It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๔


“เราจะไปเที่ยวทิ้งทวนที่ทะเลกันใครจะไปยกมือขึ้น” จันทร์จิราที่ตอนนี้ตั้งตัวเป็นโต้โผพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวถามเพื่อนๆ หลังจากที่พวกเราเดินลงมาจากตึกเรียน และมานั่งที่ม้าหินอ่อนโต๊ะประจำของพวกเราทุกคน

“ไปๆๆๆ” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

“แล้วไปกันไงหละไอ้เจ้า” ธิติมาที่ยังสงสัยกับเรื่องการเดินทางถามขึ้นเพราะเธอเองก็คิดว่าการไปทะเลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับพวกเราเลย

“ไปรถทัวร์สิแก โตแล้วไปได้” จันทร์จิราตอบอย่างมาดมั่น

“ไอ้บ้าขืนไปบอกแม่ว่าจะไปทะเลแล้วไปรถทัวร์ได้โดนแม่เฉ่งกบาลสิแก” รตีโวยวายขึ้นมาทันที

“ก็ไม่ต้องบอกแม่สิไอ้ตีว่าเราไปรถทัวร์ เราก็บอกแค่ว่าพวกเราไปทะเลกันไม่ต้องบอกว่าไปแบบไหน” จันทร์จิราให้ข้อเสนอ

“ฟังไม่ขึ้นเลยแกไอ้เจ้า ตอนแม่มาส่งขึ้นรถก็รู้แล้วว่าเราจะต้องโดนแน่ๆ” รตียังคงแย้งเช่นเดิม

“ถูกของตีนะจันเพราะว่าถ้าพวกเราบอกไปแบบนั้นพ่อกับแม่ก็ต้องเป็นห่วงเราแน่ๆ เลย จันหาทางอื่นดีกว่า” ภัทรทราภรณ์ที่นั่งฟังเพื่อนสองคนเถียงกันไปมาก็อดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากแย้งขึ้นมาเหมือนกัน

“กิ่งก็ถ้าไม่บอกอย่างนี้เราจะได้ไปทะเลกันเหรอ อีกอย่างนะ เราคงไม่ได้รวมพลกันแบบนี้อีกแล้วด้วย ไหนๆ พวกเราก็ต้องจากกันไปแล้ว ก็มารวมพลกันไปเที่ยวเฮฮากันครั้งสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดกันหน่อยเป็นไร หลังจากนั้นก็ต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทางแล้วนะ” จันทร์จิราทำเสียงอ้อยสร้อยและหน้าเศร้าๆ บ่งบอกถึงสิ่งที่เธอคิดอยู่

“จันฉันจะบอกอะไรให้ได้รับรู้ไว้นะว่าพวกเราถึงแม้จะแยกจากกันแต่ไม่ได้หมายความว่าความเป็นเพื่อนของพวกเราจะลดน้อยถอยลงไปนี่หว่า หรือแกว่าที่เราคบกันมาตลอดระยะเวลา สิบสองปีมันจะหมดไปได้ง่ายๆ เพียงแค่ชั่วข้ามคืน” จินตนาที่เห็นจันทร์จิราเศร้า เธอเองก็แอบเศร้าด้วย แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมกินไปพูดไปเพราะปริมาณของขนมที่อยู่ในถุงที่มือของเธอก็พร่องลงไปเรื่อยๆ

“ฉันก็เข้าใจนะจินที่แกพูดแต่แกก็ต้องเข้าใจฉันด้วยสิว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าพวกเราจะห่างกันไปบ้างเวลาปิดเทอมแต่เราก็รู้กันอยู่ว่าเราต้องมาเจอะกันในวันเปิดเทอม และมันก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้ฉันอยากมาโรงเรียน มาเจอเพื่อนๆ มาได้เห็นหน้าพวกแกได้เล่นได้กินได้เที่ยวด้วยกัน แต่ตอนนี้ฉันจะไม่ได้อยู่กับพวกแกอีกต่อไปแล้ว ฉันก็คิดมากเป็นเหมือนกันนะเว่ย” จันทร์จิราที่ตอนนี้เริ่มจะตาแดงๆ มีน้ำตาคลอนิดๆ พยายามอธิบายให้พวกเราทุกคนได้เข้าใจถึงความคิดของเธอ

เพื่อนทุกคนหันมาสบตากันและก็ต้องเห็นพ้องต้องกันกับจันทร์จิราไปด้วย

“โอเคเพื่อนเราจะไปขอพ่อกับแม่ไปเที่ยวทะเลกัน ไปขอพร้อมๆ กันนี้แหละและบอกไปด้วยเลยว่าเราจะดูแลกันเองไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราโอเคไหม” ฉันแนะนำเพื่อนๆ เพราะคิดว่านี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเรา

พวกเรายกโขยงไปบ้านเพื่อนแต่ละคน และไปขอผู้ปกครองของแต่ละคนเราให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่เหลวไหล ซึ่งพ่อแม่ของแต่ละคนก็เข้าใจพวกเราเป็นอย่างดี และก็รู้ว่าพวกเราทุกคนคงไม่ทำอะไรให้ต้องเสื่อมเสียมาถึงพ่อกับแม่ แต่ก็ยังคงมีข้อแม้ว่าไปได้ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ต้องกลับมาบ้านโดยเร็วที่สุด

เมื่อทุกอย่างปลอดโปร่งโล่งสบายพวกเราก็สบายใจในการไปเที่ยว โปรแกรมของพวกเราก็คือนั่งรถทัวร์ไปลงกรุงเทพแล้วต่อรถไปทะเลจะไปทะเลที่ไหนก็สุดแล้วแต่ว่าพวกเราจะไป หาที่เที่ยวเอาข้างหน้า

วันเดินทางพ่อแม่ของทุกคนมาส่งกันที่รถทัวร์ การเดินทางในครั้งนี้ เบาะนั่งบนรถทัวร์แปดที่ถูกเราจับจองและเสียงของพวกเราก็กลบไปทั้งคันรถ ผู้โดยสารทั้งหลายก็ส่ายหน้ากันเป็นแถวเพราะเสียงที่ส่งออกมาจากพวกเราไม่ได้เบาแบบกระซิบแต่เป็นเสียงที่ดังลั่นไปทั้งคันรถ

จนสุดท้ายรตีต้องมาปรามพวกเราให้หยุดคุยและส่งเสียงเบาๆ กันหน่อย เกรงใจผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ร่วมโดยสารรถมากับเราด้วย

ฉันหันมาคุยกันสองคนกับภัทรทราภรณ์ เพราะเราสองคนนั่งรถมาคู่กันฉันให้แขนของฉันกับภัทรทราภรณ์หนุนต่างหมอน ในเวลานี้ฉันไม่ได้คิดถึงความแตกต่างอะไรของเราสองคนอีกต่อไปแล้ว เพราะหัวใจของฉันมอบให้กับคนที่อยู่ข้างกายคนนี้ไปจนหมดหัวใจ

เราลงรถที่หมอชิตและต่อรถไปเอกมัยเพื่อไปบ้านเพให้ทันเวลา เกาะเสม็ดเป็นจุดหมายปลายทางของเราก็คือเกาะเสม็ด ที่ใครๆ ก็บอกว่าไปเสม็ดเสร็จทุกราย

การเดินทางมาเสม็ดแม้จะขลุกขลักไปบ้างแต่สำหรับพวกเราแล้วมันเพิ่มสีสันให้กับชีวิตอย่างบอกไม่ถูก เพราะเป็นการเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ กันครั้งแรกที่ไม่มีผู้ปกครองตามมาด้วย พวกเราไม่เคยถูกปล่อยให้มาเที่ยวเอง หากไปไหนก็จะต้องมีผู้ปกครองของแต่ละคนติดตามมาด้วยทุกครั้ง

ครั้งนี้พ่อแม่ของพวกเราคิงคิดว่าพวกเราโตขึ้นกันมากแล้ว จะว่าไปเราก็โตกันจริงๆ ด้วยสิ เพราะแต่ละคนดูสวยสดใสสมตามวัยของเรา ความคิดของพวกเราก็มีมากขึ้น ไม่ห่ามซ่าแบบที่เคยเป็น

เราได้ที่พักแบบที่นอนรวมกันได้แปดคนในห้องเดียว เราไม่สนใจหรอกว่ามันจะสวยงามหรือเปล่า รู้เพียงอย่างเดียวว่าขอให้มีที่ซุกหัวนอนในตอนกลางคืนเพื่อตื่นไปเดินเที่ยวเล่นรอบเกาะและลงเล่นน้ำได้ง่ายๆ ก็เพียงพอแล้ว ขอแค่ให้มีห้องน้ำในตัวไม่ต้องไปใช้ร่วมกับคนอื่นๆ ก็พอใจ

ราคาห้องพักเราก็พอรับได้เราไม่ได้เอาเงินทองอะไรมากันมากนักเพราะว่ากลัวจะหาย แค่เราเอามากันคนละไม่กี่บาท รวมๆ กันก็มากโขแล้วสำหรับพวกเรา อีกอย่างก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีค่ารถกลับเพราะตั๋วรถทัวร์กลับบ้านของพวกเราจองแบบไปกลับและจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้วด้วย

ชายหาดที่ขาวสะอาดสุดลูกหูลูกตาแม้จะมีโขดหินบังตาเราไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสม็ดลดความสวยงามลง เนื้อทรายที่ขาวเนียนมือพี่พวกเรานั่งเล่นกันอยู่นี้ ทำให้นึกถึงพระอภัยมณีกับนางเงือกที่มาพรอดรักกันในเกาะแก้วพิสดาร ดังบทกลอนที่ว่า

“สมพาสเงือกเยือกเย็นเหมือนเล่นน้ำ ค่อยเฉื่อยฉ่ำชื่นชมด้วยสมหมาย
สัมผัสพิงอิงแอบเป็นแยบคาย ไม่เคลื่อนคลายคลึงเคล้าเยาวมาลย์
จนดาวเดือนเลื่อนลับพยับฟ้า จึงโลมลากลับหลังยังสถาน
แต่เช้าไปค่ำมาอยู่ช้านาน จะประมาณเจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลา ฯ”

****ที่มา : บทประพันธ์ของพระศรีสุนทรโวหาร สุนทรภู่****

นี่หละมังที่เป็นที่มาของคำว่าไปเสม็ดเสร็จทุกราย เพราะนางเงือกและพระอภัยมณีมาพรอดรักกันอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดเดือน กว่านางยักษ์จะมาพบเจอก็ทำให้นางเงือกมีลูกกับพระอภัยแล้วหนึ่งคนก็คือสุดสาคร

แม้นางเงือกจะรักพระอภัยมณีปานใดก็ต้องยอมจากพระอภัยไปและไปส่งพระอภัยถึงเรือสำเภาที่แล่นมาใกล้เกาะแก้วพิสดารแห่งนี้

เมื่อมีรักก็ต้องมีพรากจากความรักที่ไม่สมหวังของนางเงือกแม้จะได้เพียงคำปลอบใจจากพระสวามีแต่เธอก็ต้องอยู่ให้ได้เพื่อลูกในท้องที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ถึงจากไปใช่ว่าจะผาสุข เหมือนอุ้มทุกข์ไปสักเท่าภูเขาหลวง
ไม่แกล้งกล่าวน้าวโน้มประโลมลวง สุดาดวงนัยนาจงปราณี
ที่ทรงครรภ์นั้นอย่าได้ปรารภ จงนอบนบนับถือพระฤาษี
จะฝากฝังสั่งไว้ด้วยไมตรี ให้เป็นที่พึ่งพาสีกาโยม”

****ที่มา : บทประพันธ์ของพระศรีสุนทรโวหาร สุนทรภู่****

พวงทองวุ่นวายกับการวาดรูปทั้งวันโดยที่บังคับให้ชนกพรเป็นแบบให้จับไปนั่งโขดหินทางโน้นทางนี้จนชนกพรบ่น

“นี่ไอ้ปุ๊กแกนะจะมาอะไรกับฉันนักหนาวะ เดี๋ยวจะเอาท่านี้ เดี๋ยวจะเอาท่านั้น นี่ฉันเมื่อยเป็นเหมือนกันนะเว่ย”

“เออน่าไอ้นกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว อีกรูปเดียวเองไม่นานหรอก”

“นิดอะไรของแก นี่ฉันเมื่อยแล้วนะไม่เอาแล้วไปดีกว่า” ชนกพรลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่อย่างรวดเร็ว จนพวงทองเรียกไว้ไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรหรอกพวงทองได้วาดรูปคร่าวๆ ไว้แล้ว

ถึงไม่มีนางแบบเธอก็สามารถวาดได้ แต่ที่เธอยังให้ชนกพรนั่งอยู่ที่เดิมก็เพราะเธอต้องการจะจ้องมองชนกพรไปเรื่อยๆ เธอมีความสุขที่ได้เห็นชนกพรทุกวัน และมีความสุขที่ได้แอบปลื้มเพื่อนของเธอคนนี้

ความครื้นเครงของพวกเราก็มาจากจันทร์จิราที่แบกเอากีต้าร์ตัวโปรดมาร้องรำทำเพลงให้พวกเราได้ครื้นเครงกันไปทั้งวัน ชนกพรก็เป็นนักร้องประจำกลุ่มอีกเช่นเคย จันทร์จิรากับชนกพรเข้าขากันร้องเพลงทั้งเก่าและใหม่ หากต้องการเพลงสากลก็ต้องรตี หากเป็นเพลงร่วมสมัยก็ต้องชนกพร

การเดินเที่ยวบนเกาะในตอนกลางวัน ก็เที่ยวกันจนหมดทั้งเกาะได้ในเวลาเพียงแค่สองวันเราแวะหาดนั้นหาดนี้ ด้วยการเดินรอบๆ ชายหาด และอาศัยรถโดยสารประจำบนเกาะบ้างไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ท้ายเกาะบ้าง

เย็นวันหนึ่งเราก็จัดแจงให้จินตนาทำอาหารปิ้งย่างให้พวกเราโดยที่ขอให้ทางเจ้าของที่พักเตรียมอุปกรณ์ให้เราด้วย เจ้าของที่พักก็ใจดีกับเราเหลือเกิน จัดอุปกรณ์ทุกอย่างให้เราที่ด้านหน้าที่พักริมทะเล ต่างคนต่างกินต่างคนต่างป้อนกันไปมา หรืออาจมีใครสักคนแย่งปลาหมึกในจานของใครสักคนไป ก็ไม่มีใครโวยวาย

ยามเย็นก็ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเวลาของความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันบนเกาะเสม็ดทำให้เพื่อนรักที่รักกันอยู่แล้ว เพิ่มความรักกันมากยิ่งขึ้น เช้าลงเล่นน้ำทะเล กลางวันเดินชมเกาะ เย็นลงเล่นน้ำอีกรอบ พวกเราเหมือนกับจะครอบครองทะเลและชายหาดแห่งนี้ไว้เป็นของเราเอง

“เฮ้ยแกฝรั่งสองคนนั่นทำอะไรกันวะกลางทะเล” จินตนาที่เกาะห่วงยางอยู่ชี้ชวนให้พวกเราดูฝรั่งชายหญิงสองคนที่เกาะกันอยู่เป็นลูกลิงเกาะแม่และส่งเสียงอู้อ้ากันไม่ขาดระยะ

“อยากรู้ก็ว่ายไปดูดิแก” พวงทองยุส่งจินตนา

“ไม่เอาหละให้ไอ้เจ้าไปดูดีกว่า” พวงทองปัดไปให้จันทร์จิราเพราะเธอรู้ว่าจันทร์จิรานั้นสามารถ

“เออไปดูให้ก็ได้วะ” จากนั้นจันทร์จิราก็แกล้งว่ายเข้าไปใกล้ๆ ฝรั่งสองหนุ่มสาวแล้วก็ดำลงไปด้านล่างใต้น้ำ

รออยู่ไม่นานจันทร์จิราก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าที่แดงกำ

“เค้าทำอะไรกันวะไอ้เจ้า” รตีที่อยากรู้อยากเห็นก็ถามจันทร์จิราขึ้นมาบ้าง

“เออคือว่า” จันทร์จิราทำท่ากระอักกระอ่วนที่จะพูด

“คืออะไรหละแก รีบบอกมาสิ” ชนกพรเริ่มทนไม่ไหว เพราะทำอย่างไรจันทร์จิราก็ไม่ยอมตอบ

“แกไปดูเองแล้วกัน” จันทร์จิราปัดให้ชนกพรไปดูด้วยตาของตนเอง

ชนกพรไม่รอช้าดำลงไปดูกับเขาบ้างและก็ต้องกลับมาในสีหน้าท่าทางเดียวกับจันทร์จิราไม่ผิดเพี้ยน

“เค้าทำอะไรกันแก” คราวนี้ฉํนอดรนทนไม่ไหวถามอีกรอบ

“คือว่าสองคนนั้นเค้าเล่นกิจกรรมแฮปปี้กันนะแก” ชนกพรตอบพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ

“อะไรวะกิจกรรมแฮปปี้” ฉันถามด้วยความงงงวย

“ก็จิ๊จ๊ะกันไงแก”

สิ้นเสียงของชนกพรทุกคนก็หัวเราะลั่นทะเล

แหม่มจ๋าแหม่มจะเลือกสถานที่กันหน่อยก็ไม่ได้พ่อเจ้าประคุ๊ณ เล่นกันซะกลางทะเลแบบนี้ คนอื่นๆ เค้าก็อายแทนกันนะสิพ่อคุณแม่คุณเอ๊ย

............................

ค่ำคืนริมทะเลพวกเรามานั่งเล่นรับลมทะเลที่เย็นฉ่ำและคุยเรื่องสมัยเมื่อยังเด็กกันไปเรื่อยๆ รตีที่ไม่เคยเรียนกับพวกเราก็พลอยนั่งขำพฤติกรรมที่พวกเราขุดเอามาเล่าต่อๆ กัน เรียกว่าโดนเผาเรียงตัวต่อหน้าให้ได้รู้กันไปเลยว่าใครเป็นใคร

“นี่เราจะบอกอะไรให้นะ สมัยนั้นตอนอยู่ปอสี่ ไอ้เจ้ามันบ้ามากเลย ไอ้ปุ๊กมันยุให้ไอ้เจ้าไปฉี่ที่กล่องดินสอของธิ มันก็ไปทำ ธิงี้ร้องไห้ไปสามวันแปดวัน ตีเคยเห็นกล่องดินสอที่เป็นรูปหุ่นยนต์หรือปล่า ที่พอกดปุ่มไปมันก็จะมีแขนขาเด้งออกมาจากกล่องเป็นที่เก็บยางลบนะ” ชนกพรที่กำลังเผาจันทร์จิราหันไปถามรตี

“อ่อเหมือนเคยเห็น” รตีพยักหน้ารับรู้

“นั่นแหละ ปุ๊กมันขอธิดูว่ากล่องดินสอสวยแค่ไหนแต่ไอ้ธิมันหวงของไม่ยอมให้ดู ไม่รู้ว่ามันไปพูดท่าไหน ไอ้เจ้ายอมไปฉี่รดกล่องดินสอซะงั้น” ชนกพรยังเผาจันทร์จิราต่อไปไม่เลิกรา

“ก็ไอ้ปุ๊กนะสิบอกว่าวิธีที่จะได้เล่นกล่องดินสอต้องไปฉี่แสดงความเป็นเจ้าของ” จันทร์จิรารีบส่งความผิดต่อให้กับพวงทองในทันที

“เออนะแบบหมาเลยนะแก ไปฉี่แสดงกลิ่นเอาไว้ แล้วไม่โดนครูตีเหรอ” รตียังคาใจกับสิ่งที่เพื่อนของเธอทั้งสองคนลงมือปฏิบัติการอย่างอุกอาจเช่นนั้น

“จะเหลือเหรอแก โดนทั้งคนยุทั้งคนทำเลยหละงานนี้ ส่วนเจ้าของแอบไปร้องไห้กับกิ่งบอกว่าเสียดายกล่องดินสอ ไอ้เจ้าก็เอาไปล้างมาให้หวังจะมาขอคืนดี แต่ไอ้ธิมันไม่ยอมหรอกมันจะเอาของใหม่ กล่องเก่าไอ้เจ้าก็ใช้ไปจนจบปอหกโน่น เพราะมันแสดงความเป็นเจ้าของไว้แล้วนี้ใครๆ ก็ไม่กล้าไปหยิบของมันมาใช้อีกหรอกแกเอ๊ย” ชนกพรเล่าจบทุกคนก็หัวเราะพฤติกรรมห่ามๆ ของจันทร์จิราที่ดูเหมือนว่าจะยุให้ทำอะไรก็ขึ้นไปหมดทุกอย่าง

“แล้วแกทำไงวะธิ” รตีถามธิติมาที่นั่งขำเพื่อนอยู่ไม่ไกลกันนัก

“ก็ไม่ได้ทำไงร้องไห้ไปจนแม่ของไอ้เจ้าเอากล่องดินสอใหม่มาคืนแถมสวยกว่าเดิมอีก ฉันก็เลยไม่ร้องไห้อีกได้ของใหม่แล้วนี่แกจะไปเอาของเก่าๆ เหม็นฉี่ไอ้เจ้ามาใช้ต่อทำไมหละจริงไหมแก ให้ไอ้เจ้ามันใช้ของมันไป แต่จะว่าไปนะไม่เคยมีใครไปขอยืมดินสอยางลบจากไอ้เจ้ามันเลยนะแก จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครกล้ายืม เพราะกลัวมันจะฉี่แสดงความเป็นเจ้าของไว้เหมือนเมื่อตอนเป็นเด็ก” ธิติมาตอบไปตามตรง เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ที่นอนเรียงรายกันอยู่บนเก้าอี้ชายหาดได้ไม่หยุด

จนเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว ก็เลยชักชวนกันกลับไปยังห้องพักที่พวกเราทั้งแปดคนนอนรวมอยู่ในห้องเดียวกัน ไปไหนก็เฮโลกันไปเป็นหมู่ แปดเซียนสำแดงอภินิหารอันน้อยนิดที่เสม็ดกันได้เพียงแค่นั้น ในวันรุ่งขึ้นก็ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมที่จากมา

..................................

กว่าเราจะข้ามเกาะมาถึงบ้านเพก็สิบโมงกว่าไปแล้ว และเมื่อมาถึงกรุงเทพก็เร็วเกินไป เราก็เลยต้องไปเที่ยวแดนเนรมิตก่อนโดยเอากระเป๋าทั้งหมดไปฝากไว้ที่หมอชิตที่เค้ามีบริการรับฝากกระเป๋า พวกเราต้องจ่ายเงินค่าฝากกระเป๋าไว้ ซึ่งเราก็ยอมที่จะเสียเงินจ่ายในส่วนนี้เพราะจะให้แบกกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวสวนสนุกก็คงเล่นเครื่องเล่นไม่สนุกอย่างแน่นอน เราเล่นเครื่องเล่นที่แดนเนรมิตเพื่อรอเวลาที่จะขึ้นรถกลับบ้านในตอนกลางคืน

“แกไปเล่นปลาหมึกยักษ์กันเปล่า” พวงทองที่เห็นเครื่องเล่นยึกยือโยกไปมาแล้วก็อยากเล่นกับเขาบ้าง

“ไปเถอะแกฉันไม่เอาหละเวียนหัว” จินตนาปฏิเสธเสียงแข็ง

“งั้นไปบ้านผีสิงดีกว่า ท่าทางสนุก” จันทร์จิราชี้ไปอีกฝั่งของสวนสนุกที่มีบ้านผีสิงอยู่

“ไม่ไปหละกลัวผีเว่ย” ฉันร้องลั่นเพราะโรคกลัวผีของฉันนั้นเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนว่าขึ้นสมองเลยทีเดียว

“อะไรวะโน่นก็ไม่เล่นนี่ก็ไม่เล่นแล้วพวกแกจะเล่นอะไร” ธิติมาเริ่มโวยวายบ้างเพราะเท่าที่ฟังๆ มาไม่มีใครจะไปเล่นเครื่องเล่นอะไรกันเลย

“รถไฟเหาะ” ฉันตอบไปอย่างมั่นใจ

“ห๊ารถไฟเหาะนี่นะหวาดเสียวเว่ยไม่เอา” จันทร์จิราแย้งมาบ้างเพราะจันทร์จิราเป็นโรคกลัวความสูงเข้าขั้นเทพ

“น่าพวกแกใครไม่เล่นก็รออยู่ข้างล้างก็แล้วกัน” แล้วฉันก็เดินนำกลุ่มเพื่อนไปเล่นรถไฟเหาะเครื่องเล่นสุดเริดที่มีอยู่ในแดรเนรมิต

ภัทรทราภรณ์ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ กับการเล่นรถไฟเหาะในครั้งนี้ เพราะการเหวี่ยงของรถไฟที่เหวี่ยงไปมาและขึ้นลงอย่างรวดเร็วทำเอาเธอหัวใจแทบจะวายตายไปตรงนั้น ส่วนฉันนะเหรอสนุกกับการเล่นและกรี๊ดจนสุดเสียง ภัทรทราภรณ์บีบมือฉันแน่นจนฉันต้องหันไปมองหน้าเธอที่ตอนนี้หลับตาปี๊ด้วยความเสียวที่เกินจะบรรยาย

เมื่อลงมาจากรถไฟเหาะเราก็ต้องขำกับท่าทางของจันทร์จิราที่ยืนขาสั่นพั๊บๆๆ

“ไอ้เจ้าแกกลัวขนาดนี้เลยเหรอวะ” ฉันล้อเลียนจันทร์จิราเพราะท่าทางที่เห็นนั้นทำเอาเพื่อนๆ ขำกันแบบนอนสต๊อบ

“ไม่เป็นแกบ้างไม่รู้หรอกว่ามันน่ากลัวแค่ไหน” แล้วจันทร์จิราก็รีบวิ่งไปห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดในบริเวณนั้น

“ฮ่าๆๆ ราดแล้วไอ้เจ้า” พวงทองตะโกนไล่หลังจันทร์จิราไป

“ไม่เป็นฉันบ้างไม่รู้หรอกเว่ย” จันทร์จิรากะโกนกลับมาพร้อมกับการวิ่งไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“ไปแกล้งจันกันอยู่ได้พวกเธอนี่” ภัทรทราภรณ์บ่นอุบเพราะเธอเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับจันทร์จิรา

“เอ๊าไม่แกล้งไอ้เจ้าแล้วจะไปแกล้งใครหละกิ่ง แกล้งมันนะดีที่สุดแล้วสนุกที่สุด” ธิติมาที่ยืนอยู่ข้างๆ ภัทรทราภรณ์ออกมาสนับสนุน

“อ่อ จะเอาคืนที่ต้องเสียกล่องดินสอสุดโปรดไปนะเหรอธิ” รตีเอ่ยขึ้นมาลอยๆ เพราะเธอนึกถึงเรื่องที่ชนกพรเล่าให้เธอฟังที่ริมหาดได้

เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ก็ดังกลบไปทั่วบริเวณจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองว่าคนกลุ่มนี้มันขำอะไรกันนักหนาอยู่หน้าห้องน้ำ

..................................

จันทร์จิรายังไม่ละความพยายามที่จะไปเข้าบ้านผีสิง

“ไปเถอะแกฉันอยากเล่นนะๆ พวกแกนะ” จันทร์จิรายังคงเว้าวอนพวกเราอยู่นั่นเอง

“ไปก็ได้วะแปดเซียนบ่อยั่นสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว” พวงทองฉุดมือจันทร์จิราเดินนำหน้าพวกเราเข้าไป

ฉันเกาะแขนภัทรทราภรณ์แน่นกว่าที่เคย เรียกได้ว่าฉันหลับตาเดินในบ้านผีสิงก็ว่าได้ แม้ว่าในบ้านจะไม่มืดมากนักแต่ก็ทำเอาฉันหัวใจจะวายเมื่อต้องเดินผ่านสะพานที่สั่นๆ และมีเสียงหัวเราะ

หึหึ!!!

ออกมาจากลำโพงในบ้านนั้น

บรู้ว!!!!!!!

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โหง!!!

เสียงหมาหอนก็เล่นเอาฉันไม่อยากที่จะก้าวขาต่อไป กลุ่มเพื่อนๆ เดินนำหน้าฉันกับภัทรทราภรณ์ไปไกลจนลับตาไปกับเหลี่ยมห้องแล้ว

“เฮ้ยรอด้วยสิแก ฉะ ฉันกลัว” ฉันตะโกนเสียงสั่นมือไม้แข้งขาสั่นไปหมด และฉันก็กอดแขนภัทรทราภรณ์แน่นกว่าที่เคยเป็น

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีโครงกระดูกตกลงมาต่อหน้าต่อตาฉัน ก็เมื่อกี้กลุ่มเพื่อนเดินผ่านไปยังไม่มีเลยนี่นา แล้วทำไมตอนนี้มันโผล่มาจากไหนกันหละนี่

“กรี๊ด”

ฉันร้องออกไปสุดเสียงที่มีอยู่และโกยอ้าวไม่คิดชีวิตฉุดมือภัทรทราภรณ์วิ่งจ้ำอ้าวแซงกลุ่มของจันทร์จิราที่เดินนำหน้าไปแบบไม่คิดว่าจะเหลือชีวิตรอด

ฉันชนอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องรีบออกมาจากบ้านผีสิงที่เดินๆ กันอยู่นี่ก่อนที่จะหัวใจวายตายไปเพราะความกลัว

ฉันวิ่งนำหน้ามาจนออกมาข้างนอกได้สำเร็จ แม้ทางที่ผ่านมาฉันจะไม่ได้เดินตามทางที่สวนสนุกจัดไว้ให้ ข้าวของคงพังไปหลายอย่าง

ฉันยืนสั่นไม่ได้ต่างไปจากสภาพของจันทร์จิราที่ฉันแซวไปเมื่อก่อนหน้าที่จะเข้าบ้านผีสิง

ความกลัวไม่เข้าใครออกใครจริงอย่างที่มีคนเคยบอกไว้ บางคนกลัวความสูง บางคนกลัวผี บางคนกลัวความเร็ว และที่เค้าว่ากันว่ากฎแห่งกรรมมีจริง

ในตอนนี้ฉันเชื่อแบบไม่ต้องบอกว่าทำไม เพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันแกล้งเพื่อนที่กลัวความสูงและตอนนี้ฉันเองก็กลัวผีจนแทบยืนไม่ได้

ผลกรรมติดจรวด

เร็วอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมาได้เร็วถึงเพียงนี้ ภัทรทราภรณ์ยืนยิ้มมองหน้าฉันที่เหงื่อแตกพลั๊ก เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงมาเช็ดเหงื่อให้ฉันที่ตอนนี้ยืนสั่นอยู่แทบหมดเรี่ยวหมดแรง กว่ากลุ่มของจันทร์จิราจะออกมาได้ก็ใช้เวลานานโข

ฉันในตอนนี้หมดสภาพนั่นพิงพนักเก้าอี้รออยู่ที่หน้าบ้านผีสิง ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดๆ ก่อนที่จะเห็นตัวคนเสียอีก ยาดมอยู่ในมือฉันที่ได้รับอภินันทนาการมาจากภัทรทราภรณ์ถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

“เป็นไงไอ้แป๊ดให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” จันทร์จิราที่เห็นท่าทางของฉันนั่งสูดดมยาดมแล้วก็พูดแบบขำๆ กับฉัน

“เออขอโทษก็ได้วะก็คนมันกลัวนี่หว่าทำไงได้”

“นั่นแหละแล้วรู้หรือยังหละว่าที่ฉันกลัวมันเป็นแบบไหน” จันทร์จิรากระเซ้าฉัน

“รู้แล้วเพื่อนต่อไปนี้ไม่แกล้งแกอีกแล้ว ฉันสัญญา” ฉันยกมือชูนิ้วขึ้นสามนิ้วแบบเนตรนารีเพื่อเป็นการบอกกับจันทร์จิราว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่แกล้งจันทร์จิราเรื่องความสูงอีกต่อไปแล้ว

เราสองคนเกี่ยวก้อยกันสัญญาอย่างเพื่อนที่รู้ใจกันมานานแสนนาน

.................................

กว่าจะลุกมาจากที่นั่งได้ก็นานโขเพราะฉันลุกไม่ขึ้นนั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่นาน จนรตีต้องมาคว้าข้อมือฉันให้ลุกขึ้นไปเล่นเครื่องเล่นชิ้นใหม่

ไวกิ้ง

ไวกิ้งที่เป็นเครื่องเล่นขึ้นชื่อลือชาของสวนสนุกแห่งนี้ใครๆ หลายๆ คนที่ชอบความสนุกแบบไม่มีขีดจำกัดก็ต้องมาเล่นเครื่องเล่นนี้

ในตอนนี้ไม่มีการบังคับฝืนใจใครให้ไปเล่นเพราะเริ่มจะกลัวกรรมสนองกันทั้งนั้น ฉันถามเพื่อนๆ เพื่อจะได้รู้ว่าใครบ้างที่สมัครใจจะเล่นกับฉันและรตี แต่ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกเช่นเคยว่า

“มาด้วยกันไปด้วยกันแปดเซียนบ่อยั่น”

เป็นคำตอบที่ทำให้ฉันต้องอ้าปากค้าง

“เอ๊าไปก็ไปเธอเดินหน้าฉันเดินหลัง”

ฉันเลือกที่นั่งปลายสุดจะเรียกว่าหัวหรือหางของไวกิ้งก็ไม่รู้ได้ เพราะว่าปลายสุดทั้งสองข้างรูปร่างหน้าตาก็เหมือนๆ กัน

แปดคนนั่นกันคนละที่ภัทรทราภรณ์กับจันทร์จิราเลือกนั่งตรงกลาง ฉันกับรตีนั่งปลายสุดพวงทองกับจินตนานั่งฝั่งตรงข้ามแต่ก็อยู่บริเวณตรงกลางเหมือนกัน ส่วนชนกพรกับธิติมานั่งปลายสุดอีกฝั่งหนึ่ง

เมื่อเริ่มแรกก็ไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าไหร่ เพราะว่ายังไม่สูงมากนักแต่พอเริ่มเล่นไปเรื่อยๆ ความสูงเพิ่มขึ้น ต่างคนต่างกรี๊ด

เสียงที่มีอยู่เท่าไหร่ก็เปล่งออกมากรี๊ดกันสนั่นหวันไหวจนลำคอแหบแห้ง ทุกครั้งที่เหวี่ยงกลับไปมา ทำเอาตัวลอยเหมือนอยู่บนอวกาศ ฉันนึกไปถึงนักบินอวกาศที่ต้องลอยตัวอยู่ในอวกาศ สภาพคงไม่ต่างกับพวกฉันในตอนนี้

ฉันเห็นสีหน้าของเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม แทบจะมีบางสิ่งบางอย่างทะลักออกมา และมีความเป็นไปได้สูงเสียด้วยตอนนี้

และแล้วสิ่งที่คิดก็เกิดขึ้นจนได้ จันทร์จิราได้ปล่อยอะไรบางอย่างออกมาจากปากของเธอนับว่าเป็นโชคดีที่พวกฉันนั่งหางออกมาแต่ก็เป็นโชคร้ายของภัทรทราภรณ์ที่นั่งอยู่ติดกับจันทร์จิราเพราะเธอได้รับผลงานของจันทร์จิราไปเต็มๆ

กว่าจะลงมาจากไวกิ้งได้ก็ทำเอาจันทร์จิราท้องใส้ปั่นป่วน พวกเรารีบพาจันทร์จิราเข้าห้องน้ำโดยเร็วที่สุด ฉันถอดเสื้อเชิร์ตตัวนอกให้กับภัทรทราภรณ์ไว้เปลี่ยนและชนกพรก็ถอดเสื้อของเธอให้กับจันทร์จิราเปลี่ยนเช่นกัน

ในตอนนี้พวกเราไม่มีแก่ใจไปเล่นเครื่องเล่นอะไรอีกแล้ว เพราะจันทร์จิราหมดสภาพหรือเรียกได้ว่าไม่เหลือเค้าของเจ้าผู้สูงศักดิ์อยู่เลยสักนิด

เราล้างเนื้อล้างตัวให้กับจันทร์จิราและอาศัยห้องน้ำของสวนสนุกทำความสะอาดร่างกายของพวกเราไปด้วยก่อนที่จะออกจากสวนสนุก และแวะไปห้างที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสนุกนี้ตรงหัวมุมถนน เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนกลับไปขึ้นรถที่หมอชิต

และเราก็ได้เสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับภัทรทราภรณ์และจันทร์จิรา แม้จะมีกลิ่นใหม่อยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าใส่เสื้อผ้าเหม็นผลงานของจันทร์จิราตัวนั้น

“ไงหละไอ้เจ้า เที่ยวทิ้งทวนของแกสนุกหรือเปล่า” จินตนาที่เดินคู่กับจันทร์จิราถามขึ้น

“สนุกสิทิ้งหมดทุกอย่างเหลือชีวิตก็บุญแล้ว” จันทร์จิราตอบเสียงอ่อย

“สนุกไงของแกวะเที่ยวจนเหลือแค่ชิวิต” ธิติมาที่ไม่เข้าใจคำตอบของจันทร์จิราถามสวนขึ้นมาในทันที

“ก็สนุกที่ได้ฝากของรักให้เพื่อนไงฮ่าๆ” แล้วจันทร์จิราจากที่เมื่อสักครู่ทำท่าจะเป็นจะตายก็วิ่งหนีนำพวกเราไปข้างหน้าเหมือนว่าไม่เคยป่วยมาก่อนเลย

“ให้ตายสิไอ้เจ้าซกมก”

นั่นเป็นคำสบถสุดท้ายของพวกเราก่อนที่จะวิ่งตามไปรุมสกรัมจันทร์จิราที่วิ่งหนีไปแล้วอย่างไม่คิดชีวิต

...... จบบทที่ ๔ ......



Create Date : 09 พฤษภาคม 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:15:05 น. 2 comments
Counter : 263 Pageviews.

 
ครองตำแหน่งเม้นท์คนแรกสองครั้งซ้อน เหอๆ
มะมาอ่านต่อๆ


โดย: Dinsor IP: 119.42.69.145 วันที่: 9 พฤษภาคม 2551 เวลา:14:24:21 น.  

 
เค้าเรียก ดับเบิ้ลแชมป์เลยนะคะ คุณดินสอ 555


โดย: ทาย IP: 58.137.154.195 วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:03:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.