องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแถลงกรณีจรรยาบรรณบริษัทในตลาดทุน

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) ขอร่วมแสดงจุดยืนในการสนับสนุนทุกภาคส่วนของสังคมในการต่อสู้กับการทุจริตคดโกง อีกทั้งขอเรียกร้องใหคนไทย ผู้บริโภคไทย ให้ร่วมเป็นกลไกในการเปลี่ยนสังคมด้วยการเลือกสนับสนุนธุรกิจที่รู้จักทั้งรับผิดและรับชอบ

จากกรณีผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. ซีพีออลล์ และ บมจ. สยามแมคโคร ได้ใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนไปซื้อหุ้นจำนวนมากของ บมจ. สยามแมคโคร (MAKRO) จนถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงโทษปรับเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีอาญา ภายใต้ความผิดกรณีการใช้ข้อมูลภายในเข้ามาทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ซึ่งการเอาเปรียบผู้อื่นและเป็นการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในอดีตกับหลายบริษัทซ้ำแล้วซ้ำอีก และเชื่อว่าในอนาคตคงจะเกิดขึ้นอีกเหมือนเดิม

เรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและจุดบกพร่องของการดำเนินธุรกิจ ที่นำไปสู่ภาพพจน์ของการไม่ซื่อสัตย์ ขาดจริยธรรมและจรรยาบรรณในธุรกิจ ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ยังมีผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามแก้ปัญหาธรรมาภิบาลและการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในภาคธุรกิจ จนอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของบริษัทจดทะเบียนไทยทั้งหมดและกลายเป็นตัวฉุดรั้งความก้าวหน้าของประเทศต่อไป

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ขอขอบคุณ ชื่นชมและให้กำลังใจต่อการปฏิบัติงานของ ก.ล.ต. ที่รักษามาตรฐานการกำกับดูแลอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการไทย (IOD) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สื่อมวลชนและทุกท่านที่ได้แสดงบทบาทในการขับเคลื่อนต่อเนื่องเพื่อให้มีมาตรการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเหมาะสมทั้งในกรณีนี้และกรณีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการที่ได้เสนอแนะให้นักลงทุนทั้งกองทุนของรัฐและเอกชนรวมถึงรายย่อย ได้พิจารณาทบทวนการลงทุนในบริษัทที่มุ่งแสวงหากำไรโดยขาดธรรมาภิบาล ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ทั้งนี้เพื่อปกป้องส่วนรวมและสร้างมาตรฐานที่ดีร่วมกัน

และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในระยะยาว และเสริมสร้างธรรมาภิบาล ของภาคธุรกิจให้เป็นที่ยอมรับในสังคมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) ขอตอกย้ำจุดยืนในการสนับสนุนทุกภาคส่วนของสังคมในการต่อสู้กับการทุจริตคดโกง อีกทั้งขอเรียกร้องให้ประชาชนไทย ผู้บริโภคไทย ให้ร่วมเป็นกลไกในการเปลี่ยนสังคมด้วยการไม่ดูดาย หากรู้จักใช้วิจารณญาณในการเลือกสนับสนุนธุรกิจที่รู้จักทั้งรับผิดและรับชอบ เราทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้ ต่อต้านร่วมกัน เพียงหนึ่งหน่วยของสังคมที่ละเลยหน้าที่ก็อาจส่งผลถึงเป้าหมายที่เราได้ร่วมกันกำหนด พลังแห่งความร่วมมือและการยืนหยัดในจุดยืนเท่านั้นจะทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นในการเอาชนะการคอร์รัปชันของประเทศ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 14:50:53 น.
Counter : 235 Pageviews.  

กทม.ถกผู้ค้าปากคลองตลาดนัดแรก ก่อนดีเดย์จัดระเบียบ 29 ก.พ. "ผู้ค้า" โอดเป็นจำเลยสังคมวอนขอขายจุดเดิม

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ค้าบริเวณปากคลองตลาดทั้งกลางวันและกลางคืนกว่าพันคน เพื่อแจ้งกำหนดวันจัดระเบียบวันที่ 29 ก.พ. ยืนยันว่าได้เตรียมสถานที่รองรับไว้เเล้ว ส่วนจะมีผู้ค้าพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนจากนี้ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผลบนพื้นฐานความเป็นจริง

 

เมื่อวันที่ 15 ก.พ. เวลา 14.05 น. ที่สำนักเทศกิจ เขตธนบุรี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ค้าบริเวณปากคลองตลาดทั้งกลางวันและกลางคืนกว่าพันคน เพื่อแจ้งกำหนดวันจัดระเบียบวันที่ 29 ก.พ. โดยมีนายวัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองปลัดกทม. พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ มีเพียร ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. และพล.ต.นาวิน สุมะโน ตัวแทนศูนย์แก้ปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม 

พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า สิ่งที่กทม.จะทำเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ถึงแม้จะมีผู้ได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ หรือผิดหวังบ้าง แต่กทม.ยืนยันว่าดำเนินการอย่างเป็นกลางด้วยความตั้งใจ เพื่อให้สภาพการจราจรดีขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ทางเท้า รวมถึงหาพื้นที่ขายให้ผู้ค้าให้ดีที่สุด อยากถามว่ากทม.อยากทำแบบนี้หรือไม่ ตนก็คิดว่าหากทำอะไรเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายก็ควรจะทำ เพราะทุกคนก็มีสิทธิในความเป็นมนุษย์ในการใช้ทางเท้าเช่นกัน ทุกคนเสียภาษีเหมือนกับผู้ค้าเช่นกัน ดังนั้นวันนี้ต้องคุยกันด้วยเหตุผล พูดกันแบบพี่น้องคนไทยด้วยกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่าตนเป็นคนต่างจังหวัด ไม่มีประโยชน์อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งตนเป็นลูกแม่ค้า เพราะฉะนั้นผู้ค้าไม่ต้องรู้สึกอะไรกับตนเรื่องนี้เลยเนื่องจากตนเข้าใจเพราะเป็นลูกแม่ค้าเหมือนกัน

นายวัลลภ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ๆ กทม.เกิดความไม่พอใจผู้ค้าปากคลองตลาดจึงมาบอกว่าให้เลิกขายคงไม่ใช่ แต่การจัดระเบียบตั้งแต่คลองหลอดรามคำแหง โบ๊เบ๊ หรือคลองถม ก็เกิดจากการร้องเรียนมาจากประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งคิวต่อไปก็จะเกิดขึ้นที่ประตูน้ำ บางลำภู ซอยนานาเหนือ ซึ่งจุดเหล่านี้กทม.ก็ถูกร้องเรียนเรื่องปัญหาจราจรมาโดยตลอด เรื่องนี้กทม.จึงเป็นหนังหน้าไฟ ซึ่งปัญหาจราจรที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าผู้ค้ามีส่วนเช่นกัน เช่นรถติดขึ้นสะพานพุทธฯไม่ได้ เมื่อถึงช่วงสว่างโรงเรียนในย่านนี้ก็ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันอีกไม่นานพื้นที่แถวนี้จะเป็นสถานีรถไฟฟ้าสนามชัย รถไฟฟ้าก็จะพาประชาชนลอดแม่น้ำ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับสถานีเตาปูน ซึ่งกทม.จะให้ปัญหาเกิดขึ้นในช่วงนั้นไม่ได้ ดังนั้นอยากให้ทุกคนช่วยกันทำบุญกุศลเพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวม

ด้านนายจักกพันธุ์ กล่าวว่า จำนวนผู้ค้า 1,163 ราย กทม.ยืนยันว่าได้เตรียมสถานที่รองรับไว้เเล้ว ส่วนจะมีผู้ค้าพอใจหรือไม่พอใจแค่ไหนจากนี้ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผลบนพื้นฐานความเป็นจริง อีกทั้งผู้ค้ายังค้าขายได้ที่ปากคลองตลาดเหมือนเดิมในสถานที่ใหม่ ไม่ต้องย้ายไปที่สนามหลวง 2 สายใต้ใหม่ หรือจตุจักร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้ผู้ค้าปากคลองตลาดได้พร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยมีตัวแทนผู้ค้าเดินมามอบดอกไม้ให้กับพล.ต.อ.อัศวิน จากนั้นทางผู้ค้าได้สลับเปลี่ยนกันแสดงความคิดเห็นต่อแผนการจัดระเบียบอย่างคึกคัก มีการปรบมือส่งเสียงเชียร์กับความเห็นของผู้ค้าแต่ละคน ซึ่งส่วนใหญ่ระบุเห็นด้วยกับการจัดระเบียบ แต่เป็นห่วงถึงราคาแผงขายในสถานที่ใหม่ว่าเป็นอย่างไร รวมถึงพื้นที่ของแผงค้าว่าจะมีขนาดเท่าใด เพราะถ้าแผงขายมีขนาดเล็กจะไม่สามารถค้าขายดอกไม้ได้ทั้งหมด ซึ่งดอกไม้จะมีอายุไม่นานทำให้สินค้าจะตกค้างก็จะกระทบกับเกษตรกร ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะมีม็อบคนปลูกดอกไม้เช่นเดียวกับม็อบส่วนยาง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยขอประกันราคาดอกไม้จากภาครัฐ จึงขอยืนยันจะขายจุดเดิมแต่ให้จัดระเบียบการค้าในพื้นที่แทน ขณะเดียวกันเรื่องปัญหาราจรกลายเป็นว่าให้ผู้ค้าปากคลองเป็นจำเลยสังคม ทั้งที่รถติดทั่วกรุงเทพฯอยู่แล้ว โดยในช่วงท้ายการหารือตัวแทนผู้ค้าได้ยื่นหนังสือร้องขอให้มีการจัดระเบียบแทนการย้ายสถานที่ค้าขาย อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.อัศวินยืนยันว่าจะไม่มีการขึ้นราคาค่าแผงอย่างแน่นอน โดยขอให้ผู้ค้าจัดตัวแทนมา 15 คนมาร่วมหารือกับกทม.ในวันที่ 16 ก.พ. เวลา 16.30 น.ที่ศาลาว่าการกทม. เพื่อรับฟังข้อเสนอและหาทางออกร่วมกันอีกครั้

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 14:15:29 น.
Counter : 315 Pageviews.  

กทม. จัดงาน “รัก ณ 2559” เพื่อรณรงค์ป้องกันเอดส์และโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

กรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์และโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป

 

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 กรุงเทพมหานคร  โดยสำนักอนามัยได้จัดกิจกรรมรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องโรคเอดส์และโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไปในโอกาสใกล้วันแห่งความรักภายใต้ชื่องาน “รัก ณ 2559” จัดขึ้น ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดย ดร.ผุสดี  ตามไท  รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  เป็นประธานเปิดงาน  และยังได้เปิดเผยอีกว่า เอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นปัญหาที่คุกคามและส่งผลกระทบอย่างสูงต่อภาวะสุขภาพ  ทั้งนี้ ปี พ.ศ.2558  กรุงเทพมหานครมีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ  60,104  คน  มีผู้ที่ทราบว่าตนเองติดเชื้อและยังมีชีวิตอยู่  จำนวน  49,018  คน  ซึ่งจำนวน  29,494  คน  เป็นผู้ที่ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัส นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่  อีกจำนวน  1,771  คน  ซึ่งกว่าร้อยละ  50  เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชน  เพื่อลดปัญหาที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนอกจากความเข้าใจจากคนใกล้ชิดและคนในครอบครัวแล้ว ทาง กรุงเทพมหานคร โดยสำนักอนามัยจึง ได้ให้พื้นที่สำหรับสร้างความเข้าใจ  รวมถึงปรึกษาปัญหาต่างๆ แก่คุ่รักยุคใหม่  ผ่านทาง //www.facebook.com/iloveclub โดยหวังว่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาลงได้ในระยะยาวต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 12:20:28 น.
Counter : 207 Pageviews.  

ศาลแพ่งสั่งหลวงปู่พุทธะอิสระและ 4 แกนนำกปปส.ร่วมกันใช้ 1.4 ล้านเหตุบุกดีเอสไอ

ศาลแพ่งพิพากษาสั่ง “หลวงปู่พุทธะอิสระ” และ 4 แกนนำ กปปส. ร่วมชดใช้ กว่า 1.4 ล้านบาท เหตุนำมวลชน กปปส.ปิดล้อมอาคารกรมดีเอสไอ ปี 2556-2557 ทนายความนำเรื่องปรึกษาทุกคนก่อนว่าจะอุทธรณ์หรือไม่

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 15  กุมภาพันธ์ 2559 ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 5034/2557 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม, พล.ต.สมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ, นายชุมพล จุลใส, นายนิติธร ล้ำเหลือ และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) เป็นจำเลยที่ 1-5 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 2,663,409 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

จากกรณีระหว่างเดือน พ.ย. 56 - เดือน ม.ค. 57 จำเลยทั้งห้าเป็นแกนนำ พาผู้ชุมนุม กปปส. ร่วมกันบุกเข้าไปในอาคารดีเอสไอ ถ.แจ้งวัฒนะ แล้ว ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สายไฟ กล้องวงจรปิด ที่อยู่ในความครอบครองของดีเอสไอ

โจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาล เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 57 ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่า การชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ดำเนินการโดยปราศจากอาวุธ ซึ่งการแสดงออกถือเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบแล้วเห็นว่า กลุ่ม กปปส.ได้จัดการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. 56 และสิ้นสุดวันที่ 22 พ.ค. 57 เมื่อมีการยึดอำนาจ โดยระหว่างนั้นจำเลยทั้งห้าเป็นผู้นำชุมนุมที่บริเวณอาคารสำนักงานดีเอสไอของโจทก์ ทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้

ระหว่างการชุมนุมมีการตัดสายไฟฟ้าเมนหลัก และทำให้เครือข่ายระบบอินเตอร์กับคอมพิวเตอร์ได้รับความเสียหายด้วย ระหว่างนั้นดีเอสไอ โจทก์ต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดหาอาหารและเครื่องดื่มเพื่อจัดให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องมาดูแลความปลอดภัยบริเวณอาคารโจทก์ในการดูแลอาคารและทรัพย์สินตามหน้าที่ของโจทก์ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยทั้งห้าพาผู้ชุมนุมมายังอาคารโจทก์แล้วมีการตัดสายไฟแล้วไล่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ออกจากบริเวณนั้น ทำให้ข้าราชการโจทก์ไม่สามารถงานปฏิบัติหน้าที่งานได้ จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย จนโจทก์ต้องย้ายสถานที่ปฏิบัติงานและย้ายเครือข่ายคอมพิวเตอร์-ระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งโจทก์ได้เช่าพื้นที่ของทีโอทีในการติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และระหว่างการชุมนุมยังทำให้กล้องวงจรปิดในอาคารโจทก์ได้รับความเสียหายด้วย

ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารและเครื่องดื่มเป็นค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน ที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถได้รับเบี้ยเลี้ยงจากหน่วยราชการอยู่แล้ว ศาลเห็นว่าค่าใช้จ่ายนี้เป็นคนละส่วนกัน เพราะเบี้ยเลี้ยงที่เจ้าหน้าที่ได้รับเป็นไปตามกฎหมายจากการปฏิบัติงาน แต่ที่จำเลยบุกเข้าอาคารทำให้โจทก์ต้องมีค่าใช้จ่ายโดยตรงในส่วนนี้ที่เกิดจากการกระทำละเมิดของพวกจำเลย และที่จำเลยต่อสู้ว่า การชุมนุมกระทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธถือเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้น ศาลเห็นว่าสิทธิดังกล่าวกระทำได้แต่ต้องไม่กระทำสิทธิอื่นของบุคคลอื่นด้วย

เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคนแล้ว ให้จำเลยต้องร่วมกันชดใช้ให้โจทก์ ในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายเครื่องดื่ม-อาหารในการจัดกำลังพลดูแลอาคาร ค่าเสียหายต่ออุปกรณ์ในสำนักงาน โดยเห็นสมควรกำหนดตามพฤติการณ์จำเลยในการเข้าชุมนุม จึงให้หลวงปู่พุทธะอิสระ และ พล.ต.สมเกียรติ จำเลยที่ 1-2 ที่ได้เข้าชุมนุมที่ดีเอสไอ ระหว่างวันที่ 13 ม.ค. - พ.ค. 57 ร่วมกันชดใช้ให้โจทก์ 899,203 บาท

ส่วนนายชุมพล จำเลยที่ 3 ให้ชดใช้ 365,000 บาท และนายนิติธร กับ น.ส.อัญชะลี จำเลยที่ 4-5 ให้ชดใช้ 184,931.35 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,449,134.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันถัดฟ้อง คือวันที่ 19 พ.ย. 57 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยร่วมกันจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมศาล และค่าทนายความแก่โจทก์อีก 10,000 บาท

รายงานข่าวแจ้งว่า จำเลยทั้งห้าไม่ได้เดินทางมาศาลเพื่อร่วมฟังคำพิพากษา แต่มอบอำนาจให้ทนายความมาฟังคำตัดสินแทน

นายคฑาวุธ ทับทิมนิติภู ทนายความของพระพุทธะอิสระ และพล.ต.สมเกียรติ จำเลยที่ 1-2 กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จากนี้จะนำผลคำพิพากษาไปหารือกับจำเลยทั้งหมดก่อนว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 11:40:56 น.
Counter : 274 Pageviews.  

ธ.ก.ส.เตรียมทุ่มงบ 9,600 ล้านบาท แก้ปัญหาราคาผลผลิตมันสำปะหลังตกต่ำ

ธ.ก.ส.ออกโครงการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2558/59 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด 2558/59 วงเงิน 9,600 ล้านบาท แก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกมันวางแผนการผลิตและเก็บ เกี่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้ดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งทำให้ผลผลิตตกต่ำและหัวมันสำปะหลังไม่ได้คุณภาพตามความต้องการของตลาด โดยได้ออกโครงการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังปี 2558/59 วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท เกษตรกรเป้าหมาย 100,000 ราย เนื่องจากแนวโน้มมันสำปะหลังออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าในระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายน 2559 จะมีผลผลิตมันสำปะหลังเก็บเกี่ยวประมาณ 21.23 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 68.35 ของปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังทั้งปีออกสู่ตลาดทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังเกินกว่าความต้องการของตลาด ส่งผลให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาต่ำ ธ.ก.ส.จึงได้สนับสนุนเงินทุนให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เพื่อให้เกษตรกรสามารถชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังและมีทางเลือกเพื่อขายในช่วงเวลาที่ราคาผลผลิตมันสำปะหลังสูงขึ้น และมีเงินทุนหมุนเวียนใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว

โดยผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรลูกค้าของธนาคาร หรือเป็นเกษตรกรทั่วไปที่ธนาคารได้สอบสวนและพิจารณารับขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าประจำสาขา เป็นเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในปี 2558/59 และต้องแสดงสมุดทะเบียนเกษตรกรที่ได้รับการรับรองการปลูกและจำนวนพื้นที่การปลูกมันสำปะหลัง จากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเกษตรกรที่มีมันสำปะหลังเป็นของตนเองและยังไม่ได้ขุดจำหน่าย โดยยินยอมทำหนังสือรับรองปริมาณหัวมันสำปะหลังต่อ ธ.ก.ส. โดยมีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านหรือผู้นำท้องถิ่นที่เป็นสถานที่ปลูกมันสำปะหลังให้การรับรองความมีอยู่จริงของหัวมันสำปะหลัง และผ่านการตรวจสอบของพนักงานพัฒนาธุรกิจประจำสาขา

สำหรับวงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของราคาประเมินมูลค่า มันสำปะหลังส่วนที่ยังไม่ขุด โดยคำนวณจากราคาเฉลี่ยที่ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม และปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังเฉลี่ยที่ 3,500 กิโลกรัมต่อไร่ หรือขอกู้ได้ไม่เกินไร่ละ 2,100 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี กำหนดชำระคืนหนี้เงินกู้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับแต่วันกู้ ระยะเวลาการจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 - 30 เมษายน 2559 ทั้งนี้ในช่วงที่เกษตรกรลูกค้าอยู่ในระหว่างเข้าร่วมโครงการชะลอเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง หากมีหนี้ที่ถึงกำหนดชำระในช่วงดังกล่าวกับ ธ.ก.ส. เพื่อเป็นการคลายความกังวลจากปัญหาภาระหนี้สิน ธ.ก.ส.จะพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของเกษตรกรลูกค้าที่มีอยู่เดิมออกไปจนกว่าเกษตรกรจะมีรายได้จากการขุดมันสำปะหลังจึงค่อยมาชำระหนี้ 

นายลักษณ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังได้ออกโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยดปี 2558/59 วงเงินสินเชื่อ 4,600 ล้านบาท เกษตรกรเป้าหมาย 20,000 ราย เพื่อให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การใช้ระบบน้ำหยดในไร่มันสำปะหลัง เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) และคุณภาพของผลผลิตมันสำปะหลัง อีกทั้งสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระยะยาวและลดความเสี่ยงจากภาวะฝนแล้ง ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง

สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรลูกค้าของธนาคารหรือเกษตรกรทั่วไปที่ธนาคารรับขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าประจำสาขา ต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2558/59 และต้องแสดงสมุดทะเบียนเกษตรกรที่ได้รับการรับรองการปลูกและจำนวนพื้นที่การปลูกสำปะหลังที่เป็นปัจจุบัน จากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมีความตั้งใจในการนำเงินกู้ไปลงทุนในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก (ในระบบน้ำหยด)

ธนาคารกำหนดวงเงินกู้รายละไม่เกิน 230,000 บาท เพื่อนำไปลงทุนขุดบ่อบาดาล หรือแหล่งน้ำอื่นๆ และค่าวางระบบน้ำหยด อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี เป็นระยะเวลา 24 เดือนนับแต่วันรับเงินกู้ หลังจากนั้นเป็นอัตรา MRR (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 7) กำหนดชำระหนี้ตามความสามารถในการชำระหนี้และที่มาแห่งรายได้ของลูกค้า โดยให้ชำระหนี้คืนเสร็จไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันกู้ และเริ่มจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558 - 31 ธันวาคม 2559

โดยเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาใกล้บ้านท่าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร 02 555 0555 และที่ //www.baac.or.th

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2559 22:28:06 น.
Counter : 265 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.