ฮิลลารีถล่มแซนเดอร์สในรัฐเซาท์ แคโรไลนา 73.5 ต่อ 26 % เตรียมโชว์พาว Super Tuesday 1 มีนาคมนี้

ฮิลลารี คลินตัน คว้าชัยในรัฐเซาท์ แคโรไลนาขาดลอยเผยคนผิวดำหนุนถึง 80 % เหนือเบอร์นี แซนเดอร์ส คู่แข่งด้วยคะแนน 73.5 ต่อ 26 % คาดหวังกำชัยในซูเปอร์ ทิวสเดย์ 1 มีนาคมนี้ หลังจากนั้นเธออาจเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตลงชิงชัยประธานาธิบดีสหรัฐ

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองโคลัมเบีย รัฐเซาท์ แคโรไลนา เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 27 กุมภาพันธ์ตรงกับ14.00 น.ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ในประเทศไทยว่าฮิลลารี คลินตัน สามารถเอาชนะนายเบอร์นี แซนเดอร์ส คู่แข่งของพรรคเดโมแครตใน South Carolina primary ด้วยคะแนน 73.5 ต่อ 26 % หลังจากมีการนับคะแนนผ่านไป 99 % หรือ 174,000 ราย โดยสื่อรายงานว่าเป็นการชนะแบบถล่มทลาย( landslide) เป็นครั้งแรกของฮิลลารี

ทั้งนี้เธอเอาชนะนายแซนเดอร์สในไอโอวา คอคัสเพียงเส้นยาแดงไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์ตามด้วยแพ้ต่อเบอร์นี แซนเดอร์ส ในนิว แฮมป์เชอร์ ไพรมารี 22 % ซึ่งคราวนั้นกลายเป็นเรื่องน่าวิตกของเธอ อย่างไรก็ตามรัฐนิว แฮมป์เชอร์เป็นรัฐที่อยู่ติดกับรัฐเวอร์มอนต์อันเป็นรัฐฐานเสียงของนายแซนเดอร์สเพราะเขาเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐเวอร์มอนต์

จากนั้นฮิลลารีชนะในเนวาด้า คอคัส 5 % และมาชนะแบบถล่มทลายในเซาท์ แคโรไลนา ไพรมารี โดยวันที่ 1 มีนาคมนี้จะมีการหยั่งเสียงไพรมารีและคอคัสรวม 11 รัฐ

“พรุ่งนี้การรณรงค์นี้จะออกไปทั่วประเทศ”ฮิลลารีกล่าวต่อผู้สนับสนันหลังจากทราบผลการเลือกตั้ง

ภายหลังจากนั้นเธอก็มุ่งเป้าเข้าหานายดอนัลด์ ทรัมพ์ ผู้เสนอตัวเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน โดยประมาณว่าหากเธอได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต “เราไม่จำเป็นต้องทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีก เพราะอเมริกาไม่เคยหยุดความยิ่งใหญ่” เธอหมายถึงสโลแกนของนายทรัมพ์ “แทนที่เราจะสร้างกำแพงขึ้นมา เรากลับต้องการทำลายสิ่งกีดขวาง”

รายงานข่าวเปิดเผยว่าชัยชนะของฮิลลารีมาจากเสียงของคนผิวดำ (African-American)ที่ให้การสนับสนุนเธออย่างเหนียวแน่นประมาณ 80 %  ในปี 2008 คนผิวดำรัฐเซาท์ แคโรไลน่ามอบคะแนนเสียงให้บารัค โอบามา คนผิวดำด้วยกันถึง 78 %  แต่ครั้งนั้นการแข่งขันเป็นแบบ 3 เส้าเพราะรวมเอานายจอห์น เอ็ดเวิร์ด ด้วย

ในการหาเสียงแบบประชุมร่วมกับผู้ลงคะแนน(town hall) เมื่อวันอังคารก่อนหน้า เธอยังได้แนะนำแม่ชาวผิวดำ 5 คนที่สูญเสียลูกของตนไปด้วยอาวุธปืนหรือบางรายอาจถูกตำรวจยิงตาย แทนที่พวกเธอจะเสียใจแต่กลับเปลี่ยนเป็นยุทธวิธี แทนที่จะเศร้าโศกแต่กลับเปลี่ยนเป็นการเคลื่อนไหว “ทำให้เราเห็นน้ำใจอเมริกันอันลุ่มลึกและมีพลัง” ฮิลลารีกล่าว

รายงานข่าวเปิดเผยว่าเส้นทางของฮิลลารีที่จะเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตลงชิงชัยดูจะสดใสเพราะฐานเสียงของเธอในรัฐทางใต้และรัฐทางตะวันตกดูเหมือนยากที่นายแซนเดอร์สจะเอาชนะได้  กระนั้นก็ดีนายแซนเดอร์ได้แสดงความยินดีต่อชัยชนะของฮิลลารีพร้อมกับพูดเหมือนปลอบใจตัวเองว่า “การปฏิวัติทางการเมืองของกลุ่มรากหญ้าเพิ่งจะเริ่มต้น”

นายแซนเดอร์สยังกล่าวถึงวันที่ 1 มีนาคมซึ่งมีเดเลเกตส์กว่า 800 รายที่ทั้งสองต้องช่วงชิง เขาหวังว่าจะได้รับเดเลเกตส์เหล่านี้จำนวนมากในวันนั้น “บางครั้งคุณก็ชนะ บางเวลาคุณก็แพ้” นายแซนเดอร์สกล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2559 9:38:01 น.
Counter : 227 Pageviews.  

เรื่องสนุก-ทุกสัปดาห์ "พบกันบนรถทัวร์"

"อ้าว. ไปคันเดียวกันเหรอ นั่งติดกันอีก โอ้โชคดีอะไรอย่างนี้" ชายกลางคนสวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีมอๆ รองเท้าผ้าใบ ใส่แจ็กเกตทับ วางกระเป๋าผ้าใบเล็ก ๆ ที่พื้น ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ชิดกระจกกลาง ๆ ของรถทัวร์

 

    "ผมก็ดีใจครับ ของผมนั่งด้านนี้"  ชายหนุ่มผมเรียบวัยอ่อนกว่า สวมเสื้อเชิร์ตสีฟ้ากางเกงสะแลคยิ้มแย้มก่อนจะนั่ง

    "ผมต้องขอบคุณน้องชายมากจริง ที่ช่วยดึงผมไว้ ไม่อย่างนั้นแบนติดยางรถพูดจบหัวเราะ

    "ไม่เป็นไรหรอกชายวัยอ่อนกว่าหันมาพูด

    "ถ้าผมไม่กระชากพี่ ผมก็โดนไอ้รถบ้าคันนั้นมันบี้ด้วย ว่าแต่ว่าที่ล้มลงไปจ้ำข้าวเม่าเจ็บมากไหม อ้าวเลือดไหลออกมานอกกางเกงนี่"  พูดจบหนุ่มผมเรียบใช้นิ้วจิ้มไปที่ขาขวากางเกงยีนส์ที่ชุ่มไปด้วยเลือด จนหนุ่มใหญ่ก้มลงมองตามแล้วเลื่อนมือไปกด ทำหน้าเหยเก

    "เอ้อ ก็รู้สึกเจ็บ แต่ไม่เป็นไร ผมทนได้อยู่แล้ว"

    "แต่ผมว่าไปทำแผลก่อนดีกว่า ข้ามถนนไปฝั่งวัดธาตุทองมีคลีนิค ผมเคยเห็น" ชายหนุ่มเสนอ

    "ไม่หรอก ผมต้องรีบ.พอไปถึงพัทยาค่อยหาคลีนิคก็ได้ชายวัยกลางคนบอก

    "แล้วแต่พีชาย"ชายวัยกลางคนเอามือลูบบาดแผลจนมือชุ่มโลหิต เขาล้วงกระดาษเช็ดปากจากกระเป๋ากางเกงไปซับไว้ รู้สึกปวดตรงบาดแผล พลางนึกทบทวนว่า เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนขณะทีกำลังเดินข้ามถนนนั้น มีรถยนต์ปิคอัพขับมาอย่างเร็วตัดหน้า นี่ถ้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ไม่ตะโกนและผลักเขาไปอีกด้านจนล้มหกคะเมนไปที่พื้นถนน แทนที่จะแค่บาดเจ็บจากขากระแทกพื้น ป่านนี่เขาคงเป็นศพกองอยู่กลางถนนแล้ว

      "พี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่ ให้ผมทายก็ต้องบอกว่านัดกับผู้หญิงใช่ไหม"

      "ไอ้น้องชายคิดอย่างนั้นหรือหนุ่มใหญ่หันมาจ้องหน้าจนตัวโยนไปตามแรงเหวี่ยงของรถที่หักหลบรถข้างหน้าท่ีแซงปาดหน้าไปอย่างกระทันหัน

       "ผมว่าใคร ก็ต้องคิดอย่างผม เห็นไหมว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างเช่น... พี่ก็ต้องไปทำแผลก่อนแล้ว พี่ช่างสุขสบายกว่าผม เพราะผมต้องหาเช้ากินค่ำพูดจบหนุ่มผมเรียบถอนหายใจ

       "ผมไม่ได้นัดผู้หญิงเหมือนอย่างที่เข้าใจหรอก ผมก็ลำบาก "  หนุ่มใหญ่พูดเรียบ

 "พูดถึงความลำบาก ผมลำบากสุด หลายปีมาแล้ว ขายเสื้อผ้าเก่าที่ตลาดนัดจตุจักร แรก ก็กำไรพอได้กินได้เที่ยว พอมาตอนหลัง เพื่อนที่ทำด้วยกันโกงไป ผมก็ต้องรับใช้หนี้แย่จริง" พูดจบมองออกไปทางด้านนอกของกระจกที่รถกำลังใช้ควาเร็ว

"ผมกัดฟันใช้หนี้จนหมด ไม่มีทุนอีกแล้ว ไม่รู้จะหยิบยืมใคร พี่รู้ไหม ผมไปรับจ้างเข็นรถในตลาดจตุจัดรอีกน่ะแหละ เช่ารถมา 100 บาท เข็นเร่หาลูกค้าที่เขาซื้อของมากๆ แต่หิ้วไม่ไหวรถเข็นนี่ล่ะท่าจะได้ประโยชน์ เข็นไปส่งที่รถ บางครั้งเทียวเดียวก็ทุนคืนแล้ว เที่ยวต่อไปก็ได้กินได้ใช้"

       "ก็ดีนี่ไอ้น้องชาย อาชีพสุจริต เหนื่อยหน่อย"  หนุ่มใหญ่พูดโดยมองไปด้านหน้ารถที่กำลังใช้ความเร็ว

       "ถูกของพี่ชาย อาชีพสุจริต แต่มันก็เกิดเรื่องจนได้"

       "เข็นไปชนคนเดินเข้าล่ะซี"

      "ไม่ใช่ครับ วันนั้นเงินเหลือสักสองร้อย ผมกระหยิ่มแล้ว ตั้งใจว่าวันนี้ ก็ต้องไปกินเหล้าเฮฮาตามประสาหนุ่มโสดสักคืน แต่รู้ไหมเกิดอะไรขึ้นพูดจบชะโงกหน้าไปใกล้หนุ่มใหญ่ที่มองไปทางด้านนอกรถ

ชายกลางคนสั่นหน้า หนุ่มจึงพูดต่อ

 "ตำรวจสายสืบเข้ามาจับผม บอกว่าของท่ีผมเข็นไปเมื่อบ่ายวันนั้น ลักมาจากแผงค้าผมจะอธิบายอย่างไรก็ไม่ฟัง หิ้วผมไปโรงพักจนได้" พูดจบก้มหน้ามองพื้น

      "น่าเห็นใจนะ แล้วตำรวจก็ดำเนินคดี"

      "ระหว่างนั่งรอ ผมก็ปลงตกแล้ว ไม่ได้ทำผิดจะมาติดคุกก็เอาซี แต่อีกใจก็บอกตัวเองว่ามันไม่ยุติธรรมนี่"

      "ก็เลยเสียเวลา,เสียเงินในการสู้คดี ว่างั้นเถอะ"  หนุ่มใหญ่ต่อเรื่องให้

"ไม่ใช่ พอตำรวจเผลอ ผมก็เดินลงจากโรงพักไปดื้อ จนป่านนี้ล่ะพูดป้องปากกลัวคนแถวหน้าจะได้ยิน

      "อ้าวหนีคดีมาซินี่"

      "ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกครับหนุ่มขยับหน้าเข้าไปใกล้ "ผมแอบรู้มาว่า ตำรวจก็ตามใครมาไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องก็เลิกไปแล้ว"

      "ก็โชคดีไป"  หนุ่มใหญ่ถอนหายใจ มองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถ

      "ผมก็คิดอย่างนั้นล่ะ กลางคืนเดือนมืด รออีกสักหน่อยมันก็จะสว่าง คนเราไม่ใช่จะตกทุกข์กันตลอดเขาพูดเหมือนปลงตก

      "จริง ไอ้น้องชาย"

      "แต่พี่เชื่อไหม ผมนี่ซวยจริง"

      "อ่าว.  มีเรื่องอีกล่ะซี"  หนุ่มใหญ่หันหน้ามาจ้องอย่างตั้งใจ

"ใช่ ใช่ซี" "มีเรื่องอีกจนได้ เมื่อสักเดือนเศษ นี่เอง ผมไปทำงานบาร์แถวอโศก ขากลับบ้านตอนดึกเดินยาวหน่อยจะไปขึ้นรถประจำทางถนนใหญ่ เพลิน อยู่นั่นก็มีเสียงเอะอะจากด้านหลัง วิ่งตามกันมาผ่านหน้าผม ตกใจก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น พอคนไล่กันพ้นไปแล้ว เห็นของตกอยู่ที่พื้น

เมื่อตอนผ่านหน้า..."

       "กระเป๋าสตางค์"  หนุ่มใหญ่รีบพูดนำ

       "ไม่ใช่แต่เป็นมีดพับปลายแหลม"

       "ไอ้หยา ยุ่งละซี ของใครล่ะ"  หนุ่มใหญ่อ้าปากกว้าง

       "ยุ่งซีครับ เปื้อนเลือดด้วยก็ต้องเป็นของคนที่ใช้แทงเขาแน่ ก็ไอ้คนที่วิ่งผ่านหน้าผมไป"

       "ไอ้น้องชายน่าจะเก็บแล้วส่งตำรวจเล่าให้ฟังตามความเป็นจริง"

"มันไม่ทันอย่างนั้นน่ะซี เพราะขณะที่ผมหยิบมีดมาถือไว้นั้นตำรวจก็วิ่งมาถึงพอดี รวบผมซีครับ ใส่กุญแจมือทันทีโดยที่ไม่ฟังผมอธิบาย"

        "ซวยจริง  "  หนุ่มใหญ่อุทาน

    "ครับซวยมาก พาผมไปโรงพัก บอกว่าผมแทงฝรั่งที่มาเทียวบาร์ผมพูดอย่างไรตำรวจก็ไม่ฟังทั้งนั้น"

        "แล้วก็ติดคุก แต่เอ๊ะ ถ้าติดก็ยังไม่น่าออกมาได้ หนีออกมาก่อนล่ะซี".   หนุ่มใหญ่ถาม

        "ไม่ได้หนีหรอก ตำรวจซักถามประวัติแล้วพาไปพิมพ์มือตอนนั้นสักตีสองเห็นจะได้เกิดไฟดับทั้งโรงพัก ผมได้โอกาส จะอยู่ให้ติดคุกทำไม เผ่นซีครับ"

        "อ้าว แล้วไม่กล้วตำรวจตามจับหรือนี่"  หนุ่มใหญ่ถามอย่างเร็ว

"ถ้าเขาจะตามจับ ก็จับไปนานแล้ว ผมแอบรู้มาอีกว่า ตำรวจตามไปจับตัวจริงไอ้คนที่แทงได้แล้ว ตัวปลอมอย่างผมจะมาตามทำไมหนุ่มดวงชะตาตกบอกกล่าว

        "ก็พ้นเคราะห์ไปซีนะ.นี่ไอ้น้องชาย ไปทำบุญบ้างนะ ใส่บาตรบ้างก็ได้" หนุ่มใหญ่แนะนำ

        "ผมนึกอยู่เสมอเรื่องทำบุญ ผ่านวัดไหนก็ยกมือไหว้ให้ช่วยคุ้มครองรักษา ผมคิดว่าที่ผมไม่พาลติดคุกติดตะราง ก็คงมีพระคอยคุ้มครองรักษาเหมือนกันนะ"   เขาหยุดพูดชั่วครู่ แล้วพูดต่อ

        "แต่นี่ พี่ชายผมนึกได้แล้ว ไปทำบุญที่วัดก็มีปัญหา"

        "พระแจ้งตำรวจให้มาจับอีกล่ะซี"

"โอ๊ย ถ้าถึงขนาดนั่น ผมต้องไปบวชเสียเองแล้ว ไม่ถึงขนาดนั่นหรอก คือวันนั้น ผมตั้งใจไปใส่บาตร เชื่อไหมว่า เดินอีท่าไหนไม่รู้ อาจจะง่วงก็ได้ แปลบเดียวเดินไปชนพระจนล้ม บาตรกระเด็นทำให้ข่าวปลาอาหารร่วงหล่น เขาหยุดพูดทำหน้าเศร้าแล้วพูดต่อเบา

         "พอผมตั้งสติได้ กระโดดเข้าไปคว้าหลวงพี่ที่ล้มลงไป รถจักรยานยนต์วิ่งมาจากไหนไม่รู้ก็เฉี่ยวผมจนล้มกระเด็นตามหลวงพี่ไปด้วย"

         "โอ้โฮ ซวยมหาซวยจริง ลงแบบนี้"  หนุ่มใหญ่สวนมาทันที

         "แล้วไอ้น้องชายทำยังไงหนุ่มใหญ่ถามขึ้นเมื่อเห็นเห็นว่าคนดวงชะตาตกหยุดพูด

 "ผมก็ได้แต่กราบขอขมา,ขออภัย สารพัดที่จะขอโทษ ซึ่งใคร เห็นเขาก็เห็นใจผมจึงตั้งใจว่า จะไม่อยู่แล้วล่ะกรุงเทพ เมืองฟ้าอมรเขาพูดเหมือนหมดอาลัยตายอยาก

          "อ๋อ ! นี่เองละมั้งที่ไอ้น้องชายกำลังจะไปพัทยา หางานทำแล้วหรือ"  หนุ่มใหญ่ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือพลางหันออกไปทางหน้าต่าง

          "ใช่พี่ผมติดต่อกับเพื่อนที่ทำงานบาร์ฝรั่งพัทยาใต้ไว้แล้ว คืนนี้ก็ลงมือเลย ไม่ยากครับพนักงานเสิร์ฟ ผมเคยทำอยู่แล้ว เอ้อ นี่ก็ถึงพัทยาแล้วนี่ แหมเสียดายกำลังคุยสนุก ว่าแต่พี่ไปเที่ยวพัทยาเหรอเขาขยับเสื้อผ้าเมื่อรถทัวร์กำลังเลี่ยวจะเข้าสถานีขนส่ง

          "เปล่าผมไปทำงานมีเรื่องด่วน"

          "ทำอะไรล่ะพี่.  ขอโทษ"

หนุ่มใหญ่หันมามองแล้วยิ้มนิด.  พลางตอบเบา .  "ตำรวจ"

"อ้าว พี่ ผมก็ซวยอีกล่ะซี พลางขยับจะลุกขึ้นจากที่นั่งจนหนุ่มใหญ่คว้าข้อมือไว้

"เฮ๊ย น้องชาย ไม่เกี่ยวกัน ที่เล่ามาทั้งหมดผมไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น คุณเล่าเรื่องจริง

เรื่องเท็จอะไรก็ไม่รู้แต่ถ้าคุณทำผิดต่อหน้าหรือผมเห็น ผมคงไม่เว้นหรอก ถึงแล้วนี่ ถ้าไม่รีบกินข้าวด้วยกันก่อนยังได้ ดูไอ้น้องชายซื่อ ด้วยซ้ำ"

          "ขอบคุณครับพี่"  หนุ่มยกมือไหว้พลางลุกขึ้นจากที่นั่ง ค่อย ๆเดินตามหนุ่มใหญ่ลงจากรถ

"ผมขอบคุณพี่อีกครั้ง อยากกินข้าวกับพี่เหมือนกัน แต่ก็รีบไป เอ้อ พี่ชื่ออะไรครับ"

          "ผมดาบสามารถครับ อยู่หน่วยสืบสวนพิเศษ แล้วน้องล่ะ"

          "ผมชื่อโชคดีครับ แต่โชคไม่ดีเลย หายยุ่งเมื่อไหร่จะไปขอเปลี่ยนชื่อ ไปก่อนล่ะครับพี่"

          " ขอให้โชคดีนะ อ้อ..คุณโชคดี"  หนุ่มใหญ่โบกมือ

ทั้งคู่ห่างจากรถทัวร์ เดินปะปนไปกับผู้โดยสารอื่น จำนวนมาก สวนกับชายคนที่รี่เข้ามาหยุดหน้าหนุ่มใหญ่เหมือนจะเอาเรื่อง

แล้วจ้องหน้าหนุ่มดวงชะตาตก

 "คุณชื่อโชคดีใช่ไหม.  ผมมีหมายจับคุณครับ !"

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:33:06 น.
Counter : 259 Pageviews.  

เครือข่ายคนไทยทั่วโลกรณรงค์ให้สถาบันWPI“อย่าเป็นเวทีให้กับทรราช”กดดันให้ยกเลิก“สนทนาส่วนตัวกับทักษิณ

เครือข่ายคนไทยทั่วโลกรณรงค์ให้สถาบันนโยบายโลกยุติการจัดให้ทักษิณ ชินวัตร พูดวันที่ 9 มีนาคมนี้ที่นิวยอร์กด้วยการส่งสารและข้อมูลเพียบเปิดโปงถึงการคอร์รัปชั่นที่ทักษิณมีต่อประเทศไทยพร้อมกับทำจดหมายเปิดผนึก “อย่าเป็นเวทีให้กับทรราช”

 

รายงานข่าวเปิดเผยว่าขณะนี้กลุ่มเครือข่ายคนไทยในต่างประเทศ (Network of Thais Overseas)ลอส แอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประสานกับคนไทยทั่วโลกได้รณรงค์ใน change.org เพื่อรวมรายชื่อพร้อมกับทำจดหมายเปิดผนึกถึงสถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute)ที่ประกาศจัด“สนทนาส่วนตัวกับ ทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) โดยจะจัดขึ้นที่นิวยอร์กวันที่ 9 มีนาคม 2559 นี้

จดหมายเปิดผนึกได้ส่งถึงคณะกรรมการอำนวยการของ WPI ประกอบด้วย Joseph Cari, Partner, Medcap Growth Equity Fund (Chairman),John Watts, Sequel Energy Solutions (Chairman Emeritus),Mary Van Evera (Founding Chair),Rajiv Chaudhri, Sunsara Capital (Vice-Chair),Rosemary Werrett, Observatory Group (Vice-Chair),และ Peter Alderman, Goldentree Asset Management (Secretary) พร้อมกับระบุว่าอย่าเป็นเวทีให้กับทรราช (Do not be a stage for Tyrants )

จดหมายเปิดผนึกระบุว่าพวกเรารู้สึกผิดหวังและต้องการที่จะให้ WPI ยกเลิกการจัดสนทนาส่วนตัวที่ได้เชิญนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก มาพูดที่นิวยอร์กในวันที่ 9 มีนาคมนี้ โดยยังไม่เปิดเผยสถานที่จัด

“พวกเราให้ความสำคัญด้านจริยธรรม,กฎเกณฑ์ของกฎหมายและความโปร่งใส เราเชื่อมั่นว่าองค์กรอย่าง WPI ควรจะสนับสนุนชุมชนโลก แต่ทว่าเหตุการณ์ที่จะจัดให้คนอยู่นอกกฎหมาย,อาชญากรที่เป็นนักฆ่าเลือดเย็น ผู้ก้าวเข้ามาสู่อำนาจด้วยระบบประชาธิปไตยจอมปลอมเข้ามาใช้เวทีของWPI เพื่อโปรโมทตัวเอง จะทำให้ชื่อเสียงของ WPI เสียหายและสร้างความอับอายไปทั่วโลก”จดหมายระบุ

ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยถูกนายทักษิณ ชินวัตรและบริวารของเขาทำลายลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ประชาชนถูกแบ่งแยกด้วยนโยบายประชานิยมของเขา,ด้วยการซื้อเสียงและเข้ามาใช้ยุทธิวิธีการตลาดบริหารประเทศ  ส่งผลให้เศรษฐกิจสังคมต้องพังทลายเพราะเกิดการคอร์รัปชั่นทุกระดับ

เมื่อเร็วๆนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นน้องสาวของนายทักษิณก็ทำให้ประเทศไทยเกิดการคอร์รัปชั่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยนโยบายรับจำนำข้าว ทำให้ประเทศไทยเสียหายคิดเป็นเงินประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ชาวนาไทยที่ยากจนอยู่แล้วบางรายถึงกับฆ่าตัวตายเพราะไม่ได้เงินจากการขายข้าว  ลูกชายของทักษิณเองก็กำลังถูกสอบปากคำในข้อหาอาจจะมีการฟอกเงิน  

ในปี 2003 ช่วงระหว่างที่นายทักษิณมีอำนาจ เขามีนโยบายปราบปรามยาเสพติด แต่ในที่สุดก็เกิดการ “ฆ่าตัดตอน”ถึง 2,800 ราย  จนกระทั่งเขาถูกศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงวตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก 2 ปีเพราะลงชื่อให้ภรรยาซื้อที่ดิน เขาเป็นนักโทษหนีคุกและเดินทางออกนอกประเทศด้วยการไปซื้อพาสปอร์ตของประเทศอื่นอาทิเช่นมอนเตเนโรกและนิคารากัว 

นอกจากนี้นายทักษิณยังจ้างนักล้อบบี้,ทนายความ,นักเขียน,สื่อมวลชนและองค์กรต่างๆจัดเป็นเครือข่ายเพื่อสนับสนุนเขาในเวทีนานาชาติ  พรรคการเมืองของเขาเองก็ซื้อพรรคเล็กเข้ามาเป็นนอมินีเพื่อจัดการเลือกตั้งให้ได้ อันเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมาย ทำให้พรรคการเมืองของเขาถูกศาลพิพากษาสั่งยุบพรรค

จดหมายระบุว่านายทักษิณยังต้องคดีอาญาอีกหลายรายการ (ให้ดูข้อหาที่เขาได้รับจากบัญชีด้านล่าง) นอกจากนี้เขายังผลักดันให้น้องสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีและผูกขาดเสียงทั้งในรัฐบาลและรัฐสภาให้ออกกฎหมาย“ลักหลับ”เวลาตี 4 เพื่อนิรโทษกรรมทำให้เขากลายเป็นผู้พ้นผิดในคดีอาญาและข้อหาคอร์รัปชั่นทั้งปวง

เรื่องนี้ทำให้ประชาชนคนไทยหลายล้านคนต้องออกมาประท้วงในกรุงเทพฯระหว่างพฤศจิกายน 2013 ถึงพฤษภาคม 2014 ทำให้ทหารต้องออกมายึดอำนาจและป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลออกมาสังหารประชาชนกลุ่มประท้วงที่ไม่มีอาวุธ อันเป็นอาชญากรรมที่รัฐบาลชินวัตรไม่เคยเข้าจับกุมกลุ่มมือสังหารได้เลย กลุ่มประท้วงเสียชีวิตถึง 28 คนและบาดเจ็บกว่า 800 คนจากอาวุธสงคราม“ถือเป็นรัฐบาลไม่เพียงแต่คอร์รัปชั่นเท่านั้นยังเป็นรัฐบาลฆาตรกรอีกด้วย” จดหมายระบุ

ทั้งนี้หาก WPI ได้ศึกษาพฤติกรรมของนายทักษิณ ชินวัตร อย่างละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่าเขาเป็นคนฉ้อโกง,เป็นเผด็จการและโหดเหี้ยมต่อประชาชนอีกทั้งไม่สนใจที่จะประพฤติตามกฎหมายและระบบยุติธรรม WPI ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอนุญาตให้คนขี้โกงเข้ามาใช้เป็นเวทีโปรโมทตัวเองและโกหกมดเท็จต่อไป  

WPI ประกาศว่าการดำเนินงานของตน “มุ่งเน้นไปที่ความท้าทายอันซับซ้อนซึ่งต้องการแก้ปัญหานโยบายความร่วมมือเพื่อให้บรรลุ :ครอบคลุมและให้มียั่งยืนทางเศรษฐกิจในตลาดโลก, การมีส่วนร่วมของพลเมืองโลกและการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ, การทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นคงในระดับประเทศและระดับโลก”

จดหมายระบุว่าความยุ่งยากและความท้าทายสามามารถลดระดับให้น้อยลงและแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น หากผู้นำทรงคุณธรรมและมีความโปร่งใส จะต้องเคารพกฎหมาย การให้นักโทษหนีคดีและนักการเมืองขี้ฉ้อไปพูดในเวทีของ WPI  ไม่ใช่หลักการข้อใดข้อหนึ่งของ WPI เลย  เราต้องการให้ WPIให้เกียรติกับประชาชนที่มีคุณธรรมและศีลธรรม ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของมหาเศรษฐีนักการเมืองที่คอร์รัปชั่น

“โปรดพิจารณายกเลิกเหตุการณ์ใดที่จะให้ทักษิณ ชินวัตรเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่าสนับสนุนนักการเมืองผู้ฉ้อโกงและอนุญาตให้เขาไปพูกโกหกในนามของ

WPI หากท่านยังจัดให้เขาพูด โปรดได้อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของทักษิณ ชินวัตร ด้านล่างหน้า”จดหมายสรุป  พร้อมกับลงชื่อ Thai-Americans in Los Angeles, California, and Thais around the world who believe in ethics, rule of law and transparency

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่แนบไปด้วยกับจดหมายดังกล่าวโดยสรุปประกอบด้วย

1.ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการ “ฆ่าตัดตอน”ในนโยบายปราบปรามยาเสพติด 2,800 ศพ

นอกจากนี้ยังละเมิดสิทธิด้วยการให้ “ตำรวจ”ของทักษิณจับกุมหรือฟ้องร้องบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาลชินวัตร

2.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินให้จำคุก 2 ปีเพราะทักษิณ ชินวัตร ลงนามอนุญาตให้ภรรยาซื้อที่ดินซึ่งขัดต่อกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต

3.ศาลได้สั่งยึดทรัพย์สินทักษิณ ชินวัตร 1.5 พันล้านดอลลาร์จาก 2.5 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ทักษิณและครอบครัวแอบถือหุ้น Shin Corporation ถึง 48 % โดยกฎหมายห้ามไว้   

4.ทักษิณโกงภาษี หลังจากมีการขายหุ้นบริษัทชินให้กับเทมาเสกของสิงคโปร์ ทั้งพจมาน,เลขานุการของเธอและพี่ชายของเธอถูกศาลพิพากษาให้จำคุก 3 ปี ที่ไม่ได้เสียภาษี 25 ล้านดอลลาร์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ยกฟ้องพจมานและเลขานุการ ส่วนพี่ชายของเธอโทษจำคุกลดเหลือ 1 ปีและให้รอการลงโทษ คดีนี้อัยการไม่ได้ยื่นฎีกาทำให้เรื่องตกไป

5.การคอร์รัปชั่นด้วยการเปลี่ยนกฎเกณฑ์บริษัทโทรคมนาคมเป็นเหตุให้รัฐต้องสูญเงิน 2.1 พันล้านดอลลาร์ ( 6.6 หมื่นล้านบาท)

6.การคอร์รัปชั่นจากสำนักงานกินแบ่งรัฐบาลโดยมีผู้เกี่ยวข้อง 47 คน  ทักษิณหลบหนีออกนอกประเทศทำให้ผู้พิพากษาออกหมายจับให้นำตัวเขากลับไปดำเนินคดี

7.คอร์รัปชั่นด้วยการปล่อยเงินกู้อันเป็นเงินงบประมาณของประเทศไทยให้กับรัฐบาลเมียนมา จากนั้นให้รัฐบาลเมียนมาใช้เงินดังกล่าวมาซื้ออุปกรณ์ในบริษัทโทรคมนาคมของตน  คดีนี้ศาลออกหมายจับนายทักษิณ ชินวัตร ให้นำตัวกลับมาดำเนินคดี

8.ปกปิดและทำผิดเกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จนศาลต้องออกหมายจับทักษิณ

9.การคอรัปชั่นผ่านธนาคารกรุงไทยด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร 300 ล้านดอลลาร์ ทั้งๆที่บริษัทนี้เป็นบริษัทต้องห้ามเพราะเป็นบริษัท NPL

ที่กล่าวมาเป็นคดีที่อยู่ในศาลแล้ว และยังมีอีกหลายคดีที่อยู่ในระหว่างการสอบสวน  

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 13:49:40 น.
Counter : 298 Pageviews.  

สกัดกั้นการทุจริตทุกรูปแบบในร่างรัฐธรรมนูญ

ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว ถกเถียงกันมากถึงร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ). ได้แจกแจงภาพรวมถึงร่างรัฐธรรมนูญ 261 มาตราว่ามุ่งหวังที่จะสกัดกั้นการทุจริตในทุกรูปแบบ

ทั้งนี้ได้ให้ความเห็นว่าปัญหาเรื้อรังของประเทศ ก็คือการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ จึงได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามไว้มาก เพื่อสกัดกั้นไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาอยู่ในวงจรทางการเมืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการงานต่าง ๆ   เพื่อขจัดให้ออกไปจากการเมืองให้ได้หรือการร่วมมือทุจริตทุกองค์กร เช่นห้ามไม่ให้จัดสรรงบประมาณให้ ส.ส.ใช้ ซึ่งมีการร่วมมือกันทั้งสภา วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี เพราะถ้าใครทำเช่นนี้ก็จะพ้นจากหน้าที่ ถ้าสภาอนุมัติงบประมาณก็จะพ้นทั้งสภา เป็นต้น

ต้องยอมรับกันเป็นประการสำคัญว่า เรื่องทุจริตคิดมิชอบกระจายกันในวงกว้างมานานช้าและแก้ไขได้ยากลำบาก เรื่องที่ชัดเจนบางทีก็แก้ไขไม่ได้ เรื่องที่เห็นไม่ค่อยชัดเราก็ปล่อยเลยตามเลยมามากมายแล้ว

เรื่องที่ไม่ค่อยชอบมาพากลก็มีให้เห็นกันทั่วไป ให้บังเอิญอ่านพบเรื่องของนักการเมืองกับข้าราชการประจำที่ไปเกี่ยวพันกับประชาชนอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจะหยิบยกมาเป็นตัวอย่างได้ดี

เมื่อไม่นานมานี้ ศาลปกครองกลางได้พิพากษาให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมรีบพิจารณาดำเนินการสั่งการกรณีมีโรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่งขอย้ายที่ตั้งจากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่งพร้อมทั้งขอเพิ่มกำลังการผลิตน้ำตาลจาก 1.8 หมื่นตัน เป็น 2.5 หมื่นตันต่อวัน หลังจากที่รัฐมนตรีเก็บเรื่องแช่ไว้เนิ่นนาน

ในคำพิพากษามีความเห็นว่า การที่รัฐมนตรีไม่นำเรื่องการขอย้ายและการขอขยายกำลังการผลิตเสนอให้ ครม. พิจารณา เป็นการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฏหมายว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ต้องปฏิบัติ

หลังจากนั้นไม่นาน ครม.ได้ยกเลิกมติ ครม.ในส่วนของแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาวทำให้ขั้นตอนยกเลิกไป

ท้ายที่สุด ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้ปลัดกระทรวงฯ พิจารณาสั่งการเรื่องของการออกใบอนุญาตย้าย และการขอขยายกำลังการผลิต ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัตไว้ในกฏหมายว่าด้วยโรงงานโดยเร็ว ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวออกก่อนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการให้ตั้งหรือขยายโรงงานน้ำตาลในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร

น่าแปลกไหมที่เรื่องนี้ แทนที่ปลัดกระทรวง แม้ว่าจะคนละคนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้กระตือรือล้นรีบดำเนนการตามคำพิพากษา เพื่อประโยชน์ของทั้งเอกชนที่รับบริการและประโยน์กับกระทรวงในฐานะเป็นองค์กรที่ให้บริการ กลับเพิกเฉย หันไปใช้สิทธิตามกฏหมายโดยไม่ได้ศึกษาว่าจะมีผลกระทบสิ่งใดบ้าง

ชรอยว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับนักการเมืองที่เป็นเจ้ากระทรวงในสมัยนั้นที่สั่งการให้ดำเนินการตามที่ต้องการ เมื่อผลออกมาเช่นนี้  ผลกรรมจึงตกกับปลัดกระทรวงและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากว่าปล่อยเรื่องให้เป็นไปตามยถากรรมผลจะเกิดอย่างไรก็คงพอเดา ๆ กันได้

เพราะฉนั้นไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด ผลของการพิจารณาประชาชนก็คงตั้งใจรอต่อไป

ยังมีตัวอย่างอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีมากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศและมีจำนวนมากที่อยู่ในระหว่างการไต่สวนของ ปปช.

การสกัดกั้นนักการเมืองที่หวังจะใช่เล่ห์เหลี่ยมต่างๆสารพัดชนดโดยที่ให้ข้าราขการเข้ามารองรับจัดการให้นั้น แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องน่าเห็นอกเห็นใจข้าราชการที่ตกอยู่ในมุมอับไม่อาจทัดทานหรือขัดขวางได้ก็ตาม ส่วนที่หลบฉากไปได้ด้วยประการใด ๆ ก็โชคดีไปที่จะไม่ต้องเอาตัวไปพัวพันกับการถูกดำเนินคดีด้วย

ยังมีอีกกลุ่มที่ไม่ยอมหนี แต่กลับร่วมหอลงโรงด้วยความเต็มใจเพื่อประโยชน์ที่พึงจะได้รับ กลุ่มนี้แหละ ก็จะต้องรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้อย่างแน่นอน

งานนี้ก็ได้แต่หวังว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังตรวจแก้กันจ้าละหวั่น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรและประชาชนมากที่สุดคงจะผ่านการลงประชามติไปได้และหมวดที่ประชานมุ่งหวังกันมาก ก็คือการสกัดกั้นการทุจริตในทุกรูปแบบ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 12:32:51 น.
Counter : 259 Pageviews.  

ศาลสั่งจำคุก 'อดีตดาบตำรวจสายสืบดอนเมือง' 10 ปี จับนักธุรกิจชาวจีนเรียกค่าไถ่ 100 ล้าน

ศาลพิพากษาคุก 10 ปี "อดีตดาบตำรวจสายสืบดอนเมือง" กรณีจับนักธุรกิจชาวจีน ปี 57 ก่อนเรียกค่าไถ่ร้อยล้าน

 

วันที่ 26 ก.พ.2559  ที่ห้องพิจารณา  908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีจับตัวนักธุรกิจเรียกค่าไถ่  หมายเลขดำ อ.465/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา  3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ด.ต.ศุภณัฏฐ์ ชูชัยปัญญาพงศ์ อายุ 47  ปี อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ สส.สน.ดอนเมือง เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันเรียกค่าไถ่ฯ          

ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 58 ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย.57 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันกระทำผิด โดยขณะที่นายเฉิน จื่อ นักธุรกิจสัญชาติจีน เชื้อชาติกัมพูชา ผู้เสียหาย เดินเข้าไปภายในโรงแรมใบหยก 2  จำเลยกับพวกอีก 1 คน ได้เข้ามาแจ้งกับผู้เสียหายโดยอ้างว่า ผู้เสียหายถูกหมายจับจากประเทศจีน จากนั้นก็เข้าช่วยกันล็อคแขนผู้เสียหาย พาขึ้นรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ทะเบียน ฌฎ 1867 กรุงเทพมหานคร นำตัวไปหน่วงเหนี่ยวกักขังตามสถานที่ต่างๆ แล้วโทรศัพท์ติดต่อญาติขอเงินค่าไถ่จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อแลกกับอิสรภาพของผู้เสียหาย โดยมีการเจรจาต่อรองจำนวนเงินหลายครั้งสุดท้ายญาติยอมที่จะให้เงินแก่จำเลย 16 ล้านบาทและนัดส่งมอบเงินสดกันบริเวณลานจอดรถ สโมสร กองทัพบก ถ.วิภาวดีฯ แต่จำเลยก็ไม่ยอมมารับเงิน จากนั้นจำเลยได้พาผู้เสียหายไปปล่อยทิ้งไว้บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ฝั่งประเทศกัมพูชา เหตุเพราะสื่อมวลชนเสนอข่าวคดีนี้อย่างครึกโครม จนจำเลย กับพวกหวาดกลัวจะถูกจับกุม เหตุเกิดแขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 22 พ.ย.57 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมจำเลยพียงคนเดียว ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด 

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหาย และประจักษ์พยานหลายปากซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โรงแรม และ รปภ.โรงแรมใบหยก 2 เบิกความสอดคล้อง เชื่อมโยง เป็นลำดับขั้นตอนโดยปราศจากพิรุธ สามารถชี้ตัวจำเลยได้อย่างถูกต้อง     

ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า ช่วงวันเกิดเหตุ จำเลยกับบิดา และภรรยา ได้พามารดาจำเลยไปพบแพทย์ที่ รพ.นพรัตน์ราชธานี  ถ.รามอินทรา นั้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับญาติเคยให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องนี้กับพนักงานสอบสวนสน.พญาไท จึงเป็นพิรุธ พยานหลักฐานจำเลยที่นำสืบมาไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้      

 

จึงพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องซึ่งผิดต่อกฎหมายหลายบท  ให้ลงโทษฐานเอาตัวบุคคลอายุกว่า 15 ปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย  อุบายหลอกลวงใช้อำนาจครอบงำผิดครองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก อันเป็นบทหนักสุด โดยจำคุกจำเลยเป็นเวลา 10 ปี

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 11:17:43 น.
Counter : 300 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.