โฆษกรัฐบาลโต้อดีตส.ส.เพื่อไทยโกหกบิดเบือนรัฐบาลไม่เคยยกเลิก 30 บาทรักษาทุกโรค

โฆษกรัฐบาลยืนยันรัฐบาลไม่เลิกโครงการ 30 บาท จี้ ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตส.ส.เพื่อไทยเลิกใช้พฤติกรรมโกหกบิดเบือน จัดเต็มสวดยับ บางคนใช้วิธีการ เผาความรักความสามัคคีของคนในชาติ แนะถ้าทำดีไม่เป็นขอแค่เลิกทำไม่ดี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ชีวิตตัวเอง

 

เมื่อวันที่ 26 ันวาคม 2558 พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวอ้างว่ารัฐบาลจะยกเลิกโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ โครงการ 30 บาทว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่เคยมีแนวคิดที่จะยกเลิกโครงการดังกล่าวตามที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจงใจสร้างข้อมูลเท็จเพื่อให้เกิดความตื่นตระหนกและวุ่นวายในสังคม

“ขอยืนยันว่า การยกเลิกโครงการ 30 บาท ไม่เคยอยู่ในความคิดของรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือตอนนี้ สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำคือการปรับปรุงโครงการให้สามารถดูแลพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับการดูแลมากที่สุด ดีที่สุด และทั่วถึงที่สุด ขณะเดียวกันก็แก้ไขช่องโหว่ ความทับซ้อนของการจัดการและการใช้งบประมาณเพื่อมิให้เป็นภาระต่อการบริหารงบประมาณแผ่นดินในอนาคต”พล.ต.สรรเสริญกล่าว

พลตรีสรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนได้แสดงพฤติกรรมชี้นำ ชักจูง ให้ผู้หลงผิดเผาบ้านเผาเมือง เป็นภาพสลดที่คนไทยทุกคนยังติดตาไม่รู้ลืม มาวันนี้พฤติกรรมโอหังฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนั้นกระทำไม่ได้แล้ว เพราะ คสช.และรัฐบาลเข้ามาดูแลความสงบปลอดภัยในประเทศ แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ยังใช้วิธี เผาความรัก เผาความสามัคคีของคนในชาติ ด้วยการโกหก สร้างข้อมูลเท็จอย่างไม่ละอายใจ ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความวิตกกังวลและสังคมสับสนวุ่นวาย

“ทุกคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ควรพิจารณาตนเองได้แล้วว่า เหลือความเป็นคนไทยในตัวมากน้อยเพียงใด ถ้าคิดทำกรรมดีให้ประเทศชาติไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอเพียงแต่เลิกทำกรรมชั่ว เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ชีวิตตัวท่านเอง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

ก่อนหน้านี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ถึงกรณีแนวคิดยกเลิกบัตรทอง บัตร 30 บาท รักษาทุกโรคของกระทรวงสาธารณสุขว่า “30 บาท รักษาทุกโรค” ถ้ายกเลิกคนส่วนใหญ่ของประเทศจะเดือดร้อนหนัก ถ้าไม่มีความสามารถจะบริหาร ก็หลีกทางให้คนที่ทำได้มาทำแทน ทั้งนี้ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายการดูแลประชาชน ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2545และมีการสานต่อมาในทุกยุค ทุกรัฐบาลตลอดช่วงเวลา 15 ปี ที่ผ่านมา

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม มีรายงานว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่องการแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ โดยมีใจความสรุปได้ว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์และคณะได้ร่วมกันแถลงผลงานของรัฐบาลเนื่องในโอกาสบริหารงานครบ 1ปีเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำแถลงของนายกรัฐมนตรีในหลายส่วนสร้างความสับสน แบ่งแยกและสร้างความร้าวฉานแตกแยกในสังคมไทย ยืนยันให้เห็นถึงความเป็นจริงตามแถลงการณ์ “ประมวลสถานการณ์ประเทศไทยปี 2558 ของพรรคเพื่อไทย” เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศไม่อาจประสบความสำเสร็จได้หากความเข้าใจหรือการมองปัญหาไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือมองปัญหาต่างๆ อย่างมีอคติ

ทั้งนี้ 1. คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีที่ว่า “คนรายได้น้อยมาเลือก เพราะเขาต้องการเงินไปเลี้ยงครอบครัว” และ “คนมีรายได้ปานกลางไม่ออกมาเลือกตั้ง จะทำให้เสียงของคนที่อยากมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า” นั้น คำพูดดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีแสดงถึงความขาดความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย และมีอคติต่อการเลือกตั้ง และดูจะไม่ต่างไปจากคำพูดในเวทีการชุมนุม shut downประเทศก่อนการรัฐประหาร คำพูดของผู้ปราศรัยบนเวทีที่อ้างว่าคนชนบทโง่ คนกรุงเทพฯ ฉลาดกว่า ดังนั้นเสียงต้องไม่เท่ากัน

พรรคเพื่อไทยเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมาได้พิสูจน์ในการเลือกตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วว่า คนชนบท คนยากจน คนรากหญ้า มิได้มาเลือกตั้งเพราะเห็นแก่รายได้หรืออามิสสินจ้าง ในทางตรงกันข้าม คนเหล่านั้นมาใช้สิทธิเลือกตั้งเพราะพอใจในนโยบายที่จับต้องได้ พึงพอใจในนโยบายที่ยกฐานะของคนเหล่านั้นให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทางทฤษฎีประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน คนทุกคนเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนชั้นกลาง และชนชั้นรากหญ้า ย่อมเท่าเทียมกัน คำพูดใดๆ ที่แบ่งชนชั้นจึงเป็นคำพูดที่สะท้อนแนวคิดเพื่อรักษาหน้าตาและผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่มีฐานะดีเท่านั้น

การมองการเลือกตั้งว่าขึ้นอยู่กับการใช้เงินซื้อเสียง สะท้อนให้เห็นภาวะที่ไม่ใช่นักประชาธิปไตยของผู้นำซึ่งนิยมระบบแต่งตั้งมากกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างอยู่จึงไม่ให้ความเคารพต่อการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของประชาชน เช่น การให้ ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง สรรหา การตั้งองค์กรพิเศษเพื่อควบคุมรัฐบาลอีกชั้น การยกอำนาจของประชาชนไปให้องค์กรตรวจสอบและองค์กรตุลาการที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับอำนาจประชาชนจนทำให้เสียสมดุลในระบบถ่วงดุลอำนาจ

2. นายกรัฐมนตรีได้เปรียบเปรยถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคว่า “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของกระทรวงสาธารณสุข เป็นโครงการสุดยอด แต่รายได้ไม่มี” นั้น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความไม่เข้าใจหรือมองปัญหาไม่ถูกต้อง เพราะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยคนยากจนที่ไร้โอกาส กลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เป็นชาวเกษตรกรผู้ยากไร้ ปราศจากที่ทำกิน เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ไม่เพียงพอจะรองรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เผชิญกับโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา เพียงแค่ให้มีหลักประกันในชีวิต ให้คนมีสุขภาพดี เป็นพลังของสังคม

ค่าใช้จ่ายที่มีต้นทุนที่ 30 บาทดังกล่าวนี้ล้วนมีที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ซึ่งเป็นของเพื่อนร่วมชาติของเขา เงินจำนวนนี้มีไว้เพื่อเกื้อกูลคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่เพื่อค้ากำไรแต่อย่างใด เลขาธิการองค์การสหประชาชาติยังเคยหยิบยกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคไปเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนาและประเทศที่กำลังพัฒนา ล่าสุดประเทศสหรัฐอเมริกายังมีนโยบายรักษาพยาบาลในแบบเดียวกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเช่นเดียวกัน

3. คำกล่าวของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “สิ่งที่ผมทำเมื่อ 10 ปีก่อนไม่ใช่ประชานิยม และผมไม่สนใจว่าใครจะเรียกว่าประชานิยม” นั้นนับว่าเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมา พิสูจน์ให้เห็นว่าขณะนี้นายกรัฐมนตรีกำลังใช้โครงการที่ท่านดูถูกและกล่าวหารัฐบาลที่แล้วว่ามีนโยบายเป็นประชานิยม คำว่าประชานิยมจึงเป็นเพียงคำพูดที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในอดีตเท่านั้น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โครงการตำบลละ 5 ล้าน ที่รัฐบาลชุดนี้นำมาใช้ ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นประชารัฐ จึงดูไม่ต่างจากการที่มีความพยายามจะเปลี่ยนชื่อโครงการของพรรคเพื่อไทยที่ประสบความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเหตุผลในการยึดอำนาจปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22พฤษภาคม 2557 ไว้ว่า เพื่อยุติความหวาดระแวง ฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ความรู้รักสามัคคีและความเป็นธรรม สร้างบรรยากาศแห่งความสงบเรียบร้อยและปรองดอง เพื่อนำความสุขที่สูญหายไปนานกลับคืนสู่ประชาชนนั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่าตลอดระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนกว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีรูปธรรมอันใดที่สะท้อนความเป็นจริงในการเสริมสร้างและแก้ไขปัญหาที่กล่าวมา สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งถูกแจ้งข้อกล่าวหา ถูกปรับทัศนคติ คนอีกกลุ่มหนึ่งสามารถใช้เสรีภาพได้อย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจน ในขณะที่แสดงความปรองดองสมานฉันท์กับคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างแนบแน่น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศเสียเวลาเปล่าไปกับการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขตจำกัด เสียเวลาไปกับวาทกรรมสวยหรูเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ คำพูดของนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกต่อสาธารณะในโอกาสบริหารงานครบรอบปีที่ผ่านมาไม่ได้สอดคล้องกับเจตจำนงที่กล่าวไว้ในการยึดอำนาจปกครองประเทศ และน่าจะวิเคราะห์ได้ไม่ยากว่า อีก 1 ปี 6 เดือนข้างหน้าประเทศชาติจะต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบใด

ที่มา thaitribune




Create Date : 27 ธันวาคม 2558
Last Update : 27 ธันวาคม 2558 12:51:33 น. 0 comments
Counter : 229 Pageviews.

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.