It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : ครั้ง วัน วาน บทที่ ๑๓

บทที่ ๑๓

เปิดเทอมวันแรกพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาตื่นแต่เช้ามืดเพราะกลัวเรื่องการจราจร ฉันเอาชนกพรพ่วงท้ายไปด้วย เพราะฉันเองก็ยังไม่คุ้นทางมากนัก กับการขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปมหาวิทยาลัย

การเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซด์ สามารถซอกแซกไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ก็ต้องระวังรถเมล์ที่วิ่งตามหลังมาเพราะรถเมล์ไม่เคยจะเห็นมอเตอร์ไซด์ที่ใช้ถนนร่วมกันหรอก

“ไม่เอาแล้วนะแป๊ด ฉันไม่มามอกับแกอีกแล้วเข็ดหวะ” ชนกพรรีบออกปากเมื่อฉันพาเธอมาถึงมหาวิทยาลัย

“นี่แกจะทิ้งเพื่อนเลยเหรอวะไอ้นก” ฉันตัดพ้อเพื่อนร่วมทาง

“ไม่ทิ้งไม่ไหวหวะไอ้แป๊ดก็ฉันยังอยากมีชีวิตรอดนี่หว่าอีกอย่างแกก็ไม่ชำนาญทางฉันกลัวว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งก่อนวัยอันควร” ชนกพรตอบฉันเสียงอ่อย

“ก็ได้วะต่อไปนี้ฉันจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่พึ่งพาอาศัยแกก็ได้จำไว้เลยเพื่อน”

ฉันพูดงอนๆ แต่ก็เข้าใจเพื่อนเช่นกัน เพราะขนาดฉันเองเป็นคนขี่ฉันยังกล้าๆ กลัวๆ รถเมืองกรุงไม่เหมือนรถบ้านนอกแถมกระโปรงสอบของฉันก็เป็นอุปสรรคในการขี่รถด้วย

ฉันกะเอาไว้ว่าหากวันไหนเอารถมาอีกฉันจะใส่กางเองมาและเอากระโปรงมาเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยจะดีกว่า เพราะมันสะดวกกว่าการขี่ด้วยประโปรงสอบๆ แบบนี้

ชนกพรเดินไปที่คณะของเธอและฉันก็หาที่จอดรถข้างๆ คณะของฉันเช่นกัน

ไปรยานั่งรอฉันอยู่ที่ใต้โถงและเธอก็เอาใบกรอกลงทะเบียนมารออยู่แล้ว เทอมนี้ฉันลงไป ๗ วิชา ทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก มันดูจะไม่เยอะแต่ก็เหมือนเยอะ เพราะโดยปกติก็เรียนกัน ๑๘ ถึง ๒๑ หน่วย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้

ฉันเลือกลงเยอะในเทอมนี้ไว้ก่อนเพราะเมื่อเรียนชั้นปีที่สูงขึ้นวิชาจะยากมากขึ้นมันคงทำให้ฉันแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากตั้งหน้าตั้งตาเรียน

ฉันกับไปรยาเอาใบเลือกวิชาไปส่งเรียบร้อยก็กลับมานั่งคุยกันถึงเรื่องปิดเทอมว่าพวกเราไปทำอะไรมาบ้าง

ไปรยาบอกว่าเธอไปเที่ยวอังกฤษกับครอบครัวและไปพบพิศลยามาด้วยเช่นกัน พิศลยาดูท่าทางจะเรียนหนักมากๆ เพราะต้องเรียนถึงหกวัน และภาษาของพิศลยาก็ดีมากๆ ด้วย ไปได้ไม่ถึงสองเดือนพิศลยาก็พูดได้คล่องแล้ว แถมสำเนียงยังเหมือนคนอังกฤษด้วยสิ

พิศลยาฝากน้ำหอมมาให้ฉันหนึ่งขวดและบอกว่าให้เอาเงินให้เธอด้วยหนึ่งบาท ไปรยาบอกว่าเธอจ่ายให้ไปแล้ว และฉันก็ต้องควักเงินหนึ่งบาทคืนให้ไปรยา

“ทำไมต้องเอาเงินหนึ่งบาทด้วยหละกอล์ฟ” ฉันถามเพราะไม่รู้จริงๆ

“ก็ฝรั่งเค้าถือไงว่าการให้น้ำหอมกับคนอื่นมันเป็นลางไม่ดี เหมือนบ้านเราที่ให้ผ้าเช็ดหน้าแล้วก็ต้องเอาเงินให้ด้วยไง”

“อ๋อเหรอไม่เคยรู้เลยนะนี่ว่ามีถือแบบนี้ด้วย ว่าแต่ไอ้กลิ่นนี้ก็หอมดีนะชอบจังเลย” ฉันยกน้ำหอมขึ้นมาดม

“น้ำหอมก็ต้องหอมสิ ว่าแต่ทำไมวันนี้ตัวเธอมีกลิ่นควันรถเยอะแบบนี้หละ”

“ก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาไงก็เลยรับควันรถเมล์ไปเต็มๆ”

“หาอะไรนะขี่มอเตอร์ไซด์มาเรียนนี้นะช่างกล้าหาญชาญชัยอะไรเช่นนี้หนอเพื่อนฉัน”

“เราขี้เกียจรอรถเมล์ไงตอนเช้ามันมาช้ามากๆ อีกอย่างมารถมอไซด์ก็เร็วดีซอกแซกได้รถไม่ติดนอกจากติดไฟแดงแค่นั้นเอง”

“แต่มันก็อันตรายนะแป๊ด ขี่ๆ ก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

“ใช่สิอันตรายมากเมื่อเช้าเกือบโดนรถเมล์สอยร่วงไปกลางทาง จนไอ้นกมันบอกว่าจะไม่มามอกับเราอีกแล้ว เออว่าแต่ว่าวันนี้ว่างหรือเปล่าหละไปท่องเมืองกรุงกับเราหน่อยสิ กล้านั่งมอเตอร์ไซด์หรือเปล่า”

“กล้าสิจะไปไหนหละ”

“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าเพื่อนไปไหนไปกันไม่หวันไม่ไหว เรากะว่าจะไปแถวบ้านเธอก็ได้ เราไม่เคยไปเลย พาเราไปดูทางหน่อย แต่ก่อนไปไปหาซื้อกางเกงขาสั้นแถวตลาดกันก่อนแล้วกันไอ้กระโปรงนี่ทำเราขี่ไม่ถนัดเอาเลย”

“ได้เลยเพื่อนไปซื้อเสื้อแจ๊คเก็ตด้วยสิเสื้อขาวๆ เปื้อนหมด หาอะไรมาคลุมหน่อยก็ดีไปซื้อที่หลังกระทรวงก็ได้ใกล้ดีเราเห็นมีเยอะด้วย”

ฉันกับไปรยาเดินหาซื้อเสื้อแจ๊คเก็ตและกางกางเกงขาสั้น พร้อมกับหมวกกันน๊อคใบใหม่ อีกหนึ่งใบสำหรับคนซ้อนท้าย เพราะฉันมีหมวกกันน๊อคอยู่แค่ใบเดียวที่หยิบมาจากบ้านพร้อมกับน้องแดงรถคู่ใจ

ฉันเปลี่ยนจากกระโปรงเป็นกางเกงขาสั้นที่ร้านขายเสื้อผ้าในทันทีที่ตกลงซื้อกางเกงได้ราคาไม่แพงมากพอถูไถสำหรับใส่ในวันนี้ และได้เสื้อแจ๊คเก็ตสองตัวสีแสบตา เพราะไปรยาบอกว่ารถเมล์จะได้เห็นถนัดๆ เมื่อตอนที่ฉันขี่รถอยู่บนถนน

จากนั้นเราก็ย้ายสถานที่ไปพาหุรัตหาอะไรกินกัน เดินเล่นแถวคลองถม และเมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วฉันจึงไปส่งไปรยากลับบ้าน แต่ด้วยความที่ฉันมีไปรยาบอกทางมาโดยตลอดก็เลยลืมที่จะจำเส้นทางกลับบ้านของตัวเอง อีกอย่างทางที่ไปรยาบอกให้มานั้นมันเป็นวันเวย์ทั้งนั้น

“กอล์ฟ คืองี้เรากลับบ้านไม่ถูก” ฉันบอกไปรยาขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน

“อ้าวไหงงั้นหละ”

“แหะๆๆ ก็นะเราไม่รู้ว่าต้องกลับบ้านทางไหน กอล์ฟพาเรากลับไปหน่อยสิเดี๋ยวเราพากอล์ฟกลับมาส่งที่บ้านใหม่นะๆ เพื่อนนะ” ฉันอ้อนวอนไปรยา เพราะถ้าเธอไม่พาฉันกลับไปส่งที่เดิมฉันก็คงจะกลับบ้านไม่ได้

“งั้นรอเราเดี๋ยวนะเราไปบอกแม่ก่อนแล้วจะเปลี่ยนกางเกงด้วยนั่งแบบนี้มันไม่ค่อยถนัด”

“ได้เลยเพื่อนขอบใจนะ” ฉันลิงโลดมากๆ เพราะตอนนี้ถ้าไปรยาไม่มาส่งหรือติดรถไปด้วยฉันคงแย่แน่ๆ ทั้งๆ ที่ระยะทางไม่ได้ไกลอะไรเลย แต่ฉันก็จำเส้นทางไม่ได้

จากนั้นไปรยาก็บอกเส้นทางให้ฉันและพาไปวนแถวปากคลองตลาด จริงๆ เธอบอกว่าถ้าขึ้นสะพานพุธแล้วตรงไปก็จะถึงประตูผี แต่ฉันบอกว่าให้เธอพาไปนอกเส้นทางจะดีกว่าเธอก็เลยพาฉันกลับมาที่มหาวิทยาลัยและฉันก็พอจำเส้นทางได้คร่าวๆ แล้ว

ฉันขี่ไปส่งไปรยาที่บ้านแถวฝั่งธนอีกครั้งและขึ้นสะพานพุธวิ่งตรงตัดออกมาทางพาหุรัตและเมื่อถึงภูเขาทองฉันก็จำทางกลับบ้านได้ แต่กว่าจะถึงบ้านก็เล่นเอาอ่วม

“เป็นไงแกหายไปพร้อมน้องแดงเลยนะนึกว่าสังเวยรถเมล์ไปแล้ว” รตีแซวฉันที่เดินจูงน้องแดงเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางหมดแรง

“เออว่าเข้าไป สักวันฉันคงไปนอนเล่นใต้ท้องรถหรอกแก ว่าแต่แกเถอะไอ้ตีเอารถไปมอมีปัญหาอะไรเปล่าหลงทางบ้างเปล่า”

“ไม่หลงหรอกแต่ไม่มีที่จอดเท่านั้นเองกว่าจะหาที่จอดได้แทบตายน่ะแก”

“อืมมีรถก็ใช่ว่าจะสบายเน๊อะ ฉันไปอาบน้ำก่อนนะเหม็นควันรถจะแย่แล้ว”

“เออไปเถอะแล้วก็ออกมากินข้าวด้วยฉันหิวเว่ย” ธิติมาบอกพร้อมๆ กับรุนหลังฉันให้รีบๆ ไปอาบน้ำ

ไม่นานนักฉันก็ลงมาร่วมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันหกสาว ระหว่างกินข้าวทุกคนก็กินไปชวนกันคุยเรื่องลงทะเบียนบ้าง คุยเรื่องฉันที่ไปเที่ยวพาหุรัตมาบ้าง และเรื่องฉันหลงทางกลับบ้านไม่ถูกจนไปรยาต้องนั่งซ้อนกลับมาส่งทางเดิม

“ไอ้ปุ๊กจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้เน๊อะ” จู่ๆ จันทร์จิราก็พุถึงพวงทองขึ้นมา

“ห่วงมันมากเหรอไอ้เจ้าแกก็โทรไปหามันสิ” ธิติมาเสนอ

“มันจะอยู่หอหรือเปล่าก็ไม่รู้เห็นว่าวันนี้มีเรียนดรออิ้งค์มันคงมุดอยู่ในห้องวาดรูปหละมั๊ง” จันทร์จิราพูดลอยๆ เหมือนเพ้อ

“ไอ้นี่ท่าจะห่วงไอ้ปุ๊กเอามากๆ” ชนกพรเหน็บแนมจันทร์จิรา

“ก็เพื่อนกันนี่หว่าไม่ให้ห่วงมันแล้วจะให้ไปห่วงใคร” จันทร์จิราแย้ง

“เออว่าไปก็โทรไปหามันดีกว่าดูสิว่ามันทำอะไรอยู่” รตีลุกจากที่นั่งไปหมุนโทรศัพท์โทรไปที่หอของพวงทองทันที

รอสายได้ไม่นานพวงทองก็รับโทรศัพท์และบอกว่าเธอสบายดี ไม่ได้ไปข้องแวะกับกัญชาอีกเพราะเข็ดแล้วและกลัวพ่อแม่จะเสียใจ

พวกเราก็สบายใจไปได้นิดหน่อย เพราะเรารู้ดีว่าพวงทองโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อนๆ มากแค่ไหน เกิดวันดีคืนดีมีคนมาชักชวนอีกพวกทองจะใจแข็งปฏิเสธไปได้มากน้อยเพียงใด

เราตัดสินใจว่าต้องให้พวงทองกลับมาที่บ้านเช่าทุกๆ วันหยุด แม้ว่าพวงทองจะเถียงเสียงอ่อยๆ ว่ามันไกลเดินทางลำบากหรือว่าบางครั้งมีงานต้องรีบส่ง

แต่พวกเราก็ไม่ยินยอมให้พวงทองทำตามใจตัวเอง อย่างน้อยๆ หากว่าพวงทองหลงไปสูบอีกครั้ง สองวันที่พวงทองกลับมานอนที่นี่เราก็จะได้ดูแลได้

รตีวางสายของพวงทองไปแล้วและก็กลับมานั่งที่เดิม

“แกรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ฉันไปเจอะใครมา” อยู่ๆ ธิติมาก็ถามขึ้น

“เจอพี่ปุ๊เหรอแกพี่ปุ๊ไปคณะแกเหรอ” จินตนาที่นั่งฟังเงียบๆ ก็รีบถามขึ้นมาทันทีเพราะพี่ปุ๊เป็นนักร้องในดวงใจของจินตนา

“เปล่าไม่ได้เจอพี่ปุ๊แต่ฉันเจอเจี๊ยบ” ธิติมาตอบนั่นทำให้พวกเรางงว่าธิติมาพูดถึงใคร

“เจี๊ยบไหนวะ” จินตนาถามเพราะเธอจำได้ว่าคนชื่อเจี๊ยบนี่คือใคร

“ก็เจี๊ยบคนที่แข่งเทควันโดกับเราที่เชียงใหม่ไงพวกแกลืมไปแล้วเหรอ”

“อ่อแม่สาวหน้าสวยคนนั้นนี่เอง แล้วไปเจอกันได้ไงวะไอ้ธิ” จินตนาถามซ้ำอีกครั้งเพราะไม่คิดว่าโลกมันจะกลมได้ถึงขนาดนี้

“เจี๊ยบเรียนคณะเดียวกับไอ้ตีนะพวกแก แต่เรียนคนละเอก เค้ายังบอกเลยว่าเคยเจอไอ้ตีแต่ไอ้ตีจำเค้าไม่ได้เลยไม่กล้าทัก พอดีวันนี้เราไปรอกลับบ้านพร้อมไอ้ตีก็เลยเจอเจี๊ยบเข้าเค้าเลยมาทักเราว่าจำเค้าได้หรือเปล่า”

“อืมโลกมันกลมดีวะ ตอนแรกคิดว่าน้องลูกไก่จะเรียนมอชอซะอีกที่ไหนได้มากอทอมอแล้ว” จินตนายังชวนธิติมาคุยต่อไป

“ตอนแรกเจี๊ยบก็ติดมอชอนะแต่พอรู้ว่าเราไม่ติดก็เลยถามเราว่าเราจะเลือกคณะที่ไหน เราเลยว่าคงเลือกเรียนที่กรุงเทพ เค้าก็เลยสละสิทธิ์มาสอบใหม่ เราไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเค้าจะมาเลือกเรียนที่นี่ เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันก็ตอนที่ประกาศผลโควต้าสร็จแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”

“แสดงว่าแม่น้องลูกไก่ของแกนี่ตั้งใจจะตามแกมาเรียนที่นี่ว่างั้น” ชนกพรแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง

“ไม่รู้สิตอบไม่ได้ว่ะแก แต่ที่แน่ๆ เจี๊ยบก็เรียนมอเดียวกับเราแล้วตอนนี้” ธิติมาพูดเหมือนคิดหนัก

“แล้วแกจะเอาไงวะจะสานสัมพันธ์ต่อหรือว่าจะเลิกติดต่อกันไปเลย” รตีถามขึ้นมาบ้าง

“แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้มีใจอะไรกับเค้าแล้วอีกอย่างท่าทางเค้าดูจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มากๆ ฉันเห็นแล้วกลัวเลยวะแก”

“สงสัยจะโดนอุ้งตีนหมีควายของแกไปคราวนั้นก็เลยสมองเลอะเลือนไปแล้วมั๊งไอ้ธิ” จันทร์จิราพูดติดตลก แต่ไม่ได้ทำให้ธิติมาขำออกมาได้เลยสักนิด

“ไม่ขำเลยนะไอ้เจ้านี่ฉันเครียดอยู่นะเว่ย” ธิติมาแย้งจันทร์จิราขึ้นมาทันที

“แล้วแกจะทำไงวะ” ฉันถามธิติมาขึ้นมาเหมือนกัน

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะคงต้องปล่อยเลยตามเลยแกก็รู้ว่าแค่เรื่องเรียนฉันก็จะแย่อยู่แล้ว ยังมีเรื่องนี้ให้ปวดหัวอีกมึนไปเลยว่ะไอ้แป๊ด” ธิติมานั่งกุมขมับตัวเอง

พวกเราหกคนช่วยรวมหัวคิดและก็ต้องมึนไปกับการช่วยเหลือธิติมาแต่จะทำไงได้ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนไปตามระเบียบ

.......................

รตี จันทร์จิราและธิติมาไปเรียนพร้อมกันทุกวัน เป็นความโชคดีของจันทร์จิราที่ตึกเรียนของเธอใกล้ๆ กับรตีจึงไม่ต้องเดินไปเรียนไกลมาก ส่วนธิติมานั้นตึกเรียนของเธอไกลออกไปอยู่มาก ต้องใช้เวลาเดินไปที่ตึกนานพอสมควร

ทั้งสามนั่งกินข้าวเช้ากันที่โรงอาหารข้างๆ คณะของรตีพร้อมกันทุกวัน แต่วันนี้มีผู้ไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมวงด้วย

กันตาหรือน้องลูกไก่ของแปดเซียนเข้ามาร่วมกลุ่มกินข้าวด้วยโดนไม่ได้ขออนุญาตใครมาถึงก็นั่งแหมะลงข้างๆ ธิติมาและส่งยิ้มให้กับอีกสองสาวที่ทำหน้างงๆ กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญทันที

“สวัสดีธิอิ่มหรือยังรอเจี๊ยบก่อนนะ เดี๋ยวเจี๊ยบมาอย่าพึ่งรีบไปไหนนะ” สั่งเสร็จกันตาก็วิ่งไปซื้อโจ๊กและรีบเดินกลับมานั่งข้างๆ ธิติมาต่อ

สามเพื่อนรักมองหน้ากันไปมา ใช่ว่าจะไม่อยากต้อนรับกันตาหรอกนะแต่มาแบบจู่โจมแบบนี้ทั้งสามคนก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“ทำไมเงียบกันไปเลยหละ นี่เราเจี๊ยบไงเราเคยเจอกันตอนงานแข่งกีฬาในเครือเมื่อปีที่แล้วไงจำเราไม่ได้เหรอ” กันตาแนะนำตัวเองให้กับรตีและจันทร์จิราได้รู้จักอีกครั้ง

“ธินะไม่ยอมแนะนำเราให้กับเพื่อนธิรู้จักเลย เราเลยต้องแนะนำตัวเอง” กันตาแสดงท่าทางงอนๆ กับธิติมาทั้งๆ ที่ธิติมานั่งใบ้เป็นพระเตมีย์ไปแล้ว

“จ๊ะๆๆ เราพอจะจำได้” จันทร์จิราตอบแบบติดๆ ขัดๆ ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้มาแรงแซงทางโค้งแล้วเว่ย

“เอ่อ” ธิติมากำลังจะเอ่ยปากก็โดนแทรกขึ้นมาทันที

“เรากับธิเจอกันเมื่อวานนี้เห็นธิบอกว่ากำลังจะรอติดรถตีกลับบ้านบ้านตีไปทางไหนเหรอ เรานะมาอยู่ที่นี่เหงามากๆ เลยนะ ตอนนี้เราเช่าห้องอยู่แถวๆ อุรุพงษ์อยู่คนเดียวเหงาจะตายไป นี่นะถ้ามีเพื่อนๆ อยู่ด้วยแบบพวกเธอนะเราคงไม่เหงาแบบนี้หรอก นี่ๆ ธิเธอมีเรียนกี่โมงวันนี้เราไม่มีเรียนหรอกนะ เราเรียนบ่ายให้เราไปเรียนกับธิด้วยได้หรือเปล่าแล้วเย็นนี้ธิจะรอเรากลับบ้านด้วยหรือเปล่าหละ งั้นธิรอเราก็แล้วกันนะเราจะกลับบ้านพร้อมธิ เออว่าแต่ว่าตีทำไมไม่ตอบเราหละว่าบ้านตีอยู่แถวไหน แล้วธิพักที่ไหน พักที่เดียวกันหรือเปล่า เออนี่จันทร์วันก่อนเราเห็นที่คณะเธอเค้าจะจัดดนตรีการกุศลท่าทางสนุกดีนะ เราฝากซื้อบัตรให้เราใบนึงสิ โอ๊ย...ทำไมมันถึงได้เหนื่อยแบบนี้นะ งั้นเราของกินโจ๊กก่อนแล้วกันเหนื่อยจังเหมือนหายใจไม่ทัน” จากนั้นกันตาก็ก้มหน้าก้มตากินโจ๊กจนหมดชาม

เพื่อนรักสามคนมองหน้ากันด้วยความงงเพราะระดับความเร็วในการพูดของกันตาไม่ได้ลดลงเลยมีแต่จะเร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเว้นช่องไฟให้ทั้งสามคนได้สอดแทรกอะไรออกมาได้สักคำเดียว

จวบจนทุกคนกินข้าวเสร็จและธิติมาขอตัวไปเรียนก่อนโดยมีกันตาเดินตามไปต้อยๆ เหมือนลูกไก่เดินตามแม่ไก่อย่างนั้นแหละเพราะถึงธิติมาจะเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นเดินทนมาราทอนกันตาก็เดินตามได้อย่างกระชั้นชิด จนจันทร์จิราที่มองตามเพื่อนถึงกับส่ายหน้า

“ไอ้ตีแกว่าไงวะเรื่องน้องลูกไก่คนนี้”

“นั่นสิแก ไอ้ธิใบ้กินแน่ๆ พี่ท่านเล่นพูดไม่เว้นช่องไฟ หรือว่าเก็บกดวะไอ้เจ้า หรือว่าแม่ลูกไก่จะเก็บกดไม่มีคนคุยด้วยจนเพี้ยน” รตีหันมามองหน้าจันทร์จิราแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรคงปล่อยให้ธิติมารับไปเต็ม

...............

ทางด้านธิติมาเมื่อเข้ามานั่งเรียนโดยมีกันตาเกาะเป็นปลิงไม่ยอมปล่อยให้ธิติมาคลาดสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว เพื่อนๆ ของธิติมาเข้ามาทักทายเธอและก็ต้องงงว่าอยู่ๆ มีเด็กอักษรตามธิติมามาเรียนด้วยได้อย่างไร

“เฮ้ยไอ้ธิแกไม่แนะนำหน่อยเหรอว่าสาวอักษรคนนี้เป็นใคร” ยศเพื่อนสนิทที่คณะของธิติมาถามขึ้นเมื่อเห็นกันตาเกาะแขนธิติมาไม่ยอมปล่อย

“เอ่อนี่เจี๊ยบเพื่อนเราสมัยเรียนมัธยม” ธิติมาแนะนำแบบเสียไม่ได้

ท่าทางของกันตาดูนิ่งเงียบไปจากที่เคยเป็น เธอไม่พูดไม่จากับเพื่อนของธิติมาแม้แต่คำเดียว แม้ว่าธิติมาจะพยายามชวนคุยหรือหาหัวข้อสนทนาเพื่อชวนกันตาคุยก็ตามที

กันตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมคณะของธิติมา ราวกับหน้ามือหลังเท้า เพราะเหล่าบรรดาเพื่อนของธิติมาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ก็ช่วยไม่ได้นี่คณะนี้เป็นคณะวิทยาศาสตร์ไม่ใช่คณะอักษรที่จะมีผู้หญิงเรียนเยอะๆ

ดีที่วิชานี้เป็นวิชาพื้นฐานที่ใครๆ ก็เข้ามาเรียนต่างคณะได้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีนิสิตต่างคณะมาเรียนร่วมกัน เพราะบางครั้งก็จะมีรุ่นพี่มาเรียนรวมกันไปด้วย

กว่าจะหมดชั่วโมงเรียนก็เล่นเอาธิติมาเกร็งไปทั้งตัว เพราะกันตาเอาแต่นั่งท้าวคางมองหน้าธิติมาตลอดทั้งชั่วโมงจนอาจารย์สอนเรียบร้อยและสั่งงานกลุ่มธิติมาแยกวงมานั่งกับเพื่อนผู้ชายคณะเดียวกับเธออีก ๗ ถึง๘ คน ทั้งกลุ่มมีเพียงธิติมาคนเดียวที่เป็นผู้หญิง

กันตาก็นั่งแปะอยู่กับธิติมาจนการประชุมกลุ่มของธิติมาเสร็จสิ้น จากนั้นเพื่อนๆ ของธิติมาก็ชักชวนกันเดินลงไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร โดยมีกลุ่มผุ้ชายห้อมล้อมธิติมาอีกเช่นเคย

กันตาดูเงียบขรึมไปจนธิติมานึกว่ากันตาไม่สบาย หลังกินข้าวเสร็จทั้งสองก็เดินออกมายืนอยู่หน้าโรงอาหาร

“ธิเราจะกลับคณะแล้วนะธิไม่ไปส่งเราหน่อยเหรอ” กันตาพูดได้หลังจากที่เงียบไปประมาณสามชั่วโมง

“อ้าวพูดเป็นแล้วเหรอเจี๊ยบ” ธิติมาเลิกคิ้วถามกันตาด้วยความสงสัย

“พูดเป็นสิ แต่เราไม่อยากพูดกับผู้ชายก็เท่านั้นเอง”

“เนี่ยะนะเหตุผลไม่ชอบคุยกับผู้ชายเลยทำให้เงียบไปสามชั่วโมงจนน้ำลายบูด ว่าแต่ทำไมเจี๊ยบไม่พูดกับผู้ชายหละ”

“อืมก็ใช่นะสินี่แหละเหตุผลของเรา เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราไม่ชอบคุยกับผู้ชาย มันไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่คุยกับพ่อเรานะ สำหรับพ่อเราเราก็คุย”

ระหว่างการสนทนาทั้งสองก็เดินไปที่คณะของกันตาไปด้วย โดยที่ธิติมาไม่รู้ตัวว่าเดินตามกันตามาได้อย่างไรทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือทำรายงาน

“แปลกดีนะเจี๊ยบเป็นคนที่แปลกมากๆ เลย แล้วถ้าไปซื้อของเกิดคนขายเป็นผู้ชายหละ”

“เราก็ชี้ๆ ว่าจะเอาตัวนี้ตั้วนั้นเค้าอยากขายเค้าก็ขายเราเองแหละ แล้วตกลงตอนบ่ายธิมีเรียนหรือเปล่า” กันตาหันไปถามธิติมาที่เดินมาด้วยกันจนเกือบถึงคณะของกันตา

“ไม่มีหรอกแต่เราคงต้องไปหาหนังสือทำรายงานแล้วก็จะกลับบ้านเลย”

“ว้างั้นเหรอ แล้วธิไม่รอคุยต่อกับเราเหรอเรามีเรื่องคุยกับธิตั้งเยอะแยะเลยนะ”

“อืมเหรอแต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะหาหนังสือเสร็จเร็วหรือช้าเอางี้ถ้าเราเลิกเร็วเรากลับบ้านก่อนแต่ถ้าเราเลิกช้าเจี๊ยบก็รอเราก็แล้วกัน” ธิติมาพูดออกไปแล้วก็เริ่มจะคิดได้ว่าแล้วเธอจะมารอกันไปมาทำไมในเมื่อรตีกับจันทร์จิราก็ต้องกลับบ้านพร้อมเธออยู่แล้ว

“งั้นเราจะรอธิที่หน้าตึกนะตอนเราเรียนเสร็จตกลงไหม”

“ก็ได้แล้วเจอกันนะ” ธิติมาทำตามกันตาอย่างว่าง่ายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงตอบตกลงไปง่ายดายแบบนั้น

เธอรู้แต่ว่ากันตามีอะไรให้ต้องค้นหาและคิดว่ากันตาไม่เหมือนใคร เพียงแต่ตอนนี้เธอจะต้องพยายามค้นให้ได้ว่าอะไรที่เก็บซ่อนอยู่ในผู้หญิงสองบุคลิกคนนี้

....................

ตกเย็นธิติมาบอกให้รตีกับจันทร์จิรากลับบ้านไปก่อนพร้อมกับฝากกระเป๋าหนังสือกลับบ้านไปด้วย เพราะถ้ารอกลับพร้อมกันกันตาอาจจะตามกลับไปที่บ้านเช่า ซึ่งทั้งสองคนก็เห็นด้วยเพราะจากที่ธิติมาเล่ามานั้นทั้งสองคนเห็นว่ากันตาท่าทางจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งแบบเข้าขั้นเลยทีเดียว

ธิติมารอกันตาอยู่ที่หน้าตึกจนได้เวลาเลิกเรียนกันตาก็เดินลงมา

“อ้าวธิเราคิดว่าธิจะไม่รอเราแล้ว”

“รอสิสัญญาว่าจะรอก็ต้องรอ ว่าแต่เจี๊ยบจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าหรือว่าจะไปไหนก่อน” ธิติมายื่นมือไปขอหนังสือที่กันตาถืออยู่เพราะเธอเห็นว่าตัวเธอไม่มีของอะไรอีกอย่างท่าทางของกันตาก็แสดงออกว่าหนังสือที่เธอถืออยู่นั้นมันหนักเอาการอยู่

“ไปหาอะไรกันกันก่อนกลับดีหรือเปล่า เวลากลับไปที่หอเราจะได้ไม่ต้องไปหาอะไรกินอีก” กันตายื่นหนังสือบางส่วนให้กับธิติมาและเดินมาเกาะแขนของธิติมาแบบไม่ยอมปล่อยอีกครั้ง

ทั้งสองคนแวะกินข้าวที่สยามสแคว์และเดินเล่นกันแถวนั้น กันตาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้แต่ไม่ได้ซื้ออะไรติดมืออกมาสักอย่าง ทำเอาธิติมาชักเบื่อ

“จะเดินอีกนานไหมเจี๊ยบเราเมื่อยแล้ว”

“อ้าวเหรองั้นกลับบ้านก็ได้ธิแวะไปที่หอเราก่อนไหมหละ”

“ก็อาจได้ถ้ามันไม่นานมาก”

“จะรีบกลับไปทำรายงานเหรอส่งตั้งอาทิตย์หน้าทำไมรีบนักหละ”

“ต้องรีบหน่อยสิ มันมีรายงานหลายวิชาเราไม่ชอบพอกหางหมูเอาไว้ แค่พอกไว้ที่พุงก็เดินจะไม่ไหวแล้ว” ธิติมาลูบพุงตัวเองเพราะตั้งแต่ที่เธอไม่ได้เล่นกีฬาพุงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาทีละนิดละหน่อยจนเธอรู้สึกอึดอัดไปหมด

“ไว้ธิว่างๆ เราไปเล่นกีฬากันเอาไหมเราเองก็ไม่ได้เล่นนานแล้วเหมือนกัน เราอาศัยเดินจากที่มอกลับบ้านทุกวันก็เลยไม่ลงพุง

“โหจากที่มอกลับบ้านไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะเดินไหวเหรอ”

“ไหวสิเมื่อก่อนเราก็วิ่งทุกวัน วันละหลายกิโลแค่เดินกลับบ้านมีวิวให้ดูเพลินๆ ทุกวันดีออก แต่เสียอย่างเดียวควันมันเหม็นไปหน่อยก็แค่นั้นเอง ไม่เชื่อธิลองเดินกลับบ้านกับเราไหมหละ”

“ไม่ไหวมั๊งวันนี้เราเดินจนเมื่อยไปหมดแล้วไว้วันหลังเถอะ”

“ก็ได้ธิสัญญาแล้วนะว่าวันหลังธิจะเดินกลับบ้านพร้อมเรา”

ธิติมาเริ่มรู้สึกว่าเธอติดกับดักของกันตาสาวสวยสองบุคลิกอีกครั้งแล้ว นี่เธอไม่ทันคนถึงขนาดนี้เลยเหรอ

................

ธิติมานั่งรถเมล์ไปส่งกันตากลับหอพักและเธอก็รู้ว่าหอพักของกันตาเลยซอยเข้าบ้านเช่าของเธอไปเพียงแค่ป้ายรถเมล์เดียว

ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยเห็นหรือพบกันตาบนรถเมล์มาก่อนหรือเป็นเพราะกันตาเดินไปและเดินกลับก็อาจเป็นได้ ทั้งสองก็เลยไม่เคยพบกัน

กันตารูดบัตรเปิดประตูหอเสร็จก็ชักชวนธิติมาให้ขึ้นไปที่ห้องของเธอ

“จะดีเหรอเจี๊ยบเราพึ่งเคยรู้จักกันเจี๊ยบไม่กลัวเราปล้นเจี๊ยบเหรอ”

“เราไม่กลัวหรอกเพราะรู้ว่าธิไม่ใช่คนแบบนั้นแน่ๆ ไปเถอะไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้แล้วค่อยกลับบ้าน” กันตาจูงมือของธิติมาให้เดินตามเธอขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพักของเธอ

ห้องของกันตาไม่มีอะไรมากมีเตียงขนาดใหญ่ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะเขียนหนังสือ ที่ทางหอพักมีไว้ให้ใช้ ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องก็มีตู้เย็น และโทรทัศน์วางไว้คู่กัน

กันตาใช้ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งเป็นฉากกั้นไม่ให้คนมองเข้ามาเห็นเตียงนอนนี่ก็คงเป็นส่วนหนึ่งของหอพักที่จัดไว้ให้ ธิติมานั่งลงที่ปลายเตียงของกันตาเพราะไม่รู้ว่าจะไปนั่งตรงไหนดี

กันตาเปิดตู้เย็นและหยิบน้ำออกมาให้ธิติมาดื่มพร้อมด้วยขนมสองสามอย่าง

ธิติมารับน้ำมาดื่มอย่างหิวกระหายจนหมดแก้ว เพราะตั้งแต่เดินเล่นที่สยามกับกันตาเธอก็ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก กันตาเองก็เช่นกัน

“เอาน้ำอีกไหมท่าทางจะหิว” กันตาชูขวดน้ำดื่มพลาสติคที่พึ่งจะเปิดฝาขวดใหม่ๆ ให้ธิติมาดู

“ขออีกนิดก็ดี”

กันตาเทน้ำให้ธิติมาเพิ่มและธิติมาก็ดื่มไปจนหมดแก้วอีกรอบ

“ไม่กลัวเราจะใส่ยานอนหลับหรือยาปลุกเซ็กส์ไว้ในน้ำเหรอ”

“เออนั่นสิ” แล้วธิติมาก็แกล้งล้มตัวลงนอนสลบเหมือนคนโดนมอมยา

ท่าทางของธิติมาทำให้กันตารู้สึกขบขัน และล้มตัวลงนอนตามธิติมาไปติดๆ ทั้งสองจ้องตากันและกัน ก่อนที่ธิติมาจะได้สติและลุกพรึบขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

“เราคงต้องกลับก่อนนะเจี๊ยบ”

“ไว้วันหลังแวะมาอีกนะธิ”

“อือไว้เราแวะมาถ้าวันไหนว่าง” ธิติมาตอบเลี่ยงๆ และลุกขึ้นยืน แต่ก็ช้ากว่ากันตาที่คว้าข้อมือของเธอไว้

“ธิสัญญานะว่าจะมาอีกอย่างให้เรารอเก้อนะธิ” กันตากอดเอวของธิติมาไว้หลวมๆ

“จ้าแต่ตอนนี้เราต้องไปแล้วนะไม่ต้องลงไปส่งเราหรอกเราลงไปเองได้ไม่ต้องห่วงเรา ไปเจี๊ยบไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ” ธิติมาพูดพร้อมกับปลดแขนของกันตาที่กอดเอวของเธอไว้ออกไป และรีบเปิดประตูเดินออกมาจากห้องของกันตาไม่รอลิฟต์แต่วิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

เพราะหากว่าเธออยู่ต่ออีกนิดเรื่องบางเรื่องอาจเกิดขึ้นโดยที่เธอเองไม่ได้ตั้งใจ

หากจะเกิดอะไรขึ้นมันควรจะสวยงามกว่านี้ไม่ใช่เพียงเพราะอารมณ์หลงใหลไปเพียงชั่วคราวของเธอ

สำหรับเธอความรักมันต้องสวยงามไม่ใช่หรือ

..... จบบทที่ ๑๓ ....



Create Date : 06 มิถุนายน 2551
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:08:15 น. 5 comments
Counter : 297 Pageviews.

 
บอดเงียบจังเลยคุณครับ


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:21:07:55 น.  

 
ค่ะเงียบมากๆ

จนฉันคิดว่าร้างไปแล้ว

คุณต้นรังคงถือศีลอยู่คะ ท่านอื่นๆ ฉันไม่ทราบ

คุณข้าวทานอะไรหรือยังรับน้องสนุกปะคะเล่าให้ฟังหน่อยจิ


โดย: รันหณ์ วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:21:21:01 น.  

 
เอ่อออ...ข้าวมีเรื่องอยากถามแต่ไม่ได้ถาม นานแล้วครับ

สรุปว่าเมลที่ชื่อว่า ping_dow@hotmail.com เป็นเมลของคุณรันหณ์รึป่าว ข้าวเริ่มสับสน ประมาณว่า อยากรู้ แต่ไม่กล้าถามอ่ะครับ


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:21:25:42 น.  

 
ก็สนุกดีครับ แต่อาจจะไม่สนุกสำหรับน้องเท่าไหร่มั้งครับ กลัวพวกข้าวมากมาย ห้าห้า เหมือนตัวเองโหดร้ายจังเลยครับคุณ เพิ่งทานข้าวหมูทอด คุณแฟนบอกว่าเป็นอาหารเด็กน้อย ทำไงได้ก็ข้าวกินเผ็ดไม่ได้เลย เหอๆ อนาจจิตจังเลย

ยังไงวันนี้ก็ฝันดีนะครับ


โดย: ข้าว IP: 202.44.135.242 วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:0:04:38 น.  

 
ใช่ค่ะ เมลนั้นแหละค่ะของฉันเอง

ว่าแต่ถามทำไมหรือคะ

น้องๆ ก็ต้องกลัวพี่ว๊ากเป็๋นธรรมดา

ประเภทสวยเลือกไม่ได้เพราะเป็นน้องปีหนึ่งจริงไหมคะ


โดย: รันหณ์ วันที่: 7 มิถุนายน 2551 เวลา:7:38:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.