It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องแนวยูริ : อนันตราบทที่ ๒๐

บทที่ ๒๐

นิชาภัทรพาอนันตราเดินทางไปเกาะสมุยดินแดนแห่งมะพร้าว เมื่อนิชาภัทรหาที่พักได้แล้วก็ออกมาเช่ารถจักรยานยนต์พาอนันตราขี่รถเล่นรอบเกาะ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว แต่ก็ยังมีความเจริญเข้ามาแทนที่ รีสอร์ตและที่พักมากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

นิชาภัรทพาอนันตราไปสักการะพระใหญ่ที่หาดพระใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคลของทั้งสองคน และเพื่อให้การเดินทางครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จากนั้นพาลัดเลาะไปตามชายหาด ผ่านอ่าวยายน้อย อ่าวเฉวงอ่าวท้องยาง มาหาดละไมเพื่อให้อนันตราได้แวะดูหินยาหินยาย ที่ใครๆ ก็เล่าขานกันมาว่านานมาแล้วว่า

มีตายายคู่หนึ่งชื่อตาแครง ยายเรียม เป็นชาวอำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางโดยเรือใบเพื่อเดินทางไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่ายจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ให้กับลูกชาย เมื่อเรือเดินทางมาถึงบริเวณหาดละไมก็เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือของสองตายายล่ม ทั้งตาและยายเสียชีวิตคลื่นซัดตาและยายขึ้นมาเกยหาดก็เลยกลายเป็นหินที่เห็นอยู่จนทุกวันนี้

“ตาว่าเหมือนไหมหล่ะหินที่ตายืนนั่นนะเป็นหินยายนิ” นิชาภัทรชี้บริเวณที่อนันตรายืนอยู่เป็นซอกหินที่มีลักษณะเว้าเข้ามาเป็นเหมือนซอกหลืบ เมื่อยามคลื่นซัดมาก็จะกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

“อืมค่ะ”

“นั่นทางด้านขวามือของตาก็คือหินตานะ” นิชาภัทรชี้ให้อนันตราดูหินที่จั้งเดินเป็นสง่าในหมู่หินทั่วไป

“พี่ว่าขนาดดูเหมาะสมกันดีนะนี่ หินตานะหินยายนิ” นิชาภัทรเริ่มจะมีรอยยิ้มทะเล้นขึ้นมาบนใบหน้า

“บ้า พิ่นิ” อนันตรานึกจินตนาการตามนิชาภัทรและสรรพนามแปลกๆ ที่นิชาภัทรกล่าวถึงก็ทำให้เธอหน้าแดงเป็นลูกตำลึง และซัดกำปั้นเบาๆ ไปที่แขนของนิชาภัทร ทำให้นิชาภัทรต้องวิ่งหลบกำปั้นนั้นอย่างชุลมุนวุ่นวาย เพราะที่เธอยืนกันอยู่ตรงนี้ลาดเอียงและไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

หลังจากที่วิ่งกันมาได้สักระยะ นิชาภัทรก็นำอนันตราขึ้นรถจักรยานยนต์พาไปหาดตะหลิ่งงาม เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน เค้าว่ากันว่าพระอาทิตย์ตกดินที่นี่งดงามที่สุดในเกาะสมุย ทั้งสองนั่งดูไข่แดงลูกโตที่ค่อยๆ อ่อนแสงลงไปในทะเลที่เวิ้งว้างห่างไกล ขอบฟ้าจรดทะเลความอ้างว้างเกิดขึ้นในใจ แต่ความอบอุ่นของอ้อมแขนที่โอบกอดซึ่งกันและกันทำให้มีความอบอุ่นขึ้นมาแทนที่

ระหว่างเดินทางกลับไปที่พักอนันตราที่นั่งซ้อนอยู่ข้างท้ายก็รู้สึกหนาวนิชาภัทรเองที่เป็นคนขี่ก็รู้สึกได้เช่นกัน

“หนาวไหมตา ถ้าหนาวกอดพี่ไว้สิ” นิชาภัทรจับมืออนันตราให้โอบกอดเธอจากด้านหลัง อนันตราซบใบหน้าลงบนไหล่ของนิชาภัทร

เจ้าของไหล่นี้ทำให้อนันตรารับรู้ได้ถึงความรักที่มีให้แก่กัน กระแสความรักที่มากมายไหลผ่านไหล่ที่แข็งแรงพร้อมที่จะให้เธอได้พักพิงเมื่อยามอ่อนล้า

............................

วันรุ่งขึ้นิชาภัทรพาอนันตราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่แหลมหนันตั้งแต่เช้าตรูเพราะพวกเธอพักใกล้ๆ บริเวณนั้น

“ต่างกันไหมตาพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก” นิชาภัทรมี่นั่งอยู่ข้างๆ อนันตราถามขึ้นเมื่อเห็นคนข้างๆ เหม่อมองไปที่ทะเลไกล

“ต่างกันค่ะพี่ พระอาทิตย์ตกดูเศร้า แต่พระอาทิตย์ขึ้นดูแล้วสดใส แสงแรกของวันใหม่ทำให้รู้สึกสดชื่นมากกว่าแสงสุดท้ายของวัน”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละตา พี่ว่าพระอาทิตย์ก็เหมือนชีวิตคนเรา ตาดูสิเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพี่ว่าเหมือนเด็กแรกเกิดที่ยังคงแสงอ่อนๆ แต่เมื่อเติบโตแข็งแรงก็แผดเผาไปทั่ว ให้ความสว่างและความร้อนแต่เมื่อถึงเวลาต้องลาจากก็อ่อนล้าในวัยชราของคนเราก็คงจะเหมือนกันนะตา”

“อืมค่ะพี่” อนันตราพยักหน้าเห็นด้วยกับคนรัก

“ปะตาไปทานอาหารเช้ากันวันนี้เราจะตะลอนเที่ยวให้ทั่วเกาะสมุย” นิชาภัทรลุกขึ้นและยื่นมือฉุดคนรักให้ลุกขึ้นตามเธอ สองมือเกาะกุมเดินจูงกันไปบนหาดทรายสีขาวละเอียด

อนันตราพึ่งจะเคยสังเกตว่านิชาภัทรจะดื่มทุกครั้งเมื่อทานอาหารเสร็จถึงแม้จะดื่มไม่มากแต่ก็ทำให้อนันตราเริ่มที่จะเป็นห่วงคนรักของเธอ

“พี่นิทำไมดื่มแบบนี้หล่ะค่ะ ปกติไม่เคยเห็นดื่ม”

“ก็ปกติพี่ทำงานแต่นี่เรามาเที่ยวฮันนีมูนกันพี่ก็เลยดื่มได้ ไม่ต้องห่วงพี่หรอกตาดื่มเล็กน้อยเท่านั้นให้สดชื่น” นิชาภัทรอ้างไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นเอง เพราะหมู่นี่เธอเครียดจัดเรื่องงานจนต้องหาทางระบายออกแต่ด้วยนิสัยของเธอเองที่ไม่ชอบจะปรึกษาใครก็ได้แต่นั่งดื่มไปคิดไปเรื่อยๆ แบบนี้

“แต่ตาไม่อยากให้พี่นิดื่มเลยค่ะ พี่นิดื่มมากๆ แบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพนะ ถ้าพี่นิเป็นอะไรไปแล้วตาจะอยู่กับใครหล่ะคะ พี่นิเลิกดื่มได้หรือเปล่าคะเพื่อตาเพื่อเรา” อนันตราจ้องหน้าคนรักเหมือนจะขอสัญญาจากคนรักของเธอ

“ได้สิตาเพื่อเราแต่พี่ขอแค่เที่ยวครั้งนี้เสร็จก่อนได้ไหมและพี่สัญญาว่าจะไม่ดื่มถ้าไม่จำเป็น” นิชาภัทรยื่นนิ้วก้อยเพื่อทำพันธสัญญากับคนรักที่นั่งหน้าง้ำเพราะคนตัวโตไม่ยอมสัญญาว่าจะเลิกดื่มในทันที แต่ก็ยังดีที่มีข้อสัญญาว่าจะเลิกดื่มเมื่อเที่ยวครั้งนี้จบลงเรียบร้อยแล้ว

“สัญญาต้องเป็นสัญญานะคะคนดีของตา”

“จ๊ะพี่สัญญา”

.............................

น้ำตกหน้าเมืองแม้จะไม่ค่อยมีน้ำมากนักแต่ก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเป็นระยะๆ สายน้ำตกที่ไม่สูงมากนักแอ่งน้ำจืดที่ใสและเย็นฉ่ำ นิชาภัทรเลือกที่จะนั่งช้างชมธรรมชาติของสวนมะพร้าวที่เกาะสมุย อนันตราตื่นเต้นกับการนั่งช้างครั้งแรกของเธอ เมื่อช้างก้าวแต่ละก้าวเธอก็จะแกว่งไปแกว่งมาไปตามจังหวะการเดินของช้างไปด้วย

“พี่นิเอวตาจะครากไหมนี่”

“ตาก็ขยับตามจังหวะการเดินของช้างสินี่ทำแบบนี้” นิชาภัทรโยกตัวไปมาตามจังหวะการเดินของช้างให้อนันตราได้ทำตาม และก็ช่วยได้จริงๆ อย่างที่นิชาภัทรบอกจริงๆ

ออกจากน้ำตกก็มุ่งหน้าเที่ยวตามรายทางดูสวนลิงที่ฝึกลิงให้เก็บมะพร้าว ดูวิถีชีวิตของคนในเกาะเรื่อยไป

“ตาลงมาเถอะอย่าขึ้นไปเลยเดี๋ยวตก” นิชาภัทรตะโกนบอกลิงตัวหนึ่งที่ปีนป่ายขึ้นไปบนยอดมะพร้าวให้ลงมา

“พี่นิ!!! นี่หาว่าตาเป็นลิงเหรอ แบบนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว ต้องตายแน่จริงอย่าหนีนะหยุดเดี๋ยวนี้” อนันตราวิ่งตามนิชาภัทรที่พูดกับลิงจบก็วิ่งอ้าวไปไกลจนอนันตราวิ่งตามแทบไม่ทัน

จนสุดท้ายนิชาภัทรตัดสินใจว่าจะไปดำน้ำดูประการังที่เกาะมัตสุมเกาะนี้มีแนวปะการังน้ำตื้นที่สวยงาม ทั้งสองเช่าเรือหางยาวจากอ่าวท้องกรูดเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางไม่นานก็ถึง

ระหว่างทางที่เรือเล่นไปจะเห็นฝูงปลากระโดดขึ้นมาล้อเล่นกระกระแสคลื่นอยู่เป็นระยะๆ

“พี่นินั่นอะไรอะ” อนันตราถามนิชาภัทร

“ก็ปลาไงถามได้” นิชาภัทรหันไปมองหน้าอนันตราเหมือนจะถามว่าไม่รู้จักปลาหรอกหรือ

“ไม่ใช่ ตาจะถามว่าปลาอะไร ปลาน่ะตารู้จักแล้ว” อนันตราชักโมโหกับคำตอบที่ยั่วยวนอารมณ์เธอยิ่งนัก

“ปลาบินมั๊ง โธ่ตาพี่จะไปรู้ได้ไงพี่ไม่ใช่ชาวประมงนะจะได้รู้ว่าเป็นปลาอะไร” นิชาภัทรเริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

“เอ๊าก็นึกว่าจะรู้เห็นรู้ไปหมดทุกเรื่องมดเดินผ่านตัวไหนปวดหัวพี่นิก็ยังรู้เลย” อนันตราค่อนขอดคนรักของเธอ

“มดปวดหัวถ้าพี่รู้พี่ก็ไปเป็นแม่หมอแล้ว”

“หมออะไรพี่นิ”

“หมอยูมั๊งปาดโธ่ตาถามอะไรมาได้ไม่เห็นจะตอบได้สักอย่าง ดูปลากันต่อเถอะ โน่นๆ ดูสิฝูงใหญ่เชียว” นิชาภัทรกลบเกลื่อด้วยการชักชวนให้อนันตราดูฝูงปลาที่กระโดดอยู่ข้างเรือคงเพราะความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งปะการังทำให้มีฝูงปลาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก แหล่งประการังคือแหล่งอาหารของเหล่ามวลหมู่ปลาทั้งหลาย ชีวิตเอื้อชีวิตเป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน

แหล่งประการังที่เกาะมัตสุมนี่สมบูรณ์และสวยมาก อนันตาและนิชาภัทรดำดูประการังบนผิวน้ำและฝูงปลาที่แหวกว่ายอย่างสนุกสนาน จนเวลาคล้อยบ่ายทั้งสองจึงนั่งเรือกลับไปยังสมุย ความเหนื่อยอ่อนจากการดำผุดดำว่ายอยู่กลางทะเลทำให้ทั้งสองหลับไปอย่างง่ายดาย

สมุยแม้ไม่ใช่เกาะที่ใหญ่โตอะไรมากมายนักแต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งหมู่เกาะที่รายล้อมมากมาย ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองเดินทางไปยังหมู่เกาะวัวตาหลับซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองที่ด้านหน้าของเกาะเป็นหาดทรายขาวสะอาดน่าเดินเล่นจนไม่อยากจะจากไปไหน

“นี่ถ้าให้ตาเลือกได้นะพี่นิตาอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตถึงให้ตายตาก็ยอม แต่ก็อย่างว่านะพี่ เราต้องทำงานและกลับไปมีชีวิตอยู่ในทุ่งคอนกรีตเหมือนเดิมนั่นแหละ” อนันตรานึกถึงชีวิตหลังจากนี้ที่ต้องกลับไปทำงานแล้วก็เกิดไม่อยากกลับไปจากธรรมชาติแห่งนี้เลยจริงๆ

“อืมใช่สิตา ถ้าตาชอบที่นี่พี่จะพามาบ่อยๆ เอาไหม” นิชาภัทรหันไปถามอนันตราที่ยืนชื่นชมธรรมชาติสวยงามของเกาะ

“ถ้าได้แบบนั้นก็ดีที่สุดในโลกเลยพี่นิ แต่ถ้าวันไหนพี่นิลืมสัญญาตาจะทวงจนวันตายเลยคอยดู” อนันตราทำท่าเป็นแม่เสือจะบดขย่ำนิชาภัทรที่อยู่ตรงหน้า

“รับรองไม่ลืมแน่ตาเพราะพี่จะจัดทัวร์มาสมุยทุกปี และตากับพี่จะเป็นไกด์นำเที่ยวด้วยไงหล่ะ” นิชาภัทรบอกถึงที่มาของการมาสมุยให้กับอนันตราได้รับรู้เพราะเธอเริ่มมีแผนการจัดทัวร์ใหมาอีกครั้งในหัวสมองอีกแล้ว

“ไอ้พี่นิงก นี่จะให้ตามาเป็นไกด์นำเที่ยวมาเกาะนี่นะ ที่ตาพูดหมายถึงมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศไม่ใช่มาทำงาน” อนันตราโวยวายอย่างเหลืออดที่นิชาภัทรมาทำให้เสียบรรยากาศการฝันหวานตอนกลางวันของเธอ

“เอ๊าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุและเป็นการทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วยในตัว น่านะตา สร้างครอบครัวไปด้วยกัน เงินพี่ก็เหมือนเงินตานั่นแหละ จะแบบไหนก็กระเป๋าเดียวกัน”

“ไม่เด็ดขาดเงินตาไม่มีทางเป็นของพี่นิแน่ๆ แต่เงินพี่นินะของตาแน่ๆ อิอิ” อนันตราวิ่งนำนิชาภัทรขึ้นไปจุดยังจุดชมวิวเมื่อมาถึงที่ก็หอบแฮ็กๆ เพราะความาเหนื่อยที่ต้องวิ่งหนีนิชาภัทร แต่เมื่อได้มองวิวเห็นหมู่เกาะอ่างทองทั้งหมดที่ทอดตัวเรียงรายเป็นแนวยาวก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“โห้ พี่นินี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ เลยค่ะพี่ ดูสิคะสวยจังเลย” อนันตราพึมพำอย่างมีความสุข และจากนั้นทั้งสองก็เดินเท้าไปยังถ้ำบัวโบกในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยรูปร่างสวยงามคล้ายดอกบัวบาน

“พี่นิว่านี่ดอกบัวอะไร” อนันตราชี้ชวนให้นิชาภัทรดูหินย้อยที่ได้เห็นแต่ก็ไม่ได้คำตอบจากนิชาภัทรอนันตราจึงว่า

“บัวหินหมื่นปีไงพี่นิ”

“บ้าแล้วบัวอะไรกันตาอายุตั้งหมื่นปี พี่เคยได้ยินแต่ในหนังจีนมีบัวหิมะพันปี” นิชาภัทรไม่เห็นด้วยกับคนรักเลยสักนิด

“แต่ตาว่าเป็นหมื่นปีจริง นะพี่ลองดูสิกว่าน้ำจะเอาหินปูนหยดลงมาได้หนึ่งหยด กว่าหินปูนจะงอกออกมาจนเป็นรูปบัวนี่ตาว่าใช้เวลามากกว่าพันปี น่าจะเป็นหมื่นปีหรือมากกว่านั้น ธรรมชาติกว่าจะสร้างอะไรขึ้นมาได้ใช้เวลานานจังเน๊อะ แต่มนุษย์กลับทำลายธรรมชาติแค่เพียงกระพริบตาก็หายไป” อนันตรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ธรรมชาติสร้างมนุษย์ แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อทำลายธรรมชาติ เป็นแบบนี้มากี่ร้อยพี่พันปีแล้ว

จากนั้นทั้งสองนั่งเรือไปเกาะวัวตาหลับเพื่อที่จะไปดูทะเลใน ทะเลในเป็นทะเลที่ถูกโอบล้อมด้วยเกาะสลับซับซ้อนดูเหมือนจะไม่มีทางเข้าออกของน้ำ แต่ทะเลในแห่งนี้มีอุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลที่อยู่ด้านนอก ธรรมชาติมักสร้างอะไรที่คนเราไม่สามารถจะคาดเดาได้ เมื่อเดินไปยังจุดชมวิวก็ได้เห็นทิวทัศน์ของทะเลในอันสวยงานได้โดยรอบ

“ตาว่าถ้าเรามุดลงไปในถ้ำจะมีชีวิตรอดออกมารึเปล่า”

“ตาว่าไม่มั๊ง ถ้าเป็นแบบมุดไปตอนน้ำขึ้นก็คงไหลตามน้ำ แต่ในนั้นจะมีทางออกหรอเปล่านี่สิปัญหาเลยพี่นิ” อนันตรายืนคิดตามคำถามของนิชาภัทร

“งั้นเราก็เอาแบบนี้สิ ผูกเชือกไว้กับปลา แล้วให้ปลาว่ายไปถ้าเชือกหยุดแค่ไหนเราก็รู้แล้วว่าถ้ำไปไม่ได้หยุดแค่นั้น”

“พี่นิถ้าเกิดปลามันว่ายเข้าไปแล้วมันไม่ว่ายต่อจนทะลุไปอีกข้างทำไงอะ” อนันตรานึกสงสัยขึ้นมาบ้าง

“ก็ช่างปลาเพราะพี่ไม่ได้ว่ายตามปลาไปนี่นา อิอิ” นิชาภัทรเริ่มรวนอนันตราเข้าบ้างแล้ว

“อ้าย.......พี่นิบ้า!!!!!! แล้วให้ตาคิดตามอยู่ได้ปั๊ดโธ่เอ๊ย”

เมื่อกลับไปยังสมุยวันนี้นิชาภัทรตัดสินใจชวนอนันตราใจเข้าสปาเพื่อนวดตัวผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าในการท่องเที่ยวในหลายวันที่ผ่านมา ทั้งสองหลับไปท่ามกลางกลิ่นหอมของน้ำมันหอมละเหยที่ใช้ในการนวดตัวอย่างสบายและผ่อนคลาย

วันเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้ทั้งสองคนจะเดินทางกลับกรุงเทพทั้งสองตัดสินใจเดินทางกลับด้วยรถไฟ ดังนั้นจึงอยู่เที่ยวในช่วงเช้าที่สมุย และนั่งเรือเฟอรี่ออกมาจากเกาะไปลงเรือที่ท่าดอนสักและนั่งรถประจำทางไปขึ้นรถไฟที่อำเภอพุนพินถึงแม้การเดินทางจะไม่สะดวกสบายแบบการเดินทางขามาแต่ก็สร้างสีสันให้กับการเที่ยวครั้งนี้ได้อย่างมาก

นี่แหละที่ใครๆ ก็เรียกกันว่า ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ แต่การเดินทางของพวกเธอครบทุกอย่างทางอากาศให้ความสะดวกรวดเร็ว ทางรถไฟช้าแต่ได้บรรยากาศ ทางเรือให้ความสนุกและตื่นเต้น ครบทุกรสชาติของการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ฮันนี่มูนที่มีความสุขที่สุดแล้วใช่ไหมอนันตราที่รักของนิชาภัทร

.........จบบทที่ ๒๐..........




 

Create Date : 28 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:30:02 น.
Counter : 351 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : อนันตราบทที่ ๑๙

บทที่ ๑๙

นิชาภัทรพาอนันตรากลับบ้านเมื่อคล้อยหลังนนทิเนตรและจิราพรไปได้ไม่นาน โดยเธอบอกกับอนันตราว่าเธอต้องกลับไปทำงานที่บ้านสวนเพราะสั่งของเอาไว้

อนันตราสังเกตว่าวันนี้นิชาภัทรดูสงบเยือกเย็นและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หรือเรื่องเมื่อคืนที่นิชาภัทรรุกรานเธอจะเป็นที่ถูกใจกันแน่นะ

อ๋อ ใช่สิ!!!

ก็เธอมันคนใจง่ายยินยอมพร้อมใจให้นิชาภัทรรุกรานโดยไม่ต่อต้านไม่โวยวาย อนันตรานึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาแม้จะไม่สวยงามแต่เธอก็ยินยอม คิดไปแล้วอนันตราก็นั่งหน้าแดงอยู่ข้างๆ นิชาภัทรที่ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบเพลงที่เปิดในรถก็เป็นเพลงคลาสสิคฟังสบายหู ทำให้อารมณ์เพลิดเพลินไปตลอดทางกลับบ้านสวน

เมื่อกลับไปถึงบ้านสวนอนันตราก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมีรถมาส่งของเธอดูเวลาก็เห็นว่าเย็นมากแล้วและคุณกฤติกาก็แต่งตัวสวยกว่าทุกวันเหมือนกับว่าจะออกไปงานเลี้ยงที่ไหน

“แม่จะไปไหนเหรอคะ แต่งตัวซะสวยเชียว”

“อืมแม่จะออกไปงานเลี้ยงนะตา ชุดนี้เป็นไงสวยพอไหม” คุณกฤติกายืนโชว์ชุดที่เธอแต่งให้บุตรสาวดู

“สวยค่ะแต่ไม่เคยเห็นชุดนี้เลยนี่คะแม่”

“อืมก็ใช่นะสิลูกแม่พึ่งซื้อมาเมื่อเช้านี้เอง”

“เอ๊า...ปกติแม่ไม่เคยซื้อชุดทำไมถึงได้ซื้อหล่ะคะแม่” อนันตราถามมารดาที่ซื้อชุดใหม่ เพราะที่ผ่านมาคุณกฤติกาไม่เคยที่จะซื้อชุดที่ไหนมาก่อน นอกจากตัดเย็บเอง ชุดของเธอก็เช่นกันคุณกฤติกาตัดให้ทั้งหมด

“วันนี้วันพิเศษนะตา แม่ก็เลยต้องไปหาซื้อชุดใหม่มาใส่ไปงานฉลองกันหน่อย”

“แม่จะไปงานเลี้ยงอะไรเหรอคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกว่าแต่ตาเถอะไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยแม่เตรียมชุดไว้ให้ตาแล้วอยู่บนห้อง ไปอาบน้ำแล้วใส่ไปงานกับแม่ เดี๋ยวคุณนิจะไปส่งเราสองคนที่งาน”

“อ้าวเหรอคะทำไมพี่นิไม่เห็นบอกอะไรตา บอกแต่ว่าจะมีคนมาส่งของก็เลยรีบกับมากันนี่แหละ”

“อืมแม่ไม่ได้บอกคุณนิล่วงหน้า พึ่งจะบอกเมื่อครู่นี้เอง ตารีบไปแต่งตัวเถอะแม่รอข้างล่างนี่แหละ” คุณกฤติกาลุนหลังบุตรสาวให้รีบไปแต่งตัวเพื่อไปออกงานที่นานๆ ครั้งเธอจะไป และงานนี้ก็สำคัญมากเสียด้วยสิ

อนันตราอดแปลกใจอีกครั้งไม่ได้ชุดที่มารดาเธอเตรียมไว้ให้เหมือนชุดไปงานราตรีอะไรสักอย่าง แต่ช่างเถอะคงเป็นงานสำคัญไม่อย่างนั้นมารดาเธอคงไม่ให้ไปงานนี้แน่นอน แต่ชุดนี้สิไม่ได้ปกปิดร่องรอยเมื่อคืนนี้เลย ชุดที่เปิดโล่งไปทั้งไหล่และหลัง อนันตราพยายามลงรองพื้นเพื่อกลบร่องรอยที่ตัวเธอ ดูเหมือนจะกระดำกระด่างอย่างบอกไม่ถูกแต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำ ถ้าใครมาเห็นเข้าคงน่าเกลียดพิลึก

อนันตราแต่งตัวเสร็จก็เดินลงมาเห็นคุณกฤติกานั่งรออยู่แต่ไม่เห็นเงาของนิชาภัทรที่เสนอตัวเป็นสารถีให้มารดาและเธอในวันนี้อจึงเอ่ยถามกับมารดาของเธอ

“พี่นิหล่ะคะแม่ไหนว่าจะไปส่งเราสองคนไปงาน”

“รอที่รถแล้วหล่ะตา วันนี้ตาสวยจังเลยนะลูก เห็นตาแล้วแม่รู้สึกปลื้มจริงๆ” คุณกฤติกาเอ่ยชมบุตรสาวและเดินนำอนันตราไปที่รถของนิชาภัทรที่จอดรออยู่ที่หน้าบ้าน

เมื่อสองแม่ลูกเดินมาถึงรถที่จอดรออยู่ นิชาภัทรก็เดินมาเปิดประตูให้คุณกฤติกาและอนันตราเพื่อให้ขึ้นนั่งบนรถและเดินย้อนกลับมานั่งประจำที่คนขับ วันนี้นิชาภัทรแต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาวกางแกงขาวและรองเท้าขาว ดูเท่ห์ไปอีกแบบในสายตาของอนันตรา แต่เธอก็ทำได้เพียงชำเลืองมองด้วยหางตาเท่านั้นก็เธอกำลังโกรธคนในชุดขาวที่นั่งข้างๆ เธอคนนี้อยู่นี่นา

................................

นิชาภัทรขับรถมาถึงโรงแรมหรูย่านใจกลางเมือง อนันตราเคยได้แต่มองว่าโรงแรมแห่งนี้หรู เธอไม่เคยเดินหรือเฉียดเข้ามาสักครั้ง เพราะเธอกลัวไปทำข้าวของเสียหายและไม่ปัญญาจะชดใช้ให้กับทางโรงแรม ในวันนี้เธอได้เดินเข้ามาด้วยท่าทางประหม่าแต่ดีที่มีคนเดินมาเป็นเพื่อน นิชาภัทรควงสองแม่ลูกซ้ายคนขวาคนเดินนำไปที่ห้องอาหารหรูแห่งหนึ่งในโรงแรมนั้น

บนโต๊ะอาหารมีจานช้อนมากมายวางอยู่อนันตรารู้สึกประหม่ากับอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมาก เธอเคยเรียนมาว่าการรับประทานอาหารของฝรั่งเป็นพิธีรีตองมากมาย แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองแบบนี้ ที่โต๊ะอาหารมีเพียงเธอมารดาและนิชาภัทรที่นั่งกันเพียงสามคนเท่านั้น

อนันตรารู้สึกแปลกใจกับงานเลี้ยงครั้งนี้ นี่มารดาเธอกับนิชาภัทรเล่นอะไรกันไหนว่ามางานสำคัญ ทำไมไม่เห็นแขกอื่นเลยสักคน แต่เมื่อบริกรมาเสริฟ์อาหารอนันตราก็งงเป็นไก่ตาแตก แล้วจะหยิบช้อนอันไหนมาใช้ก่อนดีหล่ะนี่ มันเยอะไปหมด อนันตราชำเลืองมองนิชาภัทรและมารดาเห็นหยิบอะไรก็ใช้อย่างนั้น

เธออดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุไรมารดาของเธอจึงไม่รู้สึกประหม่ากับการทานอาหารมื้อแปลกๆ แบบเธอบ้าง แต่ก็คงคิดเช่นเดียวกันว่าคงแอบมองไปที่นิชาภัทรเหมือนกันแต่เปล่าเลยมารดาของเธอนั่งรับประทานอาหารแบบสบายๆ และดูดีมากๆ ในสายตาของเธอ อนันตราเคยได้ยินมาว่าช้อนเหล่านี้ให้ใช้ด้านนอกสุดก่อน เป็นไงเป็นกันหล่ะวันนี้

จวบจนบริกรนำไวน์มารินให้อนันตราแต่อนันตราไม่ได้รับมาดื่มแถมพูดปฏิเสธไปว่า

“ตาไม่ดื่มค่ะ” อนันตราตอบไปเพียงเบาๆ

“น้องตา การดื่มไวน์เค้าต้องรินให้น้องตาดมและชิมก่อนเค้าถึงจะรินให้คนอื่นๆ บนโต๊ะ” นิชาภัทรกระซิบเบาๆ

“อ้าวเหรอก็ตาไม่รู้นี่นา” อนันตรารู้สึกว่าตนหน้าแตกหมอแทบไม่รับเย็บ จากนั้นเธอก็ดมๆ และจิบๆ พร้อมกับทำหน้าตาเหยเก เพราะรสฝาดของไวน์ที่ผ่านลิ้นของเธอ

บริกรยิ้มๆ กับท่าทางของอนันตราและไม่ได้พูดอะไรพร้อมกับรินไวน์ให้กับทุกคน

คุณกฤติกาและนิชาภัทรหันไปมองหน้ากันแล้วยิ้มๆ เหมือนมีอะไรแอบแฝง อนันตราสังเกตเห็นได้จากท่าที่ของทั้งสองคน

“ดื่มให้กับวันพิเศษของเราค่ะคุณแม่น้องตา” นิชาภัทรชูแก้วไวน์ขึ้นชักชวนให้ทุกคนดื่ม

“แด่วันพิเศษของเราดื่มค่ะคุณนิลูกตา” คุณกฤติกาและนิชาภัทรชูแก้วขึ้นมาเพื่อดื่มฉลองกันสองคนโดยมีอนันตรายกแก้วน้ำเปล่าของเธอขึ้นร่วมดื่มด้วย แต่การดื่มฉลองครั้งนี้ฉลองอะไรกันอนันตราไม่อาจรู้ได้เลย

สักพักนิชาภัทรก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาว่า

“คุณแม่รับนิเป็นลูกอีกคนแล้วใช่ไหมคะ”

“ค่ะอย่างที่แม่บอกฝากตาไว้กับคุณนิด้วยแม่รักเค้าเป็นแก้วตาดวงใจและก็คิดว่าคุณนิก็เช่นกัน” คุณกฤติกาพูดแปลกๆ กับนิชาภัทร

นิชาภัทรพยักหน้าแทนคำตอบเธอคุกเข่าต่อหน้าอนันตราในทันที เธอหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทสีขาวสวยตัวนั้น จับมือของอนันตราขึ้นมาและบรรจงสวมแหวนลงที่นิ้วของอนันตราอย่างเบามือ หันไปมองคุณกฤติกาเป็นการเข้าใจกันว่ารับรู้ถึงการกระทำของเธอแล้ว

อนันตราเริ่มรู้แล้วว่านี่เป็นแผนของนิชาภัทรและมารดาของเธอที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า นี่มารดาของเธอรู้เห็นเป็นใจกับคนนอกหรือนี่ อนันตรามีน้ำตาที่ไหลออกมาเธอบอกไม่ถูกว่าปลื้มใจหรือเสียใจ

ความรู้สึกทั้งหมดทำให้สมองเธอคิดอะไรไม่ออกมารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อนิชาภัทรพาเธอมายังห้องชุดสุดหรูชั้นบนของโรงแรมแห่งนี้แล้ว มีคุณกฤติกาเดินเข้ามานั่งอยู่บนเตียงนอนนั้นและเธอกับนิชาภัทรก็นั่งอยู่ที่พื้นหน้าเตียง

“แม่ขอฝากตาไว้กับคุณนิ หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กันนะลูก เรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมา ขอให้มันผ่านไป อย่าเก็บมาใส่ใจ ชีวิตคู่ไม่ได้มีแค่วันนี้มันจะมีต่อไปเรื่อยๆ และตลอดไป” นิชาภัทรกราบที่ตักคุณกฤติกาส่วนอนันตรายังคงอยู่ในโหมดว่างและงง

คุณกฤติกาเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อย นิชาภัทรบอกให้อนันตราไปอาบน้ำอาบท่า ส่วนเธอเองนั่งจิบไวน์ชมแสงไฟของตึกสูงยามค่ำคืนที่ส่องเสงระยิยระยับอยู่เบื้องนอกกระจกบานใหญ่ อนันตราอยู่ในชุดเสื้อคลุมของโรงแรม เธอเองก็คิดว่าตัวเองคงต้องจัดการกับตัวเองเช่นกัน

เมื่อนิชาภัทรออกมาจากห้องน้ำก็เห็นอนันตรานั่งอยู่ใต้แสงเทียน เหม่อมองออกไปนอกกระจกบานใหญ่เธอเดินไปโอบเอวอนันตราที่นั่งอยู่

“อุ๊ย” อนันตราอุทานเพียงเผ่วเบา

“นั่งดื่มเป็นเพื่อนพี่นะตา” นิชาภัทรหยิบแก้วเปล่าอีกใบรินไวน์ให้กับอนันตรา

“พี่นิกับแม่เล่นอะไรกันอยู่คะ” อนันตราถามด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

“เล่นอะไรคะ ก็พี่จะบอกน้องตาว่าพี่รักน้องตาพร้อมที่จะดูแลน้องตาตลอดไปไงหล่ะ” นิชาภัทรทำหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ได้สร้างวีรกรรมอะไรไว้เลย

“นี่นะพี่นิที่เรียกว่ารัก พี่ดูสิว่าตาเต็มไปด้วยรอยอะไรที่พี่ทำกับตา นี่เหรอที่เรียกว่ารัก” อนันตราชี้ไปที่ลำคอหัวไหล่และบริเวณอื่นๆ ของเธอที่เป็นรอยเขียวช้ำไปหมด

นิชาภัทรจิบไวน์ไปนั่งมองอนันตราที่ระเบิดอารมร์กับเธอไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น จนอนันตราทนไม่ไหวลุกจากที่นั่งขึ้นมาและทุบนิชาภัทรไปหายตุบ นิชาภัทรไม่ได้ปกป้องตัวเองปล่อยให้อนันตราทุบตีอย่างแรงไปที่ตัวของเธอ เมื่อเห็นอนันตราร้องไห้นิชาภัทรจึงลุกขึ้นโอบกอดคนรักของเธอ

“พี่ยอมตาทุกอย่างแล้วตาจ๋า พี่รักตา พี่ขอโทษ พี่รู้ตัวว่าพี่หึงตามากแค่ไหน และรู้ตัวว่าพี่ทำกับตาไว้ไม่ดีเลยสักนิด พี่จะชดใช้ให้ชั่วชีวิตของพี่เอง ตาจะทำอะไรพี่ก็ยอมทั้งนั้นขออย่างเดียวบอกรักพี่สักคำได้ไหมคะ พี่อยากได้ยินคำนี้จากปากของตา จากปากของคนที่พี่รักสุดหัวใจ” นิชาภัทรจูบซับน้ำตาให้อนันตราและพาอนันตรามาที่เตียงนุ่มน่านอนหลังใหญ่กลางห้อง

ทั้งสองโอนอ่อนผ่อนตามซึ่งกันและกัน อนันตราไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ต้องยอมคนคนหน้าของเธอทุกครั้งไป ทั้งที่ในใจของเธออยากขัดขืน แต่ร่างกายสิไม่ได้เป็นไปตามหัวใจที่สั่งงานเลยสักนิด ได้แต่ทำตามคนตรงหน้าอย่างว่าง่ายเหลือเกิน

“คืนแรกแม้ไม่หอมหวานแต่พี่จะชดใช้ให้ตาชั่วชีวิตของพี่พี่สัญญานะคนดี” นิชาภัทรจูบไปทั่วรอยที่เธอสร้างไว้เมื่อคืนที่ผ่านมา ทุกรอยได้สร้างความเจ็บปวดให้กับคนรักของเธอ ทุกรอยได้ทำให้อนันตราต้องมีน้ำตา

บัดนี้เธอจะกลบความเจ็บปวดนั้นด้วยความรักที่มีเปี่ยมล้นหัวใจของเธอ เธอจะกลบความเจ็บทั้งหมดของอนันตราด้วยความรักของเธอเอง

“คืนนี้ตาจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก” นิชาภัทรกระซิบที่ข้างหูของอนันตราด้วยความรักและปรารถนาอย่างสุดซึ้ง

อนันตราได้รับรู้แล้วว่าความรักกับความใคร่ต่างกันอย่างไร ความรักที่นิชาภัทรได้มอบให้กับเธอในตอนนี้ทำให้เธอสุขจนจะล้นทะลักออกมา ความสุขแบบที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ความอ่อนโยนของนิชาภัทรที่มอบให้กับเธอช่างแตกต่างกับเมื่อคืนก่อนที่มีแต่ความแข็งกระด้างเอาแต่ใจของนิชาภัทรเท่านั้น

คืนนี้เธอได้เป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกจริงอย่างที่นิชาภัทรได้สัญญากับเธอไว้ นิชาภัทรหลับไปโดยมีเธออยู่ในอ้อมกอด อนันตรากระซิบที่หูของคนรักว่า

“ตารักพี่นิค่ะรักมากเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้” อนันตราจูบที่ปลายคางของนิชาภัทรที่หลับไหลไม่รู้เรื่องราว และหลับตาลงอย่างมีความสุข

..........................

อนันตราตื่นขึ้นมาเมื่อเธอมีความรู้สึกว่าอธิปไตยของเธอได้ถูกรุกล้ำ คนที่นอนอยู่ข้างๆ พยายามจะล่วงล้ำจนเกินขอบเขตมากไปหน่อยแล้ว เมื่อเธอรู้สึกตัวตื่นจึงทุบเข้าที่หัวไหล่ของคนรักจนนิชาภัทรสะดุ้งสุดตัว

“โอ๊ยตาทำอะไรนี่พี่กำลังเพลินเลยนะ” นิชาภัทรตัดพ้อคนรักที่ทุบเธอเมื่อยังไม่ทันตั้งตัว

“มายุ่มยามอะไรกับตานี่พี่นิ” อนันตราโวยวายคนรัก

“ที่เมื่อคืนไม่เห็นจะโวยวายเลยอะตา” นิชาภัทรตัดพ้อด้วยน้ำเสียงแบบเด็กที่ถูกขัดใจ

“ก็นั่นมันเมื่อคืนแต่นี่เช้าแล้ว ต้องไปทำงานนะพี่นิ” อนันตราบ่นนิชาภัทร

“ไม่ไปอ่ะพี่ไม่ไปคืนฮันนี่มูนของพี่เช้าวันแห่งความรักของพี่พี่ไม่ไปนะๆๆ ตานะคนดี๊คนดีไม่ไปทำงานนะตะเองนะๆๆ” นิชาภัทรทั้งออดอ้อนออเซาะคนรักเป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่ขอมารดาซื้อขนมที่ตัวเองชอบ

“ไม่ได้ค่ะต้องไปวันนี้มีประชุมเรื่องงาน” อนันตราแย้งนิชาภัทรด้วนน้ำเสียงดุเพราะตอนนี้นิชาภัทรทำตัวเป็นปลาหมึกยุบยับวุ่นวายกับร่างกายของเธอไปทั่ว

“ประชุมอะไรพี่ยกเลิกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วและวันนี้บ่ายๆ เราจะไปสมุยกัน”

“หา...อะไรนะไปสมุย ทำไมไม่บอกกันล่วงหน้าหล่ะพี่นิแล้วนี่ตาจะเตรียมตัวทันได้ไงกัน”

“ก็ใครจะให้ตาเตรียมหล่ะ ตาไปแต่ตัวกับหัวใจก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องเพราะไม่ต้องใช้” นิชาภัทรทำตาเจ้าเล่ห์กับอนันตรา

“บ้าพี่นิ” อนันตราตัดพ้อได้แค่นั้นก็ต้องหยุดลงเพราะเรียวปากสวยของเธอตอนนี้โดยปิดด้วยริมฝีปากที่อิ่มของคนรักอีกครั้งแม้เธอจะพยายามส่งเสียงอะไรออกมาก็คงเป็นเพียงเสียงอู้อี้ในลำคอเท่านั้น บัดนี้อนันตรายอมให้กับคนข้างๆ เธอแล้วอย่างหมดหัวใจ

........จบบทที่ ๑๙........




 

Create Date : 27 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:31:50 น.
Counter : 276 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : อนันตรา บทที่ ๑๘

บทที่ ๑๘

อนันตราหลับตาลงพร้อมความเจ็บปวด เธอรักผู้หญิงที่โอบกอดเธอไว้คนนี้มากมายเหลือเกินแต่การกระที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับเธอช่างรุกราน น้ำตาที่ทยอยไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายของเธอเสียงสะอื้นที่ต้องพยายามกล้ำกลืนไว้

นี่หรือที่เรียกว่าความรัก!!!

นี่หรือที่เรียกว่าคนรัก!!!

อนันตราตอบไม่ได้เลยว่าสิ่งที่นิชาภัทรแสดงออกกับเธอคือความรัก ความรักสำหรับอนันตราคือความสวยงาม คือโลกที่สดใส แต่ในวันนี้เธอต้องพบกับความกัฬขระ ความเห็นแก่ตัวของผู้หญิงที่บอกเธอว่ารักมากมาย เมื่อเหล้าเข้าปากไปเปลี่ยนนิสัยคนได้มากมายขนาดนี้เลยหรือ

อนันตราผละตัวเองออกจากอ้อมกอดของคนที่บอกว่ารักเธอแต่รุกรานเธอเหมือนเธอไม่ใช่คน หยิบชุดนอนที่ขาดไปเพราะแรงกระชากอย่างป่าเถื่อนของหญิงคนนี้ แต่ทำไมนะถึงแม้จะป่านเถื่อนเธอกลับพร้อมใจยินยอมที่จะรับความร้ายกาจของผู้หญิงคนนี้

ทำไมเธอไม่ผลักไสให้หล่อนไปให้ห่างๆ ?

ทำไมเธอไม่ร้องโวยวายเมื่อถูกรุกราน ?

ทำไมเธอไม่ขัดขืนหรือวิ่งไปขอร้องให้มารดาช่วย ?

อนันตราได้แต่ว้าวุ่นอยู่ในใจ ตลอดระยะเวาลที่ผ่านมานิชาภัทรดีกับเธอดีจนเธอเองคิดว่าคงไม่มีใครที่จะดีกับเธอได้มากมายเท่านิชาภัทรอีกแล้ว แต่ความดีทั้งหมดก็ลบเลือนหายไปเพียงชั่วข้ามคืน

อนันตราอาบน้ำชำระร่างกายที่มีแต่ร่องรอยที่นิชาภัทรฝากไว้กับร่างกายของเธอ บัดนี้เริ่มเป็นสีเขียวจางๆ ไปทั่วร่างกาย สายน้ำที่ไหลลงมาไม่สามารถชำระล้างน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายของอนันตราได้เลยสักนิด

เธอกลับไปยังห้องนอนที่นิชาภัทรหลับใหลไม่ได้สติ เธอมองร่างนั้นที่นอนนิ่งแสงจันทร์ที่ส่องผ่านร่างนั้นสะกดให้อนันตราต้องยืนนิ่งมอง ผิวกายที่สวยเมื่อยามต้องแสงจันทร์ผุดพราวราวกับปุยเมฆ เธอยอมรับว่าเรือนร่างนี้ดูสวยงามและนุ่มละมุลเมื่อยามได้จับต้อง แต่หากจะถนอมเธอมากกว่านี้สักนิดเธอคงจะมีความสุขมากที่กว่าเป็นอยู่ในตอนนี้

ครั้งแรกของชีวิตเธอ ครั้งแรกที่เจ็บปวด

ใช่ !!! เธอรักนิชาภัทร

ใช่ !!! เธอรู้ว่าเธอรักนิชาภัทร แต่เรื่องนี้ต้องเอาคืนให้สาสมกับที่นิชาภัทรได้ทำกับเธอ

อนันตราเดินลงมาที่ท่าน้ำ เวลานี้เสียงไก่ในบ้านขันกู่ อนันตรารู้ว่าเธอมีหน้าที่จะต้องทำอะไร เช้าวันนี้เธอต้องไปทำงานกับคนโหดร้ายที่นอนยังไม่ตื่นอยู่ในห้องของเธอเอง สายลมที่พัดพาเอาความชื้นของสายน้ำที่อยู่ข้างหน้าเธอทำให้เธอรู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ

อนันตราเดินเข้าไปในตัวบ้านทำกับข้าวเพื่อใส่บาตรถึงแม้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันพระแต่อันตราต้องการที่จะทำกับข้าวใส่บาตร หรืออาจเพราะเธอต้องการลบรอยมลทิน ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอให้หายไป การทำบุญทำให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส นี่ถ้าหากเรื่องเมื่อคืนไม่เป็นไปแบบนี้ วันนี้เธอกับนิชาภัมรคงลงมาใส่บาตรด้วยจิตใจที่แช่มชื่นด้วยกัน

อนันตราวุ่นวายในหัวใจขณะที่หั่นผัก เธอก็เผลอหั่นไปโดยนิ้วจองตัวเองให้เลือดออก อนันตราสะดุ้งสุดตัว ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ รอยมีดบาดลึกลงไปในนิ้วน้อยๆ ของเธอ เหมือนกับที่นิชาภัทรได้สร้างรอยบาดลึกลงในหัวใจของเธอเช่นกัน

สักพักคุณกฤติกาเดินลงมาจากห้องเห็นบุตรสาวกำลังวุ่นวายกับการทำกับข้าวก็เอ่ยถามว่า

“ทำไมตื่นเช้านักหล่ะลูก ทำกับข้าวแต่เช้า วันนี้ไม่ใช่วันพระสักหน่อย”

“ตานอนไม่หลับค่ะแม่ก็เลยลุกมาทำกับข้าวใส่บาตรสองสามอย่างแล้วจะได้ทานข้าวเช้าด้วยกันเลย เห็นแม่เหนื่อยๆ ก็เลยไม่อยากรบกวนอีกอย่างตาหิวมากเลยค่ะ” อนันตราพยายามยกเหตุผลร้อยแปดเพื่อมากลบเกลื่อน

“ก็ดีลูก แล้วนี่คุณนิยังไม่ตื่นอีกเหรอ”

เมื่ออันตราได้ยินชื่อของนิชาภัทรอารมณ์ที่กำลังจะแจ่มใสก็ขุ่นมัวขึ้นมาในทันที

“คงยังมังคะ เมื่อคืนดื่มไปเยอะนี่ ถึงตื่นก็คงจะลุกไม่ไหวหรอก”

“เห็นท่าจะจริงไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนกัน อยู่กันมาตั้งนานไม่เคยเห็นคุณนิดื่มมากมายเท่าเมื่อคืน” คุณกฤติกาบอกความรู้สึกกับบุตรสาว

“อารมณ์หื่นมังคะแม่คนมันหื่นบ้าบอก็เลยดื่มไม่บับยะบันยัง ก็แบบนี้แหละค่ะแม่อย่าไปสนใจเลย” อนันตราพูดไปก็ทำหน้าสะเหยะยิ้มไป

คุณกฤติกาได้แต่คิดในใจของเธอว่าบุตรสาวคงจะต้องมีเรื่องทะเลาะกับนิชาภัทรที่ยังนอนไม่ตื่นอยู่ข้างบนแน่นอน อนันตราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ร่องรอยที่เธอเห็นอยู่ตรงบริเวณคอของบุตรสาว เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน

คุณกฤติกายกมือทาบอกของเธอเองด้วยความตกใจ

ตายแล้ว !!! หรือว่าเมื่อคืนนิชาภัทรกับอนันตรามีอะไรกัน

โอ้ว คุณพระช่วย !!!

นี่เรื่องที่เธอคาดคิดไว้มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ หรือ บุตรสาวของเธอรักกับผู้หญิงด้วยกัน และเมื่อคืน นิชาภัทรก็.....

คุณกฤติกาไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว เธอรู้ว่าตอนนี้อนันตราอารมณ์ไม่ดี เธอช่วยอนันตราจัดกับข้าวลงถุงและเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย

“ตาไปปลุกคุณนิลงมาใส่บาตรด้วยกันเถอะลูก” คุณกฤติกาบอกอนันตราเพราะเธอเห็นว่านิชาภัทรเคยมาร่วมใส่บาตรด้วยกัน

“แม่ก็ไปปลุกสิคะป่านนี้คงจะนอนไม่ตื่นหรอก”

“เอ๊า... ตาก็ไปสิ แม่จะเดินไหวได้ไงหล่ะ เออ ลูกคนนี้แปลกคนจริงๆ” คุณกฤติกาบ่น

ส่วนอนันตราเดินหน้างอไปปลุกคนขี้เซาให้ตื่นจากที่นอน เมื่อนิชาภัทรโดนปลุกเธองัวเงียลุกขึ้นมา สมองส่งผ่านความเจ็บปวดที่บริเวณศีรษะไปทั่ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำเอาเธอมึนไม่เป็นท่า นิชาภัทรยิ่งสะบัดศีรษะเท่าไหร่ก็ยิ่งปวดมากขึ้น

อนันตรายื่นยาแก้ปวดและน้ำให้กับนิชาภัทรเมื่อเห็นท่าทางของนิชาภัทรดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก นิชาภัทรรับยาในมือของอนันตราไปอย่างว่าง่าย และสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรอย Mark Kiss ที่เธอฝากไว้กับอนันตราเมื่อคืนที่ผ่านมาถึงกับสะดุ้งสุดตัว

“เอ๊ยตาพี่ทำกับตารุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ” นิชาภัทรส่งเสียงละล่ำละลักถามอนันตราที่ยืนเป็นสง่าอยู่กลางห้อง

“ใช่ !!!” อนันตราตอบชัดถ้อยชัดคำ และไม่มีแววตาของความอ่อนโยนหลงเหลือให้นิชาภัทรเห็น

“เอ่อ..แล้ว..เอ่อ” นิชาภัทรเหมือนไร้คำพูด เพราะเธอเริ่มรู้แล้วว่าเมื่อคืนเธอเป็นสัตว์ป่าไม่ใช่คน เพราะอะไรนะเหรอก็เธอหึงอนันตราสาวน้อยตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยจะหึงใครได้มากมายเท่านี้

“ไปอาบน้ำแม่รอใส่บาตรพร้อมพี่” แล้วอนันตราก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้นิชาภัทรนั่งเอ๋ออยู่ที่เตียงเพราะทำอะไรไม่ถูกแล้วตอนนี้

.....................................

เสียงโทรศัพท์ของจิราพรดังขึ้นแต่เช้า เธองัวเงียลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ หน้าจอขึ้นโชว์ว่าเป็นสายของอนันตราเพื่อนรัก เธอกดรับและพูดด้วยเสียงงัวเงียว่า

“โทรมาทำไมแต่เช้าห๊ายายตา ฉันยังง่วงอยู่เลย ฮ้าว......”

“แกเมื่อคืนพี่นิทำร้ายฉัน” อนันตรามีเสียงพูดปนสะอื้นส่งมาตามสาย

“หา.......ว่าไงนะ ฉันว่าแล้วต้องเกิดเรื่อง แล้วนี่เค้าทุบตีแกเลยหรือไง” จิราพรแทบหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้ยินเพื่อนรักบอกข้อความ

“เปล่าเค้าไม่ได้ทุบตีฉันแต่เค้า...”

“เค้าอะไรหล่ะตาไหนบอกมาสิพี่นิเค้าทำอะไรแก” จิราพรยิ่งร้อนรนหนักขึ้นกว่าเดิม

“เค้าขืนใจฉัน”

“ห๊า............. ตายอกอีจิวจะระเบิด เจ้าประคุณรุนช่อง พี่นินี่นะขืนใจแก แล้วแกไม่ร้องให้แม่ช่วยหล่ะไอ้ตา” จิราพรยังคงตื่นเต้นกับเหตุการณ์ของเพื่อนรักที่ได้เผชิญมา

“เปล่าหรอกฉันกลัวแม่จะตกใจ”

“เอ๊ย...เรื่องแบบนี้กลัวแม่ตกใจ หรือว่าแกยินยอมพร้อมใจจะโดนขืนใจกันแน่ว่ะตา” จิราพรพูดหมือนรู้ทันเพื่อนของเธอ เพราะเธอรู้ดีว่าหากอนันตราไม่ยินยอมจะต้องต่อสู่สุดชีวิต

“แกพูดแบบนี้หมายความว่าไงยายจิว ฉันนี่นะยินยอมพร้อมใจ” อนันตราชักฉุนเพื่อนรักที่พูดไม่เข้าข้างตัวเธอ

“เออ แกนั่นแหละยินยอมพร้อมใจ ฉันรู้ว่าคนอย่างแกนะถ้าไม่รักไม่ชอบไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเลยตามเลยได้แบบนี้ และรู้เอาไว้ด้วยว่าเมื่อคืนพี่นิเค้าหึงแกมาก หึงจนออกนอกหน้า หึงแบบที่ฉันมองเห็นสายตาของพี่นิแล้วฉันยังกลัวเลยนะแก ขอบอกไว้ถอะตางานนี้แกไม่มีทางดิ้นไปไหนหลุดแน่ๆ พี่นิต้องเก็บแกไว้ในตู้เซฟนิรภัยแน่ๆ ถ้าแกไม่เชื่อฉันแกก็ลองดูแล้วกัน เออแค่นี้นะเพื่อ ไว้ค่อยคุยกันฉันปวดฉิ้งฉ่องแล้วบายเพื่อน”

หลังจากที่จิราพรวางสายไปอนันตรามานั่งนึกทบทวนเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืน ทำให้เธอรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงไม่ร้องโวยวาย ทำไมเธอถึงไม่ปกป้องตัวเองและยอมรับการกระทำของนิชาภัทรก็เพราะว่าเธอ

“รัก” เธอรักนิชาภัทรและรู้ว่านิชาภัทรก็รักเธอ

นิชาภัทรลงมาด้านล่างก็เห็นอนันตรานั่งหน้าบึ้งอยู่กับโทรศัพท์ของหล่อน เธอจึงเข้าไปจับที่บ่าเหมือนเป็นการทักทายแต่อนันตราสะบัดไหล่และลุกขึ้นเดินไปที่ท่าน้ำทันที เธอรีบเดินตามไปอย่างร้อนรน แต่เมื่อเห็นคุณกฤติการออยู่ที่ท่าน้ำจึงต้องรีบเก็บอาการทั้งหมดที่มีอยู่เดินทำหน้าตาเรียบเฉยไปที่ท่าน้ำ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่” นิชาภัทรทักทายคุณกฤติกา

“อรุณสวัสดิ์คุณนิหลับสบายไหมเมื่อคืน”

“ค่ะหลับเป็นตายเลยค่ะ” นิชาภัทรตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“คุณนิตักข้าวใส่บาตรสิ” คุณกฤติกาบอกกับนิชาภัทรเมื่อเรือของพระที่มารับบิณฑบาตรมาจอดเทียบท่าที่ศาลา

“ตาช่วยพี่เค้าตักข้าวสิลูก”

อนันตราไม่เข้าใจความหมายที่คุณกฤติกาบอกเธอ แต่เธอก็ช่วยนิชาภัทรจับทัพพีตักข้าวใส่บาตรอย่างเต็มใจ เมื่อใส่บาตรพระครบ ๙ รูป คุณกฤติกาก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“จะทำอะไรก็ให้คิดให้รอบครอบนะทั้งสองคน จากนี้ไปแม่ฝากตาไว้กับคุณนิด้วยนะคะมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันอย่าให้เรื่องเล็กน้อยมาทำให้ต้องแตกคอกันไปเลย” พูดจบคุณกฤติกาก็เดินออกไปจากศาลา

นิชาภัทรเข้าใจความหมายของคุณกฤติกาได้เป็นอย่างดี ตอนนี้คุณกฤติการับเธอไว้เป็นลูกสาวคนหนึ่งของบ้านนี้แล้ว แต่ที่สำคัญสาวน้อยตรงหน้าเธอจะยอมให้อภัยเธอหรือเปล่านี่สิปัญหา

.....................

ตลอดทั้งวันนิชาภัทรทำงานแบบอารมณ์ดีทั้งวัน เธอออกไปพบลูกค้าด้วยความเบิกบานใจ รอยยิ้มมีปรากฏอยู่บนใบหน้าของนิชาภัทรทั้งวัน

วันนี้อนันตราผูกผ้าพันคอมาทำงานนิชาภัทรเห็นท่าทางแล้วก็นึกอยากจะขโมยหอมแก้มของอนันตราแต่เธอก็อดใจไว้เพราะอนันตรานั่งทำหน้าบึ้งมาตั้งแต่เช้า ถึงแม้เธอจะพูดด้วยหรือใช้งานอะไรอนันตราก็ไม่พูดไม่จาได้แต่พยักหน้ารับเป็นคำตอบ

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีหนามหัวใจของนิชาภัทรที่หอบดอกไม้ช่อโตมาให้อนันตรา นิชาภัทรก็ไม่โมโหไม่ถือสาว่าความอะไร แถมยังเดินยิ้มออกไปจากห้องปล่อยให้อนันตราคิดไปต่างๆ นาๆ ว่านิชาภัทรได้ตัวเธอแล้วทิ้งๆ ขว้างๆ ทำเอาอนันตราโมโหคนตัวโตจนหยุดอารมณ์ไม่ได้

“เนตรมาขอโทษเรื่องเมื่อวานที่เนตรทำไปเพราะความเมา” นนทิเนตรทำหน้าเศร้าเมื่อยื่นช่อดอกไม้ช่อโตให้กับอนันตรา

“ขอบคุณค่ะคุณเนตร ไม่ต้องขอโทษอะไรตาหรอกค่ะ เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน” อนันตราบอกไปตามความคิดของเธอเองเรื่องที่นนทิเนตรทำกับเธอดูน้อยนิดไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับนิชาภัทรที่ทำกับเธอเอาไว้

แต่การสนทนาก็ต้องหยุดชงักเมื่อจิราพรวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่ส่งมาก่อนตัวว่า

“ยายตาแกเป็นไงบ้าง” จิราพรหยุดกึ๊ก ทั้งคำพูดและตัวของเธอเองเมื่อเห็นนนทิเนตรคู่ปรับของเธอยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของอนันตรา

“แล้วนี่คุณมาได้ไงนี่แม่ตากล้อง” จิราพรทักทายแบบเสียไม่ได้

“ก็มาแบบที่คุณมานั่นแหละ นั่งรถมาแล้วก็เดินขึ้นมาถามแปลกเน๊อะคนเรา” นนทิเนตรรู้สึกอยากต่อปากต่อคำกับแม่หมวยตรงหน้าเป็นที่สุดไม่รู้ทำไมสิ

“เอ๊าถามดีๆ มาตอบรวนๆ แบบนี้ก็สวยดิ”

“อะนี่ไม่รู้หรอกเหรอว่าเนตรสวยมาตั้งแต่เกิดแล้ว” นนทิเนตรยักคิ้วหลิ่วตาให้กับจิราพรที่ตอนนี้สั่นเหมือนเจ้าจะเข้าทรง

“อ๊าย... ไม่อายปากเลยนะยะคนเรา สวยตรงไหนแข็งอย่างกับท่องซุง ผมรึก็กระเซิงดูไม่ได้ หน้าตาก็งั้นๆ เช๊อะ ยังมีหน้ามาจีบเพื่อนฉันรู้ไว้นะย่ะว่าเพื่อนฉันนะ เค้ามีแฟนแล้วและก็ดูดีกว่าเธอก็แล้วกันแม่หน้าปลาจวด”

“ฉันก็ดูดีกว่าเธอก็แล้วกันแม่หน้าปลาดิบ”

ทั้งสองคนเถียงกันไม่ลดละจนนิชาภัทรที่เดินขึ้นมาอดขำกับเสียงทะเลาะกันของจิราพรและนนทิเนตรไม่ได้

“นี่พวกคุณถ้าจะมาทะเลาะกันไปทะเลาะกันที่อื่นได้หรือเปล่านี่มันห้องทำงานของฉัน” นิชาภัทรพูดเสียงเรียบๆ กับทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้าแบบจะกินเลือดกินเนื้อกันอยู่ร่อมร่อ

“ตางั้นฉันไปก่อนนะไว้ว่างๆ จะมาหาแกใหม่ วันไหนมาไม่เจอยายบ้านี่ฉันจะคุยกับแกเอง อ่อ เรื่องเมื่อคืนใจเย็นๆ นะเพื่อนไปหล่ะก่อนที่ฉันจะฆ่าคน” จิราพรพูดจบก็คว้าสายกระเป๋าสะพายให้กระชับขึ้นและเดินจากไปพร้อมกับอารมณ์ที่หงุดหงิดกับตากล้องจอมยียวนคนนี้เป็นที่สุด

“คุณตางั้นฉันก็ขอไปด้วยแล้วกัน ไปหล่ะคุณนิหวังว่าคงได้พบกันอีก” พูดจบนนทิเนตรก็รีบวิ่งไล่ตามจิราพรไปอย่างรวดเร็ว

“สองคนนี่แปลกเน๊อะตามาทะเลาะกันแล้วก็ไป เออ...แปลกดี” นิชาภัทรหันไปถามอนันตราที่ยังนั่งงงอยู่ที่โต๊ะทำงาน

“นั่นสิพี่พิลึกทั้งคู่” อนันตราตอบคำถามนิชาภัทรโดยลืมไปสนิทว่าวันนี้เธอเองตั้งใจว่าจะไม่พูดคุยกับนิชาภัทรทั้งวันเป็นการแก้เผ็ดนิชาภัทรเรื่องเมื่อคืนนี้

...........................

นนทิเนตรวิ่งตามจิราพรลงมาทันตรงที่หน้าบริษัทเธอคว้าแขนจิราพรไว้อย่างแรง จิราพรสบัดแขนของเธอให้หลุดจากการจับกุมของนนทิเนตรที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งแขน

“นี่คุณปล่อยฉันนะแม่หน้าปลาจวด”

“เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอแม่หน้าปลาดิบ”

“แล้วมาจับฉันไว้ทำไมหล่ะคุณ ปล่อยฉันนะ” ยิ่งจิราพรพยายามจะสลัดมือนั้นออกเท่าไหร่ก็ยิ่งจะจับแขนเธอแน่นขึ้นเท่านั้น

จิราพรนึกถึงครูสอนยูโดของเธอที่สอนให้สะบัดแขนเมื่อยามที่เกิดเหตูร้าย จิราพรบิดแขนของเธอให้ออกจากมือของนนทิเนตรตามที่เคยร่ำเรียนมาและมันก็ได้ผล ตอนนี้เธอหลุดจากการจับกุมของนนทิเนตรเป็นอิสระแล้ว

“ชะ...” จิราพรกำลังจะร้องให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาช่วยเธอแต่มือของนนทิเนตรก็เอื้อมาปิดปากของเธอเสียก่อนที่จะพูดอะไรออกมา

จิราพรอ้าปากกัดมือของนนทิเนตรอย่างจังๆ จนเจ้าของมือร้องโอดโอย

“โอ๊ยเจ็บนะแม่อัลเซเชียล” นนทิเนตรสะบัดมือของเธอที่โดนกัดไปเต็มๆ ด้วยความเจ็บปวด

“แหวะเค็มชะมัดนี่แม่ปลาร้าหมัก มาทำอะไรแบบนี้กับฉันกันหล่ะ จะว่าไงก็ว่ามา ฉันไม่มีเวลาให้มากนักหรอก” จิราพรเสนอ

“ก็ดีคุยกันดีๆ ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องจะได้ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งตามลงมา”

“แล้วใครใช้ให้คุณวิ่งตามฉันมาหล่ะฮ๊า ประสาทอยู่ๆ ก็มาจับมือถือแขนคนกลางที่สาธารณะ แบบนี้ใครก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาแหละ อะว่ามามีเรื่องอะไร”

“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันหน่อยจะดีกว่านะคุณ ฉันยืนจนเมื่อยแล้ว” ว่าแล้วนนทิเนตรก็เดินจูงมือจิราพรเข้าร้านกาแฟที่อยู่ข้างๆ บริษัทของนิชาภัทรไปหน้าตาเฉยโดยไม่รอฟังคำตอบของจิราพรว่าจะตอบตกลงหรือไม่

เมื่อทั้งสองได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้วนนทิเนตรก็เริ่มต้นการสนทนาแบบยี่สิบคำถาม

“ฉันมีคำถามจะถามคุณเรื่องคุณตา คำถามแรกคุณตามีแฟนแล้วก็คือคุณนิใช่หรือไม่”

“ใช่”

“คำถามที่สอง คุณตามีเพื่อนสนิทคือคุณคนเดียวใช่หรือไม่”

“ก็ใช่อีก”

“คำถามที่สามคุณกับคุณตารู้จักกันมานานใช่หรือไม่”

“ก็ใช่อีกแหละนี่คุณถามทำไมกันนี่” จิราพรชักงงกับคำถามที่นนทิเนตรถามเธอ

“คืองี้ที่ฉันตามเทียวไล้เทียวขือคุณตานี่ก็เพราะฉันต้องการให้คุณตาเธอไปเป็นแบบถ่ายงานให้ฉันสักชิ้นนึง เพราะฉันรับงานไว้ แต่ก็อย่างว่าแหละโดนเข้าใจผิดยกใหญ่ ฉันคงพูดอะไรไม่ค่อยเป็นก็เลยโดนทั้งคุณและคุณนิเข้าใจผิดหาว่าจะไปจีบคุณตา

ฉันน่ะกำลังหานางแบบถ่ายโฆษณาภาพนิ่งประเภทโปสเตอร์ที่เป็นแผ่นปะติดตามผนังทั่วไปน่ะคุณ แล้วคาแรคเตอร์ของคุณตาก็ถูกฉัน รับรองได้ว่าไม่มีการถ่ายโป๊หรือนู๊ดแต่อย่างใดรับรองด้วยเกียรติของตากล้องที่ฉันมีอยู่ คุณพอจะช่วยฉันคุยกับคุณตาเรื่องนี้ได้หรือเปล่าหล่ะ”

เมื่อสิ้นสุดคำบอกเล่าของนนทิเนตร จิราพรก็ถึงบางอ้อว่าสาเหตุที่ยายตากล้องหน้าปลาจวดตามเพื่อนของเธอก็เพราะต้องการให้ไปเป็นแบบถ่ายโฆษณาภาพนิ่ง

“ปั๊ดโธ่เอ๊ย ก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก ทำเอาฉันเข้าใจผิดไปยกใหญ่ ขอโทษด้วยนะคุณตากล้อง”

“ไม่เป็นไรอภัยให้ได้ แต่อย่าลืมบอกคุณตาให้ฉันด้วยแล้วกันว่าถ้าเธอสนใจติดต่อกลับไปที่ฉันได้ หรือว่าฉันจะโทรไปหาคุณดีหล่ะคุณจิว”

“อย่ามาทำเนียนขอเบอร์โทรฉันให้ยากเลยไม่มีทางสำเร็จหรอก”

“เปล่าทำเนียนนี่เรื่องเครียดนะจะบอกให้”

“ก็ได้เอาเบอร์คุณมาถ้าหากว่ายายตาอยากจะไปเป็นแบบฉันจะโทรไปบอกคุณเองคุณไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา” จิราพรยื่นข้อเสนอใหม่ให้กับนนทิเนตรที่เธอคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอจะได้ไม่โดนรังควานจากการโทรจิกเพื่อถามเรื่องเพื่อนรักของเธอ

มิตรภาพของคนสองคนเริ่มต้นที่ร้านกาแฟข้างบริษัท Happy travel แห่งนี้

..............จบบทที่ ๑๘ .................




 

Create Date : 26 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:32:29 น.
Counter : 292 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : อนันตราบทที่ ๑๗

บทที่ ๑๗

รุ่งขึ้นเช้ารับวันใหม่อากาศสดชื่นมีหมอกให้เห็นตามสองข้างลำน้ำ ทุกคนเดินเที่ยวสะพานมอญเห็นวิถีชีวิตของคนมอญที่เดินไปมาขวักไขว่บนสะพานแห่งนี้ สะพานนี้เป็นสะพานไม้มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทยยาวถึง ๘๔๐ เมตร บนสะพานแห่งนี้สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบของเขื่อนชิราลงกรณ์ที่สวยงามสามารถมองเห็นลำห้วยสามสาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมารวมกันเป็น “สามประสบ”

เมื่อชมวิวกันจนหน่ำใจแล้วนิชาภัทรพาทุกคนลงเรือไปดูเมืองบาดาลเหนือทะเลสาปเขื่อนชิราลงกรณ์ เมืองบาดาลก็คือวัดเก่าของหลวงพ่ออุตมะที่เมื่อสร้างเขื่อนแล้วน้ำก็จะท่วมจนวัดทั้งวัดจมหายไปใต้สายน้ำ โชคดีที่นิชาภัทรพามาในช่วนฤดูนี้ทำให้น้ำยังไม่ท่วมจนหมด

หากเป็นช่วงดูน้ำหลากจะเห็นเพียงแค่หลังคาโบสถ์เท่านั้น แต่ตอนนี้ทุกคนได้เห็นทั้งตัวโบสถ์เจดีย์และบริเวณวัดบางส่วน การที่วัดจมหายลงไปในน้ำเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี ที่ผ่านมาทำให้เมื่อตัววัดโผ่ลพ้นผิวน้ำขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองสังขละบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยว

เด็กหญิงธัญญาวีสนุกสนานกับการนั่งเรือชมสถานที่แล้วส่งเสียงถามเจื้อยเจ้วเป็นระยะๆ ตลอดเวลา ให้อนันตราและนิชาภัทรต้องตอบคำถามและอธิบายเสียยืดยาว

“ทำไมน้ำต้องท่วมหล่ะคะน้านิ” ธัญญาวีเห็นน้ำที่ท่วมโบสถ์ก็ร้องถามนิชาภัทรที่นั่งข้างหลังเธอ

“ก็เพราะว่าเค้าทำเขื่อนไงหล่ะตัวเล็ก”

“แล้วทำไมต้องทำเขื่อนหล่ะคะ”

“ก็เพราะที่เมื่อวานเราไปดูเขื่อนตัวเล็กเห็นหรือเปล่าว่าเค้าเอาน้ำในเขื่อนมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้เราได้ใช้” นิชาภัทรพยามยามอธิบายโดยละเอียดเพราะเข้าใจว่าธัญาวีสงสัยจริงๆ

“แล้วไม่ทำกระแสไปฟ้าจากอย่างอื่นเหรอคะน้า ที่นี่ลมดีออกจะตายไป ทำจากลมก็ได้ตัวเล็กเคยเรียนมาว่าลมก็ทำกระแสไฟฟ้าได้นี่นา ต้องมาทำให้วัดน้ำท่วมด้วยไม่เห็นจะดีตรงไหนเลยหล่ะ”

“ก็ลมมันไม่ได้มีตลอดปีนี่ตัวเล็กแถวนี้ไม่ใช่ชายทะเลลมก็มีบ้างบางช่วงเท่านั้น แต่น้ำมีตลอดปีก็เลยทำให้ต้องทำเขื่อนอีกอย่างเขื่อนมีประโยชน์เพราะน้ำที่เก็บไว้เราก็เอามาทำการเกษตรได้ด้วย เวลาน้ำแล้งๆ ก็ส่งน้ำไปตามลำคลองต่างๆ ให้ชาวบ้านเค้าใช้กันได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องกลัวไม่มีน้ำใช้” นิชาภัทรพยายามอธิบายให้ธัญญาวีได้เข้าใจประโยชน์ของเขื่อน

“แต่ตัวเล็กเคยได้ยินมาว่าเมืองกาญมีรอยแยกของแผ่นดินแล้วก็มีแผ่นดินไหวด้วย จริงๆ นะ ตอนเกิดซึนามิเค้าออกข่าวด้วยว่ารอยเลื่อนที่เมืองกาญก็มี แล้วถ้าเกิดว่าเขื่อนแตกคนในเมืองไม่ตายกันหมดเหรอน้านิ” ธัญญาวีหันมาถามด้วยความสงสัยอีกรอบ

“อันนี้น้าว่าก่อนที่เค้าจะทำเขื่อนเค้าคงดูแล้วว่ามันปลอดภัยและเป็นประโยชน์กับคนหมู่มากแล้วนะตัวเล็ก ถ้ามันอันตรายจริงๆ เค้าคงไม่ลงทุนมหาศาลเพื่อที่จะทำเขื่อนหรอก”

“อ่อตัวเล็กเข้าใจแล้วก็แบบแม่มัชถ้าไม่มั่นใจว่าจะลงทุนแม่มัชก็จะไม่ลงทุน อ่อ...แบบนี้นี่เองเข้าใจแล้ว” ธัญญาวีพยักหน้าหงึกๆ ในแบบของตัวเอง

ผู้ใหญ่ทั้งลำเรือล้วนช่วยกันลุ้นนิชาภัทรให้ตอบคำถามเจ้าหนูจำไมให้ได้ตลอดลอดฝั่ง และเริ่มโล่งอกเมื่อคำถามคำตอบได้จบลง

“ถามจริงๆ เถอะมัชลูกตัวช่างซักเหมือนใคร” นิชาภัทรกระซิบถามมัชวีที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเรือหางยาวลำเล็กนั้น

“ตอบไม่ได้สินิต้องไปถามแม่เค้าโน่น” มัชวีบุ้ยให้ไปถามกับธัญญชนกที่นั่งด้านข้างของเธอ

“พี่ก็ตอบไม่ได้น่ะนิว่าเหมือนใครแต่ที่แน่ๆ พี่เคยจนมุมกับคำถามแปลกๆ มาแล้วเหมือนกันกว่าจะตอบได้ก็ต้องมาตอบตอนโตแล้ว เล่นมาถามว่าหนูเกิดมาได้อย่างไร พี่หล่ะจนปัญญาที่จะตอบไปหลายปีเลยเชียว” แล้วทุกคนก็หัวเราะกันสนุกสนานยกเว้นธัญญาวีที่นั่งเฉยเพราะไม่รู้เรื่องกับคำพูดของผู้ใหญ่ที่คุยกัน

.................................................

ออกจากสังขละทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังด่านเจดีย์สามองค์ ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

“ตัวเล็กรู้จักเจดีย์สามองค์ไหมว่าคืออะไร” นิชาภัทรถามธัญญาวีเจ้าหนูจำไมประจำกลุ่ม แต่ก็ได้รับคำตอบด้วยการส่ายหน้าไปมา

“เอ๊าไม่รู้เลยเหรอว่าคืออะไร ไม่เคยเรียนมาเหรอว่าไง”

“ไม่เคยค่ะน้านิตัวเล็กไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร”

แล้วนิชาภัทรก็ชี้ไปที่เจดีย์สีขาว สามองค์เล็กที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณนั้นให้ธัญาวีได้ดู

“นั่นไงเจดีย์สามองค์ แต่ไม่ใช่แค่เจดีย์นะ มีเรื่องเล่าอีกมากเลยหล่ะเกี่ยวกับที่นี่” นิชาภัทรทิ้งปริศนาให้คาใจกับธัญญาวี ซึ่งก็ได้ผล ธัญญาวีถามสวนกลับมาโดยทันทีว่า

“เรื่องเล่าอะไรคะน้านิบอกหน่อยสินะๆ” ธัญญาวีออดอ้อนให้นิชาภัทรตอบ

“ถ้าจะให้น้าตอบต้องสัญญาว่าวันนี้จะทานข้าวเที่ยงให้มากๆ และจะไม่ดื้อไม่ซน” นิชาภัทรยื่นขอเสนอกับธัญญาวี

“ก็ได้ตัวเล็กจะทานข้าวมากๆ แล้วก็ไม่ดื้อไม่ซน แต่น้านิต้องเล่าตอนนี้นะ” ธัญญาวีมีข้อแลกเปลี่ยน

“ไม่ได้น้าต้องเล่าตอนที่ตัวเล็กทานข้าวเสร็จแล้วและเป็นเด็กดีก่อน”

“งั้นตัวเล็กจะทานข้าวตอนนี้เลยนะน้านิ นะแม่มัชแม่ธัญ” ธัญญาวีหันไปบอกกับมารดาทั้งสองของเธอเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อแลกเปลี่ยน

“ก็ได้เราจะแวะทานข้าวเที่ยงกันที่นี่ก่อนจะข้ามแดนไปพม่ากัน ทุกคนค่ะเราไปทานข้าวที่ตลาดแล้วก็ค่อยข้ามฟากไปค่ะ ลุงหมานจอดที่หน้าตลาดนี่แหละ” นิชาภัทรบอกกับทุกคนและหันไปบอกลุงสมานให้จอดรถเพื่อที่จะแวะรับประทานอาหารเที่ยงกัน

เมื่อรับประทานกันเรียบร้อยธัญญาวีก็ทวงสัญญาจากนิชาภัทรทันที

“น้านิเร็วสิเล่ามาได้แล้วตัวเล็กอยากรู้”

“อะเล่าก็เล่าเดิมทีก่อนที่เราจะเรียกกันว่า “ด่านเจดีย์สามองค์" เค้ามีชื่อเกียกว่า “หินสามกอง” เป็นที่สักการะของคนไทย โดยทั่วไปก่อนเดินทางออกจากเขตแดนของไทยเข้าสู่เขตแดนพม่าในฝั่งโน้นที่ตัวเล็กเห็นลิบๆ นั่นแหละ แต่ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีในสมัยนั้นได้เป็นผู้นำชาวบ้านก่อสร้างเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ที่เราได้เห็นในตอนนี้

นอกจากนี้ด่านนี้ยังเป็นช่องทางเดินทัพที่สำคัญของไทยเราและพม่าในอดีต แต่ตอนนี้เราใช้เป็นด่านค้าขายกับพม่า เดี๋ยวเราจะข้ามชายแดนเข้าไปเที่ยวตลาดพญาตองซู เค้าจะขายสินค้าของพม่าเยอะไปหมด ตัวเล็กสนใจไหมหล่ะ” นิชาภัทรเล่าถึงที่มาที่ไปของด่านแห่งนี้ ที่วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นักท่องเที่ยวหนาตา

นิชาภัทรจัดแจงติดต่อกับ ตม.เพื่อขอข้ามแดนทั้งทางฝั่งไทยและฝั่งพม่า ด่านแห่งนี้สามารถขับรถข้ามแดนไปได้ไม่ยากนัก

“ลุงฝั่งนี้เค้าขับชิดขวานะลุงหมาน อย่าเพลินไปขับทางซ้ายหล่ะจะยุ่ง” นิชาภัทรบอกกับลุงสนามคนขับรถให้ระวังการขับเพราะประเทศพม่าเป็นประเทศที่ขับรถเลนส์ขวาไม่เหมือนกับประเทศไทยที่ขับเลนส์ซ้าย สร้างความยุ่งยากให้กับลุงสมานพอสมควร

“ครับคุณนิ” ลุงสมานตอบรับและทำตามอย่างว่าง่าย

เมื่อถึงตลาดพญาตองซูทุกคนก็เดินจับจ่ายใช้สอยกันตามสบาย คุณกฤติกาได้ยาดมแก้วิงเวียนของพม่าที่หน้าตาเป็นกระป๋องสีขาว ข้างในบรรจุสมุนไพรใช้กลิ่นคล้ายๆ ยาหมอหรือส้มโอมือของบ้านเรา สำหรับสูดดมแก้อาการวิงเวียนในการเดินทางกลับ

ส่วนจิราพรก็ซื้ออาหารพื้นเมืองติดมือกลับไปฝากทางบ้านของเธอด้วยเช่นกัน ของป่าที่ตลาดนี้หาได้ง่ายมาก

เมื่อขึ้นรถได้เกือบทุกคนก็หลับด้วยฤทธิ์ของยาแก้เมารถเป็นทิวแถว จิราพรกับธัญญาวีนอนกอดกันหลับอยู่ที่เบาะหลังรถแต่กว่าจะหลับไปได้จิราพรต้องแปลงร่างเป็นเด็กอายุ ๑๔ นั่งเล่นตบแผล๊ะกับธัญญาวีจนง่วงจึงต่างคนต่างหลับไป ยกเว้นอนันตราและนิชาภัทรที่ชื่นชมวิวสองข้างทาง ขาไปกับขากลับความรู้สึกแตกต่างกันเสมอ

เมื่อเข้าเขตไทรโยกอีกครั้งนิชาภัทรนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้แวะไปทางรถไฟสายมรณะจึงให้ลุงสมานแวะเข้าไปให้ทุกคนได้ลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน คนที่ออกอาการเดินเป๋ก็เห็นจะมีคุณกฤติกาและธัญชนกที่เป็นโรคกลัวความสูง ธัญาวีเห็นมารดาและคุณกฤติกากลัวควมสูงจึงเสนอตัวขึ้นมาว่า

“คุณยายขาแม่ธัญขามาเดินกับตัวเล็กเร็วเข้า ตัวเล็กจะพาไปเดินดูสะพานกัน มาเร็วสิค่ะ” ธัญญาวีวิ่งไปคว้าแขนคุณกฤติกาและธัญขนกที่เดินไปขาสั่นไป โรคกลัวความสูงไม่ว่าอย่างไรก็รักษาไม่หาย ไม่ว่าจะสูงมากสูงน้อยก็ตามที

ทุกคนเดินนับไม้หมอนรถไฟไปเรื่อยๆ นิชาภัทรที่เดินนำก็เล่าเรื่องราวต่างๆ เมื่อครั้งสมัยเริ่มสร้างทางรถไฟสายนี้ให้ทุกคนได้รับฟัง

“เค้าว่ากันว่าไม้หมอนทุกอันที่วางเรียงกันอยู่บนทางรถไฟสายนี้มีประวัติทั้งนั้น ทุกไม้หมอนแลกมาด้วยชีวิตเชลยศึกในสงครามหนึ่งชีวิต น่าเสียดายที่ทางรถไฟสายนี้สร้างไม่เสร็จ แต่ถ้าเสร็จคงมีคนตายไปอีกนับพันคน ทางเส้นนี้สิ้นสุดที่บ้านท่าเสาแค่นั้นค่ะไม่ได้ไปต่อ แต่ที่เราเห็นที่ช่องเขาขาดนั่นก็เป็นเส้นทางที่ทหารญี่ปุ่นได้บุกบิกไว้แต่สงครามก็จบลงเสียก่อน

สงครามไม่ได้สร้างอำนาจให้ใครมีแต่ความสูญเสียทั้งสองฝ่ายทหารญี่ปุ่นเองก็ต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ สงครามมาหาเอเชียบูรพาเมื่อเกือบร้อยปีท่ผ่านมาทำให้เส้นทางรถไฟสายมรณะเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวต่างชาติ เมื่อหลายปีก่อนมีเรื่องเล่าตลกๆ เกี่ยวกับทองของทหารญี่ปุ่นในถ้ำลิเจีย เค้าว่ากันว่าทหารญี่ปุ่นแอบเก็บทองไว้ในนั้นมากมายถ้าเราได้พบก็คงรวยกันเป็นแถบไปแล้ว

นิว่าได้เวลาแล้วค่ะเรากลับกันเถอะจะได้แวะรายทางอีกสักสองสามที่” จากนั้นนิชาภัทรก็เดินนำทุกคนกลับมายังรถตู้ที่จอดรออยู่ด้านนอก

“ตาพี่นินี่สุดยอดไปเลยเน๊อะแก รู้ไปหมดทุกเรื่อง” จิราพรเอ่ยชมนิชาภัทรกับอนันตรา

“ก็ไม่ให้รู้ได้ไงเล่ายายจิวก็ฉันเองนี่แหละหาข้อมูลในอินเตอร์เนทให้พี่นิเค้าก่อนมาเที่ยวนี่แหละ พี่ท่านจะเอาทุกอย่างแบบละเอียดยิบ ฉันนั่งหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวอยู่ ๒ วันเต็มๆ นี่ถ้าไม่ละเอียดฉันก็โดนพี่นิเหยียบตายคารองเท้าด๊อกเตอร์มาตินคู่นั้นนะสิแก” อนันตราบอกความลับกับเพื่อนรัก ถึงกับทำให้จิราพรออกอาการเอ๋อขึ้นมาในทันที

...............................................

เกือบถึงตัวเมืองนิชาภัทรให้ลุงสมานแวะสะพานข้ามแม่น้ำแควจุดเด่นของเมืองกาญนจบุรีและเป็นเหมือนสัญลักษร์ประจำจังหวัดที่ใครผ่านไปมาก็ต้องแวะเวียนเข้าไปเพื่อชื่นชมกับสะพานเหล็กแห่งนี้ จากนั้นทุกคนก็เข้าไปสุสานของทหารและเชลยศึกในสงครามสุสานแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “สุสานกาญจนบุรี(ดอนรัก)” อยู่บริเวณหลังสถานีรถไฟในตัวเมืองกาญ สุสานแห่งนี้สวยงามและเงียบสงบ บรรจุศพทหารเชลยศึกไว้ถึง ๖,๙๘๒ หลุม

“นี่แหละผลของสงครามไงตัวเล็ก” มัชวีบอกกับธัญญาวีที่ยืนมองหลุมศพมากมาย เวลานี้ใกล้พลบค่ำบรรยากาศยิ่งน่าสะพรึงกลัว

“ไม่เอาแล้วแม่มัชหนูไม่ดูแล้วไปกันเถอะนะแม่มัชนะ” ธัญญาวีเริ่มรู้สึกกลัวกับสุสานแห่งนี้

ทุกคนจึงเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองเพื่อหาร้านอาหารอร่อยรับประทานกันริมแม่น้ำแคว ร้านอาหารเรียงรายอยู่เป็นแถวยาวให้เลือกมากมาย เมื่อเลือกร้านอาหารได้ก็นั่งชมวิวริมแม่น้ำไปพลางดื่มด่ำกับบรรยากาศไปพร้อมกัน

มัชวีและนิชาภัทรสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มานั่งดื่มกันสองคนเพราะในกลุ่มไม่มีใครร่วมดื่มด้วย

“มัชดื่มได้แล้วเหรอเมื่อก่อนไม่เห็นเคยดื่ม” นิชาภัทรถามมัชวีที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนเธอ ด้วยเธอไม่เคยเห็นมัชวีดื่มมาก่อนหน้านี้

“ก็มีบ้างดื่มเมื่อยามที่มีคนนั่งดื่มด้วยแต่ถ้าจะให้ดื่มเองคงไม่หล่ะ หรือถ้าวันไหนต้องขับรถก็รณรงค์กับเค้าหน่อยไม่ดื่มเมื่อจะขับ เพราะมีชีวิตของคนที่เรารักอยู่กับเราด้วย”

“อ่อแบบนี้นี่เองแล้ววันนี้ดื่มได้ว่างั้น”

“ดื่มไม่ได้ค่ะแม่มัช คุณครูบอกว่าห้ามดื่ม สุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและไม่มีผลดีต่อร่างกาย” ธัญญาวีพูดขึ้นมาระหว่างการสนทนาของมัชวีและนิชาภัทร

“อ้าวเป็นงั้นไปแม่ตัวเล็ก นี่จะเป็นลูกหรือเป็นแม่ของแม่กันหล่ะนี่” มัชวีบ่นบุตรสาว

“ถ้าไม่รักไม่บ่นร๊อกเน๊อะแม่ธัญเน๊อะ”

ทั้งโต๊ะหันไปมองหน้าธัญญาวีเป็นตาเดียวและเสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นมาให้ได้เห็นกันโดยทั่วหน้า

เสียงหัวเราะเกิดได้ไม่นานก็ต้องหยุดกึ๊กลงอย่างกะทันหันเมื่อมีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาร่วมวงด้วย

“สวัสดีค่ะคุณแม่คุณตาและคุณนิ โลกช่างกลมจริงๆ เลยนะคะนี่” นนทิเนตรนั่นเอง

“เนตรขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยจะได้หรือเปล่าคะ” ไม่ทันรอฟังคำตอบรับจากคนร่วมโต๊ะนนทิเนตรก็นั่งลงด้านข้างจิราพรที่มีเก้าอี้ว่างอยู่

“ไปไงมาไงหล่ะคุณตากล้องถึงมาที่นี่ได้” คุณกฤติกาเอ่ยถามนนทิเนตรเพื่อทำลายความเงียบ

“เนตรมาถ่ายรูปกับเพื่อนค่ะคุณแม่ แล้วก็เลยแวะมานั่งทานข้าวกันที่นี่พอดีเห็นคุณตากับคุณแม่เลยแวะเข้ามาทักทาย” นนทิเนตรอธิบาย

“อ่อค่ะ” คุณกฤติกาพยักหน้ารับรู้

นนทิเนตรที่ตอนนี้กระดกแก้วน้ำสีอำพันที่ตัวเองเดินถือมาจากที่โต๊ะเข้าปากดื่มไปอึกใหญ่โดยไม่สนใจกับคนที่นั่งข้างๆ

“นี่คุณจะนั่งก็รอให้เจ้าของโต๊ะเค้าอนุญาตก่อนได้ไหมถึงจะนั่ง” จิราพรที่นั่งอยู่ข้างๆ นนทิเนตรระเบิดอารมร์เพราะเธอค่อนข้างไม่พอใจที่นนทิเนตรจู่ๆ ก็มานั่งข้างเธอโดยไม่ได้รับเชิญ

“เอ๊าก็ขอแล้วไงไม่อนุญาตก็จะนั่งมีปัญหาอะไรไหม” นนทิเนตรต่อปากต่อคำกับแม่หมวยตาชั้นเดียวตรงหน้าเธอ

“เอ๊าก็นี่มันที่นั่งข้างฉันคุณเป็นใครมาจากไหนอยู่ๆ ก็มานั่งข้างๆ ฉันแล้วจะให้ฉันไว้ใจคุณได้ไงกัน” จิราพรยังหัวเสียไม่เลิก

“นี่คุณอย่าทำตัวเป็นทองไปหน่อยเลย เราก็เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเมื่อวันที่ฉันไปบ้านคุณตา แล้วเราก็เหมือนคนกันเองหล่ะน่านะ” นนทิเนตรมั่วไปเรื่อยเปื่อยด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในร่างกายทำให้กล้าที่จะพูดมากขึ้นกว่าเดิม

“ใครเป็นคนกันเองกับคุณประสาทแล้วจะบ้าไปกันใหญ่ เห็นเค้ามีเจ้าของแล้วก็ยังจะมาตามจีบตามตื้ออยู่ได้คนอาร๊าย ไม่มีปัญญาหาแฟนแล้วหรือไงถึงได้มาตามจีบเพื่อนฉันแบบนี้หล่ะฮ๊ะ” จิราพรชักฉุนมากว่าเดิม ตากล้องคนนี้สงสัยจะเมามาแล้วหล่ะสินี่ เพื่อนฉันนี่เสน่ห์แรงไม่เบาเลยนะนี่

คุณกฤติกาต้องรีบห้ามทัพก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“พอเถอะจิวคุณตากล้องเค้าเมาอย่าไปต่อปากต่อตำด้วยเลยนะ”

“แต่คุณแม่ค่ะก็ใครจะไปทนได้หล่ะ มานั่งข้างๆ จิวแถมยังมาพูดว่าจิวอีก แบบนี้จิวทนไม่ได้หรอกนะคุณแม่”

“พอๆ ยายจิวเลิกเถียงกับคุณเนตรเถอะเรากลับกันเถอะนะพี่นิจะได้ไม่มีเรื่องบานปลายไปกว่านี้ ตาขอโทษแทนคุณเนตรด้วยแล้วกันนะคะที่มาเกิดเรื่องขึ้น” อนันตรากล่าวของโทษไปทั่วโต๊ะที่นนทิเนตรมาทำให้เสียบรรยากาศ

อนันตราลูกขึ้นฉุดนนทิเนตรกลับไปยังโต๊ะเดิมของหล่อนและฝากเพื่อนของนนทิเนตรว่า

“เพื่อนคุณเมามากแล้วช่วยดูแลหน่อยนะคะ” จากนั้นอนันตราก็เดินจากมาที่โต๊ะของเธอที่ตอนนี้นิชาภัทรเรียกเด็กในร้านมาเก็บเงินแล้ว

“น้องตัวเล็กง่วงหรือยังคะ” อนันตราถามธัญญาวี ที่นั่งตาปรืออยู่ข้างๆ ธัญชนก

“ง่วงแล้วค่ะน้าตาตัวเล็กยกหนังตาไม่ไหวแล้ว จะไปเฝ้าเทพในไม่ช้านี้แล้ว” ธัญญาวีบอกตอบเสียงอ่อย

“แสดงว่าง่วงจริงๆ เสียงไม่ใสเหมือนเมื่อกลางวัน งั้นเราไปที่รถกันเน๊อะ ไปหลับรอก่อนที่คุณแม่จะไปถึงรถเน๊อะไปยายจิวไปที่รถกัน แม่คะไปค่ะเดี๋ยวพี่นิก็ตามไปเอง” อนันตราจูงมือเด็กหญิงและมารดาของเธอเดินไปที่รถเพื่อตัดปัญหากลัวว่านนทิเนตรจะมาทะเลาะกับจิราพรอีกครั้ง

“ยายตาเธอไปกลัวแม่ตากล้องนั่นทำไมกัน” จิราพรเริ่มหาเรื่องเพื่อนรัก

“ฉันไม่ได้กลัวเค้าแต่ฉันกลัวแกต่างหากยายจิว เกิดแกไปทำร้ายเค้าพวกฉันมิต้องไปประกันตัวแกออกมาจากคุกเหรอแทนที่จะได้กลับบ้านต้องมานอนตากยุงในคุกสนุกมากนักหรือไงย่ะแม่ตัวดี”

“เออๆๆ ขอบใจเพื่อนที่หวังดี ระวังพี่นิจะเข้าใจผิดหล่ะแกเหมือนที่ฉันเข้าใจแกผิดอยู่ตอนนี้” จิราพรบอกเพื่อนเพราะมีความกังวลในใจลึกๆ เกี่ยวกับนิชาภัทรที่เธอแอบเห็นแววตาโกรธเคืองหรือจะเป็นแววตาของคนขี้หึงก็ไม่รู้สิเธอตอบไม่ได้หรอกเพราะเธอไม่ใช่นิชาภัทรนี่นา

................................................

เมื่อรถตู้มาถึงบ้านสวนอนันตราและคุณกฤติกาก็ลงที่บ้านโดยมีนิชาภัทรซึ่งนั่งดื่มตลอดทางที่กลับมาเดินลงตามมาด้วย ทั้งหมดกล่าวลากันแล้วลุงสมานก็ขับรถออกไปส่งทุกคนที่บริษัท

คุณกฤติกาขอตัวไปอาบน้ำนอนและอนันตราเองก็เช่นกัน ส่วนนิชาภัทรนั่งดื่มไปอีกหลายกระป๋องเมื่อเห็นอนันตราเดินลงมาในชุดนอนนิชาภัทรจึงเดินขึ้นไปอาบน้ำบ้าง

อนันตราจัดแจงปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยหยิบขวดน้ำและยาแก้ปวดขึ้นไปด้วยเพราะเธอเข้าใจว่านิชาภัทรต้องปวดหัวเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเข้าก็ดื่มไปมากมายขนาดนั้น เธอแอบห่วงคนตัวสูงที่ดื่มมากแต่ก็ยังควบคุมสติไว้ได้ นิชาภัทรคอแข็งอยู่เหมือนกันในสายตาของอนันตรา

แต่เธอไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้นิชาภัทรต้องดื่มหนักมากมายถึงเพียงนี้ อนันตราเห็นกระป๋องเปล่าที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะทานข้าวอยู่เกือบโหล

เมื่ออนันตราขึ้นมาถึงห้องของเธอนิชาภัทรยังอาบน้ำไม่เสร็จ เธอนอนรอที่จะปิดไฟปิดประตูห้องเพราะนิชาภัทรมักปิดประตูลงกลอนไม่ได้ นิชาภทรจะบ่นเสมอว่า “กลอนห้องนี้ต้องเปลี่ยนใหม่แล้วปิดยากจริง” นิชาภัทรเดินเข้ามาในห้องล้มตัวลงนอนที่เตียงเล็กเรียบร้อยอนันตราจึงเดินไปปิดไฟลงกลอนประตู

แต่เมื่อเธอจะล้มตัวลงนอนก็มีร่างของนิชาภัทรล้มตามเธอมา นิชาภัทรลุกรานเธอด้วยกำลังที่แข็งแรงกว่าอนันตราไม่มีทางสู้ได้แต่โอนอ่อนผ่อนตามแรงของคนตัวโตกว่า น้ำตาของอนันตราไหลอาบแก้ม จากรุนแรงกลายเป็นสัมผัสที่อ่อนโยน จนอนันตราคล้อยตามไปกับสัมผัสนั้น

ทั้งสองเดินทางไปในบทเพลงและท่วงทำนองแห่งรักที่แสนจะหอมหวาน ดินแดนแห่งรักที่อบอุ่นกลิ่นของความรักที่โชยเอื่อยมาพร้อมกลิ่นดอกไม้ทำให้อารมร์ทั้งสองกระเจิงไปจนไม่สามารถที่จะกลับมาที่เดิมได้อีกต่อไป

นิชาภัทรจูบซับน้ำตาของอนันตราอย่างรักใคร่ ครั้งแรกของเธอและอนันตรากับความก้าวร้าวของเธอเอง เธอรู้ว่าอนันตราต้องเจ็บปวดเพราะตัวเธอ

“พี่ขอโทษมันน่าจะสวยงามกว่านี้ แต่พี่รักตาจากใจจริงนะ” นิชาภัทรจูบซับน้ำตาของอนันตราอีกครั้ง เธอรับรู้แล้วว่าอนันตรารักเธอเพียงใด แม้ไม่เคยมีคำว่ารักออกมาจากปากของอนันตราเลยก็ตาม

.........จบททที่ ๑๗………




 

Create Date : 25 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:20:52 น.
Counter : 301 Pageviews.  

เรื่องแนวยูริ : อนันตราบทที่ ๑๖

บทที่ ๑๖

“ตาเราไปเมืองกาญฯ กันนะ ไปแบบที่เราไม่เครียดมากเรียกว่าเอาลูกทัวร์ไปไม่มาก ให้คนขับไปด้วยงานนี้พี่คงไม่ไหว ตาชวนจิวไปด้วยสิจะมีเพื่อนพี่มาด้วยอีก ๒ คน เราไปนอนค้างกันที่นั่นสักคืน ไม่มีอะไรมากโอเคไหม” นิชาภัทรบอกกับอนันตรา

“ตาชวนจิวไว้แล้วพี่นิ ชวนตั้งแต่วันก่อนโน้นเห็นพี่นิบอกว่าจะไปก็เลยลองชวนดู แล้วเพื่อนพี่นิจะมากันวันไหนหล่ะคะ” อนันตราพูดแบบรู้ทันนิชาภัทรซึ่งก็ทำให้นิชาภัทรงงว่าอนันตรารู้ได้อย่างไรกัน

“อ้าวรู้ได้ไงว่าพี่คิดจะไปเมืองกาญฯ หล่ะสาวน้อย เดี๋ยวนี่รู้จริงนะอย่างกับนักสืบ” นิชาภัทรกระเซ้าอนันตราที่ตอนนี้เหมือนเธอคิดจะทำอะไรอนันตราก็จะรู้ไปหมดทุกเรื่องราว

“เอ๊าก็พี่นิให้หาข้อมูลเมืองกาญฯ ตาก็เลยรู้สิคะว่าพี่นิจะไปเมืองกาญ แต่ขอไปสังขละด้วยนะพี่ ตากับจิวไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว” อนันตราเฉลยข้อข้องใจให้นิชาภัทรได้รับรู้

“อ๋อเหรอ อืมเพื่อนพี่ก็คงพรุ่งนี้แหละตาเค้าอยู่กรุงเทพนี่แหละแต่ไปๆ มาๆ เราออกจากที่นี่ตั้งแต่ตี ๓ ก็แล้วกันจะได้ไปเช้าที่โน่น ไม่รีบร้อนอะไรมามายนี่เนอะว่ามะ อ้อบอกจิวว่าไปจอดรถที่บ้านพี่ก็ได้ใกล้บ้านจิว ให้คุณแม่ไปด้วยพี่จะลองไปดูโลเคชั่นนิดๆ หน่อยๆ ทัวร์ครอบครัวเรากันเองไม่มีคนนอกตกลงไหมจ๊ะ” นิชาภัทรบอกอันตราแล้วก็เดินลงไปสั่งงานลูกน้องที่ชั้นล่าง

อนันตราโทรตามจิราพรและโทรบอกมารดาให้เตรียมจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเตรียมไปเที่ยวด้วยกันกับเธอ

..........................

คณะทัวร์เริ่มออกเดินทางจากบริษัทและแวะมารับนิชาภัทร อนันตราและคุณกฤติกาที่บ้านสวนซึ่งเป็นทางผ่าน เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาคุณกฤติกาจะจัดผลไม้ใส่กล่องมาเพื่อเตรียมให้กับผู้ร่วมเดินทางกัน เมื่อขนข้าวของกันเสร็จเรียบร้อย คณะท่องเที่ยวก็ออกเดินทางไปยังจังหวัดกาญจนบุรีจุดหมายปลายทางที่รออยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

“เป็นไงมัชสบายดีหรือเปล่าไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ นี่ตัวเล็กเหรอโห้โตเป็นสาวแล้วนะนี่ กี่ขวบแล้วคะคนเก่ง” นิชาภัทรทักทายเพื่อนของเธอเมื่อขึ้นไปนั่งบนรถตู้เรียบร้อยแล้ว

“ตัวเล็ก ๑๔ แล้วค่ะน้านิ ขึ้นม.๒ แล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาละม้ายคล้ายมัชวีส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกับนิชาภัทรด้วยท่าทางเป็นกันเอง

“สวัสดีค่ะพี่ธัญ พี่ธัญยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยนะพี่ แต่เจ้ามัชสิแก่ไปเป็นกองเลยนี่ถ้าไม่บอกนิไม่รู้เลยนะพี่ว่าพี่ธัญอายุมากกว่าเจ้ามัช ถ้านิมองเผินๆ นิจะนึกว่าพี่ธัญเป็นน้องพวกเราอีกนะนี่ เออลืมๆๆ นี่มัชกับพี่ธัญแล้วก็ตัวเล็กลูกของพวกเค้าค่ะคุณแม่ นี่คุณกฤติกาแม่ของน้องตาและนี่ก็น้องตา ส่วนนั่นน้องจิวเพื่อนของตา” นิชาภัทรแนะนำทุกคนในรถให้ได้รู้จักกัน

ทั้งหมดยกมือไหว้กล่าวทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วก็เริ่มต้นการสนทนา เพื่อนสองคนที่ไม่ได้พบปะกันมานานก็เริ่มสนทนากันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องช่วงชีวิตที่ผ่านมาของทั้งสองคน นิชาภัทรและมัชวีเป็นเพื่อนเรียนกันมาตั้งแต่อนุบาลและมาแยกจากกันก็เมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย จากนั้นก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยจนเมื่อไม่นานมานี้ มัชวีและคนรักของหล่อนเดินทางกลับมาเมืองไทยไปพบปะสังสรรค์กันในงานเลี้ยงรุ่นของโรงเรียน

คุณกฤติกาและอนันตรานั่งฟังบทสนทนากันระหว่างเพื่อนไปตลอดทาง ทั้งสองคนอึ้งไปกับคำบอกเล่าของมัชวีและธัญฃนกที่เล่าเรื่องของทั้งสองให้กับนิชาภัทรได้รับฟัง เรื่องของการมีบุตรเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับมัชวี และอีกหลายเรื่องราว

จากนั้นนิชาภัทรก็บอกเล่าเรื่องราวของเธอให้กับเพื่อนได้รับรู้ทั้งเรื่องความรักที่ผ่านมาการทำตัวเสเพลและเรื่องการทำบริษัทของเธอที่ต้องแก่งแย่งกันกับรมัญยาอดีตคนรัก จนกระทั่งรถตู้พาลูกทัวร์ทั้งหมดมาถึงเมืองกาญจนบุรีในเวลาเกือบ ๖ โมงเช้า ทั้งหมดแวะเข้าตลาดเพื่อหาอาหารเช้านั่งรับประทานกัน

“แม่ธัญตัวเล็กจะกินโจ๊ก” เด็กสาวที่เริ่มจะเข้าวัยรุ่นค่อนข้างเอาแต่ใจบอกกับมารดาของเธอ

“งั้นไปบอกแม่มัชว่าตัวเล็กไม่ทานข้าวจะทานโจ๊กให้แม่มัชพาไป” ธัญชนกมองบุตรสาวของเธอแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่เอาอ๊ะแม่ธัญเดี๋ยวแม่มัชดุตัวเล็กอีกหาว่าตัวเล็กเอาแต่ใจตัวเอง แม่ธัญไปบอกแม่มัชให้ตัวเล็กหน่อยสินะนะแม่ธัญนะ” ธัญาวีบอกกับมารดาเสียงออดอ้อน

“อะไปบอกแม่มัชกัน เอ...อะไรลูกคนนี้ มีนั่นจะทานนี่ มีนี่จะทานนั่น” ธัญชนกแอบบ่นบุตรสาวของตัวเอง

“เด็กก็แบบนี้แหละค่ะคุณธัญ เมื่อสมัยยายตายังเด็กก็แบบนี้เหมือนกัน มีข้าวสวยจะทานข้าวต้ม พอมีข้าวต้มจะทานไข่เจียว เรื่องมากวุ่นวายทุกเช้า” คุณกฤติกาเห็นธัญชนกและธัญาวีสองแม่ลูกถกเถียงกันก็เลยขอร่วมแจมกับทั้งสองคนด้วย

“ใช่ค่ะคุณแม่ เด็กๆ นี่เอาใจยากจังเลยนะคะเดี๋ยวธัญขอตัวไปบอกมัชก่อนนะคะคุณแม่สงสัยธัญจะเอาตัวเล็กไม่อยู่แน่ต้องให้มัชปราบ” ธัญชนกเริ่มบ่นบุตรสาวและขอตัวเดินเลี่ยงไปหาคนรักที่ยืนสั่งอาหารอยู่ไม่ไกลนัก

“มัชลูกจะทานโจ๊กบอกว่าไม่ทานข้าว”

“อ้าวเหรอไหนตัวเล็กทำไมไม่ทานข้าว นี่วันนี้เราจะไปเดินป่าไปน้ำตก ไปตั้งหลายที่แล้วตัวเล็กจะไม่หิวข้าวหรอลูก”มัวชีจ้องหน้าบุตรสาวและเริ่มเอ่ยถาม

“ก็ตัวเล็กไม่อยากทานข้าวนี่นาแม่มัช ตัวเล็กอยากทานโจ๊ก เห็นเค้ามีโจ๊กไข่เยี้ยวม้าด้วยนะแม่มัชตรงโน้นนะ” ธัญญาวีชีมือไปทางร้านขายโจ๊กอีกฝั่งถนน

“แล้วถ้าตัวเล็กหิวอย่ามาโทษแม่นะว่าแม่ไม่ให้ทานข้าว” มัชวียื่นข้อเสนอให้กับบุตรสาว

“โอเคค่ะแม่มัชตัวเล็กจะไม่บ่นแม่มัชสักคำเดียว ให้แม่มัชตีตัวเล็กได้ด้วยถ้าตัวเล็กบ่นว่าหิวข้าวคำเดียวตี ๑๐ ที” ธัญญาวียื่นนิ้วก้อยให้กับมัชวีเป็นการให้คำสัญญากันกรายๆ

มัชวียื่นนิ้วก้อยของเธอเกี่ยวก้อยสัญญากับบุตรสาวและหันไปบอกกับธัญชนกว่า

“เดี๋ยวมัชไปซื้อโจ๊กให้ตัวเล็กนะพี่ธัญ พี่ธัญจดสัญญาไว้ด้วยนะว่าตัวเล็กสัญญาว่าอะไรแล้วถ้าร้องหิวมัชจะตีซ้ำไม่เลี้ยงเลยเชียว” มัชวีบอกกับคนรักของเธอและเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามซื้อโจ๊กให้กับธัญญาวีที่ตอนนี้ยิ้มแก้มแทบปริที่ได้กินโจ๊กสมใจอยาก

“ตอนเด็กตาดื้อแบบนี่หรือเปล่าคะแม่” อนันตราที่นั่งมองสามคนแม่ลูกถกเถียงกันเรื่องอาหารหันไปถามมารดา

“ยิ่งกว่านี้อีก ดื้อจับไม่ได้เลยหล่ะ” คุณกฤติกาพูดปนขำเมื่อนึกถึงอนัตราสมัยยังเด็กๆ

“โห่แม่อะ ตาว่าตาไม่ดื้อสักหน่อย เน๊อะจิวเน๊อะ” อนันตราหันไปหาเพื่อนเพื่อขอกำลังสนับสนุน

“ไม่เน๊อะหรอกตาฉันว่าตัวเล็กดื้อน้อยกว่าแกด้วยซ้ำไป แกทำเอาฉันโดนครูตีไปด้วยทุกทีเลยเรื่องพิเรณไม่มีใครเกินแกไปได้หรอก” จิราพรไม่คล้อยตามเพื่อนรักเพราะเธอก็เคยโดรฤทธิ์ของเพื่อนรักมาบ้างแล้วเหมือนกันเมื่อสมัยยังเรียนหนังสือมาด้วยกัน

คุณกฤติกานั่งหัวเราะเพื่อนสนิทสองคนที่ตอนนี้มาแตกคอกันไปแล้ว นิชาภัทรเดินเข้ามาสมทบพร้อมกับธัญชนกและธัญญาวี

“คุยอะไรกันคะสนุกเชียว” นิชาภัทรเอ่ยถามคุณกฤติกาที่นั่งขำอยู่ไม่ยอมเลิก

“ก็คุยเรื่องสมัยเด็กๆ ของตาเค้าน่ะคุณนิ ว่าสมัยเด็กดื้อยิ่งกว่าตัวเล็กเป็นไหนๆ นี่ถ้าให้มารวมกลุ่มกันนะ แม่ว่าคงวุ่นวายน่าดูเชียวหล่ะ”

“เหอรคะงั้นงานนี้เราก็มีเด็กมากับเราสองคนสิค่ะคุณแม่ ว๊าว แบบนี้ก็ต้องจับปูใส่กระโด้งกันไม่ไหวแล้วหล่ะนี่แบบนี้” สิ้นเสียงของนิชาภัทรคนที่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับก็เห็นจะมีอยู่สองคน นั่นคืออนันตราและธัญญาวี ที่นั่งหน้างั้มหน้างออยู่ที่โต๊ะอาหารกลางตลาด

“รีบๆ ทานข้าวเถอะค่ะใครเมารถทานยาแก้เมาไว้ด้วยก็ดีนะคะ ทางค่อนข้างโค้งนิดหน่อย เดี๋ยวเราไปแวะเที่ยวกลางทางก็แล้วกัน ลุงคะมาทานข้าวก่อนเถอะนั่งนีแหละแล้วจะเอากาแฟหรืออะไรไหมนิจะได้ไปสั่งไว้ให้ หรือจะเอาพวกบำรุงกำลัง” นิชาภัทรบอกกับทุกคนและกันไปเรียกลุงหมานคนขับรถที่นั่งอยู่ห่างๆ กันให้มาร่วมวง

“ผมนั่นที่นี่ก็ได้คุณนิ ไม่รบกวนเดี๋ยวข้าวผมก็มาแล้วคุณนิกับเพื่อนตามสบายครับ” ลุงหมานที่รู้สึกเกรงใจเจ้านายที่เป็นกันเองกับเขาเสมอเมื่อต้องออกมาทำงานด้วยกัน

“ตามใจลุง อะนี่เงินเอาไปจ่ายค่าข้าวแล้วก็ซื้อของที่ลุงจะใช้จะกินวันนี้ก็แล้วกันนะ” นิชาภัทรยื่นธนบัตรใบละห้าร้อยให้กับลุงหมานเป็นการตัดบท จากนั้นเธอก็ร่วมรับประทานอาหารกับกลุ่มเพื่อนๆ จนเป็นที่เรียบร้อย

......................

รถตู้เคลื่อนขบวนไปยังทองผาภูมิแวะเที่ยวน้ำตกไทรโยกน้อยเพื่อให้ตัวเล็กได้เล่นน้ำจนเป็นที่พอใจ ตัวเล็กเริ่มบ่นว่าหิวกับแม่ธัญของเธอ เพราะรู้ว่าถ้าไปบ่นกับแม่มัชเธอต้องโดนตีซ้ำตามคำสัญญาที่เกี่ยวก้อยกับแม่มัชเป็นแน่ และก็สมใจอยากเมื่อธัญชนกซื้อไก่ย่างให้ธัญาวีหนึ่งไม้เพื่อแทะเล่นไปก่อนเป็นการรองท้องก่อนที่จะโดนมัชวีบ่นว่า

“ให้ลูกทานอะไรไม่เป็นเวลาเดี๋ยวเที่ยงก็ทานข้าวไม่ลงอีกหรอกพี่ธัญ”

“ก็ให้รองท้องไปก่อนเกิดหิวขึ้นมาจะเป็นลมเอาง่ายๆ เด็กๆ เป็นลมมันไม่ดีนะมัช”

“ต้องให้รู้เวลาค่ะพี่ของแบบนี้หากปล่อยไว้จะเคยตัว แล้วก็จะดัดนิสัยกันตอนโตไม่ได้ ให้ตัวเล็กรู้ว่าเวลาไหนควรทานไม่ควรทาน แล้วนี่ไม่พาลูกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหล่ะพี่ธัญไม่สบายจะยุ่งเอานะ อ่ะเดี๋ยวมัชพาไปเองดีกว่า คนอื่นๆ เค้าคงจะไปต่อกันแล้ว” มัชวีบอกกับคนรักเพราะเห็นว่าตอนนี้นิชาภัทรและคนอื่นๆ เตรียมตัวกันที่จะออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว แต่ครอบครัวของเธอยังไม่ได้ทำอะไรกันเลย

“เดี๋ยวเราจะไปไหนกันต่อพี่นิ” จิราพรที่เดินตามหลังนิชาภัทรเอ่ยถามขึ้น

“เราจะไปช่องเขาขาดกันไปดูทางรถไฟสายเก่า”

“อ่อค่ะ”

ทั้งหมดนั่งรถมาที่ช่องเขาขาดเพื่อมาชมพิพิทธภัณฑ์ช่องเขาขาด ซึ่งอยู่ในเขตทหาร ในนั้นมีข้อมูลเรื่องราวมากมายของการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยรัฐบาลออสเตรเลียได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้น

นิชาภัทรพาทุกคนเดินไปยังเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติไปยังช่องเขาขาด ที่เป็นสวนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะที่เชลยศึกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตัดเจาะภูเขาหินด้วยมือปราศจากเครื่องมืออันทันสมัยให้เป็นช่องสำหรับสร้างทางรถไฟ ทางเดินต้องเดินลงเขาไปค่อนข้างไกลโชคดีที่มีการทำบันไดให้ได้เดินสบายเล็กน้อย คุณกฤติกาออกจามีปัญหากับการเดินอยู่มากเธอจะปวดเข่าเมื่อเวลาต้องย่อเข่าลงบันไดมากๆ

“แม่ปวดเข่ามากหรือเปล่า” อนันตราเอ่ยถามมารดาที่เธอเริ่มสังเกตว่าคงจะเดินไม่ไหว

“ไม่มากหรอกนิดๆ หน่อยๆ ยังพอเดินได้ ตาเดินไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวตามคนอื่นไม่ทัน” คุณกฤติกาเห็นว่าเธอเป็นตัวถ่วงการเดินจึงบอกให้บุตรสาวเดินล่วงหน้าไปก่อน

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ตาเดินเป็นเพื่อนแม่ดีกว่า จิวเธอเดินไปก่อนก็ได้ เราจะพาแม่เดินเที่ยวเองไม่ต้องมาตามเรา”

“ก็ได้ตา งั้นเจอกันที่ทางออกก็แล้วกันนะ” จิราพรเดินนำหน้าลิ่วไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นอนันตราเดินจูงมือคุณกฤติกาเดินเรื่อยๆ แบบไม่เร่งรีบ

“ที่นี่จะเป็นช่องเขาขาดที่เราเดินผ่านมานี้ได้รับการบูรณะเมื่อไม่นานนี่ค่ะทุกคน เพราะปล่อยทิ้งร้างไว้นานมากแล้ว แต่ก็มาขุดคต้นกันอีกครั้งเมื่อตอนหาเส้นทางสายมรณะครั้งล่าสุด จะเห็นว่าสองข้างที่เราเห็นนี้เป็นการตัดสกัดหินด้วยมือ เครื่องมือก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษที่เราได้เห็นในพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว เพราะใช้แรงงานของเชลยศึกที่เป็นชเลยมาตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง

ที่เราเห็นรางรถไฟที่วางไว้นี้ก็เป็นการเอามาวางใหม่แทนของเดิมที่ผุพังไปให้เราได้รู้ว่าที่นี่เคยจะเป็นทางรถไฟ แต่ก็ทำไม่สำเร็จค่ะ หมดสงครามไปเสียก่อนที่จะสร้างเสร็จ ไหนใครจะถ่ายรูปบ้างนิจะถ่ายให้” เสียงนิชาภัทรที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ของช่องเขาขาดให้กับผู้ร่วมเดินทางทุกคนฟัง แต่เมื่อสิ้นเสียงคำว่าถ่ายรูปจิราพรก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปยืนแอ๊คท่าถ่ายรูปยกใหญ่

ทำเอาทุกคนหัวเราะกันครืน ธัญญาวีวิ่งไปเล่นกับจิราพรด้วยตอนนี้สองสาวสองวัยสนุกกับการทำท่าทางถ่ายรูปต่อหน้ากล้องของนิชาภัทรกันยกใหญ่

“พอแล้วนะเดี๋ยวเราไปไทรโยกกันไปนั่งแพสักชั่วโมงดูลำน้ำ ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน” จากนั้นทุกคนก็มุ่งหน้าไปไทรโยกเพื่อล่องแพ

สองฝังลำน้ำเต็มไปด้วยธรรมชาติ น้ำตกเล็กๆ ที่ไหลลงมายังลำน้ำให้ได้เห็นถึงธรรมาชาติความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ที่ยังพอมีให้เห็นบ้าง สะพานไม้ที่ทอดผ่านสายน้ำมองดูแล้วก็สวยไปอีกแบบ

ทั้งหมดใช้เวลาล่องแพอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษก็เริ่มเดินทางไปเขื่อนเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่เป็นเขื่อนหินกั้นลำน้ำแควน้อยแต่ด้วยแสงแดดที่ร้อนมากจึงไม่ได้อยู่นานนักขับรถกลับมายังทองผาภูมิ แวะให้ทุกคนได้รับประทานอาหารเที่ยงที่ล่วงเลยเวลามาจนบ่ายคล้อย ร้านอาหารที่ขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อปลาแรดจนอิ่มท้อง

“ตัวเล็กต้องทานยาแก้เมาแล้วนะรู้ไหมเดี๋ยวจะเมารถเพราะทางที่เราจะไปต่อนี่มันโค้งเยอะตั้งหลายร้อยโค้งทานยาซะ” นิชาภัทรหยิบยาแก้เมารถให้กับมัชวีเพื่อให้ธัญญาวีทานยาเตรียมพร้อมไว้ก่อน

“คุณแม่จะทานด้วยหรือเปล่าคะ” นิชาภัทรเอ่ยถามคุณกฤติกาด้วยความห่วงใยในตัวมารดาของคนรักกลัวว่าจะไม่สบายขณะเดินทาง

“ก็ดีเหมือนกันแม่ว่าคงจะไม่ไหวทานอิ่มๆ แบบนี้ไปเจอะโค้งคงจะออกอาการเหมือนกัน” คุณกฤติการับยาแก้เมารถจากในมือของนิชาภัทรมาและจัดการจนเรียบร้อย

“คุณแม่นั่งหน้าเลยแล้วกันค่ะจะได้ไม่เมารถมาก” นิชาภัทรจัดแจงให้ทุกคนขึ้นรถจนเรียบร้อยแล้วจึงออกเดินทางต่อ

ขบวนรถต้องผ่านโค้งมากมายทั้งๆ ที่ระยะทางจากทองผาภูมิมุ่งสู่สังขละบุรีเพียงแค่ ๘๐ กิโลเมตร ก็ทำเอาคลื่นเหียรอาเจียนได้มากพอสมควร สองข้างทางมีวิวสวยๆ ของลำน้ำและแพที่ปลูกอยู่ข้างลำน้ำให้ได้ลงไปถ่ายรูปเล่นกันตลอดเส้นทาง กว่าจะถึงสังขละก็เกือบ ๔ โมงเย็น เห็นเจดีย์พุทธคยาจำลอง ที่วัดที่วัดวังก์วิเวการามอยู่ไม่ไกลมากนัก

นิชาภัทรพาทั้งหมดไปที่วัดไหว้สักการะพระเจดีย์และก็พากลับไปยังที่พักที่เธอได้จองไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงที่พักนิชาภัทรจัดแจงหาที่พักจัดห้องให้กับทุกคน ครั้งแรกเธอจัดห้องให้อนันตรานอนกับคุณกฤติกาและเธอก็นอนกับจิราพร แต่จิราพรขอแย้งเพราะเธอไม่สะดวกใจที่จะนอนกับนิชาภัทรจึงขอแลกห้องกับอนันตรา

อนันตราก็ยินยอมแต่โดยดี เพราะไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยนอนร่วมห้องกับนิชาภทรเลยเสียเมื่อไหร่จะนอนอีกครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร และคุณกฤติกาเองก็ไม่ขัดข้องที่จะนอนกับจิราพรเพื่อนสนิทของบุตรสาว เมื่อเรื่องห้องเสร็จเรียบร้อย โดยที่คุณกฤติกากับจิราพรนอนด้วยกัน ๑ ห้อง ครอบครัวของมัชวีและธัญชนกอีกหนึ่งห้อง เธอกับอนันตราอีกหนึ่งห้อง และลุงหมานคนขับรถอีกหนึ่งห้อง

เมื่อทุกคนกับตัวเองเรียบร้อยจึงออกมานั่งรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารริมน้ำที่มองไปก็ยังเห็นเจดีย์ที่วัดที่วัดวังก์วิเวการามอยู่ฝังตรงข้าม เมื่อจัดการอาหารมื้อค่ำที่เมนูส่วนใหญ่จะเป็นปลาน้ำจืดจนเสร็จเรียบร้อยก็ย้ายกันไปพักผ่อนยังห้องของตนด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน

................จบบทที่ ๑๖ .....................




 

Create Date : 25 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 18:33:09 น.
Counter : 351 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.