It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๒

ครั้ง วัน วาน บทที่ ๒๒

ฉันแวะไปส่งพวงทองเละทิ้งรถไว้ที่เธอ จากนั้นก็เดินมาที่คณะ พร้อมกับแบกเป้มาด้วยเนื่องจากต้องไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักศึกษา ฉันแอบอิจฉาพวงทองอยู่ลึกๆ ว่าเธอไม่ต้องนุ่งกระโปรงมาเรียนก็ได้ เพราะว่าวิชาที่เธอเรียนในวันนี้ต้องออกไปวาดรูปนอกสถานที่ เพียงแค่มีงานดีๆ เป็นการบ้านกลับมาส่งอาจารย์ก็ให้คะแนนไปตามผลงานที่พวงทองสร้างขึ้นมา

พวงทองบอกฉันว่าวันนี้เธอจะไปพระที่นั่งวิมานเมฆ เพื่อไปวาดรูปและจะแวะซื้อน้ำปรุงมาให้ฉันด้วยเธออาจจะแวะมาให้ฉันที่คณะก่อนที่เธอจะเรียนวิชาต่อไป ดังนั้นน้องแดงของฉันก็เลยตกอยู่ในมือของพวงทองไปโดยปริยาย

วันนี้ไปรยาเอารูปที่เธอหัดวาดลายเส้นมาให้ฉันดู เธอบรรจงคลี่ม้วนกระดาษออกมาและวางลงบนโต๊ะ แม้ว่ารูปมันจะดูโย้ไปเย้มาเส้นก็ขาดๆ เกินๆ ทับไปทับมา มีรอยลบของดินสอให้รูปนั้นดำเป็นปื้น แต่หากว่าไปรยาพยายามฝึกอีกสักหน่อยเธอก็คงวาดได้เก่ง ฉันดูรูปของไปรยาแล้วมันเหมือนกับเทปม้วนเดิมย้อนกลับมาอีกครั้ง

เมื่อสมัยเด็กๆ สักประมาณปอสี่พวงทองก็เอารูปวาดลายเส้นของเธอมาให้ฉันดู พวงทองมีความอดทนสูงแถมยังมุ่งมั่นมากๆ เธอจะหัดวาดรูปสิ่งของต่างๆ เช่นโต๊ะเรียน เก้าอี้ ดินสอ สมุด หรือแม้กระทั่งต้นไม้

แรกๆ ก็โย้ไปเย้มาแบบเดียวกับผลงานของไปรยากำลังเอามาให้ฉันดู แต่ระยะหลังๆ เมื่อครูมาช่วยติโน่นตินี่ และสอนการวางมือการวาดรูปพวงทองก็มีพัฒนาขึ้นให้พวกเราเห็นอย่างชัดเจน

พวงทองหัดวาดรูปเหมือนจากการดูรูปถ่ายและตีเส้นบนรูปเหล่านั้นเป็นตาราง จากนั้นเธอก็เริ่มขยายรูปเหล่านั้นลงในกระดาษที่ใหญ่กว่า เมื่อครั้งแรกที่เราได้เห็นรูปนักเรียนใบจิ๋วขนาดหนึ่งนิ้วของชนกพรที่จินตนาเอาไปตีตารางจนเละไปหมด ชนกพรแทบจะกรี๊ดสลบเพราะเธอเสียดายรูปนักเรียนของเธอเอง

พวงทองจะเอามาให้พวกเราดูทุกวัน จากหนึ่งรูปเป็นสองเป็นสามและเรื่อยๆ มา จนกระทั่งรูปของชนกพรที่พวงทองวาดออกมานั้นเหมือนกับรูปของจริงอย่างกับแกะออกมา หรือคล้ายๆ กลับว่าเป็นการพิมพ์ซ้ำ แต่มันเป็นรูปที่วาดโดยดินสอ

ความพยายามของพวงทองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย จากที่เคยตีตารางมากๆ ก็เหลือเพียงแค่ตีไว้ตรงกลางภาพ และจากนั้นก็ไม่ตีตารางใดลงในรูปเหล่านั้นเลย จากดินสอแรเงาสองบี ก็กลายมาเป็นดินสอสี ลงสีให้สวยงาม และพัฒนามาเป็นรูปสีน้ำ

แรกๆ สีน้ำเหล่านั้นก็เน่าสนิท ไหลไปรวมกันจนมันเลอะเละเทะไปหมด แต่เมื่อครูมาสอนพวงทองให้ลงสี เธอก็ทำได้ดีจนเราเรียกพวงทองกันว่าแวนปุ๊ก สิ่งที่พวงทองถนัดที่สุดก็คือรูปลายเส้น เธอค่อนข้างชำนาญเพราะพัฒนาฝีมือมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์

ฉันมองรูปของไปรยาแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน ตกลงไปรยาในตอนนี้กำลังจะเป็นแวนกอล์ฟอีกคนแล้วเหรอเนี่ย ก็ดีนะฉันว่าหากให้ไปรยาไปเรียนรู้กับพวงทองเพื่อนของฉันเธอคงจะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่

“กอล์ฟ เราเห็นรูปของเธอแล้วนึกถึงไอ้ปุ๊กเมื่อสมัยยังเด็กๆ แบบนี้เลยรูปโย้วไปเย้มา กว่ามันจะวาดได้สวยๆ แบบทุกวันนี้มันฝึกมานานมากเลยนะ อดทนนะเพื่อนอีกไม่กี่ปีก็คงวาดได้ดีกว่านี้อย่าพึ่งท้อแท้ไปก่อนล่ะ เราจะได้มีเพื่อนเป็นศิลปินเพิ่มอีกคน” ฉันให้กำลังใจไปรยา

“เหรอแป๊ดพูดถึงปุ๊กหลายหนแล้วเราก็ไม่เคยเจอสักที จะได้มีโอกาสเจอกับใครๆ เค้าบ้างไหมนี่”

“ก็น่าจะได้เห็นนะเพื่อน เพราะเดี๋ยวเที่ยงๆ ไอ้ปุ๊กคงเอาน้ำปรุงมาให้ เพราะว่าวันนี้มันบอกว่าจะไปแถวนั้น”

“อ๋อเหรอ ดีจังจะได้รู้จักเพื่อนแป๊ดสักที”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น นี่กอล์ฟก็รู้จักไปตั้งสามคนแล้วรวมเราด้วยก็สี่คน แต่พวกเรามีกันแปดคนนะ”

“โหเยอะจังเลยเพื่อนสนิททั้งนั้นเลยเหรอแป๊ด” ไปรยาทำหน้าตาตื่นเต้นกับคำพูดของฉัน

“อืมใช่เราสนิทกันตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็คบกันมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ล่ะ” ฉันเริ่มเปิดใจและเล่าเรื่องราวต่างๆ ของฉันกับเพื่อนๆ ในกลุ่มมากขึ้น เพราะไปรยาก็เหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวในคณะของฉัน ณ เวลานี้

“โชคดีจังเลยนะที่มีเพื่อนสนิทมากขนาดนี้ เราสิมีแค่ต่องคนเดียวพอไม่มีต่องก็มีแป๊ดนี่ล่ะที่ยังคบเราเป็นเพื่อน” สีหน้าของไปรยาดูเศร้าหมองลงไปในทันทีที่พูดถึงแฟนเก่า

“ไม่เอาน่าคิดมากไปได้ เออว่าแต่เย็นนี้เราไม่มีสอนน้องเห็นว่ามีงานอะไรไม่รู้ที่โรงเรียนเราเลยว่าง เราไปดูกอล์ฟฝึกวาดรูปได้นะ แล้วเราจะได้ให้ไอ้ปุ๊กแนะนำกอล์ฟกับศิลปินข้างสนามหลวงของปุ๊กด้วยไง เค้าจะได้ไม่คิดตังค่าเรียนวาดรูปกอล์ฟแพงๆ” ฉันเสนอตัวเพราะอย่างไรเสียฉันก็ต้องรอพวงทองกลับบ้านพร้อมกันอยู่ดี

“ไม่นะแป๊ดเค้าไม่คิดตังเราสักบาทเดียวขนาดค่ากระดาษกับดินสอเราจะจ่ายให้เค้ายังไม่เอาเลย เค้าบอกเราว่าไว้วาดเก่งๆ จะคิดเงินคราวหลัง”

“โห ใจดีขนาดนั้นเลยศิลปินสุดเท่ห์แถมยังใจดีไม่คิดตังด้วย แต่ถ้าเค้ามาคิดคราวหลังแล้วมันแพงๆ จะทำไงล่ะไม่ติดตังแต่คิดตัวแย่เลยนะเพื่อน”

“นั่นสิเราลืมนึกไปเลยแต่ไม่เป็นไรหากคิดแพงมากๆ เราก็เอาตัวเราจ่ายแทนไปเลยดีมะอิอิ”

“ประสาทแล้วเพื่อนฉันลงทุนจ่ายค่าเรียนวาดรูปด้วยการเอาตัวเข้าแลกเลยนี่นะ บ้าไปใหญ่แล้ว เอางี้แล้วกันให้ไอ้ปุ๊กมันไปช่วยพูดเผื่อศิลปินคนนั้นจะไม่คิดเอาตัวกอล์ฟเป็นค่าเล่าเรียน”

“นี่ๆ เรื่องแบบนี้ให้ศิลปินสุดเท่ห์ของฉันเค้าคิดเองดีกว่าแป๊ดไม่ต้องยุ่งเลย” ไปรยาทำท่างอนฉันแล้วสิ หรือฉันพูดอะไรผิดไป

“เป็นงั้นไปเพื่อนเราอุตส่าห์หวังดีกลัวเพื่อนโดนฟันแล้วทิ้งกลับมาเห็นความหวังดีของเราเป็นการประสงค์ร้ายไปแล้ว” ฉันแกล้งเย้าไปรยา จนเธอหน้าแดง

“ก็ใช่นะสิแป๊ดเพื่อนจะขายออกไม่ออกก็งานนี้แหละ”

“ขนาดนั้นเชียว” ฉันทำเสียงสูงถามไปรยา

“ขนาดนั้นเลยสิก็เราไม่ใช่เด็กปีหนึ่งหน้าเด้งใสแล้วนี่ แป๊ดไม่เคยได้ยินเหรอ ปีหนึ่งเลือกได้แบบสวยรวยเท่ห์ ไม่สิหล่อรวยเริดมีรถ พอปีสองยังหาไม่ได้ก็ประเภทลดระดับลงมาหน่อยหล่อรวยก็พอ ปีสามขอหล่ออย่างเดียวก็ได้ พอปีสี่ไหนๆ ก็ไหนๆ วะใครหลงมาเอาหมด เดี๋ยวขายไม่ออก เคยได้ยินไหม” ไปรยาจ้องหน้าฉันแบบเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่เธอพูด

“ฮ่าๆๆ ขนาดนั้นเลยเหรอเพื่อน งั้นก็ต้องรีบหาตอนปีสองสินะ หล่อรวยพอควงไปวัดไปวาได้ตอนสายๆ เกิดไปถึงปีสี่กอล์ฟไปคว้าอะไรมาก็ไม่รู้เราแย่เลยมีเพื่อนเขยเป็นสังข์ทองไม่ถอดรูป ซวยระเบิดระเบ้อฮ่าๆๆ” ฉันหัวเราะเสียงดังลั่น

แต่ไปรยาไม่ขำด้วยหรอกเพราะเธองอนฉันเดินตุปั๊ดตุป่องไปเข้าห้องเรียนแล้ว

....................

พอเลิกเรียนเสร็จแล้วไปรยามีนัดกับน้องรหัสของเธอเพื่อที่จะเลี้ยงข้าวเหมือนทุกวัน ไม่รู้ว่ารุ่นน้องของเธอทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้มีลาภปากมากมายขนาดนี้ หรือว่าชาติปางไหนคงเลี้ยงพระทั้งวัดมากระมังจึงมีพี่รหัสที่ดีแบบไปรยา

เพราะไปรยาทั้งดูแลเรื่องเรียนเรื่องกินของน้องไม่ขาดตกบกพร่อง จนบางครั้งฉันยังนึกหมั่นไส้ไปรยาที่โอ๋น้องรหัสจนออกนอกหน้า

ฉันขอปลีกตัวออกมาเพราะว่าฉันมีนัดกับจันทร์จิราเอาไว้ เราสองคนก็เลยแยกกันไปทำธุระของตัวเอง ฉันรอพวงทองอยู่ที่คณะ และเธอก็นำเอาขวดน้ำปรุงขวดใหญ่กว่าที่เธอเคยซื้อมา เอามาให้ฉันสองขวด

“นี่แกน้ำปรุงซื้อมาสองกลิ่นกลัวเพื่อแกจะเบื่อ คราวนี้ไม่มีขวดเล็กขายเลยเอาขวดใหญ่มาให้แทน เอาไปเลยไอ้แป๊ดฉันซื้อมาให้ไม่ต้องจ่ายตัง”

“ไม่ได้เว่ยฉันเบียดเบียนแกมากไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรถือว่าเป็นค่าเช่าน้องแดงเอาไปทำงานก็แล้วกัน เพื่อนกันขอกันกินมากกว่านี้คิดมากไปได้เพื่อน” พวงทองตบบ่าฉันเป็นการย้ำว่าไม่เป็นไรจริงๆ

“เออขอบใจนะว่าแต่แกกินอะไรมาหรือยัง แกไปท่าพระจันทร์กับฉันไหมอยากกินไอติมน้อยหน่าฉันเลี้ยงแกเองตอบแทนที่แกไปซื้อน้ำปรุงมาให้เพื่อนฉัน”

“ก็ดีเหมือนกันฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าชักหิวแล้วสิ”

ฉันกับพวงทองไปนั่งกินข้าวร้านแถวท่าพระจันทร์ระหว่างรอข้าวฉันก็นึกถึงเรื่องไปรยาขึ้นมาได้และก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพวงทองฟัง

“เพื่อนแกนี่ท่าจะเพี้ยนมากๆ เลยนะ”

“ไม่รู้สิคงเหงามั๊งแฟนก็บอกเลิกไป ก็เลยอยากมีอะไรทำ ว่าแต่แกเถอะเคยเห็นใครมีอะไรแปลกๆ แถวนั้นไหม พวกศิลปินเซอๆ อะไรทำนองนี้”

“ไม่มีนะที่เห็นๆ ก็มีพวกฉันแล้วก็พวกรุ่นพี่ ไม่รู้สิไม่ได้สังเกตใครตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปอย่างเดียว”

“อืมงั้นไม่เป็นไรเย็นนี้เจอกันเพื่อน”

“โอเคเย็นนี้เจอกัน”

พวงทองยื่นกุญแจน้องแดงมาคืนฉันและเธอกับฉันก็แยกย้ายกันไปฉันกลับคณะส่วนพวงทองเดินไปทางถนนพระอาทิตย์เพราะเธอบอกฉันว่าเธอนัดเพื่อนไว้ที่ป้อมพระสุเมรุวาดรูปต่อที่นั่น ฉันก็เลยไม่ได้เดินตามเธอไปเพราะอย่างไรเสียเย็นนี้ก็ต้องไปใช้บริการของพวงทองอยู่ดี

...................

ไปรยาหลังจากที่แยกกับน้องๆ เธอเดินออกมาแถวๆ ริมน้ำ นั่งมองเรือข้ามฟากเล่นกลับไปกลับมา เรือข้ามฟากจะมีการจราจรที่คับคั่งก็ในช่วงเช้าและช่วงเย็น เพราะคนจะใช้บริการกันจนแน่นโป๊ะไปหมด บางทีดูแล้วก็กลัวโป๊ะจะล่มไปเหมือนกัน

ในช่วงเที่ยงแบบนี้ ถึงแม้จะมีคนใช้บริการอยู่บ้างแต่ก็ไม่หนาตาเท่าช่วงเช้า ไปรยาหรี่ตามองสายน้ำที่มีแดดตกกระทบจนแทบจะเรียกได้ว่าหยีตามอง เธอเป็นลูกคนจีนที่ค้าขายทั่วไป ดังนั้นโดยสายเลือดของเธอจึงทำให้ดวงตาของเธอไม่มีเหล่าเต๊งแบบคนไทยทั่วๆ ไป จะเรียกได้ว่าเธอมีเชื้อสายจีนเต็มร้อยอยู่ในตัวก็ว่าได้

ถึงแม้วาพ่อกับแม่จะเกิดในเมืองไทยแต่บรรพบุรุษของเธอก็เดินทางเสื่อผืนหมอนใบหนีภัยแล้งมาจากเมืองจีนเช่นกัน เมื่อมาตั้งรกรากที่เมืองไทยก็ขยันขันแข็งทำมาหากินเพื่อสร้างฐานะ หนักเอาเบาสู้ไม่เกี่ยงว่างานนั้นจะหนักหนาสาหัสสักแค่ไหน

เธอยอมรับว่าบรรพบุรุษของเธอทุกคนล้วนแล้วแต่ต่อสู้มาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายเพื่อสร้างฐานะที่มั่นคงเป็นปึกแผ่นให้คนรุ่นหลังอย่างเธอได้มีอยู่มีกินพอมีพอใช้ไม่ลำบากมากมายนัก

แต่สิ่งที่ไปรยานึกน้อยใจในชะตาชีวิตของเธอก็คือเรื่องความรัก รักครั้งแรกของเธอดูเหมือนจะราบรื่นแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ มองเห็น ครอบครัวคนจีนมักจะเห็นลูกชายคนโตเป็นดังแก้วตาดวงใจ ลูกสาวคนกลางแบบเธอจึงเป็นเพียงดอกไม้ประดับบ้าน

หรือไม่แน่ อาจจะเป็นแบบสุภาษิตที่ว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” ก็เป็นไปได้

เธอเคยคิดเหมือนกันว่าทำไมคนถึงได้เปรียบเทียบลูกสาวเป็น “ส้วม” ทั้งๆ ที่ลูกผู้หญิงก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากลูกผู้ชาย ยังคงเป็นลูกเฉกเช่นเดียวกัน

แต่เมื่อมาคิดๆ ดูอีกที “ส้วม” ก็คือที่สำหรับรับแขกไปใครมาอยู่เหมือนกัน หากว่าบ้านไหนที่ห้องอื่นๆ สะอาดหมดจดตกแต่งอย่างสวยสดงดงาม แต่ห้องส้วมสกปรก คนก็แทบจะไม่อยากที่จะนั่งหรือใช้บริการ

มันก็คงเหมือนๆ กับเวลาที่ปวดท้องแทบเป็นแทบตายเวลาเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ แต่เมื่อเข้าไปห้องน้ำในปั๊มน้ำมันแล้วห้องน้ำนั้นสกปรก

คนที่เข้าไปก็แทบจะวิ่งออกมาและไปหาห้องน้ำที่อื่นเข้าแทนจะดีกว่า

เธอเคยคิดอีกว่าหากลูกสาวบ้านไหนทำตัวดี ก็คงเหมือนห้องน้ำที่สะอาดปราศจากกลิ่นรบกวน น่าเข้าไปนั่งอ่านหนังสือเมื่อยามปลดทุกข์นานๆ

แต่หากบ้านไหนห้องน้ำเป็นเหมือนแหล่งสะสมเชื้อโรค ก็ไม่มีใครอยากจะเข้าไปปล่อยอารมณ์ในนั้นนานๆ หรอกเพราะคนเหล่านั้นก็กลัวที่จะติดเชื้อโรคจากห้องน้ำหรือห้องส้วมนั้นเหมือนกัน

ไปรยาเองก็มีพี่ชายหนึ่งคนและน้องชายอีกหนึ่งคน สองคนนั้นในบ้านดูจะเป็นใหญ่มากว่าใคร มีอภิสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจตัวปรารถนา เธอเคยรู้มาเหมือนกันว่าครอบครัวคนจีนอื่นๆ ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับเธอ เพียงแต่ใครจะทนได้มากหรือน้อยกว่ากันก็แค่นั้น

แม่ของเธอรับรู้เรื่องราวของเธอกับแฟนเก่าเพราะเธอไม่เคยคิดจะปิดแม่ผู้เป็นที่รักของเธอแต่อย่างใด เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดจากปากของเธอเพื่อให้แม่ได้รับฟัง แต่จะมีแม่คนไหนบ้างที่ยอมรับได้ว่าลูกของตัวเองผิดเพศ เธอเองก็รับรู้และพยายามที่จะทำให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ประคับประคองทั้งครอบครัวและคนรักของตนให้ไปในทางเดียวกัน

แต่สุดท้ายคนรักของเธอเลือกที่จะบอกลา เธอเองก็เข้าใจดีว่าเพราะอะไร

เธอไม่ตีโพยตีพาย ไม่ตีอกชกหัวให้เจ็บตัวแบบที่คนอกหักทั่วไปทำกัน

เพราะอะไรน่ะเหรอก็เพราะเธอคิดว่าเรื่องของความรักมันไม่ได้เป็นการปรบมือข้างเดียวน่ะสิ

ในวันที่คนรักของเธอบอกลาอย่างแท้จริง น้ำตาที่คิดว่าจะไม่มีมันก็เอ่อล้นออกมาไม่มีวันหมด ราวกับว่าเขื่อนที่กักกั้นน้ำตานั้นมันได้พังทลายลงเพราะแผ่นดินไหว

ใช่สิ!!

ในตอนนั้นแผ่นดินไหวในหัวใจของเธอเอง มันทำให้ผืนแผ่นดินที่เคยเงียบสงบมานานเกือบยี่สิบปีของเธอพังทะลายยุบตัวลง เป็นแอ่งแห่งความทุกข์ที่กักกันน้ำตาและความเศร้าเอาไว้ เธอรอเพียงมีใครสักคนที่จะมาพังทะลายแอ่งความทุกข์ของเธอให้หมดสิ้นไป

รอให้ใครคนนั้นฉุดเธอออกจากปลักแห่งความทุกข์ ที่เธอพยายามหลบเร้นจากแสงแดดแห่งความจริงที่ยังคงแผดเผาเธอวันแล้ววันเล่า ในตอนนี้ถึงแม้ว่าเธอเองจะไปแอบหลงชื่นชมศิลปินสุดเทห์ที่ชื่อเติ้ล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเติ้ลจะชื่นชอบเธอแบบที่เอชื่นชอบเติ้ล

เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเติ้ลจะชอบผู้หญิงด้วยกันหรือเปล่า หรือหากว่าเติ้ลชอบผู้หญิงเติ้ลจะมาชอบเธอแบบที่เธอชอบเติ้ลหรือเปล่าก็ไม่รู้

ไม่แน่เติ้ลอาจจะมีแฟนเป็นศิลปินด้วยกันก็เป็นได้ เพราะเธอแอบสังเกตเห็นว่าเติ้ลสนิทกับเพื่อนที่มานั่งวาดรูปด้วยกัน กอดคอกันราวกับว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันก็ไม่ปาน

และแล้วสายตาของไปรยาก็เห็นเติ้ลเดินผ่านเธอไปต่อหน้าต่อตา กว่าที่ไปรยาจะบอกสมองให้สั่งการว่ารีบวิ่งตามไปสิ เธอก็เห็นเติ้ลเดินผ่านไปจนจะถึงประตูทางออกแล้ว

ไปรยารีบวิ่งตามเติ้ลไปแต่มันก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก เธอรู้สึกขัดใจกับรองเท้าส้นสูงและกระโปรงสอบของเธอที่ไม่สามารถทำให้เธอวิ่งตามเติ้ลได้ทัน ครั้นจะตะโกนเรียกก็กลัวจะเป็นการรบกวนคนอื่นๆ ที่นั่งอ่านหนังสือกันอยู่แถวนั้น

เติ้ลได้เปรียบเธอตรงที่ใส่กางเกงยีนส์ขายาว รองเท้าผ้าใบ ก็เลยสาวเท้าแต่ละครั้งได้ไกลกว่าเธอแม้ว่าเติ้ลจะไม่ได้วิ่งแบบเธอ ก็เหมือนวิ่ง เพราะการก้าวเท้าของเธอสองครั้งเท้ากับระยะทางที่เติ้ลเดินเพียงก้าวเดียว

ไปรยาถอนหายใจหนักๆ อีกรอบ และเดินคอตกเป็นนกหงอยกลับไปที่คณะ เธอยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า

“ไม่เป็นไรเย็นนี้ก็ได้เจอกันแล้วคุณศิลปินสุดเท่ห์ของฉัน”

............................

“กอล์ฟทางนี้” ฉันตะโกนเรียกไปรยาเมื่อเธอเข้ามาในห้องเรียน เพราะฉันได้จองที่ให้เธอเรียบร้อยแล้ว

ไปรยาเดินตรงมาที่ฉันยังไม่ทันได้นั่งฉันก็ยิ่งคำถามเธอไปทันที

“ไงน้องรหัสรั้งตัวไว้เหรอถึงได้มาช้า ดีนะจานยังไม่มาไม่งั้นโดนแน่ๆ เลย”

“เปล่าพอดีเห็นศิลปินสุดเท่ห์ก็เลยวิ่งตาม”

“อ้าวไปวิ่งตามทำไมกัน”

“ก็เห็นเค้าเดินผ่านมาไงเลยวิ่งตามแต่ไม่ทัน อดเลยกะจะคุยขอกำลังใจเรียนสักหน่อยเหี่ยวเลยฉัน” ไปรยาถอนหายใจอีกครั้ง แถมยังนั่งท้าวคางแบบซังกะตายสุดฤทธิ์

“เป็นเอามากนะเพื่อนเรา เออจริงสิกอล์ฟเกือบลืมไปเลยไอ้ปุ๊กมันเอาน้ำปรุงมาให้แล้วนะมันเอามาให้สองกลิ่นบอกว่าเดี๋ยวจะเบื่อ” ฉันล้วงไปในเป้และหยิบถุงใส่ขวดน้ำปรุงให้กับไปรยา

ไปรยารับไปและเปิดฝาออกมาดม ทำให้กลิ่นคละคลุ้งไปทั้งห้อง จนเพื่อนๆ หันมามองว่าต้นเหตุแห่งกลิ่นหอมนั้นมาจากที่ไหน เพราะเวลาบ่ายๆ แบบนี้เป็นเวลาที่น่านอนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้กลิ่นน้ำปรุ่งในมือไปรยาแล้วกลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเหมือนกัน

“เท่าไหร่แป๊ด” ไปรยาหยิบกระเป๋าตังเพื่อจะจ่ายเงินให้ฉัน

“ไอ้ปุ๊กมันมาเอามันบอกว่าขอกันกินมากกว่านี้” ฉันตอบไปตามความเป็นจริงเพราะพวงทองไม่ยอมรับเงินจากฉันจริงๆ

“ไม่ได้หรอกเราไม่ใช่เพื่อนปุ๊กจะมาขอกันกินตอนไหนล่ะแป๊ด เราเกรงใจออกที่ต้องไปซื้อมาให้แถมยังเอามาให้เราฟรีๆ อีก”

“อันนี้กอล์ฟก็ต้องไปบอกกับมันเองเถอะเพราะเราไม่รู้จะเอาเงินกอล์ฟมาทำไม ไอ้ปุ๊กไม่ได้เอาเงินจากเรา จริงๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ด้วย เออจริงสิงั้นเย็นนี้กอล์ฟก็เอาไปจ่ายไอ้ปุ๊กมันเองดิ เผื่อมันเห็นหน้าหมวยๆ แบบเธอแล้วมันจะคิดตังบ้างเพราะคิดว่ารวย” ฉันเย้าไปรยาเล่น

แต่ไปรยาเหมือนไม่รับมุขฉัน เพราะจะแกล้งอะไรก็ได้ยกเว้นเรื่องเดียวดวงตาที่แสนจะเป็นเส้นตรงของเธอ เป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้จริงๆ

......................

หลังเลิกเรียนไปรยาบอกว่าพวกเราไม่ต้องรีบออกไปเนื่องจากว่าศิลปินสุดเท่ห์ของเธอยังไม่มาง่ายๆ เพราะเธอบอกว่ากว่าจะมาก็เกือบๆ ห้าโมงเย็น เธอก็เลยชวนฉันไปนั่งทำการบ้านที่ห้องสมุดเป็นการฆ่าเวลาก่อน อีกอย่างรายงานวันนี้ก็ต้องหาหนังสือเพิ่มไปประกอบการทำรายงานเหมือนกัน

เราสองคนก็เลยคั่นเวลาด้วยการไปปล่อยเวลาที่ห้องสมุดหาความรู้ใส่ตัว กว่าเราจะทำอะไรเสร็จก็เกือบๆ ห้าโมงเย็น ไปรยาล้างหน้าล้างตาและแต้มน้ำปรุงกลิ่นที่เธอได้จากฉันไป จะว่าไปฉันว่ากลิ่นนี้ก็หอมดีเหมือนกันหอมแปลกๆ แต่ก็สบายอารมณ์

ฉันเอาไปรยาซ้อนท้ายรถไปสนามหลวง จริงๆ แล้วหากออกไปทางประตูหน้ามันก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมายนัก แต่เนื่องจากว่าฉันขี้เกียจเดินกลับมาที่คณะเพื่อมาเอารถอีก เราสองคนก็เลยตัดสินใจซ้อนท้ายกันไปที่สนามหลวง

ฉันไม่ลืมที่จะเปลี่ยนกระโปรงเป็นกางเกงขาสั้นแบบเดิมก่อนที่จะควบน้องแดงพาไปรยาไปยังที่คุ้นเคยของเธอ

ฉันเห็นพวงทองนั่งวาดรูปลูกค้าอยู่อย่างตั้งใจ พวงทองมักจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ทำงานที่เธอรัก ฉันยิ้มกับภาพที่เห็น แม้ว่าพวงทองจะดูเซอๆ แต่เธอก็มีสิ่งที่สะดุดตามากว่าใครๆ ในกลุ่ม

แล้วความคิดของฉันก็มาสะดุดลงเมื่อนึกถึงคำพูดของไปรยาขึ้นมาได้ว่า

“เค้าเท่ห์จริงๆ นะแป๊ด ดูท่าทางดีมากๆ เลยอย่างกับมีแสงสว่างกลางฝูงกาแบบนั้นเลย เรางี้หลงรักข้างเดียวแบบดารา แป๊ดต้องไปเห็นว่าเค้าเท่ห์แบบไหน ถ้าตัวได้เห็นตัวต้องชอบแบบที่เราชอบ ท่าทางเค้าเวลาวาดรูป สุดแสนจะเท่ห์”

เอ๋... หรือว่าคนที่ไปรยาเพื่อนของฉันชอบจะเป็นพวงทอง ไม่นะมันจะจุดใต้ตำตอแบบนี้เลยเหรอ แล้วไหนยังเรื่องกลิ่นน้ำปรุงอีกล่ะ ที่ไปรยาชื่นชอบนักหนาว่ามันหอม หรือว่าเรื่องที่เธอคิดจะเป็นเรื่องจริง

โอ้ว!!!

เพื่อนรักของเธอสองคนแอบชอบกันเองหรือนี่ ตายแล้วอรุณวิลัยตกข่าวได้อย่างไร ไม่สิต้องเป็นไปรยาหลงรักพวงทองฝ่ายเดียวสินะ เพราะพวงทองไม่เคยปริปากบอกหรือเล่าเรื่องของไปรยาให้เธอฟังเลยสักนิด

พวงทองคงจะยังทำใจเรื่องจันทร์จิรากับชนกพรไม่ได้ เพราะพวงทองนั้นหลงรักชนกพรมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ไม่ว่าอะไรก็เห็นชนกพรมาก่อนเพื่อนเสมอๆ ราวกับว่าหายใจเข้าก็ไอ้นก หายใจออกก็ไอ้นก พวงทองในตอนนี้ก็คงจะยังไม่พร้อมที่จะมีใครเข้ามาแทนที่ชนกพร

หรือไม่แน่พวงทองอาจจะปิดประตูหัวใจของตัวเองปิดตายไม่ยอมเปิดรับใครเข้ามาก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่พวงทองบอกกับชนกพรในวันนั้น พวงทองก็ไม่เคยทำตัวให้พวกเราต้องห่วงกังวลอะไรอีก มีเพียงจันทร์จิราเท่านั้นที่คอยบอกฉันให้ดูแลพวงทองแทนเธอกับชนกพร เพราะทั้งสองคนไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งกับพวงทองอีก เนื่องจากกลัวว่าพวงทองจะคิดเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

จะว่าไปจันทร์จิรากับชนกพรก็ไม่เคยแสดงท่าทางให้ใครๆ เห็นว่าทั้งสองคนรักกันมากแค่ไหน ไม่เคยจะทำให้พวงทองน้อยใจ ยังคงห่วงพวงทองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ฉันยังจำที่พวงทองพูดกับพวกเราได้ทุกคำว่า

“ไอ้นกไอ้เจ้าเราสามคนมันอึมครึมกันมานานมากแล้ว ฉันรู้ว่าพวกแกสองคนรักกัน และในทางกลับกันแกก็รู้ว่าฉันรักไอ้นกใช่ไหมไอ้เจ้างั้นแกฟังไว้นะเพื่อนต่อไปนี้คือความในใจของฉัน เราเพื่อนกัน ฉันเป็นเพื่อนของพวกแก ฉันจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นความรักอย่างอื่น เพื่อนที่ดีต้องอยากให้เพื่อนมีความสุขจริงไหม พวกแกไม่ต้องห่วงว่าฉันจะไปทำตัวเหลวแหลกอะไรอีก แกไม่ต้องห่วงว่าเพื่อนคนนี้จะเปราะบาง แกไม่ต้องห่วงว่าเพื่อนคนนี้จะไม่ดูแลตัวเอง แกมั่นใจได้เลยเพื่อนฉันจะไม่ไปเดินในหนทางแห่งอบายภูมิอีกต่อไป ฉันรักพวกแกทุกๆ คน”

และหลังจากวันนั้นความอึมครึมในบ้านก็หมดไปความสุขกลับมาอีกครั้ง เพราะการตัดสินใจที่แน่วแน่ของพวงทอง

ไปรยาสะกิดฉันเมื่อเราลงไปยืนข้างๆ กลุ่มศิลปินนั้น

“คนนั้นไงแป๊ดคนที่ใส่กางเกงยีนส์สีเข้มเสื้อแขนยาวสีขาวรวบผมคนนั้นไงศิลปินสุดเทห์ของฉัน” ไปรยาชี้ไปที่คนที่เธอพูด

ฉันยืนยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อเป้าหมายที่ไปรยาชี้ให้ฉันดูไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน

“ยิ้มอะไรกันแป๊ดตลกมากหรือไง ใช่เซ่ใครจะไปสวยบาดตาบาดใจแบบคุณหมอของแป๊ดเล่าเช๊อะ” ไปรยาประชดประชันฉันแถมยังทำท่างอนๆ อีกต่างหาก

“อย่างอนสิกอล์ฟ ระวังโลกแบนนะเพื่อน แค่นี้ก็มองไม่เห็นลูกกะตาแล้ว ยังมางอนอีก ใครเค้าจะไปเห็น ทำหน้าดีๆ หน่อยศิลปินสุดเทห์จะมองไม่เห็นนะเฟ้ยขอบอก”

“คอยดูเถอะมีเงินเมื่อไหร่ฉันจะสวยด้วยแพทย์บ้างคอยดูนะเยาะเย้ยกันอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน” ไปรยาสบัดก้นงอนไปหาศิลปินสุดเท่ห์ของเธอแล้วเรียบร้อย

ฉันเดินหัวเราะตามไปรยาไปติดๆ เมื่อไปถึงพวงทองก็หยิบกระดานสำหรับวาดรูปส่งให้กับไปรยา และสองคนก็ไม่ได้พูดจาอะไรกัน เพราะตอนนี้พวงทองติดลูกค้าอยู่ถึงสองคน ทั้งคู่ดูเหมือจะมีโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่ได้สนใจฉันที่ยืนอยู่ห่างๆ เลยสักนิด

ฉันกำลังคิดทบทวนในใจว่าไปรยาจะเป็นคนที่พวงทองรักได้เหรอ เพราะเนื่องจากว่าไปรยากับชนกพรนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าควมสูงจะไม่แตกต่าง แต่เรื่องโครงหน้ารูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ชนกพรดูสวยแบบไทยๆ ตาโต แต่ไปรยาเธอสวยแบบสาวจีน แล้วแบบนี้เธอจะเอาชนะใจของพวงทองเพื่อนของฉันได้หรือเปล่า

จะว่าไปความรักไม่มีรูปแบบไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ในตอนนี้ขอให้พวงทองเปิดใจรับไปรยาเท่านั้นก็คงจะพอแล้ว ฉันกับเพื่อนๆ โดยเฉพาะจันทร์จิราและชนกพรจะได้สบายใจมากขึ้นกว่าทุกวันนี้

จนเมื่อพวงทองวาดรูปให้ลูกค้าเสร็จก็หันมามองไปรยาและแนะนำการวาดการวางมือตวัดมือให้กับไปรยา พวงทองจับมือของไปรยาวาดรูปเหมือนๆ กับเวลาที่พ่อกับแม่จับมือลูกยามเมื่อหัดให้เขียนหนังสือ ฉันสังเกตได้ว่าใบหน้าของไปรยาเพื่อนฉันนั้นแดงกำ

ท่าทางของพวงทองที่ทำนั้นมันเหมือนว่าพวงทองแทบจะโอบไปรยาไว้ในอ้อมกอดของเธอ มือข้างหนึ่งวางไว้บนไหล่ซ้าย มืออีกข้างหนึ่งจับมือของไปรยาตวัดไปมา รูปที่วาดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ฉันยืนขำท่าทางของพวงทองที่สอนไปรยา และขำไปรยาไปด้วยพร้อมๆ กัน

คนหนึ่งตั้งใจสอนตั้งใจถ่ายทอด แต่อีกคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉันว่าไปรยาตอนนี้คงนั่งมือไม้สั่นอยู่ในอ้อมกอดของพวงทองไปแล้ว และแล้วฉันก็ต้องทำตัวเป็นก้างขวางคอดอกเหมยแสนสวยที่กำลังถูกนางพญาผึ้งรุกรานโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เป็นไงไอ้ปุ๊ก วันนี้ลูกค้าเยอะไหม” พวงทองหันมาตามเสียงที่ฉันเรียก

“เออสี่ห้าคนแล้วแกไอ้แป๊ด ทำไมวันนี้มาเร็ววะนึกว่าจะมาสักหกโมงนี่ฉันยังสอนเค้าไม่เสร็จเลย” พวงทองชี้ไปที่ไปรยา ที่ทำหน้าเอ๋อ ไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันกับพวงทองพูดคุยกัน

“เหรอพอดีวันนี้ฉันไม่ได้สอนน้องเห็นว่ามีงานโรงเรียนอะไรสักอย่างก็เลยมาเร็ว งั้นแกสอนไปเถอะไอ้ปุ๊กฉันเดินไปดูเค้าเล่นว่าวกันก่อนก็ได้ วันนี้ว่าวเยอะดีสวยๆ ทั้งนั้น”

“เดี๋ยวไอ้แป๊ด แล้วเพื่อนแกว่าไงชอบไหมน้ำปรุง” พวงทองตะโกนถามฉัน ที่เดินยิ้มออกมาจากการขัดขวางการสอนของเธอแต่ไม่ได้ตอบอะไร

“ชอบค่ะชอบมากๆ ด้วย ขอบคุณนะคะที่ช่วยเป็นธุระซื้อมาให้ แถมไม่คิดเงินอีกต่างหาก” ไปรยาตอบคำถามพวงทองที่ถามฉันแทน

“อ้าวคุณเองหรอกเหรอที่เป็นเพื่อนแป๊ดคนนั้น” พวงทองถามด้วยความประหลาดใจ

“ค่ะฉันเอง”

“มิน่าล่ะตอนที่สอนคุณถึงได้กลิ่นน้ำปรุง ฉันก็นึกว่ากลิ่นนี้เป็นที่นิยม ยังแอบคิดในใจว่าตัวเองก็ร่วมสมัยกับเค้าเหมือนกันนะนี่ฮ่าๆ” พวงพูดไปขำไปกับความคิดของตัวเอง

“ก็พอดีวันนั้นฉันได้กลิ่นจากแป๊ดก็เลยฝากซื้อ ต้องขอบคุณจริงๆ นะคะที่ไม่คิดเงินไว้วันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวคืนในฐานะที่คุณทั้งสอนฉันและซื้อน้ำปรุงให้ฉันโดยไม่คิดเงิน”

“ได้เลยคุณเอ่อ ว่าแต่คุณชื่อะไรนะเราคุยกันมาตั้งนานฉันไม่เคยถามถึงชื่อของคุณเลย”

“เราชื่อกอล์ฟ แล้วคุณล่ะ” ไปรยาช้อนสายตาขึ้นไปสบตากับพวงทองที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับที่เธอนั่ง และหัวใจของไปรยาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนๆ จะทะลักออกมาจากอกข้างซ้ายของเธอ จนเธอต้องยกมือที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นกุมอกด้านซ้ายนั้นก่อนที่จะทำให้เธอขายหน้าไปมากกว่านี้

“เราชื่อเติ้ล หรือจะเรียกแบบไอ้แป๊ดก็ได้ว่าปุ๊ก จะชื่อไหนก็เราคนเดิมนี่ล่ะไม่ได้เปลี่ยนไป” พวงทองอธิบายชื่อของตัวเอง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องอธิบายกับแม่สาวหน้าหมวยหลุดไปทางตะวันออกจีนคนนี้

แต่ที่แน่ๆ มิตรภาพใหม่ที่หอมหวานได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ข้างๆ ต้นมะขาม สนามหลวงของคนเมืองกรุง

..... จบบทที่ ๒๒ ....



Create Date : 22 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:03:53 น. 11 comments
Counter : 292 Pageviews.

 
ค่ำนี้แวะเข้ามาหาอะไรอ่านแก้เซ็ง ก็เจอเรื่องของคุณทำให้ดีขึ้นเยอะเลย ขอบคุณนะคะ ไม่คิดว่าจะเอามาลงเร็วขนาดนี้


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.165.105 วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:20:48:11 น.  

 
ว๊าว ว๊าว ได้อ่านแล้ว
มารอทุ๊กวันเลย
เผื่อว่าพี่รัณหณ์จะใจอ่อน 555
ความรักใต้ต้นมะขาม น่ารักดีค่ะ
แล้วหมอกิ่งก็ยังไม่มา โธ่นุ่นของช๊าน อิอิ


โดย: ไอ IP: 203.155.229.241 วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:20:55:27 น.  

 
คุณต้นรัง

วันว่างๆ ค่ะ เขีนได้เรื่อยๆ หากว่าว่างๆ


คุณไอค่ะ

หมอกิ่งมาเมื่อตอนที่แล้วอะคะ ๒๑ หาอ่านได้ย้อนหลังเด้อค้า


โดย: รันหณ์ วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:21:17:58 น.  

 
เห็นแล้วค่ะพี่รันหณ์ แหะ แหะ ตาลาย
กังหันลมทำพิษค่ะ หันไปเชียร์ตอเรสทีมโปรดดีก่า
อ้อ ร๊ากกกหมอกิ่งกะคนเขียนที่สุดค่ะ อิอิ
ว่างบ่อยๆนะคะพี่ ชอบค่ะชอบ



โดย: ไอ IP: 203.155.229.241 วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:21:46:39 น.  

 
ว๊าววว ไม่ได้เข้าบอร์ดนี้นานมากไม่รุว่ามีสมาชิกแฟนคลับเพิ่มนะเนี้ยคุณรันหณ์


ช่วงนี้ขยันจังเลยฮ่ะ หรือใช้ช้วงเวลาพักครึ่งแต่งนิยายครับ หุหุ


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:23:59:07 น.  

 
คุณข้าวขา

แซวกันนะคะนี่ ช่วงพักครึ่ง มีไว้ให้ทำใจค่ะคุณขา

ทำใจมาสองวันแล้ว แพ้ทั้งสองทีม หุหุ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเป็นเช่นไร สู้ต่อไปเถอะนะทาเคชิ


โดย: รันหณ์ วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:0:05:33 น.  

 
ดูคุณๆ จะเข้ากระแสกันจัง ชอบดูกันเหรอค่ะคน22 คนแย่งบอลลูกเดียวกันนิ ยอมรับค่ะว่าดูได้ชอบด้วย แต่ไม่ถ่างตาดูแน่ๆ ค่ะ แต่สามารถถ่างตาอ่านนิยายดึกดื่นแค่ไหนก็ยอม

อืม มีเรื่องสงสัยค่ะคุณผิงดาว คืออยากรู้ว่า เรื่องสั้นกับเรื่องยาวนี่มันต่างกันยังไงค่ะ เพราะเรื่องสั้นที่คุณเขียนนี่ อย่างเรื่องก่อนที่คุณเขียนนี่ก็ 32 ตอนใช่มะ แล้วเรื่องยาวของคุณจะกี่ตอนค่ะ อยากรู้จริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น จะได้เอาไปพิจารณาของตัวเองค่ะ

อ้อ ขอให้ทีมที่เชียร์อยู่เข้ารอบนะคะ


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.165.105 วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:0:32:22 น.  

 
คุณต้นรัง

เรื่องสั้น มันต่างกับเรื่องยาวตรงที่เรื่องยาวๆ ของฉัน คิืดว่าจะจบใน 50-60 ตอนค่ะ

แต่บางครั้งบางเรื่อง ฉันเอามาลงไว้ที่เรื่องสั้น เพราะฉันตัวเป็นขนและไม่อยากทำบล๊อคใหม่ค่ะ ก็เลยกลายเป็นเรื่องยาวในหมดเรื่องสั้นไปโดยปริยาย

ขอสารภาพว่าตอนแรกมีแต่เรื่องที่สั้นๆ จริงๆ ไม่กี่ตอนก็จบแล้ว

พักหลังๆ ฉันเขีียนได้ยาวกว่าที่เคยเขียน แต่จะให้เทียบเป็นนวนิยายคงไม่ได้(มั๊ง)

จริงๆ เรื่องสั้นในความหมายของคำว่า "เรื่องสั้น" คือเรื่องที่จบในตอนเดียว ไม่ยาวมากเกินไป ประมาณสิบหน้ากระดาษ

ส่วนเรื่องยาวก็จะเป็นเรื่องที่มีหลายๆ ตอนจบ

สรุปคือ ฉันไม่ได้ลงเรื่องสั้นในหมดเรื่องสั้น และเพราะความขี้เกียจของตัวเอง ก็เลยทำให้หมวดเรื่องสั้นกลายเป็นเรื่องยาวๆ นั่นเอง


โดย: รันหณ์ วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:1:05:49 น.  

 
ขอต่ออีกนิดค่ะ มือไวไปนิด

สาเหตุที่เอามาไว้ในหมวดเดียวกันก็เพราะกลัวการกระจัดกระจายของเรื่องที่ฉันเขียนคะ เพราะบางครั้งหากว่ามีหัวข้อเยอะเกินไป ฉันเองก็สับสนในการเอามาลง

แต่ครั้งนี้ สาเหตุที่แยกเป็นสองที่ก็เพราะเรื่องที่คิดว่าจะเขียนยาวๆ ฉันก็มาเขียนพร้อมๆ กับเรื่องที่คิดว่าจะเขียนสั้นกว่า

และด้วยฉันเกรงว่าตัวฉันเองจะสับสนในการโพส เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะคล้ายกัน

เมื่อนำมาลงในที่เดียวกัน คนอ่านเองก็คงสับสนไม่แพ้คนเขียนเช่นกัน

ฉันก็เคยคิดที่จะโยกย้ายถ่ายเทให้แต่ละเรื่องไปอยู่ในหมวดของมันเอง

แต่หากจะให้ลบทิ้งก็เสียดายคอมเม้นท์ที่พวกคุณมาลงไว้ ก็เลยไม่ได้โยกย้ายท่าเทแต่ประการใด

หากจะเขียนเรื่องต่อไป ฉันคงขยันเพิ่มหัวข้อใหม่ๆ คงจะดีกว่า คุณจะได้ไม่สับสน ดีไหมเอ่ย


โดย: รันหณ์ วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:1:15:31 น.  

 
อย่างนี้ต้องตั้งเรื่องสั้นฉบับยาวมั่งฮ่ะ


ส่วนเรื่องยาวก็แบบยาวย๊าวยาว 555


คืนนี้เราก็ต้องเชียร์กันต่อไป 555


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:12:21:56 น.  

 
แอบมาขำคุณข้าว

น่าสนใจดีนะคะ ตั้งใหม่เลย

เรื่องสั้นฉบับยาว

เรื่องยาวแบบยาวย๊าวยาว

ฮ่าๆๆๆๆๆ



โดย: รันหณ์ วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:15:09:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.