bloggang.com mainmenu search



















Niki de Saint Phalle ศิลปินที่สวยและเก่ง

โดย อายตนะ




ใครที่ไปกรุง Paris คงไม่พลาดที่จะไปชมอาคารขนาดใหญ่ที่มีความแปลกและความสวยงามที่ชื่อ Pompidou Center อาคารขนาดใหญ่นี้ออกแบบได้ล้ำสมัยมาก โดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อ Renzo Piano

โครงสร้างของอาคารที่เรามองเห็นทั้งจากภายนอกและภายในตัวอาคารจะใช้สีหลายสีเพื่อแสดงถึงการทำงานของอาคาร เช่น สีเขียวคือระบบน้ำ สีฟ้าคือระบบอากาศ สีเหลืองคือระบบไฟ สีแดงคือระบบขนส่ง

ภายในอาคาร Pompidou Center เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่

ถ้าเดินไปด้านข้างอาคาร Pompidou Center ก็จะพบสระน้ำขนาดใหญ่ มีที่ให้นั่งเล่นรอบๆ ในสระมีน้ำพุที่พุ่งออกมาเป็นฝอยจากตัวหุ่นสีสันสดใส สวยงาม และเคลื่อนไหวได้ด้วยกลไกจำนวน 18 ตัว

น้ำพุแห่งนี้มีชื่อว่า Stravinsky Fountain ออกแบบกลไกโดย Jean Tinguely ส่วนตัวหุ่นเป็นฝีมือของ Niki de Saint Phalle น้ำพุแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 แต่ปัจจุบันก็ยังสวยงามและเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ในแต่ละวันจะมีผู้คนจำนวนมากมาชมและมาถ่ายภาพกัน


Catherine-Marie-Agnes Fal de Saint Phalle คือชื่อเต็มของ Niki de Saint Phalle เธอเป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 ที่เมือง Neuilly-sur-Seine ชานกรุง Paris ในครอบครัวผู้ดีเก่าที่มีขนบธรรมเนียมในการดำรงชีวิตอย่างเป็นระเบียบแบบแผน

บิดาเป็นนายธนาคารที่ต่อมาประสบความล้มเหลวในการเล่นหุ้น ทำให้ครอบครัวต้องประสบปัญหา และในที่สุดก็ต้องย้ายครอบครัวไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1933

Niki de Saint Phalle เข้าเรียนที่ Brearly School ในกรุง New York แต่ไม่นานก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียน เพราะไประบายสีบนรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียน บิดาจึงจับส่งไปอยู่โรงเรียนประจำชื่อ Oldfields School ใน Maryland จนจบการศึกษาในปี ค.ศ.1947

ด้วยความที่เป็นคนสวยเก๋ ในช่วงวัยรุ่น Niki de Saint Phalle ถูกชักชวนให้เป็นนางแบบเมื่ออายุได้เพียง16 ปี เธอเป็นนางแบบให้กับนิตยสารชั้นนำหลายฉบับ ต่อมาได้ถ่ายภาพปกนิตยสาร Life Magazine ฉบับวันที่ 26 กันยายน ค.ศ.1949

และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1952 Niki de Saint Phalle ปรากฏอยู่บนหน้าปกของ Vogue ฉบับภาษาฝรั่งเศส เธอเป็นนางแบบที่ดังมากในช่วงเวลานั้น

ชีวิตส่วนตัวของ Niki de Saint Phalle ช่างสับสนวุ่นวายนัก เธอเป็นขบถในครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก พยายามปฏิเสธชีวิตความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมแบบผู้ดีของครอบครัวมาตลอดแต่ก็หนีไม่พ้น เมื่ออายุได้ 18 ปี Niki de Saint Phalle หนีตามเพื่อนชายซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆชื่อ Harry Mathews ไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันที่ Massachusetts

ขณะที่สามีเข้าเรียนดนตรีที่ Harvard ภรรยาก็วาดภาพและพยายามทดลองสร้างผลงานศิลปะแปลกๆ ชีวิตคู่ในช่วงแรก ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอต้องการ สามารถใช้ชีวิตอย่างเสรีได้ตามความปรารถนา

แต่เมื่อ Laura ลูกคนแรกเกิดในเดือน เมษายน ค.ศ. 1951 Niki de Saint Phalle ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก ทำงานเป็นแม่บ้านและหยุดวาดภาพ เธอพบว่า แม้เธอพยายามหนีจากครอบครัวที่มีกฏเกณฑ์และระเบียบแบบแผน

แต่เมื่อมีครอบครัวของตัวเอง ชีวิตของเธอก็ต้องกลับไปเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่ออยู่กับพ่อแม่ เรื่องดังกล่าวทำให้เธอเครียดจนป่วย หมอแนะนำว่าควรหาสิ่งใหม่ๆทำ Niki de Saint Phalle จึงเริ่มทุ่มเทเวลาให้กับการวาดภาพอีกครั้งหนึ่ง

ค.ศ.1952 Niki de Saint Phalle และสามีย้ายไปอยู่ที่กรุง Paris ประเทศฝรั่งเศส ที่นั่นเธอเข้าเรียนการแสดง ส่วนสามีคงเรียนดนตรีต่อ ทั้งคู่มีโอกาสเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ และวิหารหลายแห่งทั้งในประเทศฝรั่งเศสและประเทศใกล้เคียง

เช่นอิตาลีและเสปน Niki de Saint Phalle ชื่นชมผลงานของ Gaudi มากโดยเฉพาะสวนที่ Gaudi เป็นผู้ออกแบบสร้างที่ชื่อ Parc Guell เธอเริ่มมีความคิดที่จะสร้างสวนแบบนั้นบ้าง

ต้นปี ค.ศ.1960 Niki de Saint Phalle หย่ากับสามีโดยให้สามีเป็นคนดูแลลูก เธอกลับมาเป็นโสดอีกครั้งหนึ่งและใช้ชีวิตที่สนุกอย่างไม่น่าเชื่อในสังคมชั้นสูงของชาวเมือง Paris

จนกระทั่งในปลายปีเดียวกัน เธอจึงได้ย้ายไปอยู่กับ Jean Tinguely ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954

ช่วงเวลา 10 ปีภายหลังการหย่า Niki de Saint Phalle กลายเป็นสาวเนื้อหอม ที่มีผู้คนสนใจเฝ้าติดตามข่าวคราวของเธออย่างใกล้ชิด ในช่วงเวลาดังกล่าวเธอวาดภาพจำนวนมาก พยายามสร้างผลงานในแบบของตัวเอง

ที่เป็นที่รู้จักกันมากก็คือผลงานแปลกๆ ชุด "ยิง" ที่เธอวาดภาพแล้วเอาปืนยิงเข้าไปที่ภาพวาดซึ่งถือเป็นการสร้างภาพวาดแบบใหม่ๆขึ้นมา

ปี ค.ศ.1965 เป็นปีที่สำคัญที่สุดปีหนึ่งของ Niki de Saint Phalle เมื่อเพื่อนสนิทของเธอชื่อ Clarisse Rivers ท้อง เธอมองเห็นความลำบากของการที่เกิดมาเป็นผู้หญิง จึงได้ความคิดที่จะสร้างงานศิลปะเพื่อยกย่องเชิดชูเพศหญิง

ด้วยการสร้างรูปปั้นผู้หญิง ให้สีสันที่สดใส มีอากัปกิริยาที่สนุก รื่นเริง ผู้หญิงของเธอมีความเป็นสากล อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด แม้กระทั่งชื่อก็เป็นชื่อเดียวกัน คือ Nanas

Nanas เป็นงานศิลปะแนวใหม่ที่เป็นรูปปั้นทำจากการนำกระดาษมาแปะเป็นชั้นๆ (paper mache ) Nanas เป็นตัวแทนของผู้หญิงทั้งโลก มีหลายขนาด ตัวแรกนำไปแสดงที่ Alexander lolas Gallery ในกรุง Paris มีคนสนใจกันมากเนื่องจากมีความแปลกในตัวและมีสีสันสดใส


ในปี ค.ศ.1966 Niki de Saint Phalle ร่วมกับ Jean Tinguely ทำงานใหญ่อีกชิ้นหนึ่งให้กับ Moderna Museet ในสวีเดน ชื่อ hon-en kathedral (she-a cathedral) เป็นรูปปั้นผู้หญิงขนาดใหญ่ทำจากการนำ
กระดาษมาแปะเป็นชั้นๆเช่นกัน

รูปปั้นผู้หญิงอยู่ในท่านอนอ้าขา คนสามารถเดินเข้าไปข้างในรูปปั้นได้โดยเดินผ่านเข้าไปทางอวัยวะเพศ งานชิ้นนี้ได้รับการวิจารณ์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ รวมทั้งยังสร้างความไม่พอใจให้กับศาสนจักรเป็นอย่างมากด้วย

วันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.1971 Niki de Saint Phalle แต่งงานกับ Jean Tinguely ในปีเดียวกันนั้นเอง Niki de Saint Phalle กลายเป็นคุณยายยังสาวเนื่องจาก Laura บุตรสาวคนโตของเธอให้กำเนิดบุตรชาย

ปี ค.ศ.1979 Niki de Saint Phalle มีรายได้มากจากการทำงานหลายอย่างโดยเฉพาะการทำ Nanas ด้วยกระดาษแปะหลายๆ แบบและหลายๆ ขนาดออกมาขาย

นอกจากนี้เธอยังออกแบบบ้าน ออกแบบเสื้อผ้าให้นักแสดง และ
แสดงภาพยนตร์ด้วย เมื่อมีเงินเพียงพอ เธอจึงตัดสินใจที่จะทำความฝันของเธอให้เป็นความจริง จึงเอาเงินไปซื้อที่ดินในแคว้น Tuscany ที่อยู่ห่างจากกรุง Rome ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 100 กิโลเมตร

เพื่อสร้างสวนแบบที่เธอต้องการ ซึ่งเธอได้รับอิทธิพลมาจากสวน Parc Guell ของ Gaudi โดยเธออยากให้เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ทำโดยผู้หญิง
Niki de Saint Phalle ตั้งชื่อสวนของเธอว่า Giardino dei Tarocchi

สวนนี้ประกอบด้วยรูปปั้นที่ทำจากสัญลักษณ์ไพ่ Tarot ใช้เวลาในการสร้างเกือบ 20 ปี หมดเงินไปมาก ในช่วง10 ปีแรกของการสร้างสวน Niki de Saint Phalle ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น สวนสร้างเสร็จสมบูรณ์เปิดให้เข้าชมได้ในปี ค.ศ.1998

ในชีวิตของการเป็นศิลปินนั้น Niki de Saint Phalle มีผลงานจำนวนและได้รับรางวัลอีกมากมาย จากการประกวดผลงานและจากการยกย่อง ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือรูปปั้น Nanas ที่ทำมากมายหลายขนาด และมีอยู่ในหลายประเทศ

และยังได้รับความนิยมมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นอกจาก Nanas แล้ว เธอยังทำรูปปั้นแบบอื่นๆอีกมาก เช่น ในปี ค.ศ.1983 เธอทำรูปปั้นชื่อ Sun God ให้กับ University of California San Diego Campus และในปี ค.ศ.1989 เธอทำรูปปั้นบนหลุมฝังศพที่ไม่ว่าใครมีโอกาสได้เห็นก็ต้องชอบ

นอกจากการปั้นแล้ว ในปี ค.ศ.1980 Niki de Saint Phalle ยังเป็นผู้ริเริ่มการทำเฟอร์นิเจอร์จาก polyester และ ในปี ค.ศ.1982 เธอมีน้ำหอมเป็นของตัวเองอีกด้วย

บั้นปลายของชีวิต Niki de Saint Phalle และสามีย้ายกลับไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1994 ที่มลรัฐ California และยังคงทำงานศิลปะหลายอย่าง เธอทำงานต่อเนื่องมาตลอดจนกระทั่งถึงแก่กรรมที่ La Jolla ในมลรัฐ California ในขณะที่มีอายุได้ 71 ปี เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ.2002

น่าอิจฉา Niki de Saint Phalle เธอช่างมีชีวิตที่สนุกอะไรเช่นนั้น


ขอขอบคุณ

อายตนะ ayatana2010@live.com

16 พฤษภาคม

มติชนออนไลน์


ภุมวารสวัสดิ์วัฒนานะคะ

Create Date :17 พฤษภาคม 2554 Last Update :17 พฤษภาคม 2554 15:29:42 น. Counter : Pageviews. Comments :0