พระวรสารอาเคิน (ราว ค.ศ. 820)
ซึ่งเป็นตัวอย่างงานหนังสือวิจิตรของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง (Carolingian Renaissance) เป็นสมัยของการฟื้นฟูการศึกษาและวัฒนธรรมตะวันตก ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยมีจุดที่รุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ และพระราชโอรส จักรพรรดิลุดวิกที่ 1
ระหว่างช่วงเวลานี้ก็มีการศึกษาวรรณคดี การเขียน ศิลปะ สถาปัตยกรรม นิติศาสตร์ และหนังสือทางคริสต์ศาสนวิทยากันอย่างแพร่หลาย นอกจากนั้นก็ยังเป็นสมัยของการวิวัฒนาการภาษาละตินยุคกลาง และอักษรคาโรแล็งเชียงกันขึ้น
ซึ่งเป็นการสร้างภาษาและวิธีการเขียนที่เป็นสามัญ ที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารไปได้เกือบทั่วทั้งยุโรป
การใช้คำว่า renaissance หรือ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ในการบรรยายช่วงเวลานี้ก็เป็นประเด็นที่โต้แย้งกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง ที่จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มนักบวชเท่านั้น
และขาดการเคลื่อนไหวโยกย้ายอย่างกว้างขวาง เช่นที่เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลีต่อมา แทนที่จะเป็นการรื้อฟื้นของขบวนการทางวัฒนธรรมใหม่ ยุคนี้เป็นเพียงการพยายามที่จะเลียนแบบวัฒนธรรม ของจักรวรรดิโรมันก่อนหน้านั้น
ความพยายามของผู้มีการศึกษา
ความขาดแคลนผู้มีการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ของยุโรปตะวันตกก่อให้เกิดปัญหาสำหรับนักปกครองคาโรแล็งเชียง โดยจำกัดจำนวนผู้ที่มีความสามารถที่จะเข้ารับราชการในราชสำนักในฐานะนักคัด
นอกจากนั้นปัญหาที่ใหญ่กว่าต่อประมุขผู้เคร่งครัดทางศาสนาคือ นักบวชบางองค์ก็ไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญพอ ที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาละติน (Vulgate Bible) ได้
ปัญหาอื่นก็คือภาษาละตินพื้นบ้านของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เริ่มที่จะขาดมาตรฐานและเพี้ยนไปเป็นภาษาท้องถิ่น ที่เป็นบรรพบุรุษของภาษากลุ่มโรมานซ์ในปัจจุบัน
ภาษาที่เพี้ยนไปก็เป็นภาษาที่ไม่มีความหมาย และทำให้ผู้มีการศึกษาจากภูมิภาคต่างๆ ในยุโรปไม่อาจจะสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว จักรพรรดิชาร์เลอมาญจึงทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ก่อตั้งสถานศึกษาต่างๆ ขึ้น องค์ประกอบสำคัญของโครงการปฏิรูปของพระองค์ คือการพยายามดึงดูดผู้นำทางการศึกษาเข้ามารับราชการในราชสำนัก
กลุ่มคนแรกในบรรดาผู้ที่ทรงเรียกตัวมายังราชสำนักก็ได้แก่ชาวอิตาลี ปีเตอร์แห่งปิซา ผู้ถวายอักษรภาษาละตินให้แก่พระองค์ระหว่าง ค.ศ. 776 จนถึงราว ค.ศ. 790 และพอลินัสที่ 2 แห่งอควิเลเอียระหว่าง ค.ศ. 776 จนถึง ค.ศ. 787
ผู้ที่จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราช แห่งอควิเลเอียในปี ค.ศ. 787 พอลเดอะดีคอนจากลอมบาร์ดี ถูกนำตัวมายังราชสำนักในปี ค.ศ. 782 และอยู่ต่อมาจนถึง ค.ศ. 787 เมื่อจักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสที่มอนเตคาสซิโน
ทีโอดุลฟ์แห่งออร์เลอองส์ผู้เป็นชาววิซิกอธสเปน รับราชการในราชสำนักระหว่างปี ค.ศ. 782 จนถึงปี ค.ศ. 797 เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราชแห่งออร์เลอองส์
ทีโอดุลฟ์มีบทบาทในการสร้างมาตรฐาน ให้แก่คัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาละตินแข่งอย่างเป็นมิตรกับอัลคิวอิน อัลคิวอินเป็นนักบวชจากนอร์ทธัมเบรีย ผู้มีตำแหน่งเป็นประธานของสถานศึกษาของราชสำนักระหว่างปี ค.ศ. 782 จนถึงปี ค.ศ. 796 ยกเว้นระหว่างปี ค.ศ. 790 จนถึงปี ค.ศ. 793
เมื่อเดินทางกลับไปอังกฤษ หลังจากปี ค.ศ. 796 อัลคิวอินก็ดำเนินการค้นคว้าทางวิชาการ ในฐานะเจ้าอาวาสอยู่ที่สำนักสงฆ์เซนต์มาร์ตินที่เมืองตูร์
ในบรรดาผู้ติดตามอัลคิวอินข้ามจากอังกฤษ ไปรับราชการในราชสำนักของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ ได้แก่โจเซฟ สกอตตัสชาวไอร์แลนด์ หลังจากนักการศึกษารุ่นแรกที่เป็นชาวต่างประเทศแล้ว ลูกศิษย์ที่เป็นชาวแฟรงค์เช่นอองชิลแบร์ตก็มีบทบาทต่อมา
ราชสำนักต่อมาของ จักรพรรดิลุดวิกที่ 1 หรือ หลุยส์เดอะไพอัส และ จักรพรรดิคาร์ลที่ 2 หรือ ชาร์ลส์เดอะบอลด์ ก็ทรงอุปถัมภ์กลุ่มนักการศึกษาเช่นเดียวกันในราชสำนัก บุคคลที่สำคัญที่สุดในบรรดานักการศึกษาเหล่านี้ก็ได้แก่โยฮันน์ส สโคทัส อีรูจินานักปรัชญา นักเทววิทยา และกวีชาวไอร์แลนด์
กิจการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการสร้างหลักสูตรมาตรฐาน เพื่อใช้ในสถานศึกษาต่างๆ ที่เพิ่งทำการก่อตั้งขึ้น อัลคิวอินเป็นผู้นำในโครงการดังกล่าวและเป็นผู้รับผิดชอบในการเขียนตำรา สร้างรายชื่อคำศัพท์ และวางรากฐานของไตรศาสตร์ และ จตุรศิลปศาสตร์เพื่อเป็นพื้นฐานของการศึกษา
อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือการวิวัฒนาการอักษรคาโรแล็งเชียง ที่ใช้เป็นครั้งแรกที่สำนักสงฆ์คอร์บีและตูร์ ที่ประกอบด้วยการใช้อักษรตัวเล็ก (lower case) กันเป็นครั้งแรก
นอกจากนั้นก็ยังมีการสร้างภาษาละตินมาตรฐาน ที่เป็นภาษาที่สามารถสร้างคำใหม่ได้ ขณะที่ยังคงรักษาโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาละตินคลาสสิคเอาไว้
ภาษาละตินยุคกลางที่วิวัฒนาการขึ้นมา กลายมาเป็นภาษากลางในการให้การศึกษา และสำหรับข้าราชการผู้บริหาร และนักเดินทางสามารถเป็นที่เข้าใจ ในบริเวณต่างๆ ของยุโรป
ศิลปะคาโรแล็งเชียง
ศิลปะคาโรแล็งเชียงรุ่งเรืองอยู่ราวราว 120 ปี ราวระหว่าง ค.ศ. 780 จนถึง ค.ศ. 900 แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ก็เป็นช่วงที่มีการสร้างงานศิลปะที่มีอิทธิพล
ศิลปะของยุโรปเหนือเริ่มเลียนแบบงานศิลปะคลาสสิค ของเมดิเตอร์เรเนียนโรมันเป็นครั้งแรก ที่เป็นการวางรากฐานของศิลปะโรมาเนสก์ที่ตามมา
และต่อมาศิลปะกอธิคในยุโรปตะวันตก งานศิลปะจากยุคนี้ที่ยังคงตกทอดมาให้เห็นก็ได้แก่งานหนังสือวิจิตร งานโลหะ ประติมากรรมขนาดเล็ก โมเสก และ จิตรกรรมฝาผนัง
สถาปัตยกรรมคาโรแล็งเชียง
สถาปัตยกรรมคาโรแล็งเชียงเป็นลักษณะสถาปัตยกรรม ของทางตอนเหนือของยุโรปที่เผยแพร่โดยจักรพรรดิชาร์เลอมาญ สมัยสถาปัตยกรรมเริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 จนถึง คริสต์ศตวรรษที่ 9
จนมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิออตโตที่ 1 ในปี ค.ศ. 936 และเป็นความพยายามที่จะฟื้นฟูสถาปัตยกรรมโรมัน สถาปัตยกรรมคริสเตียนยุคแรก และ สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ผสานกับลักษณะบางอย่างของตนเอง ซึ่งทำให้เกิดลักษณะใหม่ขึ้น
ดนตรีคาโรแล็งเชียง
ในวัฒนธรรมตะวันตก ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีนิยม ที่มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยสุเมอเรียน (2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผ่านทางบาบิโลเนีย และ เปอร์เซียเข้ามายังกรีซโบราณ และต่อมาโรม
แต่การโยกย้ายถิ่นฐานของชาวเจอร์มานิค ในคริสต์ทศวรรษ 400 ทำให้ประเพณีนิยมทางด้านดนตรีต้องมายุติลง ยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ในช่วงหลายร้อยปีหลังจากนั้น ไม่เข้าใจภาษากรีก
ฉะนั้นโบเธียสผู้เข้าใจสถานการณ์ จึงทำการแปลงานจากภาษากรีกมาเป็นภาษาละติน ที่กลายมาเป็นรากฐานของการศึกษาในยุคนั้น การปฏิรูปทางการศึกษาของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ ผู้ทรงมีความสนพระทัยทางด้านดนตรี
จึงเป็นการเริ่มสมัยของการเขียนและก็อปปีงานเขียนกันในสำนักสงฆ์ ที่รวมทั้งงานที่เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีด้วย Musica enchiriadis เป็นงานชิ้นแรกที่สุดชิ้นหนึ่งและเป็นงานที่น่าสนใจ
จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงพยายามสร้างมาตรฐาน สำหรับดนตรีที่ใช้ทางศาสนาโดยการกำจัดความแตกต่าง ที่มาจากอิทธิพลท้องถิ่น
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาทิตยวารสิริวิบูลย์ รัศมิสูรย์พูนรุจีสิรีประภัสสร์ค่ะ