสักที”

“ก็นี่มันอุดมศึกษานะคะไม่ใช่ระดับมัธยมจะได้เรียนไปเล่นไปแบบเก่าได้” จันทร์จิราที่ทำท่าจะลดราวาศอกก็กลับฮึดขึ้นมาอีกครั้งแต่เป็นการฮึดที่เสียงอ่อยๆ

“แนะยังจะมาเถียงต่อให้เรียนระดับไหนถ้าเธอยังจะเล่นเธอก็เล่นได้ การแบ่งเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากในการเรียน ไม่ใช่ว่าเรียนอย่างเดียวไม่มีเวลาเข้าสังคม หมกตัวอยู่กับกองตำรามุดหน้าอยู่กับหนังสือ แบบนั้นเค้าเรียกว่าเรียนได้แต่ตำราเธอก็ได้แต่วิชาการ ครูจะบอกอะไรให้นะ มหาวิทยาลัยชีวิตเมื่อเธอต้องก้าวเท้าออกไปเผชิญโลกแห่งความจริงที่ไม่ใช่โลกของความฝันแบบเด็กๆ อย่างเธอ มันมีอะไรร้อยแปดพันเก้าให้เธอได้เรียนรู้กับการดำรงอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่กับโลกแห่งความจริงที่ไม่ใช่ความฝัน” ครูเว้นวรรคไปนิดหนึ่งจึงพูดต่อ

“ความฝันของคนเรามันจะเริดหรูแค่ไหนก็ได้ มันสำคัญอยู่ที่ว่า เราเดินตามทางที่จะไปให้ถึงฝันด้วยวิธีไหน บางคนอาจท้อ บาคนอาจริเดินทางลัด ทางลัดที่เลือกเดินบางครังก็ดีบางครั้งก็ไม่ดี ทางเดินของพวกเธอมันจะขรุขระหรือปูพรมแดงอยู่ที่เธอจะเลือกเดิน ถ้าเธอสร้างรากฐานที่ดีให้กับบ้านของตัวเอง เมื่อยามที่มีภัยลมพายุ น้ำป่าซัด หรือแผ่นดินไหว แม้ว่าบ้านจะพับยับเยินแต่รากฐานของบ้านก็ยังคงอยู่”

“พวกเธอจงจำไว้ว่าขโมยขึ้นบ้านสิบครั้งไม่เท่าไฟไหม้บ้านครั้งเดียว และไฟไหม้บ้านสิบครั้งไม่เท่ากับเสียพนันไปแค่ครั้งเดียว ยาเสพติดแม้เพียงน้อยนิดก็อย่าไปริลองมันจะนำพาไปสู่สิ่งอื่นอบายมุขอื่นนี่พวกเธอเข้าใจที่ครูพูดหรือเปล่า”

“สาธุ” พวกเราพร้อมเพรียงกันตอบเป็นคำเดียวกัน

“เมื่อไหร่ครูจะไปบวชบอกหนูได้นะคะหนูจะไปเป็นโยมอุปัฏฐากให้ รับรองไม่ให้ขาดตกบกพร่องจนครูถือศีลไม่ได้แน่ๆ เลย” ชนกพรแอบล้อเลียนครูทัศนาอันเป็นที่รักของพวกเรา

“ไว้ไปเมื่อไหร่แล้วจะบอกแล้วกัน เออแล้วนี่หิวกันหรือยังไปกินข้าวกับครูไหม” ครูทัศนาชักชวนพวกเราเพราะเวลานี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว

“หิวค่ะแต่ครูจะเลี้ยงพวกหนูไหวเร๊อะ” จันทร์จิรายักคิ้วหลิ่วตาให้กับครูทัศนาเป็นการหยั่งเชิง

และไม่นานปากกาของครูทัศนาก็เล็งตรงเป้าหมายกลางกระหม่อมของจันจิราตรงเป๊ะไม่เคยผิดที่มาแต่ไหนแต่ไร

“โอ๊ยครูอะทำร้ายร่างกายหนูจะฟ้องตำรวจ” จันทร์จิราลูบศีรษะของตัวเองป้อยๆ

“ก็ไปฟ้องสิครูจะรอ งั้นเธอไปสถานีตำรวจนะแม่จันนทร์ ส่วนครูกับอีกเจ็ดคนจะไปกินข้าวแล้วกลับมานั่งรอตำรวจมาจับฐานเอาปากกาปาหัวเด็กทะเล้น” ครูทัศนาท้าทายจันทร์จิรา

“โหครูอะแค่นี้ทำน้อยใจไปได้หัวก็ไม่ล้านสักหน่อย อ๊ะหรือว่าล้านไหนดูสิคะกี่แสนแล้ว” จันทร์จิราเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นคุกเข่าเพื่อที่จะดูหน้าครูทัศนาให้ชัดๆ และก็ต้องโดนปึกกระดาษคำตอบทุบอย่างจังเข้าที่กลางศีรษะของเธอ ทำเอาจันทร์จิรางงไปในทันที

“นี่เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับครูทัศนา โสน้าน่าชิ้วๆ” รตีที่เห็นจันทร์จิราทำหน้าเอ๋อไปในทันทียิ่งแกล้งซ้ำ

“คนล้มอย่าข้ามระวังกรรมตามสนองนะรตี” ครูทัศนาเปรยสั่งสอนอีกครั้ง

“เวรเลยตูโดนไปด้วยเลย” รตีบ่นเสียงอ่อย

“สอนกี่ครั้งไม่รู้จักจำกันสักทีว่าเวลาเพื่อนล้มอย่าไปข้ามหรือทับถมเพื่อน นี่ครูจะบอกอะไรให้นะถ้าเราทำอะไรกับใครไว้ เตรียมพบผลกรรมที่จะตามมามันอาจไม่มาวันนี้พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้แต่มันจะกลับมาย้อนตัวเราเองเมื่อยามที่เราล้มบ้าง ถึงตอนนั้นเธอจะสำนักว่าไม่น่าไปทำใครเค้าก่อนเลย”

“จ้าแม่ชีสาธุๆ” รตียังแกล้งครูทัศนาอยู่เหมือนเดิม

แม้ใครจะดูว่าพวกเราห่ามคุยเล่นกับครูทัศนาเหมือนกับเป็นเพื่อนเล่น แต่เราก็รู้ว่าครูไม่เคยโกรธพวกเราจริงๆ จังๆ สักครั้ง ครูให้อภัยพวกเราเสมอ ครูทัศนาจบมาใหม่ๆ เมื่อมาเป็นครูประจำชั้นของพวกเราตอนอยู่มอหนึ่ง และก็ตามมาเป็นครูประจำชั้นพวกเราเรื่อยมาจนพวกเราจบมอหก

จะว่าไปเราเห็นครูและครูสอนเรามาตลอดระยะเวลาหกปี ความใกล้ชิดสนิทสนมก็มีเพิ่มมากขึ้น อายุของพวกเรากับครูก็ไม่ได้ต่างกันมากมายจนถึงขนาดที่เราจะพูดเล่นหรือหยอกล้อครูไม่ได้ เมื่อตอนที่ครูมาสอนพวกเราครูอายุยี่สิบสองปี ส่วนเราก็อายุสิบสองบ้างสิบสามบ้างแล้วแต่ว่าใครเกิดก่อน

ความสนิทสนมของพวกเราก็เลยเหมือนพี่กับน้องมากกว่าครูกับนักเรียน หกปีที่รู้จักและใกล้ชิดกันกับครูทัศนาสำหรับพวกเราแม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ความสัมพันแปรเปลี่ยนจากครูกลายเป็นทั้งครูทั้งพี่ทั้งเพื่อนไปโดยปริยาย

ครูทัศนาพาพวกเราไปกินข้าวซอยร้านแป๊ะเจ้าประจำ แป๊ะก็ยังคงทักทายพวกเราอย่างใจเย็นเช่นเดิม

“หวักลีอาคุณคูวังนี่เอาลิงมากิงอีกเลี้ยวเหรอ”

“ค่ะแป๊ะวันนี้พวกลิงมาจากเมืองหลวงแวะมาหาก็เลยพามากินร้านอร่อยซะหน่อย” ครูทัศนาตอบทำให้แป๊ะยิ้มแก้มแทบปริ

“เอากี่ชามเหมืองเลิมเป่าอั้วจะล่ายทามห้ายพวกลือเลย”

“เหมือนเดิมแป๊ะลิงพวกนี้กินเป็นแบบเดิมแหละไม่ต้องเปลี่ยนถ้าแป๊ะจะเพิ่มอะไรลงไปก็ใส่ความรักลงไปด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ” ชนกพรจีบแป๊ะต่ออีกรอบ

“ต่อให้พวกลื้อพุกลีๆ ก่าอั้วมากแค่ไหนอั้วก็ม่ายเพิ่งเส้งกาลูกชิ้งห้ายพวกลื้อหรอกน่าชิ” แป๊ะต่อล้อต่อเถียงเหมือนเดิมเพราะจะมีใครรู้สรรพคุณของแปดเซียนดีเท่าแป๊ะร้านข้าวซอยคนนี้ไม่มีอีกแล้ว

เพราะพวกฉันกินเพียงชามเดียวแต่เติมผักกาดดองและหอมแดงจนหมดร้าน จะว่าไปแป๊ะก็ไม่เคยต่อว่าอะไรเพราะพื้นฐานของแป๊ะเองก็เป็นคนใจดี ให้เราติดค่าข้าวซอยได้เป็นเดือนๆ โดยไม่ทวงจนเราเองบางครั้งก็รู้สึกเกรงใจมีเงินเมื่อไหร่ก็รีบเอามาใช้คืนแป๊ะในทันที

เราไม่ได้ให้ครูเลี้ยงพวกเราอย่างที่ครูตั้งใจไว้เพราะเราไม่อยากจะกวนครูมากไปกว่าที่เคยทำอีกแล้ว ตอนนี้พวกเราโตแล้วถึงแม้ว่าจะทำงานหาเงินเองไม่ได้แต่เราก็เข้าใจว่าการที่คูมีอาชีพเป็นครูไม่ได้มีเงินเดือนะไรมากมายจะให้มาเลี้ยงลิงทั้งกลุ่มบ่อยๆ ก็ไม่ดีนัก

เราตัดสินใจจ่ายค่าอาหารของพวกเราเองและจ่าให้กับครูด้วยมันเป็นเงินไม่กี่บาทเมื่อคนแปดคนหารเฉลี่ยกัน แต่มันจะเป็นเงินหลายร้อยบาทเมื่อคนๆ เดียวจ่ายให้คนเก้าคน

หลังอาหารอิ่มหน่ำสำราญพวกเราก็ยกโขยงกลับไปส่งครูทัศนาที่โรงเรียนแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านอีกสองวันเราต้องกลับไปกรุงเทพเมืองฟ้าอมรอีกครั้ง

ถึงไม่อยากไปแต่ก็ต้องไปเพื่อภาระและหน้าที่ของพวกเราเอง

………….

รตีขับรถยนต์มาจากที่บ้านของเรา ส่วนฉันเอารถมอเตอร์ไซด์ขึ้นรถไฟมากรุงเทพด้วยเหมือนกัน กว่าฉันจะคลำทางจากหัวลำโพงมากิ่งเพชรได้ก็เล่าเอาอ่วมไปเหมือนกัน เพราะทางที่ฉันเคยไปมันเป็นทางที่วิ่งได้เฉพาะรถประจำทางและฉันก็ไม่เคยวิ่งเข้าตรอกซอกซอยที่ไหนมาก่อน

ฉันกางแผนที่ของกรุงเทพดูแล้วดูอีกว่าไปทางไหนถึงจะกลับไปบ้านเช่าได้ ทะลุถนนบรรทัดทองออกมาได้ก็โล่งอก

ฉันเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เห็นรถของรตีจอดรออยู่ก่อนแล้ว วันนี้เรามีโปรแกรมจะไปส่งพวงทองกับภัทรทราภรณ์กลับหอพักและเที่ยวเมืองนครปฐมกัน

“ถึงแล้วเหรอไอ้แป๊ดนึกว่าหลงทางไปแล้ว” ชนกพรทักฉันเมื่อเห็นฉันเปิดประตูรั้วเข้ามา

“เออสิเกือบไปเหมือนกันพึ่งรู้นะนี่ว่ามัมีบัสเลนรถเข้าไม่ได้เกือบโดนตำรวจจับแนะ”

“นั่นสิยิ่งวิ่งในเมืองยิ่งกลัวหลง เราจะไปส่งไอ้ปุ๊กกันว่าแต่แกจะไปกับพวกเราหรือจะไม่ไป”

“ไปสิวะอยากไปอยู่แล้วด้วย กำลังนึกอยู่ว่ารถไอ้ตีจะเอาเรานั่งไปหมดหรือเปล่า” ฉันกำลังนึกถึงปลากระป๋องแปดคนที่ต้องอัดกันในรถของรตี เมื่อครั้งที่พวกเราอยู่เชียงใหม่ก็อัดปลากระป๋องกันมาครั้งหนึ่งแล้ว เพียงแต่รถของภัทรทราภรณ์คันใหญ่กว่าของรตีเยอะมาก

“เอองั้นแกไปอาบน้ำอาบท่าก่อนก็แล้วกันพวกเราจะรอแล้วค่อยไป” ชนกพรดันหลังฉันให้เข้าบ้านและก็พบกับรอยยิ้มของภัทรทราภรณ์ที่นั่งรอฉันอยู่

“เหนื่อยไหมแป๊ดกินอะไรมาหรือยัง”

“ไม่หรอกนอนมาจะเหนื่อยอะไรเพียงแต่ไม่ชอบเดินทางด้วยรถไฟเท่านั้นมันช้ามาก ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างมาตลอดทาง”

“นั่นสิยังคิดเลยว่าแป๊ดจะทนมารถไฟได้ไงแต่ก็อย่างว่านะต้องมาพร้อมมอไซด์นี่เน๊อะ แล้วตกลงเอ่น้องแดงจอดไว้ที่ไหนหละแป๊ด”

“เอาจอดไว้ข้างบ้านนี่แหละไว้พรุ่งนี้จะลองเอาไปมหาลัยดู อาจคลำทางไปถูกขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะกิ่งเราเหนียวตัวมากๆ เลย”

“จ้าไปเถอะรีบๆ หน่อยแล้วกันเดี๋ยวไปถึงสายมากๆ จะร้อน”

แล้วสิ่งที่เรากลัวกันว่าจะต้องอัดเป็นปลากระป๋องก็คลี่คลายไปได้เมื่อประณตโผล่มาที่หน้าประตูรั้วเพื่อมารับภัทรทราภรณ์ไปหอพัก พวกเราเลยชวนประณตไปเที่ยวด้วยกัน แบ่งเบาปลากระป๋องของพวกเราไปได้ครึ่งต่อครึ่ง จุดหมายปลายทางก็คือองค์พระปฐมเจดีย์

รถของรตีมีพวงทองเป็นคนบอกทาง ส่วนรถของประณตไม่ต้องเพราะมีกุนซือใหญ่อย่างจันทร์จิราคอยบอกทางเนื่องจากจันทร์จิรานั่งรถ บขส. มาหาพวงทองอยู่บ่อยๆ

ถึงเมืองนครปฐมก็เข้าไปส่งพวงทองที่หอพักก่อนเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บและเราก็ไปพระราชวังสนามจันทร์เดินเล่นในนั้นแต่เพราะแดดร้อนมากจึงเที่ยวได้ไม่สนุกเท่าไหร่นัก พวงทองจึงชวนพวกเราไปตลาดหาข้าวมื้อเที่ยงกินกัน

เราเลือกร้านห้องแถวที่มีคำประกาศเชลชวนชิมและนั่งกินข้าวหมูแดงหมูกรอบ เค้าว่ากันว่าเมืองนครปฐมเป็นดินแดนแห่งการเลี้ยงหมู เราก็รู้แล้วเมื่อเข้ามาถึงตัวเมืองเพราะว่ากลิ่นของขี้หมูโชยมาติดจมูกตั้งแต่เข้ามาถึงบริเวณตัวเมือง

อาหารอร่อยถูกปากทำให้พวงทองกินข้าวได้ถึงสองจาน เราเห็นเพื่อนกินข้าวได้ก็รู้สึกดีใจ เค้าว่ากันว่าคนติดยาจะไม่ยอมกินข้าวกินปลาอยากแต่ยาอย่างเดียว ตอนนี้พวงทองของเราไม่อยากยาแต่ยอมกินข้าว เราก็เลยดีใจที่เพื่อนจะตัดขาดจากมันจริงๆ

หลังกินข้าวเสร็จเราก็ไปที่องค์พระปฐมเจดีย์นมัสการองค์พระ บรรยากาศของที่นี่ร่มรื่นและสงบจากที่ร้อนๆ มาพอเข้าวัดกลับร่มเย็น ใครว่าเข้าวัดจะร้อนฉันขอเถียงว่าไม่จริงเลย

วัดทำให้จิตใจของเราสงบเพราะบรรยากาศกลิ่นธูปควันเทียนกลิ่นดอกไม้บูชาพระ ทำให้จิตใจสงบได้มากทีเดียว

เราเดินวนองค์พระทั้งรอบในและรอบนอก เดินดูตุ๊กตาหินประดับและพระพุทธรูปที่วางเรียงรายอยู่รอบๆ องค์พระ และทำท่าทางเลียนแบบตุ๊กตาเหล่านั้น ฉันเห็นตุ๊กตารูปสิงโตมีลูกกลมๆ อยู่ด้านในพยายามเท่าไหร่ก็เอาลูกหินนั้นออกมาไม่ได้

ฉันว่าคนโบราณนี่เก่งมากๆ สามรถแกะสลักอะไรแปลกๆ ให้คนสมัยเราได้เรียนรู้และศึกษา และเราก็ได้พบกับทางเดินที่มีคนเล่าว่าซีอุยอาศัยทางเดินนี้สำหรับล่อเด็กๆ มาควักเอาหัวใจและตับออกไปกินสดๆ มันดูมืดๆ และน่ากลัวสำหรับฉัน เพราะฉันเป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว จันทร์จิราอีกเช่นเคยที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินเข้าถ้ำซีอุย

“ไอ้นกแกเข้าไปก่อนเลย” ฉันผลักชนกพรให้เดินนำหน้าแต่ตัวเองก็เกาะแขนของภัทรทราภรณ์ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“นี่ไอ้แป๊ดแกจะกลัวไปถึงไหนวะซีอุยก็ตายไปตั้งชาตินึงแล้วยังจะมากลัวอยู่ได้” ชนกพรหันมามองหน้าฉันแล้วก็ยิ้มขำๆ กับอาการขาสั่นเป็นลูกนกของฉัน

“ไอ้ที่กลัวนะไม่ได้กลัวซีอุยเว้ยฉันกลัวผีเด็กที่ซีอุยเอามาฆ่าในนี้ต่างหาก” ฉันตอบเสียงสั่น

“แป๊ดไม่ต้องกลัวหรอกเราอยู่ด้วยทั้งคนไปเถอะเราก็อยากรู้ว่ามันเป็นไง” ภัทรทราภรณ์เดินพาฉันตามพวกจันทร์จิราเข้าไป

ในทางเดินก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเป็นเพียงทางเดินแคบๆ อากาศอับๆ ก็แค่นั้นเอง กว่าจะออกมาได้ก็เล่นเอาฉันแทบเข่าอ่อนหลับตาปี๋เกาะแขนของภัทรทราภรณ์เดินแบบคนตาบอด เมื่อเดินออกมาจนถึงด้านนอกฉันค่อยโล่งอก

“ดูมันสิพวกแกเรื่องตาขาวนี่ไม่มีใครเกินมันเลย” จันทร์จิราพูดกับเพื่อนๆ และให้ดูฉันที่ยังยืนเกาะแขนภัทรทราภรณ์ไม่ยอมปล่อย

“แกก็รู้ว่ามันนะขี้กลัวยังจะเอามันมาดูอีก ก็ยอมรับสภาพไป ก็ดีกว่าแกแล้วกันไอ้เจ้ากลัวความสูงพอกันแหละว้า” พวงทองแย้งให้ฉัน

“เออก็ถือว่าเจ๊ากันไปแล้วกันไอ้สองคนนี้เถียงกันอยู่ได้ ว่าแต่ไปส่งไอ้ปุ๊กกลับหอกันเถอะเดี๋ยวไปส่งกิ่งเข้าหอด้วย” รตีรีบตัดบทเพราะเวลานี้ก็บ่ายสี่โมงแล้ว

เราทั้งหมดขึ้นรถและก็ไปส่งพวงทองกลับหอ จากนั้นก็เดินทางไปส่งภัทรทราภรณ์กลับเข้าหอพักกว่าจะไปถึงก็ต้องฝ่าฟันรถติดที่เดินทางกลับจากต่างจังหวัดเพื่อเข้ากทม.ในวันหยุดแบบนี้

ฉันทำท่าเหมือนจะไม่อยากกลับจนรตีต้องแอบแซว

“นี่ไอ้แป๊ดแกจะนอนนี่เลยมั๊ยฉันจะได้ทิ้งไว้เลย”

“นอนได้ไงวะพรุ่งนี้ก็ต้องไปเรียนแต่เช้าเหมือนกันนี่หว่าเดี๋ยวลงทะเบียนไม่ทัน”

“เออนึกว่ายังอยากนอนที่นี่จะได้สงเคราะห์ให้เห็นว่าไม่อยากพลัดพรากจากกัน”

“แหม่แกไอ้ตี ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้คนรักบ้างสิวะ อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้เจอกันอีกเป็นฉันนะจะบับกิ่งมาปล้ำแล้วก็ค่อยปล่อยไป อะหรือว่าต้องการใช้รถเป็นพื้นที่ส่วนตัวได้นะเดี๋ยวพวกฉันไปยืนรอแถวโน้นก่อนก็ได้เห็นใจเพื่อน” จันทร์จิราดูจะแซวฉันแรงไปหน่อยแล้วแบบนี้ต้องเอาคืน

“ไอ้เจ้าแกอยากนอนฟังเสียงกิจกรรมแฮปปี้ทั้งคืนอีกหรือเปล่าหละคราวหน้าฉันจะจัดให้” ฉันแซวกลับ

“ว๊ายไอ้หน้าด้านพวกไร้ยางอาย” จันทร์จิราหน้าแดงเมื่อฉันพูดถึงกิจกรรมในคืนนั้น

“แล้วไงหน้าด้านอย่างฉันจะจัดให้สนใจไหม”

“อย่าๆๆๆ ไอ้แป๊ดฉันสองคนแทบนอนไม่หลับขอร้องเพื่อน Please ได้โปรดเถิดพระเจ้าอย่ทำอีกเลยลูกช้างเข็ดแล้ว” ชนกพรรีบขอร้องฉันในทันที

“ดีแล้วอย่าให้รู้นะว่านินทาอีกไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ละไม่วางอีกต่อไป”

“คุยเรื่องอะไรกันเหรอแป๊ด” ภัทรทราภรณ์ทำหน้าเหรอหราเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉัน ชนกพรและจันทร์จิราคุยกัน

“นั่นสิอะไรของพวกเธอยะไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ประณตเสริมโรงกับภัทรทราภรร์ไปด้วย

ทำให้ทั้งจันทร์จิราและชนกพรต้องกระซิบบอกกับทั้งสองคน ปฏิกริยาตอบรับก็คือภัทรทราภรณ์หน้าแดงและตีแขนฉันหลายตุบ ส่วนประณตหัวเราะร่าแบบนอนสต๊อป

กว่าประณตจะหยุดได้ก็คงต้องใช้เบรคเอบีเอสมาห้ามไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้ยินข่าวหน้าหนึ่งว่านักเรียนแพทย์ขำจนหัวใจวายเพราะกิจกรรมแฮปปี้ของเพื่อนเป็นแน่

ฉันนะเหรอคะยังหน้าด้านหน้าทนขำตามประณตไปด้วยเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ก็จะให้ทำไงได้

เรื่องมันเกิดไปแล้วจริงไหมจ๊ะ

..... จบบทที่ ๑๒ ....




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:08:47 น.
Counter : 308 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๑

บทที่ ๑๑

หลังเลิกแถวทุกคนก็พากันไปลงเล่นน้ำฉันกับไปรยาก็เป็นหนึ่งในจำนวนของคนที่ลงเล่นน้ำทะเลเช่นกัน เพื่อนๆ บางคนเล่นบอลกันอยู่ที่ชายหาดโดยเฉพาะพวกผู้ชายเล่นบอลโกหนูกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมยังมีพนันติดปลายนวมกันอีกด้วย

เรียกว่าใครแพ้ก็หมดเนื้อหมดตัวกันเลยทีเดียว ส่วนพวกผู้หญิงอย่างฉัน อย่างมากก็เล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันอยู่แถวๆ ริมชายหาด จะว่าไปหาดนี้ก็สงบมากว่าหาดอื่นๆ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ฉันชวนไปรยาไปนั่งสกุ๊ตเตอร์เล่นชั่วโมงละไม่กี่ร้อยบาทเราสองคนก็ยังพอจะเล่นได้

มีเพื่อนๆ อีกสองสามคนที่ไปเล่นสกุ๊ตเตอร์แบบฉัน เราขี่กันไปเรื่อยๆ เร่งเครื่องบ้างผ่อนบ้างแล้วแต่ว่าจะอยากเล่นแบบไหน เมื่อดูเวลาแล้วเห็นว่าใกล้จะหมดชั่วโมงก็ขี่กลับเข้าหาฝั่ง

ที่สังเกตได้ชัดเจนจากทะเลก็คือร่มแดงของแม่คุณนายคนนั้น จะว่าไปก็เป็นการดีนะที่แม่คุณนายใช้ร่มแดง เพราะมันเป็น Benchmark อย่างดีของฉันกับไปรยา

“นี่แม่นั่นจะไม่ออกมาเล่นอะไรกับพวกเราเลยเหรอกอล์ฟ”

“ไม่รู้สิ”

“เราไปแกล้งกันดีว่า รู้สึกคันไม้คันมือแล้วตอนนี้” ฉันเริ่มคิดแผนการทำนบสองออกมาเป็นระลอก

จากนั้นฉันก็ขึ้นบกเอาสกุ๊ตเตอร์ไปคืนพี่เจ้าของแล้วก็เกินเตะทรายไปเรื่อยๆ โดยเป้าหมายก็คือการไปร่วมเล่นกับเพื่อนผู้ชายเพื่ออาศัยเล่นบอลโกหนูด้วย

ฉันเล่นไม่เก่งหรอกค่ะ เคยเล่นกับพวกจันทร์จิราอยู่บ้างแต่ก็แพ้ทางในการเลี้ยงลูกหลบหลีก จันทร์จิรากับธิติมาสองคนนั้นเก่งกว่าฉันเยอะ

แต่มีอยู่อย่างนึงที่ฉันไม่แพ้ใครนั่นก็คือยิงได้แม่นยิงไม่เคยพลาด จากการวัดระยะด้วยสายตากับสิ่งที่ฉันเห็นมันบอกได้เลยว่าฝีมือของอรุณวิลัยนั่นสามารถ

งานนี้ไม่พลาดแน่หึหึ!!

เมื่อลูกอยู่ในการครอบครองของฉัน ก็ซัดทันทีเต็มเหนี่ยวไปยังเป้าหมาย พวกผู้ชายร้องวู้...เพราะประตูโกหนูอยู่ไม่ไกลแต่ลูกบอลของฉันกลับไปไกลกว่าที่พวกนั้นจะคาดคิด

“ว๊าย” เสียงร้องของหญิงสาวคนหนึ่งร้องดังลั่นเมื่อลูกบอลไปกระทบที่ศีรษะเธอเข้าอย่างจังเธอลุกขึ้นทันทีเพราะความเจ็บและมึนกับสิ่งที่มากระทบตัวเธอ

“ขอโทษครับพวกผมไม่ได้ตั้งใจ” เพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่วิ่งกลับไปเก็บบอลกล่าวของโทษผู้หญิงคนนั้น

“นี่พวกเธอเล่นกันให้เป็นคนมีวัฒนธรรมหน่อยสิไม่ใช่เล่นแล้วมาระรานชาวบ้านแบบนี้” เสียงแว๊ดๆ ดังออกมาจากปากของหญิงสาวผู้นั้น

พวกผู้ชายอดรนทนไม่ได้ก็โต้กลับไปบ้าง

“ก็ขอโทษไปแล้วไงจะเอาไงอีกแม่คุณ พวกผมเล่นกันก่อนที่คุณจะมานั่งคุณนั่นแหละก็รู้ๆ อยู่ว่าลูกบอลมันกลมๆ กลิ้งได้ยังจะมานั่งใกล้ๆ อีก ทีคนอื่นเค้าไม่เห็นจะบ่นอะไร คุณนั่นแหละมานั่งขวางทางบอลเองช่วยไม่ได้” พีรพงษ์เพื่อนในกลุ่มของฉันคงทนไม่ได้ที่โดนเธอต่อว่า

“ว๊ายพวกหน้าไม่อายมาเถียงผู้หญิง” เธอยังคงกรี๊ดกร๊าดไม่เลิกรา

“เอ๊าก็คุณมาว่าพวกผมก่อนทำไมหละ ไปเถอะอย่างไปสนใจแม่ปลาร้าค้างปีเลยพวกเราไปเล่นกันต่อเถอะ” พีรพงษ์เดินกลับมาที่กลุ่ม

เสียงร้องกรี๊ดๆ ของเธอก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆ นี่ช่างไม่กลัวหลอดเสียงอักเสบเลยนะแม่คุ๊ณ

ฉันได้แต่ยืนหัวเราะงอหายไปกับภาพที่ได้เห็น

แหม่!!! สะใจจริงจริ๊ง อรุณวิลัย

........................

ฉันกลับเข้ามาที่ห้องพักก็เห็นว่าพิศลยายังอาบน้ำอยู่ ฉันกับไปรยาก็นั่งรออยู่นานจนทนไม่ไหวฉันจึงเดินไปทุบประตูห้องน้ำ

“นี่แม่คุณจะอาบน้ำกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนกันยะ”

“ฉันต้องแช่น้ำแร่กับน้ำนมหนึ่งช่วงโมงก่อนถึงจะขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นผิวจะเสีย” เสียงตอบกลับออกมาจากในห้องน้ำทำเอาฉันและไปรยาต้องหันมามองหน้ากัน

“แล้วนี่พวกฉันจะได้อาบน้ำกันเมื่อไหร่หละ ออกมาได้แล้วพวกฉันจะได้อาบบ้าง”

“ไม่ได้ยังไม่ครบคอร์สนี่ฉันได้ครีมอาบน้ำรุ่นใหม่ต้องทำให้ครบคอร์สก่อน”

“เวรเลยคราวนี้ เออตามใจนะแม่คุณทูนหัวเชิญแช่ให้ตัวเปื่อยไปตรงนั้นก็แล้วกัน อ้อระวังนะแถวนี้เค้าว่ามีตัวร้อยขามากับน้ำจืด อาบดีๆ แล้วกันหละระวังมันไชเข้าไปนะตะเอง” ฉันแกล้งตะโกนกลับไปบอกคนในห้องน้ำทำเอาเธอร้องกรี๊ด....จนแสบแก้วหู

“เราว่าเราสองคนไปอาบน้ำห้องข้างๆ กันดีกว่า” ฉันบอกกับไปรยา เพราะเห็นท่าว่าจะทนรอต่อไปม่ไหวแน่ๆ เหงื่อท่วมกายแบบนี้ ขืนดองเอาไว้คงกลายเป็นปลาร้าค้างปีแบบที่พีรพงษ์บอกแน่ๆ

ฉันกับไปรยาบอกกับเพื่อนๆ ข้างห้องว่าขอมาอาบน้ำด้วย พอเพื่อนถามว่าเพราะอะไรทำไมไม่อาบน้ำห้องของตัวเอง เมื่อบอกเหตุผลไปเพื่อนก็เข้าใจและให้ฉันสองคนเข้ามาอาบน้ำได้ จนเสร็จเรียบร้อยและกลับไปที่ห้องของเราเอง

คุณนายเงือกน้อยก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำอยู่ดี

“นี่แม่คุณโดนไชจนเปื่อยไปหรือยังน่ะ อ๊ะหรือว่าพายตะเพียนมาเอาตัวไปลงพิภพบาดาลแล้ว” ฉันตะโกนกลับไปในห้องน้ำอีกรอบ

“ว๊ายยายแปดหลอดเดี๋ยวเถอะจะโดนดีให้ออกไปก่อนเถอะ”

“รีบๆ ออกมาเลยนะรออยู่แม่เงือกน้อยหอยสังข์โดนตัวร้อยขาไชก้น ฮ่าๆๆ”

ฉันนอนดูทีวีไปเรื่อยๆ พร้อมกับหยิบขนมมานั่งกินบนเตียงกับไปรยาอย่างเอร็ดอร่อย รออยู่อีกครู่ใหญ่นางเงือกก็ออกมาพร้อมกับชุดกางเกงตัวนั้น

หุหุ!!

ฉากสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ.บัดนาว

“ทำไมมันคันแบบนี้นะหรือว่าไอ้น้ำแร่น้ำนมมันจะโลว์คลาส ไม่เข้ากับผิวของฉัน” พิศลยาเกาไปเรื่อยๆ จนเป็นผื่นแดงไปทั่วทั้งขา

ฉันมองหน้าไปรยาพยักเพยิดกันอยู่สองคน

“ก็เอาไปทิ้งสิจะได้ไม่ต้องใช้อีกโลว์คลาสขนาดนั้นนะแม่คุณ” ฉันแกล้งยั่วไปอีกรอบเหมือนๆ จะเห็นใจแต่นะใครจะรู้

“สงสัยต้องทิ้งจริงๆ แล้ว” เธอก็ยังคงเกาไม่เลิก

“นี่ปริมตัวไปถอดกางเกงออกก่อนดีไหม มันอาจจะคันมาจากกางเกงก็ได้” ไปรยาที่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไรรีบบอกให้เจ้าตัวไปถอดกางเกงเจ้าปัญหาออกก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้

“ไม่หละเธอรู้ไหมว่าชุดนอนชุดนี้แม่ซื้อมาให้ฉันจากแพรีสเลยนะจะคันได้ไง”

“เป็นงั้นไปงั้นก็ตามใจ” ไปรยาส่ายหน้าแบบเอือมระอาเต็มที

แต่สุดท้ายแม่เงือกน้อยก็ต้องเข้าห้องน้ำไปถอดกางเกงออกอยู่ดีและนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋วออกมาแทนพร้อมกับเกาไปเรื่อยๆ

“ลองเอาน้ำลูบก่อนดีไหมปริม แล้วเอาโลชั่นทา เอาโลชั่นเด็กของเราไปทาก่อนก็ได้” ไปรยาเห็นขาของพิศลยาแดงเป็นปื้นจนน่าตกใจ จากขาสวยๆ ผิวเนียนเรียบบัดนี้เป็นปื้นแดงจะน่ากลัว

พิศลยาทำตามที่ไปรยาบอกอย่างว่าง่าย

ฉันอาสาทำทีเข้าไปช่วยเธอก็ให้ฉันช่วยโดยไม่ได้บ่นอะไร ฉันใช้น้ำล้างต้นขาให้เธอและฟอกสบู่เด็กในมือของฉันให้ และแล้วแผนการที่จะได้เห็นขาอ่อนของนางพญาก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

อย่าว่าแต่ได้เห็นเล๊ย ตอนนี้ได้ลูบคลำแล้วอีกต่างหากแต่น่าเสียดายอยู่อย่าง ก็ตรงที่ว่าขาสวยๆ ที่คิดว่าจะได้เห็นกลับกลายเป็นขาที่มีแต่ปื้นแดงเต็มไปหมด แต่อย่างไรเสียสิ่งที่ตั้งใจไว้ก็เป็นผลแล้วอรุณวิลัย

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา

อิคคิวซะอย่างสบายไปร้อยแปดอย่าง ฮ่าๆๆ ฉันได้แต่หัวเราะอยู่ในใจคนเดียว

ยิ่งเกาก็ยิ่งมันยิ่งคันก็ยิ่งเกาจนแดงไปหมดทั้งตัวแถมยังวิ่งเข้าห้องน้ำไปเกาอีกหลายรอบ จากนั้นไปรยาก็เอายาหม่องทาให้

“นี่ปริมแพ้อาหารทะเลหรือเปล่า” ไปรยาตีหน้าซื่อถามพิศลยาที่ยังนอนเกาตัวเองอีกหลายรอบ

ไม่มีเสียงตอบจากพิศลยาเพราะตอนนี้มัวเมามันกับการเกาไปทั่วตัว

“ตรงนี้กอล์ฟ นั่นแหละ ตรงนี้ด้วย นั่นแหละ โอ๊ยตรงนี้ก็คันอีกแล้วฉันจะตายไหมนี่” พิศลยาร้องไปเกาไปอยู่อย่างนั้น

มือของไปรยาก็ยังทายาหม่องให้กับพิศลยาไปเรื่อยๆ จนห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นยาหม่อง ที่พิศลยาชอบบ่นนักหนาว่ามันเหม็นจะอ๊วกแตก แต่ตอนนี้ไหงมานอนทนให้ไปรยาทายาหม่องได้ก็ไม่รู้

คนเราน้อจะทำตัวไฮโซก็ไม่สมกับตัวจริงๆ เล๊ย

....................................

ทั้งคืนพิศลยายังเกาไม่เลิกแต่เธอก็ไม่ได้ใส่กางเกงจากแพรีสตัวแพงนั้นอีกเลย เธอนุ่งผ้าขนหนูผืนจิ๋วผืนนั้นนอน เพราะบอกว่าไม่ไหวแล้วคันๆๆ ฉันก็ชักจะเห็นใจ แต่จะทำไงได้มาแกล้งพวกเราก่อน แล้วตอนนี้พิศลยาก็เหลือ แต่ชั้นในตัวจิ๋วสองตัว

“โอ้วแม่เจ้าโว๊ย พอหายคันผิวเธอช่างสวยอะไรอย่างนี้”

ยิ่งมาต้องแสงไฟสีนวลยิ่งชวนให้อารมณ์เคลิ้มของฉันกระเจิงไปอย่างกู่ไม่กลับ นี่ถ้าไม่มีไปรยาอยู่ด้วยแม่นางพญาคนนี้คงเสร็จฉันอยางแน่นอน

ไปรยาลุกขึ้นไปห่มผ้าให้กับพิศลยาที่นอนดิ้นถีบผ้าห่มออกทุกครั้ง จะว่าไปแล้วพิศลยาก็ดูท่าทางเป็นเด็กๆ เมื่อยามหลับไหล

ความเป็นนางพญาของเธอไม่เหลือเค้ารูปให้ได้เห็นหลับแบบเด็กๆ นอนน้ำลายยืด ฉันกับไปรยามองหน้ากันแล้วก็ขำ

“ไปเล่นน้ำทะเลตอนเช้าไหมกอล์ฟ” ฉันชวนไปรยาให้ออกไปเล่นน้ำด้วยกัน

“ไปสิเราเปลี่ยนชุดก่อนนะเอาชุดเมื่อวานแล้วกันเน๊อะจะได้ไม่เปียกหลายชุด” ไปรยาเสนอและฉันก็ตอบสนอง

“เออดีเหมือนกันเดี๋ยวเราหยิบให้คงแห้งแล้วหละ”

ฉันเดินออกไปที่ระเบียงห้องแล้วก็หยิบชุดของตัวเองกับชุดของไปรยาที่ตากพึงลมเอาไว้กลับเข้ามาในห้อง หันไปมองพิศลายก็ยังคงหลับเป็นตายเหมือนอย่างเคย ฉันรู้สึกผิดในใจอยู่บ้างที่แกล้งเพื่อนแรงๆ แบบนี้

แต่จะให้ทำไงได้ก็ดันมาท้าทายฉันก่อนเองนี่

ช่วยไม่ได้ จริงไหมจ๊ะ

ทะเลวันนี้ดูเหมือนว่าจะไม่น่าลงเล่นสักเท่าไหร่ เพราะท่าทางคลื่นจะแรงกว่าเมื่อวานมาก มีเพื่อนๆ และรุ่นพี่บางคนลงไปเล่นน้ำอยู่ก่อนหน้าฉันแล้ว ฉันกับไปรยาก็เดินเลงไปเล่นน้ำด้วยเช่นกัน

สักพักใหญ่ฉันก็รู้สึกแสบร้อนไปทั้งแขน จึงชวนไปรยาขึ้นมาจากน้ำ

“กอล์ฟ สงสัยเราจะโดนแมงกระพรุนไฟ”

“จริงเหรอไหนดูสิ” ไปรยาดูที่แขนของฉันที่แดงเป็นปื้นจนน่ากลัว จึงรีบวิ่งไปบอกรุ่นพี่

“พี่คะแป๊ดโดนแมงกระพรุนไฟค่ะพี่”

“อ้าวตายหะ ไปหาผักบุ้งทะเลมาเร็วเข้า มาขยี้ๆๆ แก้พิษเบื้องต้นไปก่อน”

จากนั้นพวกพี่ๆ ก็สาระวนกับการเดินหาต้นผักผุ้งทะเลมาปฐมพยาบาลฉันกันยกใหญ่ สักพักก็มีเพื่อนอีกคนที่โดนแบบฉันเช่นกันรุ่นพี่ก็เลยประกาศห้ามน้องๆ ลงเล่นน้ำอีกเพราะมีสองคนแล้วที่โดนแมงกระพรุนไฟ

ไอ้เจ้าผักบุ้งทะเลนี้รูปร่างใบมันก็แปลกๆ เป็นเหมือนรูปหัวใจ เค้าว่ากันว่ามันมีพิษหากินเข้าไป แต่ก็เอามาใช้แกพิษแมงกระพรุนไฟได้ชะงัดนักแล

ฉันปวดแสบปวดร้อนอยู่นานกว่าจะหายทำให้ฉันนึกถึงพิศลยาที่โดนหมามุ่ยของฉันไปเมื่อคืนนี้ กรรมที่ฉันทำไว้กับพิศลยามันวิ่งมาถึงฉันไม่ทันข้ามวัน ต่อไปนี้อรุณวิลัยจะเป็นคนดีไม่แกล้งใครอีกแล้ว

วงเล็บไว้ว่าถ้าไม่จำเป็น

เจ้าประคุ๊ณ!!!!

.........................

ในรถขากลับ ฉันยังเห็นพิศลยานั่งเกาตัวของเธอไปเรื่อยๆ ส่วนฉันก็นั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปตลอดทาง กลับมาถึงมหาวิยาลัยก็เกือบจะมืดแล้ว

ฉันกลับถึงบ้านด้วยท่าทางกระปลกกระเปลี้ยเพลียแรง เดินอย่างกระป้อกระแป้เข้าประตูบ้านมาจนจันทร์จิราต้องเอ่ยทัก

“เป็นไงไอ้แสบแผนการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีไหม”

“สำเร็จวะ แต่กรรมตามสนองทันตาเห็นเลยแก”

“กรรมอะไรของแกวะ”

“ก็ฉันโดนแมงกระพรุนไฟนี่ไงแก เจ็บอิ๊บอ๋าย” ฉันยื่นแขนข้างที่โดนแมงกระพรุนให้เพื่อนดู

“เออดีว่ะทันตาเห็นดี จะได้รู้กันสักทีว่าเวรกรรมมีจริง” รตีมาร่วมวงสนทนาด้วยก็พูดขึ้นแบบประชดประชัน ทำเอาฉันหันไปค้อนให้กับรตีวงใหญ่

“ก็ใครจะไปรู้หละว่ามันจะตามมาเร็วขนาดนี้ แค่อยากให้แม่นั้นรู้สำนึกบ้างว่าก่อนจะมาท้าทายใครให้ดูตัวเองก่อนก็แค่นั้น ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้ นี่เพื่อนเจ็บยังจะมาตอกย้ำซ้ำเติมอีกนะพวกแก จำไว้เลยคราวหลังจะไม่ปรึกษาหารืออะไรอีกแล้ว ความลับไม่เค๊ยไม่เคยจะลับอะไรกับเค้าเล๊ยไอ้พวกนี้” ฉันบ่นไปตามเรื่องตามราวและก็หิ้วกระเป๋าขึ้นห้องนอนไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้เพื่อนๆ นั่งมองหน้ากันตาปริบๆ

“เฮ้ยแล้วนี่จะไม่เล่าอะไรให้กันฟังบ้างเลยหรือไงวะไอ้แป๊ดเพื่อนอยากรู้นะเว่ย” ชนกพรตะโกนถามไล่หลังฉันมาติดๆ

“ไม่เล่าเว่ย เดี๋ยวไม่เป็นความลับ” ฉันตะโกนกลับไปและปิดประตูห้องนอนของตัวเองดังปัง

เป็นการจบบทสนทนาของพวกเรา

...........................

หลังจากงานรับน้องพิศลยาเปลี่ยนท่าทีที่แสดงกับฉันและไปรยาไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าฉันจะตะขิดตะขวงใจเพราะพิศลยาเข้าใจผิดว่าเราสองคน หมายถึงไปรยากับฉันช่วยเหลือเธอไว้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้

การที่ปล่อยให้พิศลยาเข้าใจผิดก็เป็นการดีเราสามคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น พิศลยาไม่เคยเอาเรื่องความร่ำรวยของเธอมาพูดคุยโอ้อวดกับพวกฉันอีก

นั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องที่ค้างคาใจของพวกฉันก็คือเมื่อไหร่จะบอกกับพิศลยาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดฉันเป็นคนทำเอง

แต่เมื่อมานึกไปนึกมาการที่เก็บเรื่องบางเรื่องเป็นความลับก็คงดีกว่าการที่ออกมาป่าวประกาศปาวๆ ว่าฉันทำเองนะเธอ ความเป็นเพื่อนก็อาจจะสั่นคลอนลงไปได้ สู้เก็บไว้จนเมื่อเราไว้ใจกันมากว่านี้แล้วค่อยเฉลย เหมือนฉันกับพวกแปดเซียนจะดีกว่า

รายงานของพวกเรามีพิศลยาเป็นตัวนำเสนอทุกครั้ง ฉันคิดว่าพิศลยาไม่น่าจะมาเรียนบัญชีเลยเพราะเธอเก่งในการพูดจา เก่งในการวางมาดในการถ่ายทอดเรื่องรายงาน

กลุ่มของฉันเป็นกลุ่มที่นำเสนอรายงานหน้าห้องได้เกือบจะดีที่สุด

แม้ว่าเนื้อหาในรายงานจะไม่ได้แตกต่างไปจากของเพื่อนๆ เท่าใดนัก แต่การนำเสนอของพวกเราก็สุดยอด พิศลยามีเครื่องมือในการนำเสนอที่ผิดแผกแปลกไปจากกลุ่มอื่นๆ เพราะเธอจะใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการทำงาน

สมัยนั้นใครมีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองก็ถือว่ารวย และก็เก่งเอาการที่ทำคอมพิวเตอร์ได้ ฉันยังทำได้แค่เวิร์ดจุฬาเวิร์ดราชวิถี และโปรแกรมบางอย่างเช่นโลตัสเท่านั้น แต่พิศลยาเธอเก่งทำอะไรจากคอมพิวเตอร์ได้หลายๆ อย่างแบบที่พวกเราไม่คาดคิด

แผ่นใสของกลุ่มพวกเราอาจารย์ยังขอเอาไปถ่ายเอกสาร พิศลยาทำกราฟลงในคอมพิวเตอร์ได้อย่างน่าทึ่ง พวกฉันก็เพียงแค่ทำตัวอย่างให้ดูในกระดาษจากนั้นเธอก็จะทำออกมาให้พวกเราได้อย่างง่ายดาย

ความเป็นเพื่อนแม้เพียงวันเดียวก็ยังคงถือว่าเป็นเพื่อน พิศลยามาบอกกับพวกเราว่าเธอจะย้ายไปเรียนที่อังกฤษ เพราะพี่สาวของเธอบอกว่าให้ไปเรียนที่นั่น ซึ่งฉันก็คิดว่าเธอไปได้ถูกทางแล้ว

ในวันหนึ่งพิศลายก็มาบอกพวกเราว่าเธอต้องไปแล้วจริงๆ วันพรุ่งนี้คือวันเดินทาง ฉันกับไปรยาไปเดินหาซื้อของฝากให้กับพิศลยาและพาเธอนั่งรถเมล์ไปวัดโพธิ์ เพื่อไปไหว้พระ พิศลยาทำท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้ขึ้นรถเมล์

เราสามคนเสี่ยงเซียมซีกัน ในใบเซียมซีบอกว่าพิศลยาจะได้เดินทางไกลห่างจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเป็นเวลานานแสนนานกว่าจะได้กลับมา น้ำตาของเธอทำให้ฉันและไปรยามองหน้ากันไปมา เพราะจะช่วยเหลืออะไรเธอไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้

เมื่อถึงเวลาที่รถจะมารับเธอกลับบ้านเราสามคนก็ออกจากวัดโพธิ์กลับมาที่มหาวิทยาลัย

การเลี้ยงลาในวันรุ่งขึ้นระหว่างเราสามคนก็เกิดขึ้น ฉันพาพิศลยาไปนั่งร้านริมน้ำตรงท่าพระจันทร์ เธอบอกว่าอร่อยมากว่ากับข้าวที่พ่อเธอให้เอามาส่งเสียอีก

น่าเสียดายที่กว่าที่เธอจะรู้มันก็สายไปเสียแล้ว เมื่อมีงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ฉันเดินไปส่งพิศลยาขึ้นรถคันหรูเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา น้ำตาของความเป็นเพื่อนก็ได้หลั่งไหลออกมาจากเราสามคน

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพิศลยาที่จะได้มาเรียนที่นี่ จริงๆ แล้วเธอไม่ต้องมาเรียนอีกก็ได้ แต่เธอก็มาเพราะในค่ำคืนนี้เธอต้องบินไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้ว เราสามคนกอดกันกลมและฉันสัญญาว่าเมื่อเธอกลับมาอีกครั้งเราจะพาเธอนั่งรถเมล์ตะลอนกรุงให้ทั่ว

คำสัญญาจากใจจากเพื่อนถึงเพื่อน

“ลาก่อนเพื่อนแล้วเราคงได้พบกันใหม่” ฉันกล่าวลาด้วยน้ำตานองหน้า

“ลาก่อนเพื่อนฉันไปนะกลับมาเมื่อไหร่จะมาเยี่ยมถึงถิ่นเลย”

พิศลยาโบกมือลาเราสองคน และเราสองคนก็ยืนมองรถคันหรูของเธอเล่นออกไปจากประตูรั้วของมหาวิทยาลัยด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่แพ้กัน

....................

ใกล้วันสอบปลายภาคพวกฉันยิ่งต้องคร่ำเคร่งกับตำราอย่างหนัก บ้านแปดเซียนอยู่ในความสงบมีเพียงเสียงถอนหายใจอยู่เป็นระยะๆ จากพวกเราเท่านั้น

“พึ่งจะรู้นะนี่ว่าไอ้การเรียนมหาลัยนะมันง่ายนิดเดียว” จันทร์จิราเอ่ยเสียงดังกลบความเงียบของทั้งบ้าน

“ง่ายแล้วถอนหายใจทำไมวะไอ้เจ้า” ชนกพรแย้งขึ้นมาทันที

“ก็ง่ายไงง่ายตอนเรียนแต่ตอนสอบโคตาระยากเลยหวะแก เฮ้อ....” จันทร์จิราถอนหายใจอีกรอบ

“เออก็จริงของแก จะเรียนก็ได้จะโดนก็ได้แต่พอสอบยากฉิบ” ธิติมาก็ร่วมเออออผสมโรงไปกับจันทร์จิราด้วย

“แล้วพวกแกจะมาบ่นทำไมว้า รีบๆ อ่านหนังสือไปเถอะ ยังพอมีเวลาเหลือให้อ่านก็อ่านๆ กันไป” รตีบ่นขึ้นมาอีกคนเพราะเธอเองก็ยังอ่านหนังสือไม่ทันเช่นกัน แถมยังทำหน้ารำคาญที่พวกฉันคุยกันอีกด้วย

ฉันแหงะหน้าจากกองหนังสือขึ้นมามองหน้าทุกคนแล้วก็ก้มลงไปอ่านหนังสืออีกตามเดิม ในใจคิดถึงแต่ภัทรทราภรณ์ป่านนี้เธอคงจะคร่ำเคร่งอยู่กับกองหนังสือแบบเดียวกับฉัน การเรียนคณะแพทย์มันคงยากกว่าการเรียนคณะบัญชีแบบฉันมากมายนัก

เมื่อภัทรทราภรณ์ทำได้ฉันก็ต้องทำได้เช่นกัน ฉันจะต้องเอาชนะอุปสรรค์ครั้งนี้ให้ได้ไม่ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่คนเราจะทำได้

ฉันเชื่อมั่นเช่นนั้น

............................


ฤดูการสอบเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มหาวิทยาลัยที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนก็หายไปเกือบครึ่ง เพราะการสอบที่ไม่ค่อยจะตรงกันสลับกันสอบบ้างบางคณะ

ฉันเองก็เช่นกันมีสอบวันเว้นวัน หรือบางวันก็สอบพร้อมกันสองวิชา วันไหนสอบสองวิชาก็หน้าตั้งอ่านหนังสือกันจนหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน

ตาก็จะกลายเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว แม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นหมีแพนด้าตัวเป็นๆ กับใครเขาแต่ฉันก็พอจะเคยเห็นรูปจากในนิตยสารบ้างจากในทีวีมาบ้าง

ฉันยืนมองตัวเองที่กระจก นี่หรืออรุณวิลัยคนที่เคยหน้าตาสดชื่นไม่ยินดียินร้ายกับใครๆ เมื่อเวลาสอบมาถึงมันหายไปไหนนะ

หัวสมองที่มึนตึ๊บบรรจุแต่ตัวหนังสือและตัวเลขลงไปของฉัน มันทำให้ฉันกลายร่างเป็นหมีแพนด้าได้ถึงเพียงนี้เชียวเหรอ

จะว่าไปฉันก็ยังไม่พร้อมเต็มร้อยกับการสอบมีบ้างที่ไปรยามาติวให้ที่มหาวิทยาลัยก่อนสอบก็พอให้ฉันได้รู้อะไรที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมๆ

และฉันก็ติวให้เธอบ้างโดยเฉพาะวิชาเลขที่ฉันถนัดที่สุด แต่กับวิชาบัญชีฉันขอบายตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดกางหนังสืออ่าน มันช่างยากเย็นอะไรเช่นนี้ แล้วนี่ฉันมาเรียนบัญชีทำไมกันหละหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ อรุณวิลัย

ฉันเดินออกมาจากห้องสอบเมื่อหมดเวลา ฉันทำไม่ค่อยได้หรอกค่ะวิชานี้ ยังโชคดีที่อาจารย์ป้ามีสอบเก็บคะแนนตุนไว้บ้างแล้ว และเท่าที่ผ่านมาคะแนนของฉันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครๆ เสียแต่วิชานี้สอบอิงเกณฑ์เท่านั้นไม่มีการอิงกลุ่ม

ต่อให้ได้คะแนนมากที่สุดในห้องแต่ถ้าไม่ถึง ๘๐ คะแนนก็อย่าหวังว่าจะได้เกรดเอ ส่วนฉันเกินหกสิบให้ได้เกรดซีก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว

ไปรยาเดินออกมาตามหลังฉัน

“ทำได้หรือเปล่าแป๊ด”

“ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ดีนะที่กอล์ฟติวให้ไม่อย่างนั้นคงแย่กว่านี้แน่ๆ เลย”

“เอาน่าไงมันก็ผ่านไปแล้ว วิชาสุดท้ายแล้วนี่ใช่เปล่าไปหาอะไรกินกันเถอะหิวแล้ว” ไปรยาตบบ่าฉันเป็นการให้กำลังใจ

“คิดถึงปริมเน๊อะนี่ถ้าอยู่ก็คงไปเดินเล่นกันได้” ฉันคิดถึงพิศลยาขึ้นมาในทันที ถ้าป่านนี้เธอยังเรียนอยู่พวกเราคงสนุกกับการสอบมากกว่านี้

“นั่นสิป่านนี้คงยังเรียนภาษาอยู่ละมั๊ง” ไปรยาพูดแล้วก็เหม่อมองไปที่สนามฟุตบอล

“ก็คงงั้นปริมเค้าไปดีแล้วเราสิต้องสู้ต่อไป ไปเถอะหิวแล้วไปกินที่บางลำพูกันดีกว่าอยากกินยำอร่อยๆ มาหลายวันแล้ว” พูดถึงเรื่องกินอรุณวิลัยก็เปลี่ยนสีหน้าขึ้นมาได้อย่างทันตาเห็น เพราะฉันนั้นเป็นเจ้าแม่กินรองมาจากพวงทอง และจินตนาเลยนะจอบอกให้

เรื่องอื่นไม่สู้แต่เรื่องกินสู้ไม่ถอยอยู่แล้วเจ้

...........................

ฉันหิ้วยำเจ้าอร่อยติดมือกลับบ้านมาด้วยยังคงเหลือแต่รตีที่ยังสอบไม่เสร็จอยู่คนเดียว พวกเราก็เลยไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนอะไรรตีมากนัก

พวงทองกลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อเช้า ตอนนี้พวงทองสภาพออกเซอ ติดติสแบบที่คนเรียนศิลป์เป็นกัน โชคดีที่เสื้อผ้าไม่ได้สกปรกอย่างที่เคยเห็นศิลปินทั่วไปเค้าเป็น แต่สิ่งที่ติดพวงทองมาก็คือการพ่นควัน รตีบ่นพวงทองจนพวกเราหูชา

เพื่อนของเราคนหนึ่งเปลี่ยนไปเยอะมากหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน พวงทองคือเพื่อนคนนั้น

“ไอ้ปุ๊กแกติดบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ธิติมาผสมโรงไปกับรตีด้วย

“ก็คลายเครีดนะ”

“วิธีคลายเครียดมีตั้งเยอะแยะนี่แกจะมาคลายอะไรด้วยวิธีนี้ พวกฉันเหม็นไปหมดทั้งบ้านแล้วนี่ฉันอ่านหนังสือมึนไปหมดแล้วนะแก ออกไปนอกบ้านเลยนะไอ้ปุ๊ก” รตีไล่พวงทองออกนอกบ้าน

“ก็แล้วจะให้ทำไงเล่ามันติดไปแล้วนี่หว่า” พวงทองแก้ตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้รตีหายโกรธ

ฉันเดินตามพวงทองออกมานอกบ้านเพราะรู้ว่าพวงทองนั้นมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่จะมาโดนดุโดนว่า ฉันนั่งลงข้างๆ เธอและโอบกอดเธอไว้

“ไม่เป็นไรเพื่อนไอ้ตีมันกำลังเครียดเรื่องสอบมันก็เป็นแบบนี้แหละ” ฉันพยายามปลอบใจเพื่อนที่นั่งซึมอยู่คนเดียวหน้าบ้าน

และความจริงบางอย่างก็เปิดเผยเมื่อวันรุ่งขึ้นที่รตีไปสอบ ชนกพรหยิบเอาอะไรบางอย่างลงมาให้พวกเราดู

“พวกแกนี่อะไร” ชนกพรยื่นอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายๆ ยาเส้นให้พวกเราได้ดู

จันทร์จิราหยิบเอาถุงนั้นมาแล้วก็มองหน้าชนกพร

“แกไปเอามาจากไหน”

“ของไอ้ปุ๊กมัน”

จันทร์จิราดมสิ่งที่อยู่ในมือของเธอแล้วก็ทำหน้าตาตกใจจนแทบพูดไม่ออก

“ไอ้ปุ๊กมันพี้กัญชาเลยเหรอนี่ไม่ได้เรื่องแล้วพวกเราต้องไปบอกมันให้เลิกก่อนที่จะลามปามใหญ่โตไปมากกว่านี้” จันทร์จิรามองหน้าพวกเราไปมา

เรื่องใหญ่ในบ้านเราตอนนี้ก็คือเรื่องของพวงทอง

เพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะไปช่วยใคร

..... จบบทที่ ๑๑ ....




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:09:18 น.
Counter : 310 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

“ไอ้เจ้าหาได้หรือเปล่าที่บอกให้หานะ”

“มือชั้นนี้หาได้อยู่แล้วแต่กว่าจะได้มานะแก ฉันต้องไปวานให้พวกที่เรียนเกษตรหามาให้” จันทร์จิราหยิบถุงพลาสติกที่มีฝักสีเหลืองขนปุกปุยออกมาให้ฉัน

“ขอบใจมากเพื่อน” ฉันรับถุงพลาสติดนั้นและก็เก็บเข้ากระเป๋าอย่างดี แผนการของฉันกำลังจะดำเนินในไม่ช้านี้แล้ว

“คอยดูเถอะแม่นางพญาเอ๊ย อย่าว่าแต่ขาอ่อนเธอเลย คราวนี้ฉันจะได้เห็นเธอทั้งตัว ฮ่าๆๆ” ฉันยืนมองถุงพลาสติคในมือและก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นคงมีใครจะกลับบ้านดึกก็เลยโทรมาบอก

“สวัสดีค่ะบ้านแปดเซียนค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ” ฉันกรอกเสียงไปตามสาย

“สวัสดีจ้าแป๊ด”

“อุ้ยที่รักจ๋าคิดถึงจังเลย” ฉันหยอดคำหวานให้กับคนทางปลายสาย

“คิดถึงแล้วไม่เห็นโทรมาหาเราบ้างเลย” ปลายสายส่งเสียงเง้างอน

“ก็งานมันเยอะนะที่รัก” ฉันยังคงออดอ้อนต่อไป

“เยอะหรือว่าคิดแผนจะไปแกล้งใครอีกหรือเปล่า”

“พูดเหมือนรู้เลยนะกิ่ง บอกมาตรงๆ ดีกว่ามีตาทิพย์หรือเปล่า” ฉันยกถุงพลาสติคในมือดูอีกครั้ง

“ก็จันทร์นะสิบอกว่าแป๊ดจะไปแกล้งเพื่อนทำอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน แล้วก็อย่าลืมเอาขี้ผึ้งไปด้วยนะล้างมือให้สะอาด เอาถุงมือใส่ด้วยจะได้ไม่เข้าตัว”

“อะจ้าที่รักรับรองมือชั้นนี้ไม่มีทางเข้าตัวเด็ดขาด ว่าแต่ที่รักอ่านหนังสืออยู่เหรอจ๊ะ”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย เอาเบาๆ เบาะ ก็พอนะอย่าให้ถึงกับเข้าโรงพยาบาลก็แล้วกัน แค่นี้นะเงินหมดแล้ว บายๆ จ้า”

“ไนท์ๆ จ้าที่รัก” ฉันวางสายของภัทรทราภรณ์เสร็จก็หันไปมองหน้าจันทร์จิรา

เดินดุ่มๆ เข้าไปหาตัวปากโป้ง

“ไอ้เจ้าใครใช้ให้แกเอาเรื่องนี้ไปปูดกับกิ่งห๊ะ” ฉันเริ่มฉะทันทีไม่ให้จันทร์จิราตั้งตัว

“ก็”

“ก็อะไรวะ”

“ก็กิ่งเค้าถามก็เลยต้องตอบ”

“นี่แกกลัวแค่กิ่งโทรมาถามเหรอ”

“ก็ใช่ดิ แกก็รู้ว่ากิ่งนะเค้ามีจิตวิทยาสูงในการถาม ไม่เชื่อแกถามไอ้ธิสิ”

“แล้วไงเอาฉันเข้าไปเอี่ยวด้วยหละไอ้เจ้าซวยเลยตรู” ธิติมารีบปัดเรื่องออกจากตัว

“พอกันนั่นแหละพวกแกไม่ต้องมาปัดกันไปมาเลย ช่างเถอะเรื่องมันแล้วไปแล้ว ตอนนี้ฉันไปนอนคิดถึงกิ่งดีกว่าจะได้หลับฝันดี”

“เอออย่าคิดถึงกิจกรรมแฮปปี้มากไปนะเว่ยเพื่อนขี้เกียจนอนฟังเสียงคราง ฮ่าๆๆๆ” จันทร์จิรายังอดแซวฉันไม่ได้

“ของแบบนี้ไม่โดนกับตัวไม่รู้หรอกเพื่อน” ฉันยักคิ้วให้เพื่อนสองคนแล้วก็วิ่งปรุ๊ดขึ้นห้องปิดประตูเงียบ

ภัทรทราภรณ์ไม่ได้กลับมานอนที่บ้านสองอาทิตย์แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุดฉันมีโครงการจะไปหาเธอที่หอพัก อย่างน้อยให้ได้เห็นหน้าของเธอบ้างก็ยังดี ความคิดถึงมันช่างแสนร้ายกาจเมื่อยามที่ต้องอยู่กับตัวเองนานๆ ใครที่เคยมีความคิดถึงเกาะกินหัวใจคงไม่มีวันที่จะรับรู้รสชาติของมัน

แม้มีคนอยู่รายล้อมมากมายความเหงาก็ไม่ได้ลดลงไป ฉันเปิดหนังสือทำรายงานอยู่อีกพักใหญ่เหลือบดูเวลาตอนนี้เกือบๆ จะตีสามแล้ว คงต้องนอนพักเอาแรงสักนิด เพราะพรุ่งนี้จะได้พบกับคนที่ฉันเฝ้าคิดถึงตลอดเวลาแม้ในยามหลับ

หมอนข้างที่ฉันกอดอยู่ไม่อุ่นไม่นุ่มไม่หอมเท่ากับเธอผู้เป็นที่รัก

ฉันนอนหลับฝันดีเมื่อนึกถึงเธอตลอดทั้งคืน

...........................

ฉันไปยืนรอรถเมล์อยู่หน้าพาต้าปิ่นเกล้า คนแถวนั้นยังไม่มากนักเพราะห้างยังไม่เปิด กว่าจะไปถึงหอพักของภัทรทราภรณ์ก็เกือบเก้าโมงเช้า ฉันทำแบบเดิมเดินไปติดต่อและขอให้เรียกเธอลงมาพบ

นั่งรออยู่ไม่นานภัทรทราภรณ์ก็วิ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ฉันประทับใจ ไม่ว่าอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็ยังตารตรึงในความทรงจำของฉันเสมอมา

เธอปรากฏกายมาด้วยเสื้อยืดตัวโคร่งสีชมพู กางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีขาว ภาพนี้ไม่เคยเปลี่ยน ผมที่ยาวถูดมัดลวกๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้า

ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งและยิ้มนับเธอเช่นกัน

“เหนื่อยไหมแป๊ดกินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยรอมากินพร้อมกิ่งนี่แหละ หิวหรือยังหละ”

“ยังเหมือนกันแต่กินได้ไปกินเป็นเพื่อนแป๊ดก่อนแล้วกัน ว่าแต่ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนหละว่าจะมาจะได้หาซื้อะไรไว้รอ”

“ถ้าบอกก็ไม่ประหลาดใจนะสิ”

“ทำอย่างกับว่าไม่บอกจะประหลาดใจงั้นแหละ”

“ก็จะมาดูว่ามีใครแอบซ่อนไว้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”

“จะไปมีใครมาแอบซ่อนได้หละจ๊ะที่รัก เวลาจะหายใจยังแทบไม่มีเลย” เธอเดินเข้ามาเกาะแขนฉันอิงใบหน้าซบกับไหล่ของฉันและเดินออกจากหอไปโรงอาหารด้วยกัน

“ท่าทางที่นี่เงียบสงบจังเลยนะกิ่ง” ฉันชวนเธอคุยไปเรื่อยเปื่อย

“ก็เงียบๆ นะถ้าไม่มีใครเปิดเพลงหรือทีวีดังๆ”

“เค้าให้เอามาใช้ได้ด้วยเหรอนึกว่าห้าม”

“เอามาได้แต่ใครก็ไม่กล้าเปิดกันหรอกเกรงใจชาวบ้านที่นี่มักจะอ่านหนังสือกันดึกๆ ดื่นๆ เวลาใครต้มมาม่าแต่ละทีโชยกลิ่นไปทั่วยั่วท้องกันเป็นแถว”

“ฮ่าๆๆ อาหารหลักเลยนะสิ”

“ก็บางทีไม่อยากลงไปไหนซื้อๆ ตุนไว้ เพราะเวลากลางคืนที่นี่มืดมากๆ คืนนี้แป๊ดนอนที่นี่สิเมทเรากลับบ้านกันหมดเลย”

“จะดีเหรอเรานอนได้เหรอ”

“ไม่มีใครรู้หรอกถ้าไม่ออกไปเพ่นพ่าน”

“ก็ได้ กินเสร็จแล้วค่อยขึ้นไปแล้วกัน”

ฉันสั่งอาหารตามสั่งมากินกับภัททราภรณ์เรียบร้อยก่อนจะขึ้นห้องพัก ไม่ลืมที่จะซื้อน้ำแข็งกับขนมติดมือไปด้วย

จำได้ว่าเธอเคยบอกว่าไม่มีตู้เย็นต้องซื้อน้ำแข็งใสกระติกไป ที่หอมีแต่น้ำเปล่าให้แต่ไม่เย็น พอไปถึงห้องพักของเธอฉันก็รู้สึกว่าทำไมมันถึงได้แคบแบบนี้

ห้องมีสองเตียงแต่ละเตียงมีสองชั้น แสดงว่าห้องนี้อยู่กันสี่คน โต๊ะอ่านหนังสือก็แคบกว่าที่บ้านเช่าของฉัน

ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้อยากกลับไปนอนที่บ้านดูท่าทางจะสบายกว่าที่นี่มาก แต่จะให้เธอเดินทางไปกลับทุกวันก็คงเสียเวลาน่าดู

จะเอาอะไรกับรถสาธารณะที่ไป-มาไม่เป็นเวลาบางครั้งก็เร็วบางครั้งก็ช้า อยู่หอในแบบนี้มันประหยัดเวลากว่ากันมาก เสียเงินค่าหอไม่มากไม่กดดันกับตัวเอง

ฉันทักทายเพื่อนร่วมห้องของเธอที่กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

“นี่พวกเธอนี่แฟนเราชื่อแป๊ด” ภัทรทราภรณ์แนะนำฉัน สรรพนามที่ใช้แทนฉันไม่ใช่คำว่าเพื่อนแต่เป็น “แฟน”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะแป๊ด กิ่งพูดถึงเธอบ่อยๆ ว่าน่ารักมากๆ พึ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้ แต่พวกเราต้องขอตัวก่อนแล้วกันรีบกลับบ้านเอาผ้ากลับไปซัก”

“จ้าบายๆๆ เดินทางปลอดภัยนะ”

“เช่นกันอยู่ให้สบายนะถือซะว่าเป็นห้องของเธอเอง ไปหละนะโชคดีกิ่ง”

“โชคดี อี๊ด นุ้ย ต้า” ภัทรทราภรณ์เดินไปปิดประตูห้องเมื่อเพื่อนร่วมห้องของเธอออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและลงกลอนอย่างดี

เธอหันมามองหน้าฉันและยิ้มกริ่มก่อนที่จะโอบกอดฉันพร้อมกับหอมแก้ม

“คิดถึงจังเลยแป๊ด”

“เราก็คิดถึงกิ่งมากเลยนะรู้ไหม” ฉันที่ตอนนี้อดใจไม่ไหวซุกซนหาความหอมหวานจากตัวเธอเพื่อทดแทนความคิดถึงที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสองอาทิตย์ ข้าวใหม่ปลามันก็เป็นแบบนี้แหละ

เธอพาฉันมานั่งที่เตียงฝั่งขวามือฉันจำได้ว่าผ้าปูที่นอนนี้ฉันกับเธอเป็นคนไปซื้อด้วยกัน เธอชอบสีชมพูหวานๆ เราหอบซื้อกันมาอยู่หลายชุด เพราะเธอบอกว่าจะได้ไม่ต้องรอเวลาส่งไปซัก

“กิ่งอยู่ได้ไงแคบอย่างกะรูหนู”

“คนอื่นอยู่ได้เราก็อยู่ได้”

“แล้วนี่ต้องไปซักผ้าด้วยหรือเปล่าเราช่วยซักไม๊”

“มีเหมือนกันแต่ผ้าอื่นเราส่งซักไปแล้วไม่ค่อยมีเวลาซักเลยแป๊ด”

“เรียนยุ่งหละสิไว้วันไหนกลับบ้านก็เอาไปให้เราซักให้สิจะได้ไม่ต้องส่งซักเปลืองเงิน” ฉันเสนอเพราะอย่างไรเสียฉันก็ต้องเป็นคนซักผ้าประจำบ้านอยู่แล้วจะเอาผ้าของคนที่ฉันรักไปซักอีกสักไม่กี่ชิ้นก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร

“เราส่งซักได้วันละสี่ชิ้นนะไม่ลำบากหรอก ชุดนอนชุดนักศึกษาไม่ลำบากอะไรยกเว้นวันไหนใส่เกินก็ซักส่วนเกินเอง”

“มีใส่เกินด้วยเหรอ”

“มีสิวันไหนกลับมาเร็วเราก็ใส่สามชุด เราก็เอาชุดนอนมาซักเองส่วนชุดอื่นก็ส่งซัก”

ฉันพยักหน้ารับรู้และสายตาก็เหลือบไปเห็นน้ำแข็งที่วางอยู่บนพื้นกำลังละลายไหลเป็นทาง

“ตายแล้วน้ำแข็งละลายหมด”

“เออจริงด้วยลืมไปเลยว่าซื้อน้ำแข็งมาแป๊ดนั่งรอเราก่อนนะ เดี๋ยวเราไปล้างกระติกก่อน”

“ให้เราไปเป็นเพื่อนดีกว่า” ฉันเตรียมจะลุกไปเอาน้ำแข็งใส่กระติกให้แต่ก็โดนกันท่าเสียก่อน

“ไม่ต้องหรอกบอกแล้วว่าอย่าออกไปเพ่นพ่านคนเห็นแล้วจะไม่ดี”

“เออจริงนะลืมไปสนิทเลยงั้นเรารอแล้วกันจะได้ไม่ทำให้กิ่งลำบากใจ”

“ไม่ลำบากใจเลยแต่ตอนนี้ขอกำลังใจหน่อยสิ” เธอยื่นแก้มให้ฉันเป็นอันรู้กันว่ากำลังใจที่ขอนั้นคืออะไร

........................

เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปรวดเร็วเสมอฉันเองก็เช่นกัน ฉันว่าเวลาที่อยู่กับคนรักมันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน ไม่ต่างอะไรกับการอ่านหนังสือที่เราชอบ ต่อให้ดึกดื่นเพียงไหนเราก็ไม่ยอมละสายตาจากหนังสือเรื่องโปรด

จนกว่าเราจะอ่านหนังสือเล่มนั้นจนจบถึงจะวางลงได้ หนังสือเล่มนี้ที่ฉันกำลังอ่านมันไม่มีวันจบ มีแต่เรื่องที่น่าติดตาม เวลาฉันอ่านก็มักจะพลิกกับไปอ่านหน้าเดิมๆ

อ่านซ้ำเรื่อยๆ ให้จดจำเข้าไปในหัวสมองของฉัน ทุกบททุกตัวอักษรที่ตราตรึงใจ บทรักที่แสนหวาน บทบู๊ที่แสนหฤโหด หรือบทท่องเที่ยวที่แสนจะเพลิดเพลิน

ค่ำคืนที่แสนสงบมีเพียงเสียงลมหายใจของคนอ่านหนังสือเช่นฉัน ที่ยังคงพ่นออกมา มีใครจะรู้บ้างว่าเมื่อเวลาอ่านไปแล้วฉันรู้สึกเร้าร้อนไปทุกอนูของร่างกาย

เมื่อยามที่หนังสือเริ่มจะออกฤทธิ์ให้เจ้าของต้องออกแรงรั้งให้กลับมาวางอยู่บนหมอน หรือเมื่อยามที่แขนอ่อนแรงไม่มีแรงที่จะรั้งหนังสือที่หนักอึ้งไว้ในมือก็เล่นเอาคนอ่านล้าไปเหมือนกัน

หนังสือเล่มนี้กว่าฉันจะวางลงได้ก็เล่นเอาทั้งหนังสือและคนอ่านบอบช้ำไปตามๆ กัน

แสงแรกของยามอรุณโผล่พ้นขอบฟ้าอีกครั้งเธอยังคงนอนหนุนแขนฉันเช่นเดิม ภาพแห่งความทรงจำเก่าๆ ก็ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง

ชีวิตที่มีความสุข ช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดลงไปทุกนาที

“ทำไมนะเวลาอยู่กับกิ่งเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน” ฉันบ่นเมื่อเห็นแสงสีแดงที่ขอบฟ้า

“นั่นสิเรายังไม่ง่วงเลยนะ” เธอตอบฉันอยู่ที่ข้างๆ ใบหู

“เรานะจะบอกให้พอไปเรียนที่ไรเราแอบไปนอนทุกทีจนกอล์ฟต้องมาปลุก มีอยู่ครั้งนึงเรียนบัญชี แล้วอาจารย์เจ้าของวิชาก็โหดมาก โหดจนเราคิดว่าไม่รอดแล้ววันนั้น”

“แล้วแป๊ดทำไงหละ”

“ก็ไม่ทำไงอาจารย์คิดว่าเราไปฉลองที่บอลคณะชนะก็เลยหันไปเล่นงานพวกผู้ชายแทน เมื่อไหร่นะกิ่งที่เราจะได้อยู่ด้วยกันซะที” ฉันขยับนอนตะแคงมองใบหน้าเธอที่หนุนแขนของฉัน

“อีกสองเทอมเราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วไม่นานหรอกแป๊ด อดทนนิดนะคะคนดีของกิ่ง” เธอมองหน้าฉันและจุ๊บที่แก้มฉันอีกฟอดใหญ่

“เออกิ่งอาทิตย์หน้าเราไปรับน้องที่หัวหินนะ” ฉันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกเธอเรื่องรับน้องต่างจังหวัดรีบรายงานก่อนที่จะโดนจับได้ว่าไม่บอก

“อ้าวเหรอไปเร็วจังเลยของเรายังไม่ไปเลย แต่เราคิดว่าเราคงไม่ไป เพราะแค่รับน้องที่นี่ก็หืดขึ้นคอแล้ว” เธอทำหน้าเหมือนเบื่อๆ กับเรื่องที่พูดถึง

“เราต้องไปแก้แค้นคนบางคนให้ได้ก่อน”

“แก้แค้นกันไปมาจะมีอะไรดีหละแป๊ด อโหสิกรรมให้เค้าไปเถอะคนเก่ง” มือของเธอมาบีบปลายจมูกของฉันเล่น

“หายใจไม่ออกนะกิ่งเอาออกสิ” ฉันร้องเพราะเธอบีบจนไม่มีทางหายใจ

“ทำไมไม่หายใจทางปากหละ” ดูสิมีข้อเสนออีกนะ

“ก็ปากเอาไว้พูดไม่ได้มีไว้หายใจน่ะกิ่ง”

“ทำเป็นคนซื่อไปได้ที่กับคนอื่นหละไม่ละไม่วาง” นี่เธอหมายถึงฉันหรือหมายถึงตัวเธอเองกันแน่ ที่ไม่ละไม่วาง ก็หนังสือในมือฉันเล่มนี้มันน่าอ่านนี่นา

“ไม่ได้หรอกกิ่งกับคนๆ นี้ มาดูถูกเราว่าแม้แต่ขาอ่อนก็ไม่มีทางได้เห็น”

“แล้วจะไปทำอะไรเค้าจะไปปล้ำเค้าหรือไงยะ” เธอหยิกที่ท้องของฉันจนฉันต้องร้องห้าม

“โอ๊ยอย่าๆ ไม่ได้ไปปล้ำ แต่จะทำอย่างอื่น”

“ทำอะไรไหนว่ามาสิ”

จากนั้นแผนการทั้งหมดก็พร่างพรูออกมาจากปากของฉัน แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยและแย้งฉันทุกอย่าง แต่ฉันก็ยังคงยืนยันความคิดเดิมที่จะต้องจักการกับแม่นางพญาหลงตัวเองคนนั้นให้ได้

..................................

วันรับน้องพวกเรามาพร้อมกันที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่ สี่ทุ่มรุ่นพี่จับพวกเราแยกไปตามกลุ่มฉัยกับไปรยาก็ยังคงอยู่กลุ่มเดียวกัน ฉํนชะเง้อมองหาแม่นางพญาตัวแสบ

“มองหาใครแป๊ด” ไปรยาที่เห็นฉันมองหน้ามองหลังอยู่ก็ถามขึ้น

“จะใครซะอีกหละ ก็แม่ตัวแสบไง”

“มาแล้ว นั่งอยู่บนรถ”

“โอ๊ะทำไมเร็วจริงๆ”

“ไม่เร็วได้ไงมีคนมาคุมรุ่นพี่ว่าห้ามไปแกล้งลูกเค้าถึงบนรถ”

“โอ้วแม่เจ้าขนาดนั้นเลย” ฉันทำตาโตกับเรื่องที่ไปรยาบอกเล่า

“ใช่สิหาเรื่องจริงๆ เลยนะแป๊ด ตัวทำรุ่นพี่ลำบากกันไปหมด”

“เอาน่าเฉยไว้เถอะไม่มางานนี้แล้วจะไม่สนุกนะกอล์ฟ เชื่อเราสิ”

พอไปถึงที่หมายเราก็ได้รับรู้ว่ามีสปอนเซอร์รายใหญ่จ่ายค่าที่พักให้พวกเราโดยที่รุ่นพี่ไม่ต้องออกเงินค่าที่พักเลยยกเว้นค่ารถ พอถามๆ กันไปก็รู้ว่าพ่อของพิศลยาเป็นสปอนเซอร์ในครั้งนี้ เงินนี่ทำให้คนเราเปลี่ยนไปจริงๆ หรือนี่

ฉันได้นอนห้องเดียวกับไปรยาและพิศลยาดังทที่คาดเอาไว้ เราเลือกหาเตียงนอนกันฉันยอมนอนเตียงเสริมติดๆ กับไปรยา

ข้าวของประทินโฉมบำรุงผิวของแม่นางพญาที่วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งเต็มไปหมด ทำเอาฉันกับไปรยาต้องเอาแป้งฝุ่นของตัวเองเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าเหมือนเดิม เพราะกลัวว่าจะไปทำให้ของบนนั้นเปื้อน

“นี่เธอสองคนนะอย่ามาใช้แป้งฝุ่นในห้องนี้นะฉันแพ้” พิศลยาออกคำสั่งกับฉันสองคน

“เอ๊าก็คนมันร้อนชอบทาแป้งเย็นก่อนนอนมันผิดตรงไหนนี่” ฉันเถียงไปตามนิสัยเดิม

“แต่ฉันแพ้นี่ยะจะใช้ก็เข้าไปใช้ในห้องน้ำโน่น” พิศลยายังยืนยันคำเดิม

ฉันกับไปรยาก็เลยต้องทาแป้งในห้องน้ำไปโดยปริยาย รุ่นพี่มาเรียกให้เราลงไปรวมพลกันที่ด้านล่างของที่พัก ฉันว่าที่นี่ก็สวยดี ฉันไม่เคยมาทะเลทางใต้เคยไปก็แต่ทะเลทางตะวันออกกับเพื่อนๆ และครอบครัวบ้างในบางครั้ง

“น้องๆ ทุกคนคะเราจะแจกคูปองอาหารให้น้องๆ เพื่อไปทานอาหารที่ร้านอาหารของที่นี่นะคะ อ่อน้องๆ คนไหนแพ้อาหารอะไรก็บอกพวกพี่ได้นะ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง มีใครแพอาหารทะเลหรือเปล่าคะ” รุ่นพี่ผู้นำพวกเราประกาศโทรโข่งอยู่หน้าแถว

“แพ้ค่ะพี่” ฉันยกมือขึ้นทันที

“แพ้อะไรกุ้งหอยปูปลาหรือว่าอะไร” รุ่นพี่หันมาถามฉันผ่านโทรโข่งเสียงดังฟังชัด

“แพ้ทุกอย่างค่ะพี่” ฉันทำหน้าเศร้าๆ ก่อนที่จะพูด

“อ้าวตายแล้วนี่จะกินอะไรได้หละแล้วเราเอายาแก้แพ้ติดตัวมาด้วยหรือเปล่า” ดูรุ่นพี่จะเป็นหว่งฉันจนออกนอกหน้า แถมยังเดินมาคุยกับฉันตัวต่อตัวถึงในแถวที่ฉันยืนอยู่

“กินได้ค่ะเพราะว่าพอเห็นอาหารทะเลแล้วแพ้คะพี่ไม่เคยชนะสักทีกินหมดจนท้องจะแตกตายกลายเป็นชูชกแล้ว” ฉํนทำหน้าทะเล้นตอบรุ่นพี่กลับไป

หลังจบคำพูดของฉันเพื่อนๆ ก็ฮากันครืนๆ ส่วนรุ่นพี่ที่เมื่อสักครู่ที่มีท่าทางเป็นห่วงเป็นใยฉัน ตอนนี้คงอยากจะยกขาแล้วแตะมาที่กลางหลังฉันสักป๊าบแล้วมั๊ง

อาหารเช้าในวันนี้ก็คือข้าวต้มรวมมิตรทะเลที่มีอาหารทะเลอะไรก็ใส่ๆ ไปจนเต็มหม้อไปหมด พวกฉันเจริญอาหารกันเพราะมันคือของฟรีที่นานๆ ได้กินกันสักครั้ง โดยเฉพาะพวกผู้ชายไม่ใช่การกินแบบถ้วยเดียวแต่เป็นการกินซุปเปอร์เบิ้ลกันทุกคน ฉันเองก็ไม่ละเว้นบวกเพิ่มอาหารไปอีกเช่นกัน

หลังอาหารพวกรุ่นพี่จัดให้มีกิจกรรมสันทนาการและจัดวอล์คแลนลี่ให้พวกเราที่อยู่ในกลุ่มหาข้อมูลตามฐานต่างๆ ภายในที่พัก โดยมีจุดที่พวกพี่ๆ มาเตรียมไว้อยู่ก่อนหน้านั้น เป้าหมายก็คือใครได้ครบก่อนกลุ่มนั้นชนะ

ปัญหาใหญ่ของเราก็คือพิศลยา ดูเธอจะไม่สนใจกับการให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะไปไหนเธอจะเดินถือร่มอยู่หนึ่งคัน พอพวกเราเข้าฐานได้เธอก็จะแยกตัวออกไปนั่งอยู่ข้างๆ รุ่นพี่ โดยอ้างว่าเธอไม่สบายแพ้แสงแดด แพ้อากาศ อะไรที่เธอจะอ้างได้เธอก็จะทำ

“ดูยายบ้านั่นสิทำตัวเป็นคุณนายอยู่ได้” ฉันกระซิบบ่นกับไปรยาและเพื่อนๆ ในกลุ่มเดียวกัน

“ปล่อยเค้าไปเถอะอย่าไปยุ่งกับเค้าเลย” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งบอกกับฉัน

“แต่มันทนไม่ได้นี่”

“ทนไม่ได้ก็ต้องทนเธออยากไปท้าให้เค้ามาเองทำไมหละให้เค้ามาแล้วก็ต้องทนเห็นเค้าทำตัวแบบนี้และ” กานต์สินีเพื่อนในกลุ่มบอกับฉัน

“เราให้มาเพราะว่าจะให้มารู้ว่าการรับน้องมันไม่ได้โหดอย่างที่คิดไว้ แต่ดูสิสงสัยตอนนี้แต้มในกลุ่มของพวกเราคงโดนตัดไปไม่เหลือหรอเพราะแม่นั่นแน่ๆ เลย” ฉันบุ้ยปากไปที่ตัวต้นเหตุ

เราโดนให้บูมคณะถอยหลัง เล่นป๊อปอายไต่ราว เล่นคาบขนมส่งต่อ ในฐานนี้จนเป็นที่พอใจของรุ่นพี่และปล่อยพวกเราไปยังฐานต่อไป

ฐานใหม่คือรูปรสกลิ่นเสียง ฐานนี้รุ่นพี่จับพวกเราแยกแล้วให้ปิดตาดมกลิ่น ถามเราว่านี่คือกลิ่นอะไร พวกฉันทุกคนเล่นกันจนหมดยกเว้นคุณนายร่มแดงคนเดียว แล้วคุณนายเธอจะมาเข้ากลุ่มเราทำไมกันหละนี่ ฉันอดรนทนไม่ไหวขอรุ่นพี่บอกว่าฉันปวดท้องหนัก ต้องไปเข้าห้องน้ำอย่างด่วน

“พี่คะสงสัยแป๊ดจะท้องเสียกับอาหารเมื่อเช้า ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”

“เราไปเป็นเพื่อนไหมแป๊ด” ไปรยาบอกฉันเธอคงคิดว่าฉันท้องเสียจริงๆ

“ไปก็ได้ พี่คะของตัวก่อนเน้อ” ฉันวิ่งหูดับตับไหม้ไปที่ห้องน้ำทันที โดยมีไปรยาวิ่งตามมาติดๆ

“แป๊ดตัวปวดท้องมากเลยเหรอรีบวิ่งขนาดนี้”

“เปล่าเราจะมาทำการแก้แค้นต่างหาก”

“ทำอะไรของตัว”

“เฉยเหอะน่าตามเรามา”

ฉันมองซ้ายมองขวาดูว่ามีใครอยู่ในรัศมีที่มองฉันกับไปรยาเห็นบ้างเมื่อปลอดผู้คนแล้วฉันก็วิ่งจู๊ดนำไปรยาไปที่ห้องพักของเราเอง

“กลับมาที่ห้องทำไมกันแป๊ดหรือว่าถ่ายที่ห้องอื่นมันไม่สะดวกเลยต้องกลับมาที่ห้อง” ไปรยาถามอีกรอบเครื่องหมาคำถามของเจ้าหนูจำไมบนใบหน้าทำให้อิคคิวซังอย่างฉันส่ายหน้าไปมา

“ดูต้นทางให้หน่อยนะอย่าให้ใครเข้ามาหละ”

ไปรยารับคำสั่งอย่างว่าง่าย ดี แบบนี้ดีแผนการของฉันจะได้เริ่มต้นในตอนนี้ ฉันเปิดกระเป๋าของพิศลยาเอากางเกงนอนของเธอออกมา จากนั้นก็หยิบฝักสีขาวขนปุกปุยที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกอย่างดีออกมาจากกระเป๋ากางเกง และรีบปาดลงบนกางเกงอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ให้โดนมือของตัวเอง

ก่อนที่จะหยิบกางเกงไปเก็บเข้าที่ในกระเป๋าเหมือนสภาพเดิมเหมือนก่อนที่จะหยิยออกมาและเก็บสิ่งที่อยู่ในถุงพลาสติกไว้ที่เดิมเช่นเคย

ฉันปัดมือตัวเองสองสามครั้ง

“เท่านี้ก็เรียบร้อย”

“ไม่ถึงตายแน่นะ” ไปรยายังคงกังวลกับสิ่งที่ฉันทำ

“ไม่ตายหรอกแค่คันๆ เท่านั้นเอง”

ฉันบอกแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำล้างมือฟอกสบู่อย่างด่วนจี๋ เพราะก็เริ่มจะคันๆ ที่มืออยู่เหมือนกัน หลังจากล้างมือเสร็จก็เอายาหม่องมาป้ายทาไปทั่วมือของตัวเอง ก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อกลับไปยังฐานที่จากมาโดยไม่ลืมเดินกลับไปที่ห้องน้ำที่ฉันเข้าไปในตอนแรก เพื่อทิ้งหลังฐานทั้งหมดลงในชักโครก

เท่านี้แผนการของอรุณวิลัยก็สำเร็จลุล่วงไปโดยปริยายแล้วจะคอยดูแม่คุณนายร่มแดงว่าเธอจะให้ฉันเห็นขาอ่อนของเธอหรือเปล่า คืนนี้เป็นอันรู้กัน

เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับอรุณวิลัย

..... จบบทที่ ๑๐ ....




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:09:53 น.
Counter : 307 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๙

บทที่ ๙

รุ่งสางของวันใหม่ทุกคนออกจากบ้านเวลาไล่เลี่ยกันเพราะที่คณะของแต่ละคน มีเรียกประชุมเรื่องงานรับน้องของมหาวิทยาลัย

ประณตมารับภัทรทราภรณ์แต่เช้าเหมือนเช่นเคย ฉันเดินลงไปส่งเธอขึ้นรถและวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่ท้ายรถให้กับเธอ

“โชคดีนะกิ่งไว้เราจะไปเยี่ยมที่หอ”

“ดูแลตัวเองดีๆ นะแป๊ด เราไม่อยู่ห้ามไปซุกซนที่ไหนถ้าเรารู้เอาตายแน่ๆ”

“จ้าแม่รับรองไม่ไปซุกซนที่ไหนรับประกันด้วยเกียรติของเนตรนารี” ฉันยกนิ้วขึ้นชูสามนิ้วตามแบบเนตรนารีเป๊ะ

“ไว้จะคอยดูว่าหลงแสงสีของเมืองฟ้าอมรหรือเปล่า ไปนะยะแม่แป๊ด” ประณตพูดเหมือนสบประมาทฉันกลายๆ และก็เปิดประตูรถเข้าไปประจำที่สารถีดังเช่นเคย

ฉันมองรถประณตแล่นออกไปจนลับตา และเดินกลับเข้ามาในบ้านก็เห็นจันทร์จิราลงมานั่งตาโหลขอบตาดำอยู่ที่บันไดทางขึ้นชั้นสอง

“มาทำนั่งทำอะไรวะไอ้เจ้า เมื่อคืนทำงานดึกเหรอถึงได้เป็นแพนด้าขนาดนี้”

“มานั่งดูละครตอนเช้ามั๊งไอ้แป๊ด”

“ละครอะไรมีแต่เช้ามืดวะไอ้เจ้า”

“ละครเรื่องภัทรทราภรณ์กับอรุณวิลัย นางเอกนะแกขี้หึ๊งขี้หึง ก่อนจะไปดินแดนไกล แต่น่าเสียดายวะนางเอกไม่ยอมจุ๊บลากันว่ะแก เลยไม่ได้ดูบทเลิฟซีน แต่เมื่อคืนนะเว่ยนางเอกเล่นบทเลิฟซีนกันนัวเนียจนเพื่อนๆ นอนไม่หลับกันเป็นแถวเลยว่ะแก” จันทร์จิราพูดหน้าตายตามสไตล์ของเธอเอง

ฉันที่ยิ้มๆ อยู่เมื่อสักครู่ก็หน้าถอดสี

ใช่สิ!!!

ฉันลืมไปว่า บ้านหลังนี้พื้นเป็นไม้ และห้องของฉันก็อยู่ชั้นบนตรงกับห้องของจันทร์จิราและธิติมาพอดิบพอดี และเมื่อมีการพูดคุยหรือเดินเสียงดังๆ จันทร์จิราก็จะได้ยินเช่นกัน บางครั้งที่ฉันเดินลงส้นเท้าจันทร์จิราก็ยังตะโกนขึ้นมาให้ฉันเดินเสียงเบาๆ หน่อยเธอจะนอน

เมื่อคิดได้ฉันก็ตีหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าจะมองหน้าเพื่อนรักได้อย่างไร

“ไอ้กิจกรรมแฮปปี้ของแกนะเราเข้าใจนะเพื่อนแต่เพลาๆ หน่อยก็ได้เพื่อน อิจฉาเว่ยแล้วพวกฉันก็ไม่ได้นอนกันทั้งคืนไม่เชื่อถามไอ้ธิดูสิ” จันทร์จิราหันไปพยักเพยิดกับธิติมาที่เปิดประตูห้องออกมาหน้าตาก็ไม่ได้แตกต่างกับจันทร์จิราเช่นเดียวกัน

“ใช่ไอ้เจ้า กิจกรรมแฮปปี้ของมันแต่เป็นกิจกรรมอันแหบปี้ของพวกเพื่อนว่ะ แล้ววันนี้ตรูจะไปเรียนไหวไหมนี่ ไอ้เพื่อนเวรเอ๊ยเล่นกันทั้งคืนจนเพื่อนไม่ได้หลับได้นอน ไว้จะเอาคืนวันหลังฝากไว้ก่อนเถอะ” ธิติมาบ่นไปเรื่อยๆ

แต่ฉันสิโดนตอกแบบนี้ก็หน้าหงายไปเหมือนกัน

ใครเล่าจะรู้ว่าฉันแสนอับอายจนไม่รู้วาจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้ว

.........................

“แป๊ดทางนี้” ไปรยาโบกมือเหยงๆ เรียกฉันอยู่ใต้ตึก

ฉันเดินเข้าไปหาไปรยาและทักทายพอเป็นพิธีและจากนั้นก็นั่งฟุ๊บกับโต๊ะหลับแบบหลุดโลกไปรยาปลุกฉันให้ตื่นไปเรียนตอนเกือบๆ จะเก้าโมงเช้า

“แป๊ดตื่นๆ ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมานี่เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน แป๊ดตื่นๆ ไอ้แป๊ดตื่นโว๊ย” ไปรยาทั้งปลุกทั้งตีฉันให้ลุกขึ้นไปเรียน

“โห่กลอ์ฟเราขอนอนอีกเดี๋ยวนึงได้เปล่า ไม่ได้นอนทั้งคืนเลย” ฉันโอดครวญและลืมตาที่ยังแดงก่ำของฉันขึ้นมา

“ไปอดนอนมาจากไหนรีบๆ ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วเดี๋ยวก็เข้าห้องสายนั่งหน้าห้องไม่รู้ด้วย”

พอได้ยินว่านั่งหน้าห้องเท่านั้นฉันเด้งติดสปริงขึ้นมาในทันที

“เออจริงด้วยก็ว่าวันนี้รีบมามอทำไมว่าจะไปจองที่ลืมไปเลยวิชาอาจารย์ป้าด้วยตายๆๆ ฉันลืมไปสนิท”

ฉันรีบคว้าข้อมือของไปรยาเดินขึ้นไปห้องน้ำทันที และก็รีบๆ หัวซุกหัวซุนไปจองที่นั่ง ยังโชคดีที่มีที่ด้านหลังพอเหลืออยู่บ้าง ใครๆ ก็รู้ว่าอาจารย์ป้ามีกิตศัพท์ว่าโหดแค่ไหนโดยเฉพาะเมื่อใครทำรายงานไม่ได้อย่างใจพี่ท่านไม่มีละเว้น แม้เราจะเรียนในขั้นอุดมศึกษาก็ตามเถอะ

ฉันอยากจะแอบหลับแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเรด้าของอาจารย์ป้าสอดส่องพวกเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาดทำผิดติดมาจากนอกโลก ฉันพยายามขืนตาแล้วก็ยังไม่วายหลับในจนได้

“แป๊ดๆๆ” ไปรยาสะกิดฉัน

“อะไรเหรอกอล์ฟ”

“อาจารย์ป้ามองมา” ไปรยากระซิบ

“อืม” ฉันตอบไปอย่างเบลอๆ เพราะสมองของฉันไม่สั่งการอะไรแล้ว

“เธอสองคนนั่นนะจะเรียนหรือจะคุยถ้าไม่เรียนเชิญออกไปนอกห้องได้ เพื่อนๆ เค้าจะเรียนกัน” อาจารย์ป้าที่กำลังสอนอยู่หันมาตะหวาดฉันกับไปรยา

“ไอ้กิจกรรมรับน้องนี่เมื่อไหร่มันจะหมดไปซะทีนะ ไปกับรุ่นพี่มาแล้วก็มานั่งหาวนั่งหลับในห้องเรียน เธอก็เหมือนกันพ่อหนุ่ม ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน เมื่อวานบอลชนะแล้วไปเลี้ยงฉลองกันมากไปหน่อยหรือไง อะไรกันนี่ มาเรียนหรือจะมาเล่นกีฬาไม่เอาไหนจริงๆ เสียดายเงินผู้ปกครอง เสียดายเวลา ชั่วโมงนี้ครูว่าจะไม่ว่าอะไรแล้วนะ แต่ถ้าชั่วโมงต่อไปขืนมานั่งหลับนั่งหาวอีก เชิญไปถอนออกได้เลยไม่ต้องมาเรียนอีกต่อไป ไม่อยากเห็นหน้าคนไม่ตั้งใจเรียน นี่ถ้าฉันไม่ตั้งใจสอนพวกเธอบ้างพวกเธอจะทำอยางไร ถ้าฉันแค่เข้ามาแล้วแจกแต่ชีตให้พวกเธอไปอ่านเองบ้างฉันจะไม่สอน และฉันก็มานั่งหัวโด่หลับไปตลอดชั่วโมงเวลาสอนเธอบ้างดูสิพวกเธอจะทำไงกันน่ะไม่อยากพูดหรอกนะแต่มันทนไม่ไหวจริง” อาจารย์ป้าบ่นไปเรื่อยๆ

“นี่ขนาดไม่อยากพูดนะกอล์ฟพ่นเป็นไฟ ถ้าพี่ท่านอยากพูดไม่บ่นจนเราไหม้เกรียมเลยเหรอ” ฉันหันไปป้องปากกระซิบกับไปรยา เธอเองก็พยักหน้ารับรู้

ฉันรู้สึกโล่งใจที่อาจารย์ป้าคิดว่าพวกเรานั่นหมายรวมถึงตัวฉันด้วยไปเลี้ยงฉลองผลบอลของคณะที่ชนะเมื่อวานนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปแก้ตัวกับใครๆ ว่าทำไมฉันถึงง่วงนอนสองวันติดๆ

..................

ฉันกับไปรยาเดินลงมาถึงด้านล่างก็เห็นกลุ่มเพื่อนๆ ไปรุมอยู่ที่บอร์ดติดประกาศของคณะ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ฉันที่กำลังคิดว่าเมื่อพักแล้วจะลงมานอนฟุ๊บหลับอยู่ที่โต๊ะก็ตาสว่าง

“ไปดูว่าเค้าติดประกาศอะไรกันเถอะกอล์ฟ” ฉันฉุดมือไปรยาให้เดินไปที่บอร์ดแห่งความสงสัย

“ไหนว่าง่วงนอนอยากนอนไงแป๊ด”

“ก็เมื่อกี้ง่วงตอนนี้ไม่ง่วงแล้วไง ไปเถอะอยากรู้ดูตาเค้าสิ” ฉันแกล้งทำตาโตจนไปรยามองหน้าฉันแล้วหัวเราะ

พอได้อ่านข้อความที่ติดประกาศไว้ที่บอร์ดเราก็มองหน้ากันไปมา

“จะไปหรือเปล่าหล่ะแป๊ด” ไปรยาที่ทนไม่ได้รีบชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน

“เค้าว่ารับโหดนี่ไม่อยากไปหรอก”

“แล้วถ้าเราไม่ไปพวกพี่ๆ จะซ่อมเพื่อนเราหรือเปล่าหละ” ไปรยามีคำถามที่ฉันเองก็ตอบไม่ได้

“นั่นสิไม่รู้เหมือนกันไว้ค่อยคุยกันตอนประชุมตอนเย็นก็ได้ว่าใครจะไปบ้าง” ฉันเสนอทางเลือก เพราะยังไงซะก็ต้องมีเพื่อนที่ไม่ไปร่วมกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่แบบนี้อยู่บ้าง

ช่วงบ่ายที่เราเข้าเรียนก็มีกระดาษส่งต่อๆ กันมาถามว่าใครจะไปกิจกรรมรับน้องบ้าง โดยส่วนใหญ่ที่ลงชื่อกันก็จะมีพวกผู้ชายในคณะและมีสาวๆ บางคนที่ไม่กลัวกิติศัพท์ของรุ่นพี่ลงชื่อไปด้วย ฉันกับไปรยามองหน้ากันอีกครั้งและลงความเห็นว่ายังไม่ถึงวันเราก็จะไม่ลงชื่อ

ไปรยาเธอรู้สึกเข็ดตั้งแต่วันรับน้องของมหาวิทยาลัยรุ่นพี่แกล้งเธอเอาไว้มาก ไปรยาเป็นคนไม่สวยแต่ก็ดูดี จึงเป็นที่หมายตาของรุ่นพี่ผู้ชายหลายๆ คน ฉันไม่เข็ดเพราะไม่มีรุ่นพี่มาสนใจคนอย่างฉันหรอกคะท่าทางของฉันมันคงไม่ค่อยน่าจะแกล้งสักเท่าไหร่ เพราะฉันชอบทำสีหน้าบึ้งตึงหรือไม่ก็เฉยเมยอยู่ตลอดเวลา

ฉันยังแอบขำรุ่นพี่ผู้หญิงคนที่เป็นผู้นำเชียร์ในครั้งที่สอนพวกฉันให้ร้องเพลงประจำมหาวิยาลัยและเพลงประจำคณะ เธอให้รุ่นน้องพยายามอ้าปากให้กว้าง แต่ฉันกลับร้องปากขมุบขมิบ

เมื่อรุ่นพี่เดินมาหาฉันเพื่อจะเตือนให้ร้องเพลงอ้าปากฉันก็ตีสีหน้าเรียบเฉยแบบที่เคยทำ จนรุ่นพี่คนนั้นถอยหลังกรูดไปไม่มาตอแยกับฉันอีก ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ชนกพรฟังเธอยังขำฉัน เนื่องจากปกติฉันเป็นคนร่าเริงติดจะทะเล้นทะลึ่งไปตามเรื่องตามราว

ในกลุ่มของฉันจะรู้ดีว่าฉันกับจันทร์จิราจะเป็นหัวโจกในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ที่จะดูดีมีชาติตระกลูและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเพื่อนในกลุ่มก็มีเพียงรตีและภัทรทราภรณ์เท่านั้น สองคนนี้เพื่อนๆ ไม่ค่อยจะแกล้งแต่จะเกรงใจมากว่า

ฉันว่าการที่ฉันเสร้งทำเป็นสาวหวานไม่ค่อยพูดค่อยจาก็ทำให้ใครหลายๆ คนคิดว่าฉันเป็นพวกคงแก่เรียนไม่ทำกิจกรรมใดๆ ได้เหมือนกัน แต่นั่นมันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของฉัน แล้วเมื่อไหร่กันหล่ะที่ฉันจะเปิดเผยตัวตนจริงๆ ของฉันออกมาได้ สงสัยต้องให้ผ่านกิจกรรมรับน้องไปก่อนจะดีกว่า

มันช่างเป็นความคิดที่สร้างปลอดภัยกับชีวิตของฉันจริงๆ

..........................

ตลอดทั้งการซ้อมเชียร์ของพวกเราเรื่องที่เม้าท์กันให้แซดก็คือเรื่องรับน้องนอกสถานที่ มีเพื่อนในรุ่นของฉันบางคนที่ยืนยันเจตนาเดิมก็คือไม่ไปเพราะพ่อไม่ให้ไป และไม่ยอมทำกิจกรรมรับน้องอย่างเด็ดขาด ก็แน่หละเธอออกจะคุณหนูจนพวกเราเห็นแล้วก็เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไมให้ไปแต่มันก็อดไม่ได้ขอแซวคุณหนูไฮโซไฮซ้อคนนี้หน่อยเถอะวะนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี

“แล้วพ่อของคุณมาเรียนด้วยหรือเปล่าหละคุณพิสลยา” ฉันที่อดรนทนไม่ไหวเมื่อพิศลยาอะไรก็อ้างแต่พ่อ ๆๆ

“ถึงแม้พ่อจะไม่ได้มาเรียนด้วยท่านก็เป็นคนจ่ายเงินค่าเทอมค่าบำรุงที่นี่ และเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับคณะก็แล้วกัน” พิศลยาเชิดหน้ามองฉันด้วยหางตา

“คุณคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างว่างั้น” ฉันไม่ยอมลดละแม้จะไม่มีเงินมาบริจาคให้กับคณะแต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกดูหมิ่นได้

“ซื้อไม่ได้หรอกแต่บันดาลได้ทุกสิ่ง” สายตาของพิศลยาที่มองมาที่ฉันมันเหมือนสายตาของคนที่ชอบเหยีดหยามคน

“อ๋อเหรอ แล้วบันดาลความสุขให้ได้หรือเปล่าหละ อะไม่แน่นะคนรวยๆ บางคนมีเงินกองล้นฟ้าแต่ไม่มีความสุขในครอบครัว ประเภทพ่อมีอิหนูแม่มีบอดี้การ์ดไปงานโน้นงานนี้ ทิ้งลูกให้นั่งเหงาอยู่กับบ้านพร้อมวีดีโอเกมส์และยาปลุกเซ็กส์” ตายแล้วนี่ฉันพล่ามอะไรลงไป

“คนอย่าเธอนะไม่มีทางได้เห็นขาอ่อนฉันหรอกยะต่อให้ฉันกินยาปลุกเซ็กส์ไปสักร้อยเม็ดก็เถอะ”

“เอ๊ยนี่พวกเธอคุยอะไรกันเรามาคุยกันเรื่องไปรับน้องต่างจังหวัดไม่ได้มาคุยเรื่องยงยาบ้าบออะไรนั่นหยุดๆ กันซะทีเถอะ ตกลงว่าเธอไม่ไปใช่ไม๊ปริม ไม่ไปก็คือจบ ส่วนเธอไปใช่ไม๊แป๊ดถ้าไปก็ลงชื่อมา” เพื่อนที่นั่งฟังพวกเราอยู่อดรนทนไม่ได้เพราะเห็นว่ามันจะบานปลายไปกันใหญ่ก็เลยลุกขึ้นมาขัดจังหวะฉันก่อน

“เราไปเพราะเรากล้าพอที่จะเผชิญความลำบากได้ไม่ใช่ผู้ดีแปดสาแหรกย่างบางคน” ฉันยังไม่ลดละเลิก

“ฉันไปงานนี้ฉันจะไป” พิศลยาก็ไม่ยอมแพ้ฉันเช่นกัน

“ไปก็ดีแต่อย่าให้เห็นนะว่ามีคนไปด้วย นอนห้องหรูๆ ในโรงแรมหรูกินอาหารจากภัตตาคารหรู แบบนั้นเค้าไม่ได้เรียกใช้ชีวิตติดดินจริงๆ หรอกแม่คุณ” ฉันท้าทายพิศลยากันเห็นๆ

“ก็ได้ฉันจะไม่เอาใครไปด้วยจะยอมทำตามที่รุ่นพี่สั่งทุกอย่างคอยดูก็แล้วกัน”

“หึหึขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะ อย่าให้เห็นนะว่าโทรไปบอกพ่อให้รีบมารับหนูกลับด่วนเพราะกหนูจะตายแล้วพ๋อจ๋า” ฉันยังปากปีจอไม่เลิก

“นี่เล่นอะไรก็เล่นได้นะอย่ามากล่าวหาพ่อของฉันเข้าใจไม๊แม่แปดเปื้อน”

“ใครแปดเปื้อนฉันชื่อแป๊ดไม่ได้ชื่อแปดเปื้อน ถึงแม้ว่าฉันจะจนกว่าเธอมากมายไม่มีรถหรูมารอรับไม่มีอาหารแพงๆ มาให้กินแต่ก็ไม่เคยแบบมือขอใครกินอย่ามาดูถูกกันนะ” ฉันถกแขนเสื้อขึ้นด้วยความโมโห

เพื่อนคนหนึ่งลุกขึ้นมาคว้าแขนฉันที่กำลังจะเดินไปหาพิศลยาด้วยอารมณ์โมโหสุดขีดเดือดปุดๆๆ

“เฮ้ย.....พวกเธอนี่ยังไงกันนะยิ่งห้ามยิ่งทะเลาะกัน เธอก็เหมือนกันเห็นเงียบๆ ไม่พูดไม่จาร้ายเอาเรื่องนะแป๊ด” เพื่อนคนที่มาห้ามฉันมองหน้าฉันจนฉันต้องตะลึง

และก็อดนึกในใจไม่ได้ว่าตายแล้วตรู หมดกันที่เคยสร้างภาพไว้วันนี้ไม่เหลือหรอแล้วฉันก็เลยนั่งลงไม่พูดอะไรอีกต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าการปะทะกันทางสายตาของฉันกับพิศลยาจะจบลงง่ายๆ ไม่มีวัน

ฉันเคยเห็นพิศลยามีรถหรูมารับเธอถึงตึกทุกเย็นแทบจะวิ่งมารับถึงที่ หากว่าคนที่มารับอุ้มเธอขึ้นรถไปได้ก็คงดี และเวลากินข้าวก็มีคนเอาอาหารมาส่งถึงที่เช่นกัน กระเป๋าก็ไม่ต้องถือเอง ฉันกับเพื่อนๆ บางครั้งก็นึกหมั่นไส้เธอ

หลังซ้อมเชียร์เสร็จฉันนินทาพิศลยากับไปรยาว่าเธอคงเป็นลูกผู้ลากมากดีเป็นผู้ดีตะแคงเดิน ไปรยาก็ขำที่ฉันพูด

“ปริมเค้าก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วแป๊ดตั้งแต่เราเรียนโรงเรียนเดียวกัน ใครเรียนห้องเดียวกับปริมสบายจะตายไป”

“ทำไมหละสบายตรงไหนเค้าเอาข้าวมาให้กินฟรีเหรอ”

“เปล่าพ่อของปริมจะมาติดแอร์ทาสีใหม่ให้ห้องที่ปริมเรียนทุกปี ครูนะก็เปลี่ยนห้องที่ปริมเรียนไปเรื่อยๆ พอก่อนจะเปิดเรียนก็จะรู้ว่าห้องไหนที่ปริมจะไปเรียน ทั้งทาสี ทั้งเปลี่ยนกระดานจากชอล์คเป็นไวท์บอร์ด แล้วก็ติดแอร์ให้เสร็จสรรพ เค้าบอกว่าปริมแพ้ผงชอล์คเป็นผื่นถ้าโดนผงชอล์ค แถมไม่พอนะโต๊ะเก้าอี้ก็ต้องใหม่หมด เวอร์ไหมหละตัว” ไปรยาเล่าเรื่องความเป็นคุณหนูของพิศลยาให้ฉันได้รับรู้

“อืมเวอร์จริงๆ ด้วย แล้วตัวได้เรียนห้องเดียวกับปริมหรือเปล่า” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย

“เรียนสิเรียนมาตั้งแต่อนุบาลยันมอหกเลยด้วย”

“โหงี้ก็สบายไปเลยสิ”

“ใครว่าหละ สบายตรงไหนกันพวกเราต้องมาจ่ายค่าไฟให้โรงเรียนเป็นกรณีพิเศษ เพราะพ่อของปริมติดให้แต่แอร์ไม่ได้จ่ายค่าไฟใฟ้โรงเรียนด้วยนี่”

“หาทำไมงั้นหละ”

“เอ๊าแป๊ดก็เค้าออกค่าแอร์แล้วใครจะไปกล้าให้เค้าจ่ายค้าไฟด้วยหละ แค่มาทำห้องให้ใหม่ให้เรียนห้องแอร์ก็ดีถมไปแล้ว ฉันว่านะถ้าพ่อปริมติดแอร์ทั้งโรงเรียนแบบในห้างได้คงทำไปแล้ว”

“แล้วพ่อปริมเค้าทำงานอะไรถึงได้รวยขนาดนั้น” ฉันชักสงสัยว่าคอรบครัวของพิศลยาทำงานอะไรถึงได้รวยจนอวดรวยได้ขนาดนั้น

“ค้าขายข้าวส่งออกสินค้าทางการเกษตรอะไรทำนองนี้แหละ เราก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรมากนักหรอก ปริมออกจะเก็บตัวไม่ยอมจะเสวนากับลูกคนฐานะไม่ค่อยรวยแบบเราหรอก เค้าจะคบแต่กับลูกคนรวยด้วยกัน ตอนแรกคิดว่าปริมจะไปเรียนเมืองนอกเหมือนๆ พวกกลุ่มเค้าแต่ทำไมมาเรียนที่นี่ได้ก็ไม่รู้” ไปรยาเล่าไปเรื่อยๆ อย่างเมามัน

“อ้อคงแบบลูกคนรวยทั่วไปเรียนจบมอหกก็ไปต่อเมืองนอกแล้วก็กลับมาทำงานโก้หรูที่บริษัทตัวเองในตำแหน่งใหญ่โต” ฉันเสริม

“ก็อาจใช่ แต่ไม่ใช่ เรายังแปลกใจเลยว่าทำไมปริมมาเรียนที่นี่ พูดก็พูดเถอะคันปากยิบๆ ปริมเคยเป็นแฟนเก่าของแฟนเรานะแป๊ด”

“ห๊าอะไรนะปริมเป็นดี้เหรอ” ฉันร้องลั่นเมื่อได้รู้ข่าวให้ล่าสุด

“จุ๊ๆ เบาๆ สิแป๊ด เอ็ดไปได้ใครก็ได้ยินหมดหรอก” ไปรยาตีแขนฉันเพื่อปรามไม่ให้เสียงดัง

“แล้วทำไมถึงเลิกกันหละ”

“เราก็ไม่รู้หรอกเมื่อตอนมอสี่ต่องเค้าก็เลิกกับปริม แล้วก็มาคบกับเรา จนตอนนี้เรากับปริมก็ยังมองหน้ากันไม่ติดเลย ต่องกับปริมนั่งเรียนด้วยหันมาตั้งแต่เราจำได้ ไม่แน่ใจว่าชั้นไหนน่าจะสักปอสาม สองคนนั้นสนิทกันมากๆ ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าต่องเป็นแฟนปริมเพราะก็เห็นทำตัวเฉยๆ ที่ไหนได้กว่าเราจะรู้ก็ตอนที่ต่องมาบอกว่าชอบเราแล้วปริมก็มาโวยวายเรา จากนั้นเราก็ขอย้ายห้องไปเรียนอีกห้อง เราไม่อยากจะเปิดศึกกับลูกคนรวยนักหรอก”

“แม่ปริมนี่ก็ร้ายใช่เล่นนะ”

“ไม่ร้ายธรรมาดาเลยด้วย”

ฉันพยักหน้ารับรู้เรื่องประวัติอย่างละเอียดของแม่คุณหนูไฮโซคนสวยประจำคณะ อะไรที่ว่ายากๆ อรุณวิลัยถนัดนักแล แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาพญานาคแผ่พังพานเก็บไว้ก่อนลูกรัก เดี๋ยวได้ออกมายลโลกภายนอกแน่แม่รับรองลูกรัก

..................................

“ไอ้เจ้าแกช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไม๊” ฉันชวนอจันทร์จิราคุยตอนที่ช่วยเธอล้างจานในช่วงหัวค่ำ

“ให้ช่วยอะไรวะไอ้แป๊ด” จันทร์จิราหันมามองหน้าฉันงงๆ

“คืองี้ฉันนะไปเจอะสาวคนนึงที่คณะ แบบว่าโคตรหยิ่งเลยแก”

“แล้วไงหาเหาใส่หัวหรือไงแก ระวังเถอะกิ่งรู้เข้าเรื่องมันจะยุ่ง เอาไอ้นี่คว่ำให้หน่อยสิแกมายืนขวางฉันวางไม่ถนัด” จันทร์จิรายื่นจานที่ล้างเสร็จแล้วให้ฉันเอาไปคว่ำบนที่วางจาน

“เอาน่ากิ่งไม่รู้หรอก แต่แม่นี่นะแกเอ๊ยโคตาระหยิ่งยิ่งกว่านางพญาอีก ฉันอยากแกล้งนะแกคนอะไรไม่รู้ทำตัวอย่างกับพวกเราเป็นพลเมืองประเภทสี่”

“อะไรของแกวะพลเมืองประเภทสี่”

“ก็พวกขอมดำดินไงแก เหยีบหัวพวกเราเดินได้คงทำไปแล้ว”

“ขนาดนั้นเลย”

“ช่ายเพื่อนฉะนั้นแกต้องช่วยฉันนะเพื่อนนะขอร้อง Please”

“ไหนลองว่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ทำให้แป๊ดตะบะแตก ไหนไอ้นกมันบอกว่าแกวางมาดจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน” จันทร์จิราเดินมานั่งลงที่โต๊ะกินข้าวและเริ่มเปิดศึกยี่สิยคำถามกับฉัน

และฉันก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้จันทร์จิราฟังอย่างละเอียดรวมถึงที่พิศลยาพูดออกมาว่าฉันไม่มีทางได้เห็นขาอ่อนของเธอ มันเป็นประโยคที่ทำให้ฉันเดือดปุดๆ มาจนถึงตอนนี้

จันทร์จิราพยักหน้ารับฟังเรื่องราวจากฉันที่พร่างพรูออกมาและก็ยิยดีและเต็มใจที่จะร่วมขบวนการในการแก้แค้นครั้งนี้อย่างง่ายดาย

“ตกลงแป๊ดฉันจะช่วยแก แต่มีข้อแม้ว่าอย่าถลำลึกเพราะฉันสงสารกิ่งมันรักแกมากนะ”

“ฉันรู้ไอ้เจ้าฉันสัญญาว่าจะไม่ถลำลึกอย่างแน่นอนไม่มีใครดีกับฉันเท่ากิ่งอีกแล้วแก”

“รู้ตัวก็ดีแล้วเพื่อนแต่ช่วยครั้งนี้ครั้งเดียวนะไม่มีครั้งที่สอง”

“ตกลงเพื่อน” ฉันจับมือจันทร์จิราเขย่าเป็นการรักษาคำมั่นสัญญาที่มีไว้ให้แก่กันและกัน

..................

ทุกเย็นฉันกับไปรยาจะนั่งเชียร์กันที่ข้างสนามไม่ว่าจะมีบอลแข่ง หรือกีฬาอื่นๆ ส่วนเรื่องเรียนฉันไปล็อบบี้เพื่อนๆ ที่สนิทกันไว้หมดทุกคนแล้วว่าถ้ามีรายงานคู่หือรายงานกลุ่มอย่าให้พิศลยาเข้ากลุ่ม ดูเหมือนเพื่อนๆ ก็จะเห็นดีเห็นงามไปกับฉันด้วย เพราะพิศลยาไม่ค่อยจะช่วยเหลือกลุ่มในการทำงาน

พิศลยาหาทางที่จะแทรกซึมเข้ากับเพื่อนให้ได้ เธอมีทางเดียวที่จะทำได้นั่นคือเพื่อนเก่าที่โรงเรียนอย่างไปรยา นั่นหมายความว่าเธอจะต้องไปง้อไปรยาเพื่อให้เธอมีชื่ออยู่ร่วมในกลุ่มทำงาน แต่ด้วยความเป็นคนถือเนื้อถือตัวทำให้เพื่อนๆ ไม่มีใครยอมรับเธอ

พิศลยาตัดสินใจเดินเข้าไปหาไปรยาเธอทิ้งมาดนางพญากองไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปเกาะแขนไปรยา

“กอล์ฟช่วยเราด้วยสิ เรายังไม่มีกลุ่มทำรายงานเลย”

“ทำไมหละก็เห็นมีเพื่อนเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอ”

“พวกนั้นนะดีแต่ปากทำงานไม่เป็นหรอกสู้กอล์ฟก็ไม่ได้”

“เคยทำงานกับพวกเค้าแล้วเหรอถึงบอกว่าเค้าทำงานไม่เป็น แล้วปริมรู้ได้ไงว่าเราทำงานเป็นเรายังไม่เคยอยู่กลุ่มเดียกันเลยสักครั้ง”

“ก็ต่องบอกว่ากอล์ฟทำงานเก่งเรียนเก่งเราโทรคุยกับต่องบ่อยๆ ต่องเลยให้ลองมาถามกอล์ฟดู”

เมื่อพูดถึงอดีตแฟนเก่าทำเอาไปรยาหน้าเสียนี่นะเหรอที่คนรักของเธอบอกว่าไม่มีเวลาแม้กระทั่งโทรหาเธอ แต่มีเวลาโทรหาพิศลยา

นี่มันอะไรกันนี่

ไปรยาปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าพิศลยาจะจับความรู้สึกของเธอได้

“แล้วต่องเค้าเป็นไงบ้าง เค้าบอกอะไรกับปริมบ้างละ” เธอถามถึงตวิษาแฟนเก่า

“ก็สบายดีมากๆ เห็นว่าเรียนหนัก เค้าก็ไม่ได้บอกอะไรแค่บอกว่ากอล์ฟเป็นที่พึ่งได้ก็เท่านั้น”

พิศลยาลดเสียงให้อ่อนลง ทางเดียวที่เธอจะอยู่รอดและมีกลุ่มทำงานงานให้พ้นๆ เทอมนี้ก็คงมีแต่ไปรยาอดีตหอกข้างแคร่ของเธอคนนี้เท่านั้น และจากคำบอกเล่าของตวิษา ไปรยาเป็นคนหัวอ่อนหลอกใช้ได้ง่ายๆ จะติดอยู่ก็ตรงแม่แปดเปื้อนที่คอยตามติดไปรยาเป็นเงาตามตัว

ตอนนี้ก็เป็นโอกาศดีเพราะแม่แปดเปือ้นคนนั้นไม่ได้นั่งอยู่กับไปรยาเธอจึงสบโอกาศเหมาะที่จะเข้ามาตีสนิทกับคนใจอ่อนคนนี้

“อืมเหรอ แล้วปริมจะมาอยู่กลุ่มเดียวกับเราคิดดีแล้วเหรอ เพราะกลุ่มเรามีแป๊ดอยู่ด้วยนะ”

“ไม่เห็นจะยากอะไรเราก็คุยงานผ่านกอล์ฟสิ ไม่ต้องไปคุยกับยายแปดเปื้อนนั่น” พิศลยาทำหน้าเชิดเมื่อพูดถึงอรุณวิลัยคู่ปรับคนสำคัญในคณะ

“แบบนี้เราก็ลำบากใจนะปริม คนนั้นก็เพื่อนคนนี้ก็เพื่อนเราคงทำตัวเป็นโต๊ะสนุ๊กให้พวกเธอกระทบชิ่งกันไปมาไม่ได้หรอก”

“แล้วนี่เธอเห็นว่าเพื่อนที่พึ่งคบกันใหม่ๆ ไม่ถึงสองเดือนดีกว่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันมานานอย่างนั้นเหรอ”

“ก็ถ้าเพื่อนที่เรียนกันมานานมันเป็นคนดี ไม่ต้องทำให้เพื่อนต้องย้ายห้องเรียนหนีไปเรียนอีกห้องเพื่อนคนนั้นก็คงจะยินดีที่ตจะรับเพื่อนเข้ากลุ่มด้วยอยู่หรอกแต่นี่มันไม่ใช่” ฉันที่กำลังเดินถือน้ำเอามาให้ไปรยาได้ยินการสนทนาของทั้งคู่ก็อดรนทนไม่ได้ต้องยอมแส่หาเรื่องเข้าตัวอีกรอบ

“ฉันไม่นึกเลยนะว่าเธอจะเอาเรื่องของเราไปพูดให้คนอื่นรู้ ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเพื่อนจะทรยศเพื่อน”

“ถ้าเพื่อนดีๆ ไม่ใช่แฟนเก่าของแฟนเก่าก็คงจะพอคบได้อยู่ร๊อก แต่นี่แฟนเก่าของแฟนตามมาราวีขนาดถึงกับเรียนด้วยกันไม่ได้ มันก็ไม่น่าที่จะต้องมารักษาน้ำใจกันหรอก คำว่าเพื่อนนะมันต้องหมายถึงคนที่เค้าจริงใจต่อกัน ไม่ได้เป็นพวกเกาะคนอื่นกิน หรือเกาะคนอื่นหรูแบบเพื่อนของเธอหรอกนะแม่ปิ่มปิ้ม” ฉันพูดพร้อมกับทำท่าทางบีบอากาศไปด้วย ทำเอาพิศลยาถึงกับออกอาการเนื้อเต้น

“คอยดูฉันจะฟ้องคุณพ่อ”

“ขี่ม้าสามศอกไปฟ้องเลยนะแม่คู๊ณฉันไม่กลัวพ่อของเธอร๊อก ก็แค่พ่อค้าขายข้าวถ้าไม่มรชาวนาอย่างพวกฉันคอยปลูกข้าวให้พ่อเธอเอาไปขายดูสิว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้”

“แม่แปดหลอดจำไว้เลย” พิศลยาชี้มือมาที่ฉันเนื้อเต้นจนออกอาการหลุดมาดนางพญา

“ไม่จำหรอแม่มันเปลืองสมองในการทำรายงานของฉันแม่พิษศาลอาญา แล้วที่เธอชี้นิ้วมาที่ฉันนะแค่นิ้วเดียวแต่ชี้ไปที่ตัวเองถึงสี่นิ้ว อุ๊ๆ ช่างไม่รู้อะไรเล๊ย แม่นางพญาตกกระป๋อง”

“นี่เธอบังอาจมาว่าฉันขนาดนี้เลยเหรอ” พิศลยาลดมือที่ชี้หน้าของฉันลงแต่ท่าทางยังเป็นนางละครรำแก้บนอยู่ดี

“แล้วจะทำไม” ฉันยืดอกขึ้นรับคำของพิศลยาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“พอได้แล้วแป๊ด คนมองกันใหญ่แล้วอายเค้า” ไปรยาเห็นท่าทางจะไม่ดีเพราะคนเริ่มหยุดดูการปะทะคารมร์ของฉันกับพิศลยามากขึ้นเรื่อยๆ

“อายทำไมกอล์ฟเราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อยแม่นี่ต่างหากมาหาเรื่องเราสองคนก่อน แค่ไม่มีกลุ่มอยู่เพื่อนไม่ต้อนรับให้อยู่ด้วยต้องมาพาลหาเรื่องเราสองคนด้วย” ฉันยังไม่อยากไปตอนนี้ หากว่าเดินจากไปแม่คุณนายตะแคงเดินคนนี้ก็คงคิดว่าฉันกลัวเธอเป็นแน่ๆ

“แต่เราอายนะแป๊ด ไปเถอะอย่ามาเถียงอะไรกันแบนี้เลย เป็นขี้ปากชาวบ้านเปล่าๆ” ไปรยาฉุดมือฉันให้ลุกขึ้นจากโต๊ะ

สายตาของฉันและพิศลยายังคงจ้องอย่างกินเลือดกินเนื้ออยู่อย่างนั้น คอยดูเถอะอรุณวิลัยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรือวันพระไม่ได้มีหนเดียวแม่พิศลยาเอ๋ย

....................................

ฉันกับไปรยามาหาหนังสือเพื่อเตียมทำรายงานกันที่หอสมุด เมื่อหาได้จนครบแล้วก็นั่งคุยกันต่อถึงเรื่องของแม่นางพญาหลุดโลกคนนั้น

“แป๊ดไม่น่าไปต่อปากต่อคำกับปริมเค้าเลย มันน่าขายหน้าออก”

“แล้วจะให้เราทำไงให้เค้ามาว่ากอล์ฟ พูดถึงแฟนเก่ากระแทกหูโครมๆ นี่เราถามจริงๆ เถอะตัวไม่ได้คิดอะไรเลยเหรอที่แม่นั่นพูดแบบนั้น”

“ก็คิด” ไปรยานั่งก้มหน้าพูดเสียงอ่อยๆ ฉันเห็นน้ำตาของเธอกลังจะร่วงลงมา

“คิดแล้วไมไม่โต้ตอบไปบ้างปล่อยให้แม่นั่นใส่หูโครมๆ เป็นเราหน่อยไม่ได้ จะจับมาซัดให้เละ เอานี่ผ้าเช้ดหน้าเช็ดน้ำตาซะร้องไห้ทำไมอายเค้า” ฉันยื่นผ้าเช็ดหน้าในมือให้กับไปรยาจะเช็ดให้ก็กระไรอยู่เกรงว่าจะเป็นที่สนใจของคนที่นั่งอยู่ในหอสมุดด้วยกัน

“เราไม่โหดแบบตัวนี่แป๊ด”

“อ้อนี่ว่าเราโหดเหรอเพื่อน ดีๆ คราวหลังเราเห็นแม่นั่นมาใกล้ตัวเราจะเดินหนีปล่อยให้คุยกันสองต่อสองดีมะ” ฉันแกล้งทำเชิดใส่ไปรยาเพื่อให้เธอง้อ

“ไม่เอานะเรากลัว” และก็เป็นจริงอย่างที่คาดเอาไว้ ไปรยาง้อฉันจริงๆ

“กลัวแล้วก็ไม่โต้ตอบ บอกแล้วเป็นเราหน่อยไม่ได้ แม่จะดักซัดข้างตึกแล้วจับปล้ำซะเลยฮ่าๆๆ เล่นองค์ดีนัก”

“ขนาดนั้นเลย” สีหน้าของไปรยาดีขึ้นเมื่อฉันชวนคุยไปเรื่อยๆ

“ขนาดนั้นสิไม่เชื่องานรับน้องเราจะทำให้ดู”

ไปรยาได้แต่นั่งฟังแผนการของฉันตาปริบๆ ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่คัดค้าน ถึงแม้ว่าแผนการของฉันมันจะเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก อย่างมากแม่นางพญาหลุดโลกคนนั้นก็จะจำฉันได้ไม่มีวันลืมไปตลอดชาตินี้แค่นั้นเอง

..... จบบทที่ ๙ ....




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:10:25 น.
Counter : 297 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.