การตรวจเยี่ยมประชาชนของคณะรัฐมนตรี

เมื่อเร็วๆนี้นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนทั้งที่ภาคอีสานและภาคใต้ ทำให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์หลายประการ การตรวจเยี่ยมประชาชนโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีประโยชน์หลายประการได้แก่

 

1. เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและประชาชน จะทำให้ประชาชนรู้สึกอบอุ่น รู้สึกได้รับความสนใจและเอาใจใส่จากรัฐบาล

2. เป็นโอกาสให้ประชาชนได้สื่อสารทางตรงกับรัฐบาลโดยไม่ต้องผ่านข้าราชการ และเป็นโอกาสให้เกิดการสื่อสารสองทิศทางระหว่ารัฐบาลกับประชาชน จะทำให้รัฐบาลได้รับทราบความต้องการและปัญหาของประชาชนโดยตรง รัฐบาลสามารถซักถามสาเหตุของปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนจากปากของประชาชนเอง ไม่ต้องฟังผ่านข้าราชการ

3. เป็นโอกาสให้รัฐบาลสามารถติดตามกำกับและตรวจสอบโครงการของรัฐในแต่ละพื้นที่ว่าประสบความสำเร็จหรือเป็นไปตามความประสงค์ของประชาชนหรือไม่ และมีสิ่งใดที่ไม่สมบูรณ์หรือต้องแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น หรือมีโครงการใดไม่ได้ผลจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง

4. เป็นโอกาสที่รัฐมนตรีจะได้ใช้ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการวิเคราะห์เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ

5. เป็นโอกาสในการสร้างความหวัง ความเชื่อถือศรัทธาให้กับประชาชนโดยตรง ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการสนับสนุนรัฐบาลให้มีความมั่นคง

6. จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานไม่กล้าทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะรัฐมนตรีจะเห็นเนื้องานโดยตรงว่าคุ้มค่าตามงบประมาณหรือไม่ จะช่วยป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้านายกรัฐมนตรีเห็นความสำคัญดังกล่าวและมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกคนรับผิดชอบในการตรวจเยี่ยมประชาชนในแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัดอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องทุกสัปดาห์เชื่อว่าปัญหาของประชาชนจะได้รับการแก้ไขอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะข้าราชการจะทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งเพื่อแสดงผลงานให้เป็นที่เชื่อถือของรัฐมนตรีที่ควบคุมกำกับ

เนื่องจากรัฐมนตรีมีอำนาจในการบูรณาการกลไกของรัฐทุกส่วนที่รับผิดชอบ จะทำให้ข้าราชการต้องร่วมมือกันทำงานโดยไม่มีข้ออ้างเรื่องอุปสรรคจากหน่วยงานอื่น โอกาสที่โครงการของรัฐจะประสบความสำเร็จจึงยิ่งมีสูง ซึ่งหมายถึงปัญหาของประชาชนจะได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาที่เหลือมากพอที่รัฐบาลจะสร้างความสำเร็จให้เป็นรูปธรรมตามความต้องการของประชาชน ถ้าให้รัฐมนตรีทุกคนทุ่มเทการทำงานอย่างสุดหัวใจ เพื่อประชาชน

การทำงานของรัฐบาลด้วยความซื่อสัตย์สุจริตปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่นจะยิ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 18 มกราคม 2559    
Last Update : 18 มกราคม 2559 15:55:24 น.
Counter : 258 Pageviews.  

กรมควบคุมโรคเตือนระวังป่วยโรคเหน็บชาขาดวิตามินบี 1 อาจถึงตายได้แนะเลี่ยงอาหารดิบ

กรมควบคุมโรคพบผู้ป่วยโรคเหน็บชาขาดวิตามินบี 1 รุนแรง เตือนกลุ่มเสี่ยงผู้ดื่มสุราเป็นประจำ-ป่วยเรื้อรัง-ผู้สูงอายุ-สตรีมีครรภ์ แนะเลี่ยงอาหารดิบให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่รวมทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผลิตภัณฑ์จากถั่ว

 

เมื่อวันที่ 17 กราคม 2559 นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1-14 กราคม 2559 ได้รับรายงานเหตุการณ์การเสียชีวิตและเป็นโรคเหน็บชาจากภาวะขาดวิตามินบี 1 รุนแรง รวม 3 เหตุการณ์ มีผู้ป่วย 42 ราย เสียชีวิต 9 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 21 โดยเมื่อปี2553 และ 2557 พบรายงานผู้ป่วยโรคเหน็บชาจากภาวะขาดวิตามินบี 1 ภาคอีสานมีผู้ป่วยรวม 118 ราย และเสียชีวิต2 ราย

ทั้งนี้ จึงขอเตือนประชาชนให้ดูแลสุขภาพตนเองไม่ให้เกิดภาวะขาดวิตามินบี 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ดื่มสุราประจำ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็กวัยเจริญเติบโต ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ ผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำ ผู้ป่วยที่มีการดูดซึมของกระเพาะและลำไส้ผิดปกติ ผู้ป่วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ และผู้ที่รับประทานอาหารที่ขาดวิตามินบี 1 เป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันการขาดวิตามินบี 1 คือ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลากหลาย สดใหม่ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และถั่วเมล็ดแห้ง รวมทั้งผักใบเขียว 

ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ปลาดิบ หอยลายดิบ ปลาร้าดิบ ปลาส้มดิบ แหนมดิบ เมี่ยง ของหมักดองอื่นๆ

สำหรับอาการที่พบได้บ่อยของโรคเหน็บชาจากภาวะขาดวิตามินบี 1 ได้แก่ อ่อนแรงและชาที่แขนและขา ปลายมือ ปลายเท้า บวม แดง และหากอาการรุนแรง จะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตได้

ถ้ามีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลที่หมายเลขโทรศัพท์สายด่วนของกรมควบคุมโรค 1422

อาหารหลัก 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการ

หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงา ให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย

หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่าง ๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุ เพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ

หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่าง ๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3

หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมัน เพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 18 มกราคม 2559    
Last Update : 18 มกราคม 2559 11:07:54 น.
Counter : 227 Pageviews.  

สาธารณสุขเฝ้าระวัง 5 โรคระบาดปี 2559 ไข้เลือดออก-อหิวตกโรค-ไข้กาฬหลังแอ่น-ไข้หวัดใหญ่และโรคมือเท้าปา

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559 เว็บไซต์ของกรมอนามัยรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้เผยถึงผลการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพปี 2559 ว่าโรคที่ต้องเฝ้าระวังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ โรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ

 

ในส่วนของโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2559 นั้นมี 5 โรค คือ

1.โรคไข้เลือดออก ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 1.6 แสนคน มากกว่าการระบาดใหญ่เมื่อปี 2556ที่มีผู้ป่วย 1.4 แสนคน โดยอาจจะมีผู้ป่วยสูงเดือนละ 5-7 พันคน ช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.

ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะกระจายอยู่ทั่วไป แต่ในจุดเสี่ยงมาก 266 อำเภอใน 56 จังหวัด อาทิ จ.ระยอง ชลบุรี เชียงราย อุบลราชธานี น่าน สงขลา นครราชสีมา เป็นต้น

2.โรคอหิวาตกโรค เมื่อปีที่ผ่านมามีผู้ป่วย 166 คนใน 12 จังหวัด โดยเฉพาะที่ จ.ระยอง สงขลา และตาก ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แถบชายฝั่งทะเล และชายแดน โดยเฉพาะแหล่งกระจายอาหารและพฤติกรรมรับประทานอาหารไม่ปรุงสุก

3 .โรคไข้กาฬหลังแอ่น พบว่าในปี 2558 มีผู้ป่วย 28 คน เสียชีวิต 12 คน มากที่สุดในรอบ 5 ปี ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 24 คน เมียนมา 3 คน และกัมพูชา 1 คน ทั้งนี้ในปี 2559 มีการประเมินว่าพบความเสี่ยงของโรคใน 14 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงใหม่ ตาก กทม. นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สระแก้ว ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สตูล สงขลา กระบี่ ปัตตานี และยะลา

4.โรคไข้หวัดใหญ่ ในปี 2558 มีผู้ป่วย 69,798 คน เสียชีวิต 38 คน ในปี 2559 คาดมีผู้ป่วย72,000 คน ในช่วงฤดูหนาวระหว่าง ม.ค.-มี.ค. และช่วงปลายฝนต้นหนาว ส.ค.-พ.ย. อาจมีผู้ป่วยเดือนละ 5,000-8,000 คน

5.โรคมือเท้าปาก ในปี 2558 พบผู้ป่วย 37,330 คน คาดปี 2559 จะมีผู้ป่วย 70,000 คน โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนเดือน มิ.ย.-ก.ค. อาจมีผู้ป่วยสูงเดือนละ 10,000 คน

เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการป้องกันให้ประชาชนปลอดภัยจากโรคและภัยสุขภาพดังกล่าวแล้ว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 17 มกราคม 2559    
Last Update : 17 มกราคม 2559 14:37:31 น.
Counter : 483 Pageviews.  

นายกฯออกคำสั่ง 18 มกราคมให้บอร์ดสสส.กลับไปทำงานพร้อม“ขอโทษพี่หมอทุกคน”

นายกรัฐมนตรีเตรียมออกคำสั่งจันทร์ที่ 18 ม.ค.ให้บอร์ดสสส.กลับทำงานได้ตามปกติ พร้อมขอโทษบรรดาพี่หมอทั้งหลาย เพียงให้หยุดปฏิบัติงานไม่ได้บอกว่าใครทุจริต เมื่อตรวจพบแล้วไม่มีอะไรก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิม

 

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวให้โอวาทแก่คณะผู้บริหารและผู้แทนองค์กรในสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ตอนหนึ่งถึงกรณีให้บอร์ดสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ยุติการทำหน้าที่ ว่าเรื่องสสส.ที่มีการออกคำสั่งพักงานผู้บริหารนั้น ตนต้องกราบขอโทษจริงๆ ตนไม่ต้องการจะไปทำลายท่าน แต่วันนี้อยากสร้างการรับรู้ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และสนับสนุนให้เกินหน้าเท่านั้นเอง

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในวันจันทร์ที่ 18 กราคม จะมีการออกคำสั่งให้ทุกอย่างเดินหน้าได้ เพราะเมื่อไปทบทวนแล้ว บอร์ดไม่ครบทำให้ไม่สามารถประชุมได้ ทำไมไม่บอกตั้งแต่วันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ตนจึงออกคำสั่งให้บอร์ดที่เหลือทำงานได้ สามารถอนุมัติได้ รวมถึงแต่งตั้งผู้บริหาร กรรมการต่างๆ ได้

ส่วนที่บอกว่าคสช.จะไปครอบครองสสส.นั้น จะไปแบกไว้ทำไม และบอกว่าจะแต่งตั้งคนนั้นคนนี้เพื่อผลประโยชน์ เพื่อบริษัทนั้น บริษัทนี้ ใครมาขอตนจะเล่นงาน โดยที่ทำทั้งหมดนั้นเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ

“เรื่องนี้ไม่ใช่ผมเป็นคนเริ่ม แต่ก็ต้องเสียเวลากันหน่อยเพื่อทำให้ถูกต้อง พอผลตรวจสอบออกมาแล้วไม่มีการทุจริต ซึ่งผมไม่เคยบอกว่ามีทุจริตเลย ในคำสั่งที่เขียนก็ไม่มีคำว่าทุจริต แต่สื่อไปขยายความ เพียงแต่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ให้มีความชัดเจน เมื่อถึงเวลาคัดสรรบุคลากรก็ให้มาคัดสรร ถือเป็นเรื่องของท่านผมจะไปเกี่ยวอะไรด้วย ฝากขอโทษด้วย ซึ่งทำให้อย่างอื่นเสียหาย แต่ที่ผมทำคือการสร้างความไว้ใจให้เกิดขึ้นกับพวกท่านและไม่ต้องการให้โครงการหยุดชะงัก ให้ทำตามวัตถุประสงค์ และตามกฎหมาย”นายกฯ กล่าว

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งในกรณีดังกล่าวว่า หลังจากไปดูอีกครั้งหนึ่งก็เห็นว่ามีการส่งข่าวสารกันไม่ครบถ้วน ซึ่งจริงๆ แล้วเขาอาจไม่กล้าบอกก็ได้ว่าทำได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้บอกว่าทำได้แต่ต่อมาก็บอกว่าทำไม่ได้ ตนไม่ได้เป็นผู้เข้าไปดึงเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบอร์ด เมื่อเห็นว่าทำไม่ได้ ตนก็จะให้ออกคำสั่งให้คนทำงานที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้ หากไม่พอก็จะแต่งตั้งเพิ่ม มีการคัดสรรอย่างไรก็ให้ว่ากันมา ซึ่งวันจันทร์ 18 ม.ค. นี้จะต้องทำงานได้

ส่วนการอนุมัติแผนงานโครงการก็มีขั้นตอนอยู่แล้ว อะไรที่มีปัญหาหรือเป็นข้อสังเกต เพื่อให้เกิดความชัดเจนก็ขอให้รีบทบทวน เพื่อจะดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง

“เรื่องนี้ผมอยากจะทำความเข้าใจอีกครั้งและฝากขอโทษผู้อาวุโสทั้งหลายด้วย ขอโทษพี่หมอทุกคน ผมไม่ได้ต้องการจะทำลายท่านเลย แต่หวังสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับท่านเพราะที่ผ่านมาไม่ใช่ผม แต่เป็นเรื่องของสังคมที่มีหลายอย่างด้วยกัน ในเมื่อเราอยากให้ทุกอย่างดีขึ้น ทุกคนทำงานอย่างสบายใจจำเป็นต้องเคลียร์ให้เรียบร้อย ซึ่งท่านสามารถเข้าไปใหม่ได้ ผมบอกว่าให้คัดสรรไม่ได้บอกว่าท่านทุจริต แต่บังเอิญคำสั่งนั้นไปรวมอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ นี่เป็นเพียงการหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เพื่อการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทำตามข้อสังเกต เพราะหากทุกคนยังอยู่ที่เดิมหมดก็จะขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ท่านอยู่ในระดับบน อย่างน้อยก็ร่วมมือกับเรา และอย่ามาทะเลาะกับผมอยู่เลย มันไม่มีประโยชน์ เพราะอย่างไรก็ต้องเดินตามหลักการที่ถูกต้อง แต่จะทำอย่างไรให้เร็วขึ้น"นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะต้องดูว่า สสส.ปฏิบัติตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เพราะจากเดิมการปฏิบัติงานไม่ค่อยมีความชัดเจน วันนี้มีการแก้ไข ทบทวน ซึ่งอะไรที่มีผลกระทบต่อประชาชนเราจะดูแลให้ ขอโทษทุกๆ คนอีกครั้ง และขอให้อย่าตำหนิติเตียนใครเลย

ส่วนที่นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป บอร์ด สสส.เข้ามาคุยก็นึกว่าเรื่องจะจบ แต่ก็ไม่จบ ซึ่งรัฐบาลจะรับผิดชอบอยู่แล้ว แม้จะล่าช้าไปบ้าง แต่อย่าไปปลุกปั่น ปลุกปั่นตนไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ได้ขู่ แต่จะพยายามแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด โดยวันที่ 18 ม.ค.จะออกคำสั่งให้บอร์ดที่เหลือสามารถทำงานได้ตามปกติ

เมื่อถามว่า หลังจากที่ออกคำสั่งแล้วจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามปกติใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ไปดูงบประมาณว่าจ่ายกันอย่างไร มันจ่ายกันยังไง ก็เดี๋ยวค่อยจ่ายสิ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 มกราคม 2559    
Last Update : 15 มกราคม 2559 22:18:39 น.
Counter : 245 Pageviews.  

บัณฑูร ล่ำซำตำหนิรัฐบาลก่อนๆทำเศรษฐกิจสะสมจน“ฝีแตก”ในรัฐบาลปัจจุบันแนะให้ทั้งเอกชนและธนาคารช่วย

ประธานธนาคารกสิกรไทยชี้รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องเข้ามาแก้ปัญหาที่ตัวเองไม่ได้สร้างไว้ ตำหนิรัฐบาลผ่านๆมาสนุกกับการมีอำนาจ ละเลยแก้ปัญหาแรงงาน ประมง IUU การบินไทย จึงกลายเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจถดถอย

 

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559 นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เวลานี้มีเพียงเศรษฐกิจของไม่กี่ประเทศที่ยังฟ้าใสเท่านั้น ส่วนประเทศที่เหลือตกอยู่ในภาวะฟ้ามืดโดยเฉพาะจีนเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจทรุดลง ทำให้ประเทศอื่นๆทรุดหมด ซึ่งจีนก็มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองก่อน

ขณะที่ประเทศไทย ก็จะเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจังและพยายามใช้ทุกมาตรการ เพื่อดูแลไม่ให้ถดถอย และมีการทำควบคู่ไปกับด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่พยามดึงต่างประเทศเข้ามาร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย  ดังนั้นภาคเอกชนไทยก็ต้องร่วมมือมาลงทุนด้วย

นายบัณฑูรกล่าวว่ายิ่งภาวะปัจจุบันที่เกิดปัญหาชาวสวนยางประท้วงก็เป็นเพราะไม่สามารถทำมาหากินได้แล้ว เกิดจากราคาสินค้าเกษตรทั่วโลกตกต่ำ ภาคเกษตรกรขายสินค้าราคาถูกก็ไม่สามารถสู้ต้นทุนที่สูง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย สั่งสมมาจากหลายๆ รัฐบาลก่อนที่มาจากการเลือกตั้ง มีปัญหาทั้งเรื่องข้าวที่ทำให้เสียหายระดับหนึ่งไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องแรงงานข้ามชาติ  การทำผิดประมง IUU การบินของไทยที่เกือบถูกใบแดงจนเกือบถูกห้ามบิน ทั้งๆ ที่ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลชุดก่อนๆ ทำผิดกติกากันมานาน ทั้งที่มีมาตรฐานสากล-บรรทัดฐานกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลเหล่านั้นก็สนุกกับการมีอำนาจ โดยละเลยการแก้ปัญหาเหล่านี้ จึงกลายเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจถดถอย 

นายบัณฑูรวิจารณ์ว่าอาการฝีแตกต่างๆ จึงเกิดในรัฐบาลชุดนี้ เมื่อเข้ามาบริหารประเทศจึงต้องมาแก้ปัญหาเก่าๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำและต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้านสินค้าเกษตรที่เกิดภาวะราคาตกต่ำ เพื่อให้เกษตรกรเหล่านี้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่วิธีการเข้าไปอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรอย่างเดียว มิเช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาการเรียกร้องเหมือนข้าว ยาง กันอยู่  การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาเหล่านี้ และหากไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ ก็จะเกิดปัญหาที่ลุกลามที่จะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในอนาคตได้

“กลายเป็นปัญหาปากท้องประชาชน ที่รัฐบาลก็ต้องเข้ามาดูแลเพราะคนระดับล่างจำนวนมากในประเทศไม่สามารถทำงานหารายได้พอกินได้ คนจนลงไปอีกทำให้รัฐบาลชุดนี้ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ต่อไป รัฐบาลปะซ้ายปะขวา(ปัญหาต่างๆ) ก็ใช้ทุกมาตรการ เปิดทุกก๊อก แต่ก็ยังทำไม่ได้ดั่งใจของพวกนี้ต้องใช้เวลาเพราะเป็นโรคใหญ่โรคหนักต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ ซึ่งยาพวกนี้ก็ต้องไปแก้ที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญคือปากท้องประชาชน”นายบัณฑูรกล่าว

ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าระบบธนาคารพาณิชยมีส่วนในการช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นส่วนที่ต้องนำเงินออมมาใช้ปล่อยสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้เงินในระบบงอกเงย แต่การปล่อยสินเชื่อเป็นเรื่องละเอียดอ่อน  ถ้าธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจก็ไม่ฟื้น แต่ถ้าปล่อยสินเชื่อไปแล้วธุรกิจยังไม่ดีก็จะพากันลงเหว จึงเป็นประเด็นว่าธนาคารจะปล่อยสินเชื่ออย่างไรให้มีความหมายทำให้เงินออมไม่เสียหายจึงเป็นปัญหาของธนาคารพาณิชย์และเป็นความท้าทายทั้งของธนาคารพาณิชย์และภาคเอกชน

ดังนั้น เอกชนและรัฐบาลต้องร่วมมือกันและเอาผลประโยชน์โดยรวมของประเทศเป็นตัวตั้งและเอกชนก็ต้องขานรับอย่างจริงจังเพื่อช่วยกันฟื้นเศรษฐกิจ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 มกราคม 2559    
Last Update : 15 มกราคม 2559 20:36:05 น.
Counter : 227 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.