It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๗

บทที่ ๑๗

ตกกลางคืนด้วยความที่เข็ดแล้วกับการดื่มเหล้าจนจะทำให้เพื่อนอีกคนเกือบเอาชีวิตมาสังเวยให้กับทะเล ทุกคนจึงตัดสินใจว่านั่งร้องเพลงบรรเลงกวีกันก็พอแล้ว

พวงทองขอนั่งวาดรูปเพื่อนๆ ทั้งกลุ่มที่กำลังตั้งวงร้องเพลง เธอว่าไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานแล้ว ทั้งๆ ที่พวกเราทุกคนก็อยู่บ้านเดียวกัน เวลาแห่งอิสรเสรีช่างมีน้อยเหลือเกิน

รตีเป็นคนเปิดฉากแต่งกลอนเปล่าแบบหมุนดินสอหากปลายดินสอไปหลุดที่ใครคนนั้นก็ต้องแต่งออกมาหนึ่งประโยค

“เอาฉันขึ้นให้ก่อนนะพวกแก แล้วก็ตามๆ กันมาแล้วกัน เอาอะไรดีหว่า อะ นี่แล้วกัน”

“เพื่อนเอยเพื่อนรักเพื่อนเอยเพื่อนยาก” รตีขึ้นต้นให้จากนั้นก็หมุนดินสอทันทีดินสอนั้นชี้มาที่ธิติมา

“ไอ้ธิต่อ”

“ต่อไงว่ามาลงที่เพื่อนยาก มันก็ยากจริงๆ แหละ” ธิติมาบ่น แต่ก็พยายามนึก “เพื่อนลำบากเราจะอยู่เคียงชิดใกล้ หุหุ แบบนี้ได้เปล่าวะ” จากนั้นก็หมุนดินสอไปตกที่จันทร์จิรา

“ไอ้เจ้าต่อเว่ยฉันรอดแล้ว ยิปปี้”

“เอาไงดีหว่าใกล้ๆ ไกลๆ อะนี่เลย เพื่อนมีทุกข์เราจะไม่เหินห่างไป เสร็จๆๆ โยนต่อ” จากนั้นปลายดินสอไปหยุดอยู่หน้าชนกพร

“เอาไงดีหว่านี้แล้วกัน เพื่อนสบายเราจะดูเพียงผ่านตา” จินตนาเป็นรายต่อไป

“เพื่อนให้เพื่อนมีกินไม่เดือดร้อน เป็นไงเจ๋งไหมเพื่อน อิอิ”

“ไอ้จินแกนี่นะไม่พ้นเรื่องกินเล๊ยให้ตายสิ” รตีบ่นจินตนา รายต่อไปคือ ชนกพร

“ช่วยฉันด้วยไอ้ตี” ชนกพรออดอ้อนรตี

“ช่วยตัวเองเว่ยฉันช่วยอะไรแกมิได้หรอกเพื่อนรัก”

“เออจำไว้ เรื่องแค่นี้ช่วยไม่ได้ เอานี่ก็ได้วะประชดซะเลย เพื่อนให้ความอาทรไม่หายหน้า แต่ฉันไม่มีเพื่อนอาทรตัดช่องน้อยแต่พอตัวกันหมด” ชนพรประชดประชัน

“เหลือสองคนไม่ต้องหมุนแล้วใครจะเล่นก่อนกิ่งหรือแป๊ด” รตีเริ่มขี้เกียจหมุนดินสอเพราะเหลือเพียงอรุณวิลัยและภัทรทราภรณ์เท่านั้น

“เราเล่นเอง เพื่อนให้เพื่อนเท่านี้ที่เคยมา” ภัทรทราภรณ์ต่อทันที

“เพื่อนจงรู้ไว้ว่ารักเพื่อนเอย” ฉันส่งสายตาหวานเยิ้มให้กับภัทรทราภรณ์

“โหไอ้แป๊ดไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแกรักกิ่งไอ้นี้มีช่องไม่ได้เลยนะแก ชงเองกินเองเสียบทันทีเสร็จมันเลยงานนี้” จันทร์จิราโวยเล่นๆ ซะงั้น

“นี่แก ฉันไม่ใช่ พวกวันจันทร์ปีจอเดือนเจ็ดจะได้เสร็จง่ายๆ ของแบบนี้ต้องมีฟอร์มหน่อยเว่ย” ฉันโวยกลับบ้าง

“ทำไมต้องวันจันทร์ปีจอเดือนเจ็ดวะ ไม่เข้าใจ” จันทร์จิราถามขึ้นมาบ้าง

“ไม่รู้สิเค้าว่าขุนแผนแสนสะท้านเกิดวันจันทร์ปีจอเดือนเจ็ด ไม่แน่ใจนะ เพราะฉันก็ไม่ได้เก่งวรรณคดีไทย” ฉันบอกกับจันทร์จิรา

“ไม่ใช่หรอกแกจริงๆ แล้วคำเต็มๆ มีว่าปีจอ วันจันทร์ เดือนเจ็ด ลูกเจ้า หลานเจ๊ก ต่างหาก เพราะเป็นคำที่เค้าเรียก พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๒ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาอ่วม จริงๆ แล้ว มาจากท่านประสูติปีจอ วันจันทร์ เดือนเจ็ด ลูกพระจุล หลานพระจอม ตัวเป็นเจ้า ตาเป็นเจ๊ก พอคนเห็นคล้องจองกันก็เลยว่าเป็นคำคล้องกันดีเอามาพูดล้อๆ กัน อีกอย่างลงอะไรด้วยเอ็ดๆ เจ็ดๆ มันทะลึงไง”

รตีอธิบายได้ละเอียดยิบ ทำให้เราเข้าใจถึงที่มาที่ไปของคำพูดล้อเลียนนั้นอย่างละเอียดและลึกซึ้ง

“ตกลงว่าที่พวกเราเล่นกันฉันจะเอามาเขียนไว้ใต้รูปนะพวกแก” พวงทองเอากลอนเปล่าพวกเราช่วยกันแต่งเขียนติดไว้ที่ใต้รูปนั่งล้อมวงร้องเพลงของพวกเราว่า

“เพื่อนเอยเพื่อนรักเพื่อนเอยเพื่อนยาก เพื่อนลำบากเราจะอยู่เคียงชิดใกล้
เพื่อนมีทุกข์เราจะไม่เหินห่างไป เพื่อนสบายเราจะดูเพียงผ่านตา
เพื่อนให้เพื่อนมีกินไม่เดือดร้อน เพื่อนให้ความอาทรไม่หายหน้า
เพื่อนให้เพื่อนเท่านี้ที่เคยมา เพื่อนจงรู้ไว้ว่ารักเพื่อนเอย”

ดูเหมือนว่าพวงทองจะชอบรูปนี้มากๆ จนเอ่ยปากบอกเราว่าจะเอาไปใส่กรอบแล้วติดไว้ที่กลางบ้านเช่าของเราให้เด่นเป็นสง่าราศีแก่บ้านของพวกเราเอง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงภาพร่างคร่าวๆ ของพวงทองก็ตามที

...................

เช้าวันรุ่งขึ้นก็คือการเดินทางกลับของพวกเรา ตื่นแต่เช้าออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารของบังกะโลและกลับมาเก็บของเพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางจินตนาบอกให้ธิติมาแวะซื้อขนมหวานให้เธออีกรอบเพราะขนมที่ซื้อมาตอนขาไปนั้นเธอได้จัดการก่อนที่ขนมจะบูดไปหมดแล้ว

เราแวะร้านขนมหวานสารพัดแม่แล้วแต่ว่าร้านไหนจะมีที่จอดรถให้เราได้จอดได้อย่างสบายๆ จากนั้นก็มุ่งตรงไปส่งพวงทองกลับเข้าหอพัก ส่วนภัทรทราภรณ์เธอบอกว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าประณตจะมาแวะรับเธอเลยขอนั่งกลับมาที่บ้านเช่าก่อน

กลับถึงบ้านฟ้ายังไม่มืดเท่าไรนัก เราจัดการกับเสื้อผ้าและเก็บกวาดบ้าน บ้านที่ไม่มีคนอยู่แค่เพียงสามวันฝุ่นมาจากไหนก็ไม่รู้เยอะไปหมด เดินเข้าบ้านเป็นรอยเท้าเหมือนๆ พิงค์แพนเตอร์ตามรอยสืบหาขโมย

กว่าจะทำงานบ้านเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน วันนี้เราตัดสินใจว่าจะออกไปกินข้าวร้านหน้าปากซอยเพราะไม่มีใครมีแรงพอที่จะทำกับข้าว จากนั้นกลุ่มเราก็เดินไปหน้าปากซอยหาอะไรกิน ก่อนที่จะหิวตายคาบ้าน

หลังจากกินข้าวเสร็จกันตากับธิติมาก็ขอตัวแยกย้ายกลับไปหอพักของกันตา ฉันกับจันทร์จิราเดินไปส่งทั้งสองคนที่หน้าประตูรั้ว เมื่อลับสายตาของรถกันตาที่แล่นออกไปจันทร์จิราก็พูดกับฉันว่า

“ไอ้แป๊ดฉันอิจฉาแกกับไอ้ธิจังเลยว่ะ”

“มาอิจฉาฉันทำไมกันไอ้เจ้า”

“อิจฉาที่พวกแกมีคนรักไงส่วนฉันไม่มี” จันทร์จิราเดินนำฉันจากประตูรั้วไปนั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ข้างๆ ที่ฉันจอดน้องแดงไว้

“ไม่มีหรือไม่กล้าที่จะมีกันแน่ไอ้เจ้า”

“ไม่มีจริงๆ เพื่อน ถึงจะอยากมีก็มีไม่ได้”

“ของแบบนี้ปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกไอ้เจ้าต่อให้แกเอามือตีผนังจนเจ็บไปหมดมันก็ไม่ดังเหมือนเสียงปรบมือสองมือ”

“ก็จริงของแก ถึงฉันจะอยากปรบมือสองข้างพร้อมกัน แต่ใครเขาจะมาปรบกับฉันจริงไหมเพื่อน”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่แกอยากให้เค้ามาปรบด้วยจะยอมยกมือมาประกบกับมือแกหรือเปล่า”

“ฉันถึงบอกว่าฉันอิจฉาแกไงที่แกมีกิ่งยื่นมืออีกข้างมาให้แกช่วยสร้างเสียงของความรักให้ดังก้องออกมาจากใจของพวกแก แต่ฉันต้องให้กู้ร้องก้องให้ดังไปทั้งใจก็ไม่มีใครได้ยิน” จันทร์จิรายิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่ว และน้ำเสียงก็ฟังดูแล้วเศร้ามากขึ้นทุกที

“แกว่าระหว่างความรักกับความถูกต้องแกจะเลือกอะไรวะไอ้แป๊ด” จันทร์จิราหันมามองหน้าฉันเหมือนต้องการคำตอบ

“ฉันเหรอความถูกต้องต้องมาก่อนความรักสิแกถามได้”

“แล้วถ้าความถูกต้องกับความรักมันสวนทางกันและมันก็ไปด้วยกันไม่ได้ แกจะยอมเลือกความถูกต้องเพื่อให้ความรักสลายไปหรือว่าจะยังคงความรักไว้และรักษาความถูกต้องไว้พร้อมๆ กัน”

“คำถามของแกฉันตอบไม่ได้ว่ะไอ้เจ้า เพราะฉันเองก็แทบเอาตัวไม่รอดถ้ากิ่งเค้าไม่ยอมลดกำแพงแห่งความถูกต้องของเราสองคนลงมาฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย แกก็รู้นี่หว่า ฉันเข้าใจแกสามคนดีนะไอ้เจ้า คนหนึ่งก็คนที่เรารัก อีกคนก็เพื่อนรัก แกเคยถามคนกลางกันบ้างหรือเปล่าว่าเค้ารักใคร”

“ไม่เคยหรอกแป๊ด ฉันไม่อยากรู้และไม่อยากถาม ฉันว่าบางครั้งให้มันอยู่ในใจของฉันต่อไปเรื่อยๆ มันคงจะดีกว่าให้เค้ารู้แล้วต้องมีคนเจ็บไปคนใดคนหนึ่ง แกเข้าใจฉันไหมวะไอ้แป๊ด”

“ทั้งๆ ที่รักกันนี่นะ เออเข้าใจเพื่อนแต่แกลองตอบฉันมาหน่อยสิว่าทำไมแกเลือกที่จะไม่พูดไม่บอกกับคนกลาง”

“แป๊ดฉันบอกตรงๆ เลยนะแก ถ้าฉันบอกเค้าและเค้าบอกว่ารักฉันเหมือนกับที่ฉันรัก แล้วแกคิดว่าอีกคนจะเป็นไง มันยิ่งบอบบางยิ่งกว่าแก้วเกิดมันไปอัพยาอีกคราวนี้ฉุดไม่อยู่แล้วนะเพื่อน ฉันเลือกที่จะให้เค้าเดินหนีฉันไปยังจะดีกว่าให้เค้าเลือกฉัน”

ฉันพึ่งจะเคยเห็นสีหน้าและท่าทางจริงจังของจันทร์จิราเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉันพอจะเข้าใจความคิดของจันทร์จิราที่เป็นห่วงพวงทองจนไม่กล้าแม้จะบอกรักคนที่เธอรัก หากฉันเป็นจันทร์จิราฉันเองก็คงทำแบบเธอ

ชนกพรกับภัทรทราภรณ์ที่ยืนฟังอยู่ตรงหน้าต่างของบ้านบานที่ติดกับโต๊ะม้าหินที่ฉันกับจันทร์จิรานั่งอยู่ก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมกัน ชนกพรนั่งลงข้างๆ จันทร์จิราและจับมือของจันทร์จิราไว้

“จันทร์ฉันรู้นะว่าแกรักเพื่อนแค่ไหน แต่แกรู้ไหมฉันไม่เคยคิดอะไรกับไอ้ปุ๊กมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน สำหรับแกเองฉันรักแกบนความถูกต้องและเข้าใจ แกกับฉันมันเหมือนทางขนานที่ไม่สามารถที่จะมาบรรจบกันได้ แม้ว่าเราจะรักกันฉันก็ให้แกได้แค่คำว่าเพื่อนรัก” ชนกพรเริ่มมีน้ำใสๆ คลอที่ดวงตาทั้งสองข้าง

“ฉันรู้ว่าเราสองคนถึงจะดันทุรังรักกันไป แต่อีกไม่นานเท่าไหร่เราก็จะต้องตื่นจากความฝันมาอยู่กับความจริง แกจะช่วงชิงเห็นแก่ตัวเองตักตวงเอาความสุขตอนนี้แล้วเมื่อตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่ปีก็ต้องจากกันไปอยู่กับความจริงจมอยู่กับความทุกข์ไปตลอดกาล แกเองจะกล้าบอกพ่อกับแม่ไหมว่าเรารักกันแกจะไม่แต่งงาน หรือแกจะให้ฉันบอกพ่อกับแม่ว่าฉันรักแกฉันแต่งงานไม่ได้ฉันไม่ชอบผู้ชายแบบนั้นเหรอ แกทำได้เหรอจันทร์ฉันถามหน่อยเถอะ” ชนกพรพร่างพรูคำพูดจากใจของเธอออกมาไม่ขาด

“ไอ้นกฉันอยากที่จะตักตวงความรักจากแกให้มากที่สุด แต่ฉันก็ไม่ทุเรศพอที่จะเห็นแก่ตัวแบบนั้น ฉันคงไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ว่าฉันรักแก และฉันก็ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ของแกว่าฉันรักลูกของท่าน ฉันไม่กล้าพอที่จะทำให้ไอ้ปุ๊กเสียใจ ฉันไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ฉันมันคนขี้ขลาดตาขาว ฉันทำอะไรไม่ได้เลยไอ้นก” จันทร์จิราตีอกชกหัวตัวเองจนชนกพรต้องจับข้อมือของเธอไว้ทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ทำร้ายตัวเอง

จันทร์จิราซบหน้าร้องไห้กับไหล่ของชนกพร ชนกพรเองก็เช่นกันน้ำตาของเธอไหลออกมา

ใช่ว่าสองคนจะไม่รักกัน

ใช่ว่าสองคนจะไม่ห่วงใยกัน

แต่อุปสรรค์แห่งรักทั้งคู่มันมีมากเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนจะสามารถฝ่าฟันไปได้

โดยเฉพาะอุปสรรค์ที่มีชื่อว่า “ความกตัญญูรู้คุณต่อบุพการี”

…………………

รักกันแต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รัก ใกล้กันแต่ต้องทำเหมือนคนห่างเหิน จันทร์จิราและชนกพรพยายามที่จะอยู่ห่างกันตลอดเวลา แต่เหมือนยิ่งห่างก็ยิ่งทำให้คนทั้งสองโหยหากันมากขึ้น

เมื่อคนหนึ่งพยายามจะไม่สนใจอีกคนหนึ่งก็แอบมอง สายตาเมื่อสบตากันส่งผ่านความรู้สึกมากมายหลากหลายให้แก่กันและกันอยู่เสมอ

รู้ทั้งรู้ รักทั้งรัก แต่ต้องไม่แสดงออก

ชนกพรตัดสินใจประกวดร้องเพลงของค่ายน้ำดำมิวสิคอวอร์ด เพราะเธออยากจะหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน แต่คนที่ต้องมาเล่นกีต้าร์ให้กับชนกพรก็คือจันทร์จิรา ทั้งคู่ร้องและเล่นคู่กันได้อย่างลงตัว

จันทร์จิราขึ้นต้นเพลงขึ้นมาและร้องขึ้นก่อน

“เธอ กับฉัน เมื่อวันวาน เป็นเช่นเพื่อน กลับ ลางเลือน คำว่าเพื่อนจางหายไป เหตุ ได้ชิด เคียงไกล้ จึงได้รัก ฝังใจ ไม่ผิดใช่ไหม เพราะรู้ใจกันตลอดเวลา”

ชนกพรร้องในท่อนถัดมาว่า

“ก่อน เคยเศร้าซึม เงียบเหงา และขืนข่ม เธอ มาประโลม ปลอบโยน ให้สุขอุรา ไม่ เคยทิ้ง ร้างลา สุขและทุกข์ ฟันฝ่า กาลเวลา ล่วงมาแปรเปลี่ยนไป เปลี่ยน ความรัก ฉันเพื่อน กลบลบเลือน หายไป เกิดความรัก ขึ้นใหม่ ซึ้งใจ ทดแทน”
**เพลง เพื่อน - แกรนด์เอ็กซ์

ทั้งคู่มองตากัน และรับรู้ถึงความรัก ความห่วงหาและเจ็บปวดของกันและกันได้เป็นอย่างดี การซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่น โดยที่เมื่อทั้งสองคนร้องจบเพื่อนๆ ทั้งบ้านก็ปรบมือให้ นักดนตรีและนักร้องวงดูโอ เมื่อสร้างความมั่นใจให้ตนเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจไปกรอกใบสมัครประกวด นักร้องในโครงการน้ำดำมิวสิคอวอร์ด

ผลการคัดเลือกเบื้องต้นทั้งคู่ผ่านเข้ารอบ ถึงจะเข้าไปได้ในรอบลึกๆ แต่ไม่สามารถบุกบั่นเข้าไปถึงรอบเกือบจะสุดท้ายได้ พวกเราให้กำลังใจเพื่อนทั้งสองคนเสมอๆ ว่าถึงจะแพ้หรือจะชนะอย่างไรพวกเราทุกคนก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน

หลังจากงานประกวดทั้งสองคนดูจะมีความในใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราสังเกตได้จากการห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน เมื่ออีกคนไม่อยู่อีกคนก็ถามหา เมื่ออีกคนยังไม่กลับอีกคนก็นั่งตั้งตารอ แต่เมื่อเห็นหน้ากันทั้งคู่ก็กลับทำเฉยเมย

พวงทองเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น เธอไม่ต้องการให้เพื่อนรักของเธอและคนที่เธอรักต้องมาทำท่าทางหมางเมินกันอยู่อย่างนี้เรื่อยไป เธอตัดสินใจแล้วที่จะตัดขาดจากความรักของเธอที่มีให้กับชนกพร เพื่อให้คนที่เธอรักได้มีความสุขกับคนที่รักอย่างแท้จริง

พวงทองตัดสินใจพูดขึ้นระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในวันหนึ่ง

“ไอ้เจ้าไอ้นกฉันมีเรื่องที่จะพูดกับพวกแกว่ะเรื่องของพวกเราสามคน”

เมื่อพวกเราได้ยินคำพูดนั้นรตีก็บอกว่า

“งั้นฉันไปล้างจานก่อนนะ”

“ไม่ต้องไอ้ตีพวกแกอยู่ฟังตรงนี้ได้เลยเพื่อนมันไม่ได้เป็นความลับอะไร” พวงทองฉุดมือรตีที่กำลังจะลุกเดินออกไปจากโต๊ะ

“พวกแกอยู่นั่งฟังตรงนี้แหละไม่ต้องไปไหน เพราะเมื่อฉันจะพูดฉันก็อยากให้พวกแกได้รับรู้ไปด้วยไม่ต้องกลับไปคิดมาก พวกแกจะได้เป็นพยานว่าฉันได้พูดเรื่องนี้แบบเปิดใจแล้ว”

พวงทองเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง จนพวกเราทุกคนอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับกลุ่มแปดเซียน

“พวกแกไม่ต้องกังวลไปเรื่องที่ฉันจะพูดมันไม่ได้ร้ายเลวอะไรเลยเพื่อนมันเป็นเรื่องที่ดี และฉันก็คิดตรึกตรองดูแล้วกับเรื่องที่ฉันจะพูด ไม่ต้องห่วงนะพวกแกว่าฉันจะเป็นบ้าเป็นบอไปอีก”

“ไอ้นกไอ้เจ้าเราสามคนมันอึมครึมกันมานานมากแล้ว ฉันรู้ว่าพวกแกสองคนรักกัน และในทางกลับกันแกก็รู้ว่าฉันรักไอ้นกใช่ไหมไอ้เจ้า” พวงทองมองหน้าเพื่อนทั้งสอง คำตอบก็คือการพยักหน้ารับรู้ของเพื่อนทั้งสองเช่นกัน

“งั้นแกฟังไว้นะเพื่อนต่อไปนี้คือความในใจของฉัน” พวงทองยืดตัวและลุกขึ้นยืนจับมือของจันทร์จิราและชนกพรมากุมไว้ที่มือของเธอ

“เราเพื่อนกัน ฉันเป็นเพื่อนของพวกแก ฉันจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นความรักอย่างอื่น เพื่อนที่ดีต้องอยากให้เพื่อนมีความสุขจริงไหม พวกแกไม่ต้องห่วงว่าฉันจะไปทำตัวเหลวแหลกอะไรอีก แกไม่ต้องห่วงว่าเพื่อนคนนี้จะเปราะบาง แกไม่ต้องห่วงว่าเพื่อนคนนี้จะไม่ดูแลตัวเอง แกมั่นใจได้เลยเพื่อนฉันจะไม่ไปเดินในหนทางแห่งอบายภูมิอีกต่อไป ฉันรักพวกแกทุกๆ คน”

พวงทองหันมามองหน้าพวกเราทุกคนที่นั่งฟังกันตาไม่กระพริบ

“ดังนั้นเพื่อนอย่างฉันจะขอเดินจากออกมาจากรักสามเส้าครั้งนี้ ถึงแม้พวกแกจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม เพราะเราคือเพื่อนไงเพื่อน แกเคยพูดเสมอๆ ไม่ใช่เหรอเพื่อนว่าเพื่อนไม่ทิ้งกัน จะกอดคอกันไปจนวันตาย ฉะนั้นเมื่อเพื่อนเห็นเพื่อนมีความรัก เพื่อนจะไปฉุดรั้งเพื่อนไว้ทำไมกัน จริงไหม”

พวงทองบีบมือของจันทร์จิราที่อยู่ในมือข้างขวาของเธอ และบีบมือของชนกพรที่อยู่ในมือข้างซ้ายของเธอ จากนั้นเธอก็จับมือของจันทร์จิราและชนกพรมาไว้ด้วยกัน

ความรู้สึกรักและผูกพันของคนทั้งสามคนถูกส่งต่อจากจิตใจผ่านมือเรียวสามคู่ที่ประสานกันอยู่ต่อหน้าของทั้งสามคน

ในวันนั้นโลกที่อึมครึมของบ้านแปดเซียนก็สว่างกระจ่างชัดขึ้นมาอีกครั้งเพราะการตัดสินใจของพวงทอง

ความอึกทึกครึกโครมในบ้าน ชีวิตชีวาของบ้านเริ่มทะยอยกลับมามากขึ้นเรื่อยๆ

บ้านคือวิมานของเรา เพื่อนคือลมหายใจ ที่ต้องมีไปตลอดกาล

.............................

หลังจากเรื่องราวร้ายๆ ผ่านพ้นไป ก็กลับมาถึงกิจกรรมสอบปลายภาค ทุกคนเรื่องขมักเขม้นในการอ่านหนังสือของตัวเองเพื่อให้ได้คะแนนดีๆ เทอมสุดท้ายของการเป็นน้องใหม่กำลังจะผ่านพ้นไป

ไม่ว่าใครก็คร่ำเคร่งกับการสอบทั้งนั้น ต่อให้จะทำท่าว่าไม่สนไม่ใส่ใจแต่ก็ต้องนั่งอ่านหนังสือกันทุกคน

รตีมีกฎว่าห้ามเปิดเพลง ห้ามเปิดโทรทัศน์ เพราะจะเป็นการรบกวนเพื่อนๆ อีกหลายคน ถึงแม้ว่าการสอบจะไม่ต่อเนื่องสอบวันเว้นวัน หรือว่าวันเว้นสองวัน ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ได้สอบจะมีอภิสิทธิ์ในการนั่งดูหนังหรือฟังเพลงแต่อย่างใด

กฎของรตีเราต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่อย่างนั้นทุกคนจะโดนบ่นจนหูชาแทนการได้นั่งอ่านหนังสืออย่างสงบ

กฎข้อห้ามของบ้านที่รตีเขียนแปะไว้ตรงฝาผนังตัวโตมากๆ นั่นคือ

๑. ทุกคนต้องเคารพสิทธิของกันและกันไม่ก้าวก่ายหรือวุ่นวายกับคนอื่นๆ (โดยไม่ได้รับอุนญาต)

๒. หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละคนทำตามตารางที่กำหนดไว้ให้ไม่มีข้อแม้ หากผัดผ่อนก็ต้องมาทำชดใช้ ในกรณีที่ไม่สบายถือว่ายกผลประโยชน์ให้จำเลยไป

๓. ช่วงสอบหรือยามวิกาลห้ามส่งเสียงรบกวน ห้ามเปิดวิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่การใช้โทรศัพท์

๔. ก่อนออกจากบ้านทุกครั้งปิดไฟ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ปิดหน้าต่างประตูให้เรียบร้อย หากรู้ว่าใครละเลยหรือฝ่าฝืนคนนั้นจะต้องรับทำงานบ้านทั้งหมดแทนเพื่อนๆ ไปหนึ่งสัปดาห์

๕. การมีน้ำใจเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมีและพึงทำ ฉะนั้นเมื่อเห็นเพื่อนเหนื่อยหรือทำไม่ไหวกรุณาใช้หัวสมองอันปราดเปลื่องของแต่ละท่านพิจารณาว่าควรหรือไม่ควรช่วยเพื่อนทำงาน

จากผู้คุมกฎแห่งบ้านแปดเซียน รตี โซยาน่าสุดสวย

ปล.ห้ามเดินลงส้นเท้ากรุณาเดินย่องๆ เกรงใจเพื่อนที่นอนอยู่ชั้นล่างหรือเพื่อนข้างห้องบ้าง หากจะมีกิจกรรมใด โปรดใช้วิจารณญาณบ้างว่าเพื่อนๆ กำลังหลับโดยเฉพาะไอ้แป๊ด

ข้อความนี้ถูกเขียนเพิ่มด้วยตัวหนังสือโย้เย้จากจันทร์จิรา ที่พอใครๆ อ่านแล้วก็ต้องขำกันทั้งนั้นฉันจะลบทิ้งก็ทำไม่ได้เพราะจันทร์จิราไม่ยอมและก็ให้ฉันอ่านอยู่เสมอๆ บอกว่าท่องไว้เพื่อน จะได้ไม่ลืม ดูดู๊ดูเพื่อนของฉัน ช่างจดช่างจำ ทั้งๆ ที่ฉันทำพลาดไปเพียงครั้งเดียว

ทุกคนในบ้านสอบเสร็จกันหมดแล้วเหลือเพียงฉันคนเดียวที่ยังสอบไม่หมด ฉันจึงตัดสินใจไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยจะดีกว่าเพื่อนๆ จะได้นั่งๆ นอนๆ ดูทีวีคลายเครียดหลังสอบได้อย่างสบายใจ เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อเพื่อนทั้งบ้านนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป

หลังจากฉันสอบเสร็จทุกคนก็เตียมตัวร่าเริงกับการไปเที่ยว ซอยทองหล่อดูเหมือนจะเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนที่หรูที่สุดแล้ว เพราะมีวงดนตรีชายล้วนชื่อดังเป็นเจ้าของเพลงบุญคุณปูดำเป็นเจ้าของสถานบันเทิงในย่านนั้นอยู่

พวกเราที่แวะเวียนไปเที่ยวเปิดหูเปิดตารับกับสิ่งใหม่ๆ ทั้งเต้นทั้งร้องแต่ไม่มีใครสนใจน้ำเมา เพราะยังเข็ดไม่หายจากการไปเที่ยวทะเล

ชีวิตของเด็กๆ อย่างพวกเราจะมีอะไรมากไปกว่าเรียนสอบกินและเที่ยว ความสุขของชีวิตเด็กๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

เราเก้าคนตัดสินใจกลับบ้านหลังจากนั้นสองวันและก็ฝากบ้านไว้กับป้าเจ้าของบ้านอีกครั้งแต่อีกไม่นานก็ต้องกลับมาเรียนภาคฤดูร้อน แม้จะกลับไปได้เพียงสองสัปดาห์ก็ยังดีกว่าไม่ได้กลับไปนอนกอดพ่อกับแม่ ถึงจะโตแค่ไหนพ่อกับแม่ก็คือบุคคลที่เราอยู่ด้วยแล้วอบอุ่นทั้งกายและใจมิใช่หรือ

รตีจะเอารถกลับเพราะเธอบอกว่าทิ้งไว้ก็กลัวจะหาย อีกอย่างท่าน้ำมันก็ไม่ได้แพงไปกว่าการซื้อตั๋วรถทัวร์กลับบ้านเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อรวมๆ กันหลายๆ คนก็พอดีกับค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายไปอยู่ดี

กันตาเสนอที่จะขับรถของเธอกลับไปพร้อมกันด้วยเพราะเธอก็ไม่อยากอยู่กรุงเทพคนเดียวเมื่อธิติมากลับบ้านเธอจึงขอกลับไปด้วยกัน

ดังนั้นเราจึงแบ่งสัมภารกและคนเป็นสองคัน รถของรตีมีจินตนาจันทร์จิราและชนกพร ส่วนรถของกันตามีธิติมา พวงทอง ฉันและภัทรทราภรณ์ เราขับรถตามๆ กันไปเหมือนเพื่อนร่วมทาง แวะเที่ยวกลางทางที่อยุธยาชัยนาท และจากนั้นก็บึ่งตรงกลับเมืองรถม้าที่หมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้

ก่อนจะถึงตัวเมืองพวกเรานัดแนะกันว่าจะแวะที่พระธาตุลำปางหลวงก่อนเนื่องจากพวกเราอยากจะไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนเข้าบ้าน รถของพวกเราจอดอยู่หน้าวัดและจากนั้นก็เข้าไปสรงน้ำพระธาตุ และหาซื้อไม้ไปค้ำโพธิ์อายุหลายร้อยปี

จากนั้นก็เดินเข้าไปไหว้พระที่วิหารพระพุทธ และนั่งมองดูเงาของพระเจดีย์ที่สะท้อนอยู่บนพื้นวิหาร สวยงาม น่าตื่นใจ



แล้วค่อยไปไหว้พระแก้วมรกตของคู่บ้านคู่เมืองของชาวลำปาง เมื่อเห็นว่าเวลายังไม่เย็นมากนัก พวกเราก็เลยกลับมาที่ตัวองค์พระเจดีย์อีกครั้ง

ดูเหมือนว่ากันตาจะสนใจกับรอยที่ปรากฏอยู่บนรั้วที่ล้อมองค์พระเจดีย์ก็เลยถามกับธิติมาว่า

“รอยอะไรเหรอธิ”

“ไหนอ๋อรอยนี้เหรอเจ้าทิพย์ช้างท่านมาลอบสังหารท้าวมหายศตอนครั้งยกพลมาจากลำพูนจะมาตีเมืองลำปาง นี่เป็นวีรกรรมของบรรพบุรุษไอ้เจ้ามันเลยนะ” ธิติมาที่เห็นรอยกระสุนตรงที่กันตาชี้ก็เลยอธิบาย

จากนั้นข้อมูลต่างๆ ก็พร่างพรูออกมาจากปากของพวกเราให้กันตาได้รู้ถึงที่มาที่ไปของรอยกระสุนนั้น

“ดีจังนะที่มีอะไรแบบนี้ด้วย” กันตาเอ่ยชื่นชมกับการเก็บสิ่งของอันเป็นอดีตโบราณไว้ไม่ได้ทำลายทิ้ง

“ดีสิคนเราต้องมีรากเง้าของตัวเองทั้งนั้นล่ะเจี๊ยบ ไม่ว่าตัวหรือใครก็มีกัได้ทุกคน จะว่าไปไอ้เจ้านี่มันก็ดีนะสืบไปได้เจ็ดชั่วคนแต่พวกเราสิสืบไปทางไหนก็ไม่รู้” พวงทองบ่นเปรยๆ และก็เดินออกจากบริเวณเจดีย์ไป

“ไอ้เจ้าสืบได้เจ็ดชั่วคน แต่น่าเสียดายที่พอมาถึงรุ่นมัน มันเองกลับกลายเป็นพวกทำให้ตระกลูสาบสูญ” ชนพกรพูดล้อเล่นออกมาและเธอก็นึกขึ้นได้ว่าไม่สมควร

“ขอโทษนะไอ้เจ้าเราไม่ได้ตั้งใจแค่คิดจะพูดอะไรเล่นๆ แค่นั้น”

“ไม่เป็นไรไอ้นกฉันชินแล้ว และกำลังทำใจอยู่” จันทร์จิราตบบ่าของชนกพรเหมือนๆ กับจะบอกว่าอย่าคิดมากเลยอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว

“จะคิดมากไปทำไมตระกูลฉันออกจะใหญ่โตไม่มาสูญที่ฉันคนเดียวหรอกแก หรือไม่จริงวะไอ้แป๊ด” จันทร์จิราหันมาพยักพเยิดกับฉัน

“แล้วตูไปเกี่ยวอะไรด้วยวะนี่ เออจริงก็ได้วะ” ฉันตอบส่งๆ จันทร์จิราไปอย่างนั้น

“เห็นไหมไอ้แป๊ดยังเห็นด้วยเลย” จันนทร์จิราได้ทีที่ฉันสนับสนุนก็เลยอ้างฉันให้เป็นพวกของเธอด้วย

“ไม่ต้องห่วงหรอกนกเรื่องนี้อีกนานกว่าเราสองคนจะรู้ว่าควรทำอะไร ตอนนี้ปล่อยวางไปก่อนเถอะเพื่อน อย่างน้อยๆ สามปีจากนี้ฉันก็ยังเป็นอิสระในความคิดและการวางตัว ถ้าจะเกิดอะไรอีกสามปีค่อยมาว่ากัน” จันทร์จิราพูดให้กำลังใจกับชนพรและก็เหมือนกับเป็นการให้กำลังใจตัวเองไปด้วย

เราเดินตามหาพวงทองเพราะเมื่อมองๆ ไปทั่วแล้วก็ไม่เห็นพวงทอง แต่พอมาเจอตัวพวงทองก็ต้องปล่อยให้พวงทองนั่งแหงนมองซุ้มประตูไปเรื่อยๆ พวงทองนั่งวาดรูปซุ้มประตูโขงที่เป็นสัญลักษณ์ของตราประจำจังหวัดลำปางอย่างใจเย็น

เมื่อยามที่พวงทองมีกระดาษและดินสออยู่ในมือเธอเหมือนจะตัดขาดจากโลกภายนอก จิตใจจดจ่ออยู่กับภาพและแผ่นกระดาษปอนด์สีเหลืองนวลบนกระดานวาดรูป พวกเราทุกคนรู้ดีว่าเวลานี้เป็นเวลาปลีกวิเวกสำหรับพวงทอง แม่จิตกรเอกเพื่อนรักของพวกเราทุกคน

..... จบบทที่ ๑๗ ....



Create Date : 12 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:06:11 น. 0 comments
Counter : 310 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.