วุฒิสมาชิกสหรัฐเสนอส่งทหารอเมริกัน 10,000 สมทบทหารมุสลิมสุหนี่ในพื้นที่ 9 หมื่นคนรบในอิรัก-โค่นรัฐบา

วุฒิสมาชิกสหรัฐสายเหยี่ยว “แมคเคน-แกรห์ม”เสนอส่งทหารราบ 10,000 รายเข้าสมทบกองกำลังในประเทศอ่าวอีก 90,000 รายเพื่อปราบทั้งกลุ่มไอซิสและโค่นรัฐบาลซีเรีย แต่ทำเนียบขาวยังลังเลหวั่นสูญทั้งเงินและชีวิตทหารแถมโลกอาหรับอาจประณามว่าตะวันตกบุกยึด

สำนักข่าว RT รายงานเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ด้วยการอ้างข่าวจาก ฮานาน ฟัตลาวิ(Hanan Fatlawi)ส.ส.ฝ่ายค้าน(Irada Movement)รัฐสภาอิรักด้วยการระบุว่าสหรัฐจะส่งกองกำลังทหารบก 10,000 คนมาร่วมกับทหารในประเทศอ่าวอีก 90,000 คนรวมเป็น 1 แสนคนเปิดฉากสู้รบทางภาคพื้นดิน

ส.ส.ฮานานเขียนไว้ในรายงานของเธอว่าระหว่างที่นายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกสหรัฐ พรรครีพับลิกันเดินทางเยือนกรุงแบกแดดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนได้พบกับนายไฮเดอร์ อาบาดิ นายกรัฐมนตรีอิรักและคณะรัฐมนตรีอิรักตลอดจนนายทหารระดับสูงพร้อมกับเปิดเผยแผนดังกล่าวว่าได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว“จะไม่มีการต่อรอง”อีกต่อไป

บนเฟซบุ๊กของเธอเขียนต่อว่า “กองทัพต่างชาตินับแสนคน ประกอบด้วย 90,000 คนจากซาอุดิ อาระเบีย,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์,กาต้าร์,จอร์แดนและอีก 10,000 คนจากอเมริกาจะถูกส่งเข้าไปทางตะวันตกของอิรัก”

เธอเขียนอีกว่านายกรัฐมนตรีอิรักประท้วง แต่นายแมคเคนบอกว่า “การตัดสินใจได้ทำไปเรียบร้อยแล้ว”

นายแมคเคนและเพื่อนสายเหยี่ยวของเขานายลินด์เซย์ แกรห์ม วุฒิสมาชิกสหรัฐอีกคนได้เรียกร้องให้เพิ่มทหารอเมริกันเป็น 3 เท่าจากปัจจุบันที่มีอยู่ในอิรักให้ถึง 10,000 คน รวมทั้งจะต้องส่งทหารจำนวนเท่ากันนี้เข้าไปยังประเทศซีเรียเพื่อปราบปรามกลุ่มไอซิสรวมทั้งโค่นรัฐบาลนายบาชาร์ อัล-อัสซาด

ทั้งนี้สหรัฐมีความคิดเพิ่มเติมว่าจะต้องมีกำลังในภูมิภาคสมทบอีก 90,000 โดยจะต้องสนับสนุนกำลังเหล่านี้จากประเทศมุสลิมสุหนี่ในพื้นที่อาทิเช่นอียิปต์,ตุรกีและซาอุ ดิอาระเบีย

นายแกรห์มที่ร่วมเดินทางมาด้วยเมื่อเดือนพฤศจิกายนกล่าวว่า “ภูมิภาคนี้พร้อมที่จะรบแล้ว พื้นที่นี้เกลียดไอซิส เราจะต้องเอามาจากประเทศมุสลิมสุหนี่ ตุรกีเกลียดไอซิส และทั้งภูมิภาคต้องการให้อัสซาดไป ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่อเมริกันจะเป็นผู้นำในการดำเนินการ 2 อย่าง อย่างแรกคือการปราบไอซิสก่อนที่เราจะถูกไอซิสถล่มถึงบ้านเรา และจะต้องกำจัดอัสซาดออกไป”

นายแกรห์มกล่าวเพิ่มเติมว่า ซาอุดิ อาระเบีย,อียิปต์,ตุรกี มีทหารราบและจะต้องส่งไปหากเราผลักดัน (ให้โค่น)อัสซาด  การต่อสู้ในภูมิภาคจะต้องทำโดยคนในภูมิภาค เขาจะได้รับค่าใช้จ่ายจากการทำสงครามนี้

ปัจจุบันสหรัฐมีทหารในอิรักประมาณ 3,600 คน รวมทั้งอีก 100 คนเป็นกองกำลังรบพิเศษที่ส่งมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนเพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันและสังหารหัวหน้ากลุ่มไอซิส อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวยังไม่ตกปากรับคำที่จะจัดส่งทหารจำนวนมากเข้ามายังพื้นที่สู้รบเพราะจะต้องใช้เงินจำนวนมากอีกทั้ง “ชีวิต”ของทหารจะต้องสูญเสีย และยังจะได้รับการต่อต้านจากกลุ่มต่อต้านรวมทั้งวาดภาพว่าโลกตะวันตกบุกรุกโลกอาหรับ

นักวิจารณ์กล่าวว่าแผนของสองเกลอ (The McCain-Graham plan)จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าโดยตรงกับกองกำลังร่วมรัสเซียและอิหร่านที่ปฏิบัติการอยู่ในซีเรียและสนับสนุนรัฐบาลอัล-อัสซาด  และแผนของสองเกลอสายเหยี่ยวก็ไม่ได้นำเรื่องนี้เข้ามาร่วมพิจารณา

นอกจากนี้ความขัดแย้งในภูมิภาคกำลังขยายตัวกรณีที่รัฐบาลอิรักให้รัฐบาลตุรกีถอนทหารของตนออกจากภาคเหนือของอิรัก โดยตุรกีกลับอ้างว่าในปี 2014 รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอาบาดิได้เชิญตุรกีเข้าไป อย่างไรก็ตามอิรักได้ยื่นคำขาดให้ตุรกีถอนออกไปไม่เช่นนั้นจะมีผลลัพท์ตามมา

ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศตุรกีประกาศให้พลเมืองของตนที่อยู่ในดินแดนอิรักออกจากอิรักโดยด่วนและทันที “เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้พลเมืองของตุรกีออกจากอิรักทันทีเท่าที่จะเป็นไปได้ ในทุกจังหวัดยกเว้นจังหวัด Dohuk, Arbil และ Sulaymaniyah” ทั้งนี้ 3 จังหวัดอยู่ในการดูแลของเคอร์ดิช อิรัก (Iraqi Kurdistan)

คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศตุรกีเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของทุกคนว่าตุรกีอาจเป็นเป้าหมายทั้งในทางธุรกิจ,ความรุนแรง,การลักพาตัวและการโจมตีอื่นๆจากอิรัก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะอยู่ในเขตจังหวัดของเคอร์ดิช อิรักก็ตามจะต้องระวังตัวไม่เข้าไปอยู่ในเขตปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มไอซิส

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตุรกีได้ส่งทหารหลายร้อยคนพร้อมด้วยปืนใหญ่และรถถัง 25 คัน เข้าไปในเขตภาคเหนือของอิรักจึงถูกยื่นประท้วงให้ถอนทหารออกไปภายใน 48 ชั่วโมง โดยอิรักจะนำเรื่องเข้าสู่สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย เพราะถือเป็นการละเมิดอธิปไตยแห่งดินแดนของอิรัก

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2558    
Last Update : 12 ธันวาคม 2558 17:52:57 น.
Counter : 260 Pageviews.  

ผบ.ตร.ยอมรับพล.ต.ต.ปวีณให้สัมภาษณ์และขอลี้ภัยทำให้องค์กรตำรวจทหารเสียหาย-ปวีณเผยถูกบังคับให้ลาออกและ

ผบ.ตร.ยอมรับการให้สัมภาษณ์ของพล.ต.ต.ปวีณทำให้องค์กรตำรวจ-ทหารเสียหาย ตั้งข้อสังเกตุมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่หรือจงใจทำลายประเทศชาติ สื่อต่างชาติวิเคราะห์ทำให้รัฐบาลไทยอับอายเพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่อาจอยู่ในแผ่นดินของตัวเองได้ ปวีณเผยถูกบังคับข่มขู่ให้ลาออกและอยู่เงียบๆ

 

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และอดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ทำเรื่องขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย ว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม พล.ต.ต.ปวีณ ถึงทำเรื่องขอลี้ภัยทางการเมือง และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในแนวทางที่อาจทำให้องค์กรตำรวจและทหาร เสื่อมเสีย

ผบ.ตร.กล่าวว่าขอตั้งข้อสังเกตว่า การออกมาเคลื่อนไหวของ พล.ต.ต.ปวีณ อาจจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับทางการเมืองหรือไม่ หรือเป็นการจงใจทำลายประเทศชาติ แต่จากสิ่งที่ พล.ต.ต.ปวีณ ให้สัมภาษณ์ ตนได้สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายเข้าไปตรวจสอบกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวอ้างถึงแล้ว ว่าเป็นบุคคลใด ส่วนจะมีการดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.ปวีณ ฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องดูอีกครั้ง

“ขอยืนยันว่า การโยกย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ไม่มีการกลั่นแกล้งใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการพิจารณาตามความเหมาะสม”พล.ตงอ.จักรทิพยืกล่าว

ในวันเดียวกัน พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ กรณีขอลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศออสเตรเลีย ของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาว่าถือเป็นการสร้างความเสื่อมเสียต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) และประเทศไทยเป็นอย่างมาก

พล.ต.ท.เทศากล่าวว่า พล.ต.ต.ปวีณ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่มีวินัยในการทำงาน ไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา มีปัญหาด้านการปกครอง จึงได้ปฏิเสธที่จะตอบรับให้เป็นรองผู้บัญชาการภาค 8 ต่อไป โดยได้พิจารณาให้ไปช่วยทำสำนวนด้านการสอบสวนที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้อย่างถูกต้องตามขั้นการแต่งตั้งโยกย้าย ก่อนจะเกิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดีหากมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถยื่นขอความเป็นธรรมได้ แต่ พล.ต.ต.ปวีณ กลับเลือกที่จะใช้วิธีแถลงต่อสื่อมวลชน

กรณีที่ พล.ต.ต.ปวีณ ให้สัมภาษณ์ว่า ถูกข่มขู่ จาก ทหาร ตำรวจ นักการเมืองท้องถิ่น จนไม่กล้าปฏิบัติการในส่วนสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นเหตุให้ต้องลาออกจากราชการ ผบช.ภ.8 กล่าวว่าไม่เป็นเรื่องจริงแต่อย่างใดและเจ้าหน้าที่ไม่เคยถูกข่มขู่จากการปฏิบัติหน้าที่  การให้สัมภาษณ์ในลักษณะนั้นถือว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสื่อมเสียต่อสตช. รวมถึงเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชากว่า 1 หมื่นชีวิต

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.ปวีณขอลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศออสเตรเลีย และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศนั้น ทาง พล.ต.ต.ปวีณ บอกความจริงไม่หมดทุกด้าน ยังมีหลายประเด็นที่ได้สร้างความเสื่อมเสียไว้มากมายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกับสำนวนการสอบสวนซึ่งไม่ได้พูดถึง

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม สำนักข่าวบีบีซีจากประเทศออสเตรเลียนำคำสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์  ออกมาเสนอว่าปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยจะเหมือนเดิม ถ้ารัฐบาลไม่จริงใจแก้ไขและบุคคลในเครื่องแบบมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับขบวนการค้ามนุษย์  ซึ่งการค้ามนุษย์ในประเทศไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าผู้บังคับบัญชาและผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ ไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา

ทั้งนี้ พล.ต.ต.ปวีณยังระบุถึงความเกี่ยวข้องของบุคคลในเครื่องแบบ ทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือนว่า มี 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือเป็นตัวการในการค้ามนุษย์โดยตรง มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และบางคนได้รับเงินจากการค้ามนุษย์ โอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงหรือบางครั้งก็เป็นเงินสด

ส่วนเหตุผลที่ขอลี้ภัยในออสเตรเลีย พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า เป็นเพราะห่วงความไม่ปลอดภัยของตัวเอง อันเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งการออกหมายจับทหาร ซึ่งเป็นการทำให้ผู้เกี่ยวข้องไม่พอใจ

นอกจากนั้นยังมีคำสั่งโยกย้ายให้ไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นการย้ายที่ไม่เป็นธรรมและเป็นอันตรายต่อชีวิตเนื่องจากเป็นพื้นที่ของผู้ต้องหาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ซึ่งอาจทำให้เขาถูก "ล็อคเป้าหรือมีการสร้างสถานการณ์เอาชีวิตได้"

พล.ต.ต.ปวีณกล่าวอีกว่า ไม่ได้รับการสนับสนุนการทำงานจากผู้บังคับบัญชา โดยมีการ“บังคับข่มขู่ให้ลาออกและอยู่เงียบๆ” และแม้ว่าจะรายงานต่อผู้บังคับบัญชาที่เหนือขึ้นไป แต่ก็ไม่ได้มีการทบทวนคำสั่งแต่อย่างใด

ขณะเว็บไซต์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ เผยแพร่บทความเกี่ยวกับ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ว่า การที่พล.ต.ต.ปวีณ ต้องมาขอลี้ภัยในต่างแดน เพราะห่วงความปลอดภัยของตนและครอบครัวนั้น เป็นเรื่องที่สร้างความละอายให้แก่รัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก เพราะ พล.ต.ต.ปวีณเป็นถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนระดับสูง แต่ไม่สามารถอยู่ในประเทศแผ่นดินเกิดได้

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2558    
Last Update : 12 ธันวาคม 2558 14:52:26 น.
Counter : 358 Pageviews.  

ประกาศราชกิจจานุเบกษาให้ ภุชงค์ เนตราวงศ์ พ้นเลขาธิการกกต.ตั้งแต่ 8 ธันวาคม 2558

ประกาศราชกิจจานุเบกษา ให้ "ภุชงค์ นุตราวงศ์"พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง นับตั้งแต่ 8 ธันวาคม 2558 เนื่องจากผลงานไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน

 

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ให้เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งพ้นจากตําแหน่ง ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้พิจารณาการประเมินผลการปฏิบัติงานของ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 แล้ว ปรากฏว่าผลการประเมินมีระดับผลงานไม่บรรลุเป้าหมาย จึงทําให้ผลการประเมินอยู่ในเกณฑ์ไม่ได้รับการพิจารณาให้ดํารงตําแหน่งต่อไป

ดังนั้น จึงอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 30 มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ข้อ 12 และข้อ 13ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 และข้อ 5.1 วรรคแรก (7) วรรคสอง และวรรคสี่ ของสัญญาจ้างเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 12 มีนาคม 2555 ประกอบมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการประชุม ครั้งที่ 54/2558 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 จึงเลิกจ้างและให้ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ พ้นจากตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป โดยให้ได้รับค่าตอบแทนเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยระยะเวลาการดํารงตําแหน่ง และการคํานวณค่าตอบแทนนั้นให้นับจํานวนเป็นปี ถ้ามีเศษเหลือเกินกว่าหกเดือนให้นับเป็นหนึ่งปี

ประกาศ ณ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ลงชื่อ นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม  นายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)กล่าวถึงกรณีกรรมการ กกต.หลายคนออกมาปฏิเสธเรื่องการล้วงลูกการทำงานของกกต.กับนายภุชงค์ แต่อ้างว่าเป็นการกำกับนโยบายว่า หากเป็นการกำกับนโยบายก็ควรส่งการให้เลขาธิการดำเนินการ ไม่ใช่ลงมาทำเอง ส่งคนของตัวเองเข้ามาทำ และให้รองเลขาธิการมาของบจากเลขาธิการเพื่อไปดำเนินการเอง เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ กกต.ก็รู้ว่ามีการล้วงลูก ซึ่งหากไม่มีการล้วงลูก ตนจะเอาหัวเดินต่างเท้าเลย

นายภุชงค์คาดว่าภายในวันที่ 11 ธันวาคมนี้จะมีหนังสือเลิกจ้างส่งมาถึงตน หลังจากนั้นก็จะยื่นอุทธรณ์ต่อกกต. ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้หวังให้กกต.กลับมติ และไม่หวังที่จะกลับไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ แต่ต้องการฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่สำนักงาน กกต.และขอเรียกร้องให้มีการเขียนกฎหมายให้มีเส้นแบ่งระหว่างกรรมการกกต.กับสำนักงานให้ชัดเจน เพราะที่ผ่านมาแม้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)จะมีข้อเสนอให้มีรูปแบบการทำงานเป็นบอร์ด ไม่แบ่งแยกการทำงานออกแต่ละด้านแต่กรรมการ กกต.ก็ไม่เห็นด้วย โดยเหตุผลว่าจะต้องเตรียมการจัดทำประชามติ ซึ่งกรรมการ กกต.บางคนก็ยังยึดติดเรื่องด้านอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.มีการเตือนว่าหากมีการพูดข้อความใดที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทก็จะฟ้องหมิ่นประมาททันที นายภุชงค์ กล่าวว่า ก็ยินดี ก็ว่ากันไป เพราะสิ่งที่ตนพูดตนก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าตนอยากขึ้นศาล แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งตนก็ต้องพูด เพื่อให้สำนักงานกกต.มีความโปร่งใส

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2558    
Last Update : 11 ธันวาคม 2558 17:04:57 น.
Counter : 306 Pageviews.  

ไทยสอบผ่านการประเมินของเอียซ่า-สายการบินจากไทยบินเข้ายุโรปได้

EASA สำนักงานการบินพลเรือนแห่งสหภาพยุโรปแจ้งผลตรวจสอบแล้ว สายการบินจากประเทศไทยไม่ถูกแบนบินเข้ายุโรปได้ หลังจากวิตกกังวลมานาน รายงานฉบับเต็มออกวันที่ 11 ธันวาคม

 

สำนักข่าวต่างประเทศ เมื่อเวลาประมาณ 18.20 น. ของวันที่ 10 ธันวาคม 2558 ว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งสหภาพยุโรป หรือเอียซ่า (EASA)ได้แจ้งผลการตรวจสอบมาตรฐานสายการบินของประเทศไทยว่า รอดพ้นจากการถูกแบนหรือสั่งห้ามไม่ให้สายการบินของไทยบินเข้าสหภาพยุโรป หลังจากที่กังวลกันมาตลอด 10 วัน นับจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (FAA) ลดระดับมาตรฐานด้านการบินของไทย เมื่อ 1 ธ.ค.

นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน และรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ระบุว่า รายงานผลการตรวจสอบมาตรฐานด้านการบินของสำนักงานบริหารการบินแห่งสหภาพยุโรป หรือ เอียซ่า ไม่มีรายชื่อของไทยรวมอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกห้ามทำการบินไปสหภาพยุโรป ซึ่งรายงานฉบับเต็มจะออกในวันพรุ่งนี้ (11 ธ.ค.)

ทั้งนี้ทำให้ไทยสามารถทำการบินไปยังยุโรปได้ตามปกติ โดยไม่มีข้อจำกัด โดยมองว่า เป็นผลจากแผนงานของไทย ที่แสดงให้เห็นความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา โดยมีผลการจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ปัญหาการบินพลเรือน และหยุดการออกใบอนุญาตทันที จนกว่าจะสามารถแก้ปัญหาด้านมาตรฐานการบินได้ รวมทั้งมีความร่วมมือกับเอียซ่าในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง จึงทำให้ไทยได้คะแนนในส่วนนี้มาก

ก่อนหน้านี้สายการบินของไทยได้รับผลกระทบจากการประเมินผลของกรมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ด้วยการปักธงแดงไว้หน้าเว็บไซต์ของ ICAO ต่อมา สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (FAA) ลดระดับมาตรฐานด้านการบินของไทยจาก Category 1 เป็นCategory 2 ทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลว่า ผลการประเมินของเอียซ่า จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ICAO และ FAA หรือไม่

ก่อนหน้านั้นศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ หรือ EIC เคยประเมินว่า ผลการประเมินของเอียซ่า มีเเนวโน้มสอดคล้องกับผลประเมินของ FAA โดยยกกรณีศึกษาของอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ผลประเมินของ FAA และ EASA มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในกรณีของอินโดนีเซียนั้น FAA ปรับลดระดับมาตรฐานด้านการบินในเดือน เมษายน 2550 และ เอียซ่ามีคำสั่งห้ามสายการบินอินโดนีเซียบินเข้าน่านฟ้าสหภาพยุโรปตามมาในเดือน มิ.ย.2550

กรณีของฟิลิปปินส์ FAA ปรับลดระดับมาตรฐานด้านการบินในปี 2551 และ เอียซ่ามีคำสั่งห้ามสายการบินของฟิลิปปินส์บินเข้าสหภาพยุโรปในปี 2553

อย่างไรก็ตามหากผลออกมา เอียซ่า มีคำสั่งห้ามสายการบินของไทยบินเข้าสู่ยุโรป แต่ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ ประเมินว่า การบินไทยซึ่งเป็นสายการบินสัญชาติไทย 1 ใน 2 สายการบิน ที่มีเส้นทางสู่ยุโรป จะได้รับการยกเว้นให้บินเข้ายุโรปได้ เนื่องจากการบินไทย ได้รับประกาศนียบัตรสายการบินที่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัยจาก IATA หากผลออกมาเช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์อาจไม่รุนแรงมากนัก คล้ายคลึงกับกรณีของอินโดนีเซียถูกขึ้นบัญชีดำจาก เอียซ่า แต่ยังคงมีสายการบินสัญชาติอินโดนีเซียถึง 4 สายที่ได้รับการยกเว้นให้ทำการบินสู่ยุโรปได้   

ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวก่อนผลประเมินเอียซ่าออกมาว่า ไม่ว่าผลจะออกมารูปแบบใด ได้เตรียมแผนรับมือในทุกสถานการณ์ ตั้งแต่ผลกระทบระดับปกติ ปานกลาง จนถึงแย่ที่สุด โดยเตรียมมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว พร้อมมั่นใจการบินไทยจะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้เอียซ่า เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานของสายการบินไทย พร้อมออกใบอนุญาตรับรองให้สามารถบินเข้าประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปได้แล้ว ตามโครงการ ‘TCO’ (Third Country Operators) ของเอียซ่า เพื่อช่วยเหลือสายการบินที่มีมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล ให้สามารถทำการบินไปยังชาติสมาชิกยุโรปได้ แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐานการบินในประเทศเจ้าของสายการบิน จะมีปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินก็ตาม

เว็บไซต์ของคณะกรรมการสหภาพยุโรป

//europa.eu/rapid/press-release_IP-15-6284_en.htm

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2558    
Last Update : 11 ธันวาคม 2558 1:29:34 น.
Counter : 289 Pageviews.  

พล.ต.ต.ปวีณหัวหน้าทีมสอบโรฮีนจาขอลี้ภัย “ออสเตรเลีย”แฉถูกหมายหัวเอาชีวิตโดยกลุ่มอิทธิพลทั้งทหาร-ตำรว

พล.ต.ต.ปวีณขอลี้ภัยในออสเตรเลียหนังสือพิมพ์-ทีวีเสนอข่าวคึกโครมการค้ามนุษย์ในไทย ตำรวจไทยผู้ช่วยเหลือเหยื่อกลับต้องเป็นผู้ขอลี้ภัยเสียเอง เผยถูกหมายหัวเอาชีวิตจากขบวนการค้ามนุษย์ทั้งทหาร-ตำรวจ-นักการเมือง-นักธุรกิจจึงไม่อาจทนอยู่ได้ เชื่อผู้ต้องหาอาจถูกปล่อยเพราะพยานไม่กล้าชี้ตัวหรือเสนอหลักฐานผูกมัด

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2558  หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียนรายงานว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ซึ่งลาออกจากราชการหลังถูกย้ายไปเป็นรองผู้บัญชาการศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้(ศชต.) ได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยในออสเตรเลียแล้ว พร้อมแสดงความคาดหวังว่าออสเตรเลียจะให้สถานะผู้ลี้ภัยกับเขา

ทั้งนี้สถานีทีวี ABC (Australian Broadcasting Corporation) และ นสพ. Guardian Australia สัมภาษณ์พล.ต.ต.ปวีณออกรายการทั้งทีวีและตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์    

พล.ต.ต.ปวีณเดินทางถึงกรุงเมลเบิร์นเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว พร้อมกับกล่าวว่ากำลังเดือนร้อนเพราะขบวนการค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายใหญ่ที่มีความเกี่ยวโยงกับทั้งกองทัพ นักการเมือง และตำรวจ ทั้งยังเชื่อว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งย้ายเขาลงไปยังภาคใต้เพราะมุ่งหวังชีวิต ข่าวนี้ทำให้รัฐบาลไทยรู้สึกขวยเขินในข้อหาที่หนักหน่วงจากอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นี้

“ผมทำงานในเขตพื้นที่ที่มีการค้ามนุษย์เพื่อช่วยเหลือพวกเขา เพราะพวกเขาตกอยู่ในสภาพลำบาก”พล.ต.ต.ประวีณกล่าวและว่า “ผมไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ตอนนี้ผมเองกลับลำบาก ผมเชื่อว่าจะต้องมีสถานที่ที่ปลอดภัยให้ผมอยู่ หรือบางแห่งในโลกนี้ที่จะช่วยผมได้”

เดอะ การ์เดียนรายงานว่า เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบหลุมฝังศพกว่า 30 หลุมในเขตป่าลึกชายแดนไทย-มาเลเซีย แต่ละศพเชื่อว่าเป็นผู้อพยพชาวโรฮีนจาที่หนีมาจากพม่าด้วยเรือเล็ก มาถึงประเทศไทยใช้เป็แหล่งหยุดพักก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่มาเลเซีย ผู้อพยพเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นชาวบังคลาเทศที่หนีความยากจน

ปรากฎว่าได้เกิดขบวนการค้ามนุษย์ขึ้นมาด้วยการกักขังบุคคลเหล่านี้ไว้ที่ค่ายในป่าบนเขาก่อนที่ญาติจะนำเงินมาไถ่ตัวออกไปได้ พล.ต.ต.ปวีณเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ทีมงานของเขาสอบสวนแบบเชิงลึกพบว่าเครือข่ายการค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายใหญ่  หลังจากพบหลักฐานแน่ชัดเป็นเหตุให้ศาลออกหมายจับถึง 153 ราย

เมื่อเดือนพฤศจิกายนผู้ต้องหา 88 รายถูกนำขึ้นไต่สวนรับทราบข้อหารวมทั้งพล.ท.มนัส แคงแป้น นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบก,เจ้าหน้าที่ทหาร,ตำรวจ,นักการเมืองท้องถิ่นตลอดจนนักธุรกิจประมงในท้องที่

พล.ต.ต.ปวีณอายุ 57 ปีรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำงานต่อเหตุเพราะเมื่อถูกย้ายลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้เขาไม่ปลอดภัยในชีวิต อีกทั้งในระหว่างการสอบสวนนั้นตัวเขาเองก็ถูกข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลตลอดเวลา  แม้ว่าเขาจะยื่นคำร้องไปยังผู้บังคับบัญชาก็ไม่เป็นผล ทำให้เขาตัดสินลาออกจากราชการและขอลี้ภัยเพื่อความปลอดภัยของชีวิต

อย่างไรก็ตามการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นก็ถูกสั่งการให้ยุบหลังจากตั้งมาได้ 5 เดือน เมื่อถามว่าใครสั่งพล.ต.ต.ปวีณเปิดเผยว่ามีทั้งตำรวจที่เลวและทหารที่เลว และก็เป็นที่น่าเสียใจว่าคนเหล่านี้กลายเป็นผู้มีอำนาจ  

แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ในไทยออกมาแต่พล.ต.ต.ปวีณอธิบายว่าการสร้างค่ายพักในป่าจำเป็นต้องมีการดูแลโดยผู้มีอิทธิพล เพราะคนที่สามารถควบคุมคนเป็นร้อยๆ โดยไม่ถูกจับกุมเป็นเวลาหลายปีคงไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดา เขายังเชื่อว่าที่สุดแล้วผู้ต้องหาในคดีนี้จะไม่ถูกพิพากษาว่ามีความผิด ขณะที่พยานหลายคนก็รู้สึกหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลด้วย

ทั้งนี้ตัวเขาเป็นคนหนึ่งที่จะต้องขึ้นศาลเพื่อเป็นพยานในคดีเมื่อมีการไต่สวน แต่ตัวเขาเองก็ต้องรักษาความปลอดภัยในชีวิตของตนเองไว้ก่อน จึงจำต้องออกมาขอลี้ภัย

พล.ต.ต.ปวีณให้สัมภาษณ์ที่ริมแม่น้ำยาร์ร่า กรุงเมลเบิร์นกล่าวว่าไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยจะคิดอย่างไรเมื่อเขาขอลี้ภัย “ผมเองก็รู้สึกเสียใจมากที่จะต้องจากบ้านมาและไม่อาจทำงานที่ผมรักได้ต่อไป” เขาเองพยายามช่วยเหลือบุคคลอพยพที่จะไปขอลี้ภัยที่อื่น กลายเป็นว่าเขาต้องมาขอลี้ภัยเสียเอง

รายงานข่าวเปิดเผยว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวะถูกนำเสนอโดย ABC TV ออสเตรเลียในคืนวันที่ 10 ธันวาคม 2558 เช่นกันกับที่เดอะ การ์เดียน ได้ตีพิมพ์ออกมาแล่วในวันเดียวกัน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2558    
Last Update : 10 ธันวาคม 2558 21:31:43 น.
Counter : 325 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.