It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๖

บทที่ ๑๖

และวันแห่งการท่องเที่ยวก็มาถึง ฉันลองติดต่อไปที่บังกะโลที่ฉันเคยมารับน้องเมื่อครั้งก่อนก็ได้รับการตอบตกลงว่ามีบ้านว่างๆ อยู่หลายหลัง เราสั่งจองไปทันทีเช่นกัน เพราะเราได้บ้านพักเป็นบ้านหลังใหญ่มีสี่ห้องนอน สี่ห้องน้ำ สามารถที่จะจัดปาร์ตี้ปาร์บีคิวได้สบายๆ

ธิติมามารับพวกเราตั้งแต่ตีสี่กว่าๆ โดยบอกว่ากว่าพวกเราจะไปรับภัทรทราภรณ์กับพวงทองเสร็จก็คงเจ็ดโมงเช้า เมื่อคนที่ผ่านมาพวกฉันรีบทำงานบ้านและงานของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เพราะเราจะไปจากบ้านหลายวัน

ก่อนออกจากบ้านก็ไม่ลืมถอดปลั๊กเครื่องไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ ปิดประตูหน้าต่างลงกลอนอย่างดี และเอาน้องแดงเข้ามาเก็บไว้ในตัวบ้าน ช่วงนี้มีขโมยมาป้วนเปี้ยนแถวระแวกบ้านเช่าเราบ่อยๆ ป้าเจ้าของบ้านก็เลยมาเตือนพวกเราว่าให้ระวังกันหน่อยในระหว่างที่ไม่อยู่บ้าน

พวกเราฝากบ้านไว้กับป้าเจ้าของบ้านตั้งแต่เมื่อวาน และบอกป้าว่าเราจะไม่อยู่สามวัน ป้าก็รับปากว่าจะดูแลบ้านให้เราเพราะป้าบอกว่าถ้าบ้านเราโดนขโมยขึ้นก็คงจะแย่พวกเราคงจะไม่เช่าบ้านของป้าอยู่อีกแน่ๆ

จะว่าไปป้าเจ้าของบ้านก็ให้พวกเราเช่าบ้านด้วยราคาที่ไม่แพงนัก เจ็ดพันบาทกับบ้านทั้งหลัง ถือว่าเราพอจะจ่ายได้ เพราะเมื่อรวมค่าน้ำค่าไฟก็ตกราวๆ เกือบเก้าพันบาทกับการหารหก ถือว่าราคาสมน้ำสมเนื้อกับพวกเรา เพราะหากเราไปเช่าหอหรืออพาร์ตเมนท์อยู่ก็ตกราวๆ เดียวกัน

ถือว่ารตีคิดถูกที่ตัดสินใจมาเช่าบ้าน ที่ทำให้เราเหล่าแปดเซียนยังสามารถที่จะรวมกลุ่มกันได้ไม่กระจัดกระจายไปไหน

เราไปถึงมหาวิทยาลัยของภัทรทราภรณ์ก็เกือบๆ จะตีห้าครึ่งและไปรับพวงทองก็ราวๆ หกโมงครึ่ง แวะตลาดที่นครปฐมหาข้าวเช้ากินกัน เราแวะไปดอนหอยหลอด เพื่อที่จะไปดูลานหอยหลอดที่เมื่อหยอดปูนขาวลงไปในรูที่พื้นโคลนแล้วก็จะมีหอยหลอดตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างโผ่ลออกมาให้เห็นแต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้หอยหลอดกับมาแบบจริงๆ จังๆ เป็นการไปเดินเล่นลุยโคลนกันเสียมากกว่า

จากนั้นก็เดินทางไปหัวหินตามเส้นทางที่แผนที่ได้บอกเอาไว้ เราแวะเที่ยวเขาวังเพราะเป็นทางผ่าน ถือว่าเราคิดถูกแล้วที่กินข้าวมาก่อนไม่อย่างนั้นคงจะหิวตายเพราะเราใช้พลังงานในการเดินขึ้นบันได้หลายขั้น

ดูเหมือนว่าคนที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยก็คือธิติมากับกันตา เพราะทั้งสองคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่คนที่ดูจะเหนื่อยที่สุดก็คือรตี เพราะรตีไม่ชอบที่จะออกกำลังกาย

วันนี้รตีใส่หมวกปีกกว้างและกางเกงรัดรูปตามสมัยนิยมเป๊ะ ชุดของรตีหลุดออกมาจากแคตตาล็อต พวกเรามักจะแซวรตีเสมอๆ ว่ารตีเหมือนรตีในเรื่องปริษณาของท่านชายพจน์ เพราะบุคลิกของรตีช่างเหมือนกับรตีในนิยายจริงๆ

รักสวยรักงาม งกนิดๆ ไม่ชอบอะไรที่สมบุกสมบัน แต่รตีของเราดีกว่ารตีในนิยายก็ตรงที่ไม่ได้เป็นคนขี้อิจฉา รตีของเราเป็นเหมือนพี่ใหญ่ของแปดเซียน มีเรื่องอะไรปรึกษารตีได้เสมอ รตีพร้อมที่จะเป็นผู้รับฟังที่ดีและเป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาที่ดีกับเรามาโดยตลอด

แต่รตีขอสวยไว้ก่อน จะไปไหนมาไหนถ้าไม่สวยรตีไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นหากใครกลัวจะยกยุคต้องดูรตีไว้ เธอจะเป็นผู้นำทางด้านแฟชั่นของคนในบ้าน แถมยังเป็นเจ้าของชุดสวยๆ ให้เรายืมใส่ได้แต่ข้อแม้ของรตีคือ ห้ามทำเสื้อผ้าของเธอเสียทรงหรือเลอะเทอะก็เท่านั้น

“โอ๊ยเมื่อไหร่จะถึงนี่พวกแก” รตีบ่นอุบเพราะเธอเล่นรองเท้าส้นสูงเดินขึ้นเขา

“ไหวเปล่าไอ้ตีบอกแล้วว่าอย่าใส่ส้นสูงก็ไม่เชื่อเป็นไงล่ะเดี้ยงเลยทีนี้” จินตนาบ่นรตีแต่ก็เข้าไปดูแลอย่างดี ยื่นน้ำในมือให้กับเธอได้ดื่ม

“ไหวสิถ้าไม่ไหวก็ไม่ใช่รตีแล้ว” รตียังคงวางฟอร์มเหมือนเช่นเคย

“ไหนถอดรองเท้าสืไอ้ตี” จินตนาสั่งให้รตีถอดรองเท้าส้นสูงของเธอออก

และก็พบกับเท้าที่โดนรองเท้าส้นสูงคู่สวยกัดจนเป็นน้ำปูดขึ้นมา

“ยังจะมาฟอร์มจัดอีกนะไอ้นี่” จินตนาจับเท้านั้นพลิกไปพลิกมา จากนั้นก็เอาน้ำที่เหลือในขวดเทล้างเท้าให้กับรตี

“เฮ้ยไอ้ปลัด แกอย่าทำแบบนี้สิวะฉันเขินนะเว่ย” รตีชักเท้ากลับแต่ก็ไม่ได้รอดพ้นจากมือของจินตนาที่จับเท้านั้นไว้ได้ทัน

“อยู่นิ่งๆ สิวะเดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลยไอ้นี่จะเดินต่อไปไหวได้ไงรองเท้ากัดขนาดนี้”

“ก็มันเขินนี่หว่า”

“เขินแขนอะไรกันวะเพื่อนกันทำอย่างกับฉันไม่เคยเช็ดตัวให้แกตอนไม่สบายอย่างนั้นแหละ”

“ก็ตอนนั้นมันไม่รู้ตัวนี่หว่ามันเป็นไข้จะไปเขินแกได้ไงวะ” รตีเถียงเพราะเธอไม่รู้ตัวจริงๆ เมื่อตอนที่เธอเป็นหวัดเพราะตากฝนและมีจินตนาเป็นคนดูแลเธอในยามที่ไม่สบาย หาข้าวหายาให้เธอกินจนเธอหายดี

จินตนาล้างเท้าให้กับรตีเสร็จแล้วก็เปิดกระเป๋าสตางค์หยิบพลาสเตอร์ยาที่เก็บเอาไว้มาแปะที่แผลของรตีไว้ จากนั้นก็ถอดรองเท้าผ้าใบของตัวเองให้กับรตี

“เอ๊าใส่รองเท้าฉันไปแทน”

“แล้วแกจะใส่อะไรวะไอ้จินพื้นปูนมันร้อนจะตายไป”

“ฉันมีถุงเท้าไม่เป็นไรคู่นี้หนาพอมันไม่ร้อนมากนักหรอกแล้วขอเลยนะเพื่อนอย่าใส่มาอีกไอ้รองเท้าส้นสูงเวลามาเที่ยวแบบนี้” จินตนาบ่นไปก็ฉุดมือของรตีที่นั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นให้ลุกขึ้นเพื่อเดินต่อไป

จินตนาเดินด้วยถุงเท้าไปตลอดทางแขนข้างหนึ่งก็ให้รตีเกาะเดินส่วนอีกข้างเธอก็หิ้วรองเท้าให้กับรตี สองคนเดินเคียงข้างกันไปไหนต่อไหน

“เฮ้ยไอ้จินแกทำไมถอดรองเท้าเดินวะ” จันทร์จิราเห็นตินตนาเดินเท้าเปล่าแต่ยังมีถุงเท้าอยู่ก็เลยถามขึ้น

“เออฉันเอารองเท้าให้ไอ้ตีใส่มันโดนรองเท้ากัด” จินตนาตอบส่งๆ ไปอย่างนั้น

“เหรอ เออดีหว่ะไอ้สองคนนี้เล่นอะไรกันแปลกดี” จันทร์จิราบ่นเปรยๆ

แต่สิ่งที่จันทร์จิราบอกว่าจินตนาเล่นอะไรแปลกๆ กลับซื้อใจของรตีได้มากขึ้นเรื่อยๆ พอลงเขามาได้ จินตนาก็ตรงไปที่ร้านขายของเธอซื้อรองเท้าแตะมาสองคู่ คู่หนึ่งสำหรับตัวเองเพราะเธอลืมเอารองเท้าแตะมา ส่วนอีกคู่เป็นของรตี

“เอาไปใส่ซะ แล้วต่อไป ก็อย่าใส่มาอีกล่ะรองเท้าส้นสูงกับการมาเที่ยวทะเล” จินตนายื่นรองเท้าแตะให้กับรตีแล้วก็เดินไปหาซื้อขนมหม้อแกงเพราะของหวานเป็นของโปรดของจินตนาที่สุด

เรื่องกินไม่ยั้ง เรื่องอื่นไม่สู้ เป็นคติประจำใจของจินตนามาตั้งแต่ยังเด็ก ขึ้นรถได้จินตนาก็โซ้ยขนมหม้อแกงไปหนึ่งถาด คนเดียวไม่แบ่งใคร พอกินเสร็จจินตนาก็หลับเอาแรง

“ดูมันสิพวกแกกินเสร็จหลับไปแล้ว” ชนกพรสะกิดจันทร์จิราและพวงทองที่นั่งด้านหลังด้วยกันให้ดูจินตนาที่ถอดแบตหลับไปอย่างง่ายดาย

“ไอ้จินมันพวก นิ่งเป็นหลับขยับเป็นแด๊ก ของจริงหว่ะ” จันทร์จิราที่มองจินตนาหลับแล้วก็เกิดความคิดกลั่นแกล้งเพื่อนขึ้นมาได้

จันทร์จิราจับผมของจินตนาที่ยาวสยายมาผูกติดกับผมของรตีที่นอนศีรษะติดกัน จากนั้นทั้งหมดก็ลืมไปว่าได้แกล้งเพื่อนไว้ เพราะกว่าจะไปถึงบังกะโลที่จองไว้ก็ใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมง พวกเราลงรถกันหมดแล้วเหลือแต่จินตนาและรตีที่ยังนั่งหลับพิงกันอยู่อย่างเดิมจนธิติมาต้องปลุกให้ทั้งสองคนตื่น

“ตื่นๆ ไอ้จินไอ้ตีถึงแล้วโว๊ย”

ทั้งสองคนงัวเงียและลุกจากที่นั่งในรถ

“โอ๊ย” เสียงของรตีและจินตนาร้องขึ้นพร้อมกันเพราะผมของเธอที่ถูกผูกติดกันไว้เป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บ
“ใครวะแกล้งฉัน” รตีตะโกนออกมาจากในรถ

จินตนาพยายามแกะผมของเธอกับรตีที่ถูกผูกติดกันไว้ด้วยหนังสติ๊กรัดถุง ด้วยความยากลำบากเพราะยิ่งแกะก็ยิ่งโดนยางรัดและเหนี่ยวผมไปพันกันอยู่ในวงยางนั้น

“ใครทำสารภาพมาซะ แกแน่ๆ ไอ้เจ้าคนเล่นพิเรนทร์แบบนี้ไม่มีใครเกินหน้าแกได้หรอกเดี๋ยวเถอะหลุดไปได้เมื่อไรแกตายแน่ไอ้เจ้า” รตีคาดโทษจันทร์จิราทันทีเพราะเธอรู้ดีว่าคนที่นั่งด้านหลังเธอสามคนคืออรุณวิลัยและภัทรทราภรณ์ ไม่มีทางแกล้งเธอกับจินตนาอย่างแน่นอน ส่วนพวงทองและชนกพรยิ่งแล้วใหญ่ไม่มีทางจะแกล้งเธอได้

เมื่อรตีหลุดออกมาได้ก็วิ่งไล่จันทร์จิราไปทั่วบ้านทำเสียงโครมครามไปหมด

“พวกแกหยุดวิ่งซะทีได้ไหมฉันเวียนหัว” จินตนาผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับรตีส่งเสียงห้ามสองคนที่วิ่งไปมา

“แล้วก็ไปหาห้องนอนกันได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะออกไปตลาดกับไอ้ดุดไปหาของทะเลมาปิ้งกินคืนนี้ใครจะไปกับฉันบ้างหรือจะวิ่งไล่กันไปเรื่อยๆ ก็ตามใจนะฉันจะได้ไปจองที่นอนก่อนใคร แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนพวกแกนะเว่ย อิอิ” จากนั้นจินตนาก็หิ้วกระเป๋าของเธอเข้าห้องด้านหลังสุดไปหน้าตาเฉย ทำเอาสองคนที่วิ่งไปมาหยุดกึ๊ก และหันมามองหน้ากันก่อนที่จะคว้ากระเป๋าของตัวเองเดินตามหลังจินตนาไปแบบเงียบๆ

บ้านพักมีเพียงสี่ห้องกับคนเก้าคนดังนั้นฉันจึงจะโทรไปขอเตียงเสริมจากบังกะโลมาเพื่อให้พวกเราไม่ต้องนอนเบียดกัน แต่ด้วยความงกของรตีเธอบอกว่าไม่ต้องเธอจะเอาโซฟามาต่อทำเป็นเตียงและเธอจะนอนบนโซฟาเอง เราก็เลยยินยอมเพราะรตีบอกถึงขนาดนี้แล้วใครก็ต้องเชื่อ

ห้องพักถูกจับจองเรียบร้อยเช่นเคยฉันนอนกับภัทรทราภรณ์ กันตานอนกับธิติมา รตี ชนกพรและพวงทองนอนอีกห้องหนึ่งที่ดูขนาดแล้วจะใหญ่ที่สุด ส่วนจันทร์จิรานอนกับจินตนา เมื่อแยกย้ายจัดเสื้อผ้าออกจากกระเป๋ากันเป็นที่เรียบร้อย เราก็ออกไปตลาดอาหารทะเลแถวที่พักบริเวณทางขึ้นเขาตะเกียบ

จากนั้นก็ไปขอยืมอุปกรณ์จากบังกะโลมาทำอาหารทะเลปิ้งย่างกัน ชนกพรกับจันทร์จิราไปซื้อน้ำอัดลมขนมขบเคี้ยวและของกินเล่นอื่นๆ มาด้วย จากนั้นการเตรียมงานปาร์ตี้เล็กๆ ของคนเก้าคนก็เริ่มขึ้นแบบง่ายๆ อยู่ข้างๆ ชายหาดริมทะเลหลังบ้านพัก

จินตนาง่วนอยู่กับการทำอาหารของเธอโดยมีรตีเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง เตาอังโลใบใหญ่มีตะแกรงเหล็กวางด้านบนและมีปลาหมึก ปู กุ้ง หอย วางอยู่ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง อาหารทะเลปิ้งง่ายๆ จิ้มกับน้ำจิ้มรสเด็ดของจินตนาเป็นที่ถูกปากของเพื่อนทุกคน

“เฮ้ยไอ้นะแกขนเอาโค้กมาทำไมวะเยอะแยะ” จันทร์จิราถามขึ้นเมื่อเห็นขวดน้ำอัดลมขนาดลิตรวางอยู่หนึ่งลัง

“เอ๊าก็เอามากินสิวะถามได้”

“ก็รู้ว่าเอามากินแต่ทำไมนันถึงได้เยอะแยะมากมายแบบนี้ เอามาตั้งลังนึงจะกินกันหมดเหรอแก” จินตนาแย้ง

“ไม่หมดก็เอาไปคืนสิว๊าไอ้เจ้าของมันคืนได้ นี่ก็ มัดจำเค้ามาไม่ได้เอามาเฉยๆ นะเว่ย พอเราเอาไปคืนเค้าเค้าก็คืนเงินมัดจำไม่เห็นจะแปลก อีกอย่างเราอยู่อีกตั้งสองวันจะไม่หมดให้มันรู้ไป”

“เออเข้าใจแล้วซื้อทีเดียวได้หลายวันก็ไม่บอกนึกว่าจะให้กินวันนี้วันเดียวจนหมดลัง”

“ประสาทแล้วไอ้เจ้า ขืนกินวันเดียวหมดลังพวกฉันก็ท้องอืดตายเพราะแก๊สในท้องระเบิดสิวะมีหัวคิดบ้างไหมนี่หรือเอาหัวไว้คั่นหูแค่นั้นวะไอ้เจ้า”

“แกสองคนนี้นะกัดกันด้วยเรื่องแค่เนี๊ยะ หรือจะโชว์ให้คนอื่นเค้ารู้วะว่ารักกันปานจะกัดกันตาย” จินตนาแซวขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางเรื่องน้ำอัดลมจะยืดเยื้อไปมากกว่าที่ควรจะเป็น

สองคนที่เริ่มบทปะทะคารมก็เลยต้องเงียบนั่งรอปลาหมึกย่างจากในเตาไปเงียบๆ แต่แล้วสายตาของจันทร์จราก็ไปปะทะกับขวดน้ำสีอำพันจนต้องส่งเสียงออกมาอีกรอบ

“ใครซื้อเหล้ามาวะ”

“ฉันเองมีอะไรมะ” ชนกพรตอบแบบกวนๆ

“ซื้อมาทำอะไรวะไม่ได้เรื่อง”

“เอ๊าไอ้นี่ซื้อมาก็เอามากินสิวะถามได้” ชนกพรชักฉุนกับท่าทางยียวนของจันทร์จิรา

“อบายมุขทั้งนั้นซื้อมาทำไมกันโยม อย่างไรเสียให้อาตมาชิมสักหนึ่งองคุลีฝาโอ่งจะได้ไหมโยม” จันทร์จิราเล่นมุขที่ชนกพรไม่คาดคิด และทำให้ชนกพรยิ้มขึ้นมาทันทีที่จันทร์จิราพูดจบ

“ท่าสมภารจะฉันท์ฝาโอ่งเลยเหรอเจ้าคะ อิฉันว่าท่าฉันแค่ถ้วยชาก็คงเพียงพอแล้วคอแป๊ปแบบท่านแค่ดื่มพอเป็นกระไสยาเท่านั้นคงเพียงพอ” ชนพกรนึกสนุกต่อปากต่อคำกับจันทร์จิราต่อ

“อาตมามิได้จะนำไปเป็นกระไสยาแต่อย่างใดนะคุณโยม อาตมาจะเอามาล้างพยาธิในท้องของอาตมาเอง เนื่องจากช่วงนี้มันรบกวนอาตมาตอนยามวิกาลเสมอมา หากคุณโยมจะมีจิตนึกเมตตาอาตมาก็เพียงจะขอบิณฑบาตโปรดสัตว์ผู้ด้อยโอกาสนานๆ จะได้ยาดีสักองคุลี”

“แบบนั้นท่านคงต้องไปเหมาที่ร้านใหม่นะเจ้าคะท่านสมภารเพราะว่าของลูกช้าง เอ๊ยของดิฉันมิเพียงพอกับองคุลีฝาบาตรของท่านดอก เพราะเพียงแค่ฝาขวดของอิฉันก็มิเพียงพอแล้ว”

“เล่นตัวจริงวุ้ยไม่กงไม่กินก็ได้คนใจร้าย” จันทร์จิราเมื่อได้ปลาหมึกย่างไปแล้วก็ลุกพรึบไปนั่งกินปลาหมึกในจานคนเดียวอย่างสบายอารมณ์ ทำเอาชนกพรถึงกับนั่งขำกับจินตนาอยู่สองคน

“มันคงงอนน่ะไอ้นกเห็นมันมองๆ เหล้าของแกมานานแล้วแต่ไม่กล้าไปหยิบมากิน” จินตนาบอกกับชนกพร

“รู้น่าว่ามันชอบกินแต่มันกินแล้วชอบโวยวายเล่นกีต้าร์ทั้งคืนใครจะไปให้มันกินวะไอ้จิน”

“เอาน่าเอาไปให้มันนิดๆ หน่อยๆ ผสมแบบที่มันชอบก็แล้วกันแกเอาปลาหมึกไปให้มันเถอะฉันก็จะลามือแล้วของสดหมดแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวมันคงตั้งวงร้องเพลงของมันไปตามเรื่อง” จินตนาตัดบทเพราะเธอเองก็รู้สึกเมื่อยแล้วเช่นกัน

ชนกพรเอาอาหารย่างมาวางไว้กลางวงและทุกๆ คนก็นั่งกินอันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็จัดแจกถามเพื่อนว่า

“ใครจะกินเหล้าบ้างเดี๋ยวจัดให้”

ธิติมา จินตนา พวงทอง รตี อรุณวิลัย กันตา ยกมือกันพรึบ และชนกพรก็จัดแจงชงให้ตามสูตรของแต่ละคน แก้วแรกที่ชงผสมสไปร์และยื่นให้กับจันทร์จิรา

“เอ๊าไอ้เจ้าของแกสูตรเดิม กินๆ ไปซะแก้วนี้แก้วเดียวพอ”

“อะไรว๊าแก้วเดียวก็ได้ไม่เปลี่ยนแก้วก็ได้แต่เติมน้ำได้ใช่ปะ” จันทร์จิราต่อรอง

“ไอ้นี่ได้คืบจะเอาศอก” ชนกพรบ่นไปเรื่อยเปื่อยแต่มือก็ยังคงทำหน้าที่ของเธอไปด้วย

จันทร์จิราเมื่อเหล้าเข้าปากก็หยิบกีต้าร์ร้องเพลงให้ทุกคนฟัง ธิติมาเอากล่องใส่ผลไม้ที่หมดแล้วมานั่งเคาะจังหวะให้ รตีร้องเพลงฝรั่งด้วยเสียงที่ไพเราะ คนที่มือว่างๆ ก็นั่งปรบมือให้จังหวะไปด้วย

กว่าวงเหล้าจะเลิกราก็หมดเหล้าไปสองขวด ภัทรทราภรณ์ที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยกับกันตาที่ดื่มไปน้อยมากเพราะธิติมาแย่งดื่มจนหมดก็เป็นคนช่วยจินตนากับพวงทองที่พอจะครองสติได้บ้างเก็บข้าวของกลับเข้าบ้าน บรรดาคอเหล้าแป๊ปเดียวจอดทั้งหลายเมาอ้อแอ้กันเป็นแถว

“ไอ้พวกนี้ดื่มไม่ได้ก็ยังดันทุรังดื่มกันเข้าไปดูท่าพวกมันสิอย่างกับหมาไม่มีผิด” จินตนาบ่นไปตลอดทางที่เห็นเพื่อนๆ แทบจะคลานสี่ขากลับเข้าที่พัก

“นี่ถ้าพวกมันยกขาฉี่ได้ฉันว่ามันคงจะยกแล้วก็ฉี่ไไปแล้ว” พวงทองเสริม

“ก็ใช่นะสิดูมันสิเอ๊าไอ้เจ้าจะอ๊วกทำไมไม่บอกวะ” จินตนาร้องขึ้นมาเมื่อจันทร์จิราค่อยๆ ทะยอยเอาสิ่งที่กินเข้าไปออกมาทางเดียวกับที่เอาเข้า และก็วิ่งไปลูบหลังให้เพื่อน

“ดูท่าทางไอ้เจ้ากับไอ้นกจะเมาละเอียดแล้วงานนี้” จินตนาบ่น

“กินเหล้าอย่างกับคนอกหัก หรือพวกไม่ได้กินมาสิบชาติ” พวงทองเสริม

“แกก็รู้ว่ามันกินกันทำไม นี่ดีนะว่าเป็นวันรัฐธรรมนูญไม่อย่างนั้นเรานะผิดศีลกันเต็มๆ” ภัทรทราภรณ์บ่นออกมาบ้าง

“เอาน่าปล่อยๆ มันไปบ้างกักผีไว้แต่ในหม้อมันก็อยากออกมาอาละวาดกันบ้างล่ะกิ่ง” จินตนาบ่นไปตามเรื่องเพราะเมื่อเธอดูสภาพเพื่อนๆ แล้วเธอไม่อยากจะคิดว่าคืนนี้คงอ๊วกกันเป็นแถว

และก็จริงอย่างที่จินตนาคาดเดาเอาไว้ เพราะหลังจากพวกที่ไม่เมาอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยไม่นานนัก เหล่าคอแป๊ปก็แป๊กไปเพราะต้องอ๊วกขย่อนสิ่งแปลกปลอมออกมาจากพุง คนไม่เมาก็ผลัดกันพยุงเพื่อนที่เมาเข้าห้องน้ำ จนเกือบจะรุ่งสาง

“แบบนี้ไม่ต้องจองบ้านที่มีห้องมีเตียงครบหรอกวะกิ่งฉันว่าเอาที่มีเสื่อปูให้พวกมันคลานไปไหนต่อไหนได้ก็พอแล้วไม่เปลืองเงินดีด้วย” จินตนาบ่น

“ฉันว่าเอาพวกมันนอนในห้องน้ำเลยดีกว่าเดี๋ยวมันก็จะอ๊วกอีกเหนื่อยพยุงแล้ว” พวงทองบ่นเพราะเธอเองก็ชักจะไม่ไหวเหมือนกัน แต่ไม่นานนักเสียงของจันทร์จิราก็ดังขึ้น

“นกเรารักแกนะนกเรารักแกแกได้ยินไหม” สิ่งที่พวงทองได้ยินนั้นเธอรู้อยู่เต็มอก และรู้มาโดยตลอดอีกด้วยว่าชนพรเองก็รักจันทร์จิราเช่นกัน และเธอก็รู้อีกว่าเธอเองก็รักชนกพรไม่ได้น้อยไปกว่าจันทร์จิราเลยสักนิด แต่เพราะความเป็นเพื่อน และจันทร์จิราก็ดีต่อเธอเสมอมา ทำให้เธอเองต้องเก็บงำเรื่องนี้ไว้ในใจ

ภัทรทราภรณ์บอกกับเธอเสมอว่าเพื่อนกันความผูกพันลึกซึ้งกว่าหากจะต้องมาแลกคำว่าเพื่อนกับแฟน ดังนั้นรักสามเส้าระหว่างชนกพร จันทร์จิรา และพวงทองจึงต้องถูกปิดบังไว้ในใจของสามคนมาโดยตลอด พวงทองจัดการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับจันทร์จิราโดยมีภัทรทราภรณ์เป็นลูกมือ และผลัดกันเปลี่ยนให้กับหลายๆ คนที่เหลือ

ส่วนฉันเมื่อภัทรทราภรณ์บอกให้ไปอาบน้ำก็รู้สึกดีขึ้น เนื่องจากว่าฉันไม่ได้ดื่มไปมากมายเหมือนจันทร์จิรา รตีและชนกพรเพราะภัทรทราภรณ์จะคอยห้ามเสมอเมื่อฉันจะยกแก้วเหล้าเข้าปากก็เลยทำให้น้ำแข็งในแก้วละลายไปเรื่อยๆ จะเติมก็แค่น้ำแข็งกับโค้กเท่านั้น จากเหล้าที่ผสมโค้กในตอนแรกๆ ก็เลยกลายเป็นน้ำแข็งกับโค้กแทน ฉันเลยสร่างเมาเร็วกว่าใครๆ

จินตนาพารตีเข้าห้องน้ำไปอยู่นานจากนั้นก็ออกมาในสภาพเปียกปอน รตีก็หงุดหงิดที่เธอต้องมาอาบน้ำ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรแค่บ่นไปในสภาพเมาๆ กว่าพวกเราจะจัดการเพื่อนๆ เสร็จก็ฟ้าสางพอดี

“แป๊ดเราว่าพวกเราคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” ภัทราภรณ์นอนพูดอยู่ที่อกฉัน

“จะให้ทำอะไรเหรอจ๊ะที่รักวันนี้ขอก่อนได้ปะเหนื่อยจังเลยเค้าหมดแรง”

“บ้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ภัทรทราภรณ์พูดพร้อมกับทีที่พุงฉันไปด้วย

“แล้วหมายถึงอะไรหละกิ่งเราไม่รู้นี้” ฉันก้มมองวงหน้าของเธอ

“ก็เรื่องรตีกับจินตนา แล้วก็เรื่องของสามคนนั่น” ภัทรทราภรณ์พูดแล้วก็ถอนหายใจ

“รตีกับไอ้จินมันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เรื่องของสามคนนั้นมันยากที่จะบอกหรืออธิบาย กิ่งก็รู้ว่ามันผูกพันกันมากขนาดไหน ไอ้เจ้าก็รักไอ้นก ไอ้นกก็รักไอ้เจ้า ไอ้เจ้าก็รู้ว่าไอ้ปุ๊กรักไอ้นก ไอ้นกก็รู้ว่าไอ้ปุ๊กรักมัน ทั้งสามคนต่างรู้ตัวเองและจะให้ไปยื่นมือเข้าช่วยมันได้ตรงไหนหละกิ่ง” ฉันถอนหายใจออกมาเหมือนกันเพราะเรื่องมันช่างสับสนปนเปกันไปหมด

“เรื่องไอ้จินกับรตีเราว่าแก้ไขได้ไม่ยาก แค่มีกามเทพนิดๆ หน่อยๆ ก็คงได้ แต่สำหรับสามคนนั่นคงต้องใช้เวลา” ภัทรทราภรณ์ระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง

“นอนเถอะกิ่งเรื่องแบบนี้พวกมันสามคนเท่านั้นที่รู้ว่าใครต้องทำอะไรเราคนนอกอย่าไปยุ่งกับพวกมันเลยนะ นั่งดูออยู่ห่างๆ แบบไม่ให้เกิดเรื่องก็พอแล้ว” ฉันบอกกับภัทรทราภรณ์ เพราะตอนนี้ตาของฉันกำลังจะปิดลงด้วยความง่วงและฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกาย

...............................

กว่าพวกเราจะตื่นขึ้นมาก็เกือบบ่ายโมงจินตนาลุกขึ้นมาทำข้าวต้มทะเลให้พวกเราเพราะเธอจัดแบ่งอาหารทะเลไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวานและมีข้าวที่เหลือจากมื้อเย็นเธอจัดแจงเอาลงหม้อต้มใหม่ทำเป็นข้าวต้มทะเลรสชาติอร่อย จะว่าไปบังกะโลนี้เจ้าของก็ช่างใจดีให้ยืมข้าวของเครื่องใช้มามากมาย

เราจัดการข้าวต้มของจินตนาจนหมดหม้อ และช่วยเธอเก็บล้าง รวมถึงจัดการเก็บกวาดสิ่งที่เราทำไว้เมื่อวานจนเรียบร้อย และจินตนาก็กำลังเตรียมตัวลงเล่นน้ำทะเลด้วยชุดสีสุดแสบของเธอ

“บ่ายๆ แบบนี้ลงไปก็ดำหมดสิ” รตีบ่นเมื่อจินตนาชวนเธอลงเล่นน้ำ

“ไปเถอะเพราะเดี๋ยวก็แดดร่มแล้วไม่ไปตอนนี้จะเสียดาย” จินตนาพยายามชักชวนรตีเพราะไม่มีใครลงไปเล่นน้ำกับเธอ

พวงทองออกไปวาดรูปตั้งแต่กินข้าวเสร็จ ธิติมากับกันตาออกไปเดินเล่นริมทะเลกันสองคน อรุณวิลัยกับภัทรทราภรณ์ออกไปนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นจามจุรี ส่วนชนกพรกับจันทร์จิราเข้าไปนอนต่อบอกว่าปวดหัวมาก ทำให้เหลือรตีคนเดียวที่พอจะเป็นที่พึ่งให้กับจินตนาแต่ แต่ตอนนี้รตีก็ไม่อยากจะออกไปไหน

เมื่อคืนจินตนาดูแลรตีทั้งคืนเพราะรตีเอาแต่เมาโวยวายบ่นโน่นบ่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เธอเอาตัวรตีไปล้างรอยเลอะที่ตัว แต่รตีแย่งเอาฝักบัวไปรดตัวเองจนเปียกไปหมดทั้งคนจะล้างและคนจะถูกล้าง หลังจากที่เธอจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกให้กับรตีแล้วเธอก็นั่งหอบอยู่ข้างๆ รตี

ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นเรือนร่างของรตีครั้งก่อนๆ ที่รตีไม่สบายเธอก็เคยเช็ดเนื้อตัวให้กับรตีแต่เพราะรตีเป็นไข้ตัวร้อนเธอจึงไม่มีแก่ใจจะไปแอบดูเรือนร่างของรตีเหมือนกับครั้งนี้ กว่าจินตนาจะตัดใจไม่มองร่างของรตีและจัดการใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับรตีได้ก็เกือบอดใจไม่ไหวอยู่หลายครั้ง

จินตนาอ้อนวอนของให้รตีไปเล่นน้ำด้วย จนสำเร็จ สองคนจึงเดินลงทะเลยามบ่ายกันสองต่อสองดำผุดดำว่ายกันไปมาราวกับท้องทะเลนั้นมีเพียงพวกเธอ

รตีเริ่มรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ พยายามลอยตัวให้อยู่เหนือน้ำ รตีอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด

“จินเราเป็นตะคริว” รตีตัดสินใจบอกกับจินตนาในทันที่ที่เธอคิดว่าตัวเองพยุงตัวไม่ไหวแล้ว

“พูดจริงพูดเล่นตี” จินตนาที่ว่ายมาคู่กันหยุดว่ายและหันไปถาม

“พูดจริงเราแย่แล้วจินช่วยด้วย” รตีพยายามทะลึ่งตัวให้โผล่พ้นน้ำแต่เธอเองก็พยุงตัวไม่ไหว จึงจมลงไปใต้น้ำ

จินตนารีบดำลงไปกอดเอวรตีไว้และพยุงขึ้นเหนือน้ำ แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนว่ายออกมาจากฝั่งค่อนข้างไกล จะตะโกนเรียกให้ใครว่ายเข้ามาช่วยก็คงไม่มีใครได้ยิน จินตนาจึงตัดสินใจล๊อคคอรตีจากทางด้านหลังและช่วยพยุงให้ทั้งคู่ลอยตัวอยู่เหนือน้ำให้ได้ รตีปล่อยตัวให้ลอยไม่ได้ช่วยจินตนากระทุ้งน้ำ เพราะเธอหมดแรงจนแทบสลบ

จินตนาพารตีเข้าใกล้ฝั่งขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลูกเล็กๆ ถาโถมเข้ามาตนทั้งคู่สำลักน้ำเค็มๆ กันจนอิ่ม

“ไอ้แป๊ดช่วยด้วยโว๊ยตีเป็นตะคริว” จินตนาตัดสินใจตะโกนบอกอรุณวิลัยและภัทรทราภรณ์ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ฝั่งที่เธอและรตีพยายามแหวกว่ายเข้ามาถึงตอนนี้พื้นทรายใต้ขาของจินตนาพอที่จะหยั่งขาลงไปแตะได้แล้ว

จินตนาเริ่มจะหมดแรงช่วยพยุงตัวรตีแล้วเช่นกัน พยายามตะโกนบอกเพื่อนบนฝั่งและลอยตัวให้คลื่นพาพัดตัวเธอและรตีเข้าหาฝั่งแต่ก็ดูเหมือนว่าจะลำบากมาก เนื่องจากเมื่อคลื่นยิ่งใกล้ฝั่งลูกก็ยิ่งแรง

“ตีอดทนนิดนะเดี๋ยวไอ้แป๊ดก็มาช่วยแล้ว” จินตนาเรียกสติรตีให้กลับคืนมา

“อืม” รตีพยายามตอบกลับจินตนาที่กอดเธออยู่ด้านหลัง

อรุณวิลัยและภัทรทราภรณ์ได้ยินเสียงตะโกนเรียกก็หันไปมองซ้ายมองขวาว่าเสียงเรียกนั้นมาจากที่ไหน และก็พบกับจินตนาและรตีลอยคออยู่ในทะเล

“วู้ๆๆ ไอ้แป๊ดช่วยด้วยระตีเป็นตะคริว” จินตนาพยายามอีกครั้งเพื่อเรียกอรุณวิลัยและภัทรทราภรณ์

“กิ่งไอ้ตีเป็นตะคริว” ฉันได้ยินเสียงของจินตนาแว่วๆ มากับเสียงคลื่น และเห็นเพื่อนทั้งสองพยายามช่วยตัวเองก็บอกกับภัทรทราภรณ์และรีบวิ่งลงไปในทะเลเพื่อช่วยจินตนากับรตีอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉันและภัทรทราภรณ์ไปถึงจินตนาอ่อนแรงลงมากแล้ว เพราะเธอสำลักน้ำไปหลายอึก ฉันกับภัทรทราภรณ์ ช่วยกันพยุงเพื่อนทั้งสองคนเข้าหาฝั่ง

“ไปช่วยตีเถอะเรายังพอไหว” จินตนาปฏิเสธความช่วยเหลือจากภัทรทราภรณ์และให้ภัทรทราภรณ์ไปผยุงรตีที่ตอนนี้หมดแรงไปแล้ว

ฉันประคองปีกรตีข้างหนึ่งจินตนาข้างหนึ่งส่วนภัทรทราภรณ์ประคองแต่ระตีเพียงคนเดียวจนมาถึงชายหาด ทั้งรตีและจินตนาก็ล้มตัวลงด้วยหมดแรง

“เป็นตะคริวปวดมากไหมเป็นข้างไหน” ภัทรทราภรณ์ถามรตีและดันปลายเท้าของรตีเข้าหาตัว

“ทั้งสองข้างเลยกิ่งโอ๊ยปวดกิ่งเราปวดมากๆ เลย” รตีร้องดังจนจินตนาต้องพูดว่า

“กิ่งเบาๆ หน่อยไอ้ตีมันเจ็บ”

“มันต้องทำแบบนี้ไงจินไม่อย่างนั้นตีก็ไม่หายเจ็บ พักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยไปบนบ้านแล้วกัน” ภัทรทราภรณ์ เสนอเพราะท่าทางของจินตนาจะหมดแรงตามรตีไปด้วย

ธิตมากับกันตาเดินมาจากชายหาดอีกฝั่งหนึ่งเมื่อเห็นเราสี่คนก็รีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น” ธิติมาถามอย่างห่วงใย

“ไอ้ตีเป็นตะคริวไอ้จินมันช่วยเข้ามาจากทะเลหมดแรงไปแล้ว” ฉันตอบธิติมาแทนจินตนาที่นอนหงายหายใจกระเพื่อมถี่ๆ

“เอามันสองคนขึ้นบ้านดีกว่าปล่อยโกรกลมแบบนี้มีหวังปอดบวมตาย” ธิติมาเสนอและฉันเองก็เห็นด้วย

พวกเราช่วยกันพยุงจนเกือบจะเป็นช่วยกันหามจินตนากับรตีเข้าบ้าน ธิติมาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ทั้งสองคนเช็ดผมและทำความสะอาดตัวเอง กันตาหยิบขวดน้ำเปล่ายื่นให้ทั้งสองคนดื่มจนเกือบหมดขวด

“ไงไอ้จินหาเรื่องดีนักนะแก นอนก็น้อยกินเหล้าก็กินยังจะไปเล่นน้ำซะไกลเกือบเอาไอ้ตีไปตายกลางทะเลแล้วแก” ธิติมาอยู่ๆ ก็บ่นขึ้น

จินตนารู้สึกสำนึกผิดกับคำพูดของธิติมาขึ้นมาทันที ถ้ารตีเป็นอะไรไปกลางทะเลเธอจะไม่ให้อภัยตัวเธอเองเพราะเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมกในครั้งนี้ เธอเอื้อมมือไปจับมือของรตีมากุมไว้ สายตาแห่งการสำนึกผิดและขอโทษรวมทั้งท่าทางของจินตนาที่สื่อสารออกมารตีรับรู้ได้ด้วยใขของเธอ

“เราขอโทษนะตีเราไม่น่าชวนตีไปเล่นน้ำเลยเราขอโทษจริงๆ”

“ไม่เป็นไรจินเราเต็มใจไปกับจินเอง อย่าโทษตัวเองเลย เราสิต้องขอบใจจินมากว่าถ้าไม่ได้จินเราคงตายไปแล้วไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก” รตีบีบมือของจินตนาที่กุมมือของเธอไว้

“พวกแกค่อยยังชั่วหรือยังถ้าดีขึ้นแล้วไปอาบน้ำอาบท่าดีกว่าแล้วมานอนพัก ฉันจะไปชงอะไรร้อนๆ มาให้กินกันจะได้ดีขึ้นหน่อย” ธิติมาถามสองคนที่นั่งส่งสายตาหวานให้กัน

จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองจินตนาประคองรตีเข้าห้องน้ำหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่มาวางไว้ให้หน้าห้องน้ำ และตัวเธอก็ไปอาบน้ำอีกห้องเพื่อจัดการกับตัวเองอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะออกมารอรตีที่หน้าห้องน้ำ

ธิติมามีโอวัลตินร้อนๆ มาวางไว้บนโต๊ะให้สองแก้วและตัวของธิติมาก็แยกออกไปนั่งเล่นที่ริมระเบียงบ้าน

สองคนที่สร้างวีรกรรมไว้ด้วยกันก็นั่งดื่มโอวัลตินร้อนไปพร้อมกับจ้องหน้ากันไปราวกับว่าโลกนี้มีเพียงจินตนาและรตีเท่านั้น รอยยิ้มผุดพรายที่ใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองคน

ไม่มีคำพูดใดๆ คำร้อยคำก็ไม่อาจแทนความรู้สึกที่มีให้แก่กันและกันได้สักนิดเดียว

..... จบบทที่ ๑๖ ....



Create Date : 12 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:06:45 น. 1 comments
Counter : 309 Pageviews.

 
เค้าเรียกว่าโรแมน
ติครึเปล่า....น่าจะใช่นะเพราะเรามันคนไร้ความหวานหง่ะ...ช่วยมาเติมความหวานที....ล้อเล่นจ้าอ่าแล้วคล้อยตามเรื่อย...สนุกแบบหวานๆจังนี้แอบอิจฉาจนตาลุกวูบๆวาบๆอยู่นะตัวเอง


โดย: ปทิตตา วันที่: 12 มิถุนายน 2551 เวลา:22:48:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.