ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๑๙๕-จะอยู่ได้อย่างไรเมื่อ...?



“ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดูหนัง ไม่มีแฟน แล้ววันหยุด พี่ทำอะไรเนี่ย!” น้องผู้ร่วมงานคนหนึ่งถามขึ้น ดูจากแววตาของเขาแล้ว ค่อนข้างแปลกใจว่า ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในโลกใบนี้ หากขาดสิ่งประกอบข้างต้นที่พูดมา

“ผมนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร” น้องคนนั้นพูดต่อ

ก็เล่นถามแบบนี้ข้าพเจ้าแทบจุกในคอเลยครับ ไม่รู้จะหาคำตอบให้อย่างไรดี จะให้บอกว่า

'วันหยุดไปวัด ตอนคืนก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะ เขียน blog บันทึกธรรม' ข้าพเจ้าคงบอกอย่างนี้ไม่ได้แน่ ๆ หากพูดออกไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการสร้างภาพที่เปล่าประโยชน์

จริงแล้วประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าศึกษากันมาก สิ่งปรุงแต่งที่โลกเสกสรรค์ให้นั้น มันได้เริ่มมีอิทธิพลต่อความคิดของเราอย่างหมดสิ้น

ไม่ต้องคิดให้มากเรื่อง แค่วันหนึ่งคุณไม่ได้คุยโทรศัพท์คุณจะรู้สึกอย่างไร
หรือ ไฟฟ้าดับไปสักหนึ่งชั่วโมง คุณก็คงจะทำตัวยังกับโลกนี้จะแตกสลายไป ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้ากระมัง

หรือว่า...โครงข่ายอินเตอร์เนตเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีคนหลายล้านต้องกระวนกระวาย นอนไม่หลับไปหลายวันแน่นอน

หรือถ้าโลกนี้ขาดเหล้า ก็คงมีคนต้องลงแดงตายหลายสิบล้านคน ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศร้างไปเลยก็ได้(ร้างจากความเสื่อมทั้งหลาย) ใครจะไปรู้...

ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดนะครับ ว่าเราเกิดมาอยู่ในยุคนี้โชคดีอย่างมากมาย เพราะตอนนั้นข้าพเจ้านึกภาพไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าคนสมัยก่อน เขามีชีวิตได้อย่างไร หากขาดเครื่องอำนวยความสะดวก เช่นในปัจจุบัน

แต่มาเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนความคิด ประเภทนี้เสียแล้ว กลับมองไปว่า น่าสงสารคนยุคปัจจุบันมากกว่าคนยุคก่อนมากมาย

เพราะว่า...

เรามีความเจริญทางสาธารณสุข แต่ก็มีโรคเกิดใหม่ทุก ๆ วัน และรุนแรงขึ้นทุก ๆ ครั้ง

เรามีความเจริญทางด้านวัตถุ แต่จิตใจเรากลับเสื่อมทรามลงทุก ๆ ที
เรามีประเทศที่สมบูรณ์ แต่กลับมีแต่ความแตกแยกขาดสามัคคี
เรามีควาสะดวกสบายจากการเดินทาง แต่ก็ต้องแบกรับปัญหาภัยพิบัติจาก สิ่งที่เราเรียกกันติดปากว่า 'โลกร้อน' ...น่ะครับ




-ขอบคุณรูป art งาม ๆ จาก HIP Magazine -- //www.cmhipmag.com มากมายครับ




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2552    
Last Update : 31 ตุลาคม 2552 11:00:46 น.
Counter : 373 Pageviews.  

๑๙๔-ช้างป่าตายในป่า



วันเสาร์ที่ผ่านมีโอกาสไปงานศพอีกแล้วครับ ช่วงนี้ไปงานศพบ่อยเหลือเกิน แต่ละรายก็ตายอย่างกระทันหัน แม้ความตายมันจะเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ในเมื่อมนุษย์เห็นการเกิด การตายบ่อยขึ้น จิตก็จะสวนทางกับความเป็นจริงในชีวิต และมองความเกิดความตายเป็นเรื่องธรรมดา คือที่ว่ามองเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับคนอื่น แต่ไม่ชอบมองย้อนกลับมาหาตัวเองว่า

วันหนึ่งเราก็ต้องตายเช่นนั้นเหมือนกัน ซึ่งผิดไปจากมุมมองของพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่มองว่าการเกิดตาย เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ทำอย่างไรหนอ เราพึงจะพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้เสียที

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนเราเห็น และได้ยินข่าวของคนที่เสียชีวิตทุกวัน แต่กับไม่เข้าใจในสัจธรรมของชีวิต...

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนเราเห็นคนเกิดทุกวัน แต่กลับมองไม่เห็นความเป็นไปในกฎไตรลักษณ์

และในมุมมองของ ความเจ็บ ความแก่ ก็เช่นเดียวกัน...

แต่ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เห็นได้ยินได้เห็นเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพียงครั้งเดียวในชีวิต พระองค์ก็ทรงเห็นถึงพิษภัยของวัฎฎสงสารเสียแล้ว และสละชีวิตพระราชาออกผนวช

เคยแปลกใจกันบ้างไหม ?

ก็คนเราทุกวันนี้ ได้รับข่าวสารคือ การเห็น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มากเกินไป มากจนกระทั่งเกิดอาการดื้อยาเสียแล้ว (การดื้อยานี้ก็เพียงแต่เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดเจนมากขึ้น)

จิตของเรามันดื้อเสียแล้ว มันเห็นความจริงบ่อยเกินไป จนไม่สามารถยอมรับความจริงได้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ต่อให้ยาขนานใด ๆ ก็ไม่อาจจะช่วยบรรเทารักษาโรค ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารทุกข์นี้ไปได้เป็นแน่

ย้อนกลับมาที่งานศพวันนั้นอีกครั้ง ลูกพี่เก่าของข้าพเจ้าซึ่งไม่ได้พบกันนาน วันนั้นก็เลยมีโอกาสได้คุยกันนานหน่อย เพราะโอกาสที่จะได้เจอกันก็น้อยลงทุก ๆ ที

เป็นธรรมดาของคนที่ไม่เจอกันนาน ก็ย่อมมีการถามถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และเรื่องครอบครัว ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่าสบายดี ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องที่จะแต่งงานอะไร มันเป็นเรื่องในอนาคต แต่ถ้าถามว่าตอนนี้คิดอย่างไร
ข้าพเจ้าตอบว่า

“คงไม่แต่งงานครับ...” และไม่ลืมที่จะย้ำว่า ตอนนี้คิดอย่างนี้ และทิ้งท้ายให้เข้าใจว่า

“ความคิดของเรานั้นมันก็ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ในอนาคต หากมีเหตุการณ์บางอย่างมากระทบ ก็อาจจะทำให้ผมเปลี่ยนความคิดก็ได้ มันไม่แน่เสมอไป...”

“ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเข้าป่า มากกว่าเข้าเมือง...” ข้าพเจ้าเสริม
“แบบเดินธุดงค์หรือ” พี่คนนั้นถาม
“ใช่ ครับ...” ข้าพเจ้าตอบ

หลายคนอาจจะค้านไปแล้วก็ได้ว่า ปัจจุบันนี้ มันหมดแล้วสำหรับคนที่มีความคิดแบบนี้ มันหมดไปแล้ว!...จริง ๆ (บ้าเหรอ!)

คุณจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร ในป่านั่น...?

แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การมีชีวิตอยู่ในป่า แม้เพียงเจ็ดวัน นั้นก็ประเสริฐเพียงพอแล้วจริง ๆ เพราะธรรมดาช้างป่าก็ย่อมกลับไปตายในป่า อยู่วันยังค่ำ

“เอ่อ...ผมคงเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม” ข้าพเจ้าถามพี่คนนั้น เพื่อดักคอแกไว้ก่อน เพราะผมช่วงหลัง ๆ มานี่ผมเริ่มมองว่าใครหลายคนรอบตัว เริ่มมองอย่างผิดปกติ

“ไม่หรอก คนเรามันมองเห็นและมีมุมมองของชีวิตไม่เหมือนกัน ถ้าผมมองเห็นอย่างคุณเห็น ผมก็ต้องทำอย่างคุณนี่แหละ” พี่คนนั้นพูดได้อย่างน่าคิด

เห่อ ๆ นั่นสินะ...



ขอบคุณรูปภาพคลึ้ม ๆ จาก //www.oknation.net/blog มากมายครับ




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2552    
Last Update : 25 ตุลาคม 2552 13:25:50 น.
Counter : 653 Pageviews.  

๑๙๓-อาเจียนสุนัข



ดูหัวข้อแล้ว ไม่น่าอ่านแต่ก็อ่านสักหน่อยเถอะครับ

เคยไหมครับ ที่เห็นหมามันอาเจียน คือ ภาษาบ้าน ๆ แปลว่า มัน อ๊วก...! นั่นเอง
ที่บ้านของข้าพเจ้าเลี้ยงหมาไว้หลายตัว ซึ่งก็เลี้ยงแบบปล่อย ๆ ตามสไตล์หมาบ้านนอก คือปล่อยให้มันมีอิสระเต็มที่ อยากไปไหนมันก็ไป

บางครั้งมันไปกินอะไรที่ไม่น่ากินเข้า ก็เลยมาอ๊วกอยู่ตามบริเวณบ้านครับ วันนั้นก็ต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้าเลยก็ว่าได้ ครั้งจะไล่มันไปอ๊วก ให้เป็นที่เป็นทางก็สื่อสารแบบภาษาหมาไม่เข้าใจอีก (อีกอย่างก็ไม่ได้เรียนมาทางนี้ซะด้วยซิ) ทำยังไงล่ะ ก็เลยปล่อยเลยตามเลยไปแล้วกัน

เมื่อมันอ๊วกจนหมดไร้หมดพุง แทนที่มันจะเอาดินกลบทำลายหลักฐานอย่างที่มนุษย์เขาชอบทำกัน มันก็เอาจมูกมาดม ๆ อ๊วกของมันเองครับ แล้วไม่น่าเชื่อมันกลับเลีย และกินอาเจียนของมันกลับเข้าไปอีก ประหนึ่งว่าเสียดายของอย่างไรอย่างนั้น

อะไรมันจะขนาดนั้นนะ...ขนาดของที่อาเจียนออกมาแล้ว มันก็ยังแยกแยะไม่ออก ว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรกิน ข้าพเจ้าเห็นแล้ว ก็เวทนามันพอสมควร ถ้าหากว่าอาการอย่างนี้ เกิดขึ้นกับคนแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้เป็นแน่ ๆ เลย ใช่ไหมครับ

นอกจากคนนั้นจะเสียสติ อย่างรุนแรง...

ย้อนกลับมาดูใจดูกายของเราบ้างดีกว่าครับ ธรรมดา 'กามราคะ' อันเราเห็นแล้วว่ามีโทษ เป็นภัยเป็นพิษต่อผู้ที่ปรารถนาและหวังผลในนิพพานนั้น ซึ่งธรรมดาของผู้ที่ยังไม่สามารถพัฒนาจิตจนถึงขึ้นบรรลุธรรมขั้นสูง นั่นคือการเป็นพระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ก็ย่อมตกอยู่ในบ่วง และวังวนของกามราคะอยู่ดี ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง

แต่การละกามราคะได้ชั่วคราวนั้นก็มีผลดีอยู่แล้ว ย่อมมีอานิสงส์ให้เป็นนิสัยในการสร้างคุณธรรมความดีในขั้นสูงต่อไป แต่เราคงยังไม่พูดถึงเรื่องการละกาม ได้อย่างเด็ดขาดครับ เพราะการอธิบายไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ ย่อมไม่เป็นที่น่าสนใจต่อคนทั่วโลก

เพราะแม้แต่เพียงตัวข้าพเจ้าเอง ก็ยังติดข้องอยู่ในบ่วงของกามคุณอยู่นั่นเอง เพียงแต่อาศัยสิ่งที่เรียกว่าความรู้ ที่ฟังมาจากครูบาอาจารย์ นำมาสรุปกันให้อ่านกันก่อน ในตอนนี้

ความอยากในเมถุนธรรมของนักปฏิบัตินี้ ครั้นจะละเสีย ก็ยังละไม่ได้ มันยังคงดอมดม หากินหาเลียในเศษที่ตัวเองทิ้งไว้แล้วอยู่นั่นเอง จิตเรามันจึงไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่กินอาเจียนของตัวเองเข้าไป ไม่ได้รู้ถึงความน่าเกียจน่าสะอิดสะเอียดนั่นเสียเลย...



Thank you for title picture from //www.treehugger.com




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2552    
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 8:19:07 น.
Counter : 398 Pageviews.  

๑๙๒-ที่นอนไหน...ที่สงบ?



“ทำไม...ไม่ปูผ้าปูที่นอนครับ” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น ในช่วงที่ได้ออกงานต่างจังหวัดด้วยกัน บังเอิญต้องพักร่วมหลาย ๆ คน

เหตุผลเดียวคือ การนอนกับพื้นวันนั้น นั้นเย็นสบายกว่าครับ
' ซึ่งปกติก็ปูนั่นแหละ แต่วันนี้ขอซักวันเถอะ... ' ข้าพเจ้านึกในใจ

ธรรมดาคนเราย่อมรู้จักหาที่พัก ที่นอนที่สบายแก่ตนเองอยู่เสมอ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ต่างกัน การปูที่นอนนั้นก็สำคัญน้อยกว่า การปูทางปฏิบัติเพื่อไปสู่สวรรค์ นิพพาน

บุคคลที่รู้จักทาง รู้จักทางปฏิบัติไปสู่ความสงบแล้ว การอยู่การนอน การกิน อยู่แห่งหนใดก็สงบ ไม่เป็นที่เบียดเบียนให้ใครต้องเดือดร้อน แม้คนอื่นอาจจดูอาจจะมองว่าเขานั้นเดือดร้อน หากแต่ความรู้สึกในใจนั้นไม่ใช่อย่างนั้น

ต่างกับคนที่นอนบนที่นอนแสนสบาย หากแต่จิตใจของเขานั้น มีความว้าวุ่น ขุ่นเคือง มีความกังวล มีความโลภเป็นที่เกาะเกี่ยว เป็นที่อยู่ที่อาศัย ที่นอนที่แสนนุ่มนั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้คืนนั้น เขาหลับลงได้สบายหรอก...จริงไหมครับ


ขอบคุณรูปภาพจาก //www.thailandepilepsy.org มากมายครับ




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2552    
Last Update : 8 ตุลาคม 2552 7:46:42 น.
Counter : 1177 Pageviews.  

๑๙๑-หลับตากลางแดด



ตอนสายของวันหนึ่ง เป็นวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวครับ ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นช่วงกึ่งกลางของฤดูฝนก็ตามที แต่บรรยากาศวันนี้ดูร้อนมากผิดปกติ

ซึ่งธรรมดาวันหยุด เราก็ควรได้มีชีวิตที่หยุดพักผ่อนบ้าง แต่ทว่าวันนี้ข้าพเจ้ากลับต้องมาทำงานอีกตามเคย

เมื่อมองดูดวงตะวันดวงกลม ๆ ก็พอจะทำให้หน้ามืดไปพักใหญ่
แล้วจะมองทำไม...ล่ะจริงมั้ย...?

เหตุผลนั้นก็คือ ธรรมดาเรารู้ว่าตอนกลางวันก็เพราะมีพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และเดินทางข้ามวันไปตกยังทิศตะวันตก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้

เช่นเดียวกัน ธรรมชาติสร้างมนุษย์มา เรามีความเกิดนั้นเป็นธรรมดา และก็ย่อมมีความตายอยู่เป็นธรรมดา เฉกเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ที่มีขึ้นมีตก

การเวียนว่ายตายเกิดนั้น ก็คงไม่ต่างกัน...
แต่การอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจได้ง่ายนั้น เป็นเรื่องที่ยากเย็นพอสมควร ดังนั้นการอธิบายเรื่องการเกิดใหม่ก็คงต้องพักไว้ก่อน ขอนำเรื่องที่สามารถมองเห็นกันได้ในปัจจุบันชาตินี้ มาอธิบายก่อนก็แล้วกัน

การพิจารณาความตายเป็นธรรมที่จัดไว้ในหมวดของมรณนุสติ เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง ถ้าสามารถฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอ ปฏิบัติจนทำให้เป็นอารมณ์เดียวกับการความรู้สึกที่เกิดขึ้น พร้อมกับความรู้สึกในรู้ลมหายใจเข้าออก อย่างนี้เป็นวิหารธรรม คือเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของอารมณ์พระโสดาบัน

การระลึกความตายอยู่เสมอนั้น ผลข้างเคียงที่ได้รับคือ ความโลภ ความโกรธ นั้นย่อมผ่อนคลายลง เพราะจิตของเราจะเริ่มยอมรับความจริง และความเป็นไปของธรรมชาติ แล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตายเป็นแน่ การให้อภัย ความเมตตา และจิตใจเราจะเยือกเย็นอย่างผิดสังเกตเลยทีเดียว นี่เป็นผลที่ได้จากการปฏิบัติ

แต่ธรรมดาของคนทั่วไป แม้รู้ชัดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกแน่นอน แต่เราก็ยังคัดยังค้านยังประมาทกับชีวิต โดยหลับตาหลอกตัวเองว่าพระอาทิตย์ไม่มี ความตายนั้นยังอยู่ไกลแสนไกล ยังไม่อยากรับรู้ไม่อยากสนใจ เพราะชีวิตเรายังหนุ่มยังแน่น และอยากใช้ชีวิตมอมเมา มัวมันอยู่กับโลกีย์ต่อไป

บุคคลเช่นนี้คือคนที่ประมาทในโลก ประมาทในชีวิต บางทีในคราวหน้าที่เขาลืมตาขึ้นมาก็อาจจะพบว่า ดวงอาทิตย์ดวงนั้น กำลังจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงเวลานั้นก็อาจจะสายเกินไป ที่จะหันมาทำความดี สะสมสะเบียงไว้ใช้ในภพชาติต่อไป...ก็เป็นไปได้นะครับ



ขอขอบคุณรูปงามจาก //www.vcharkarn.com




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2552    
Last Update : 7 ตุลาคม 2552 7:42:08 น.
Counter : 805 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.