ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 
ทอย (17)

บานประตูปิดลงโดยไร้เสียง แสงสว่างสุดท้ายที่เล็ดลอดออกมาจากภายในห้องค่อยๆ ถูกกลืนหายไปจนสิ้น ทอยหยุดยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเพื่อสำหรับสิ่งใด เขาหันหลังกลับ และรอยยิ้มนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนแสงสว่างเมื่อครู่

สิ่งที่กำลังรอคอยเขาอยู่ตรงหน้า คือความมืดอันเก่าแก่ที่หมักหมมอยู่ภายในตรอกเล็กๆ แห่งนี้มาแสนนาน มันเป็นยิ่งกว่าที่เขาจำได้เมื่อตอนเช้า มากกว่าที่เขารู้สึกได้ตอนที่เดินเข้ามา พวกมันหนาหนักจนราวกับว่าจะสามารถจับต้องได้ 'โศกาคิดเคยเขียนถึงพวกมันไว้ว่าอย่างไรกันนะ'

'ความกลัวที่มีต่อความมืดนั้นอาจนับเป็นความกลัวที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษของมนุษยชาตินับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ของเรายังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ

เราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงสว่างของกลางวันเพราะว่าดวงตาของเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนั้น มันเป็นครึ่งหนึ่งของโลกที่เราสามารถมองเห็นได้ จนเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เมื่อแสงของยามค่ำคืน เมื่อความมืดมิดมาเยือน ผลักดันเราให้ต้องก้าวเข้าสู่โลกอีกครึ่งที่เหลือ โลกที่เราไม่อาจมองเห็น

มันคือความกลัวที่เรามีให้กับนักล่าแห่งรัตติกาลผู้มีดวงตาราตรี สัตว์มีพิษ แมลงอันตราย และสิ่งคุกคามต่อชีวิตทั้งหลายที่หลบเร้นอยู่ในความมืด

กลางวันคือแสงสว่าง กลางคืนคือความมืด กลางวันคือสวนสวรรค์ กลางคืนคือห้วงนรก กลางวันคือความเป็นจริง คือสิ่งที่เรามองเห็น กลางคืนคือสิ่งที่เราไม่อาจเห็น คือจินตนาการ อันตรายที่มองเห็นได้นั้นแสนน่ากลัว แต่อันตรายที่ไม่อาจเห็น อันตรายที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่ภายในจิตใจของเราเองนั้นยิ่งน่ากลัวกว่า สัตว์ประหลาด ภูติผีปีศาจ และสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายล้วนหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดชนิดนี้

เหตุใดศาสตราวุธของจอมเทพจึงถูกระบุว่าเป็นสายฟ้า เหตุใดวีรบุรุษคนแรกจึงเป็นผู้ที่ขโมยไฟมาจากเหล่าทวยเทพเพื่อมอบให้กับมวลมนุษย์ ทั้งหมดนี้ต่างมีความสัมพันธ์กับสิ่งพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ ไฟ นั่นเอง สายฟ้าที่ตัดผ่านสรวงสวรรค์ลงสู่ยอดไม้สูงในแดนมนุษย์ แสงสว่างวาบ พลังทำลายล้าง เสียงแตกระเบิด แรงสั่นสะเทือน กลิ่นไหม้ ความรู้สึกถึงประจุไฟฟ้าในอากาศ ทั้งหมดนั้นไม่อาจเป็นสิ่งใดไปได้นอกจากสุดยอดอาวุธของจอมเทพเท่านั้น หลังจากนั้น ในความมืดมนของพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ เปลวเพลิงพลันลุกโชนขึ้น มนุษย์ผู้ได้พบเห็นปรากฎการณ์อันแสนมหัศจรรย์นี้คงได้แต่ยืนตะลึงงัน

นั่นคือช่วงเวลาที่วีรบุรุษคนแรกของเราได้ขโมยไฟจากเหล่าทวยเทพลงมามอบให้

ไฟ มีความสำคัญต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่เพราะคุณประโยชน์อันมากมาย ไม่ใช่เพราะอันตรายใหญ่หลวง หรือพลังทำลายล้างอันไม่สิ้นสุดของมัน แต่เป็นเพราะ แสงสว่าง ที่มาพร้อมกันนั้นต่างหาก

แสงสว่างที่สามารถใช้ขับไล่ความมืดได้ในทุกเวลา นับเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถสำรวจลึกเข้าไปภายในถ้ำมืด ได้มองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในยามราตรี ความกลัวบางส่วนของพวกเขาได้ถูกปราบลง วีรบุรุษคนแรกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วภายในใจของพวกเขา ชัยชนะที่มีเหนือความมืดมิด เหนือจินตนาการ เหนือความหวาดกลัวของตัวเอง

เวลาเวียนหมุนไป มนุษยชาติเจริญรุดหน้ามาจนแม้แต่ตัวเราเองก็ยังคาดไม่ถึง แต่สุดท้ายแล้ว ภายใต้ความมืดมิดที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ ภายใต้โมงยามที่เราไม่อาจมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน จินตนาการอันเลวร้าย สิ่งที่เคยนึกว่าได้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว ก็จะเริ่มหลอกหลอนอีกครั้ง

ความกลัวต่อความมืดอันเก่าแก่นั้น ยังคงมีอยู่ภายในใจของเราเสมอ'

สายตาของเขาเร่งปรับตัวเข้ากับความมืดนี้ แต่มันก็ยังไม่เร็วพออย่างที่ต้องการ ขนที่หลังคอของเขาลุกตั้งชัน เขารู้สึกได้ถึงบางสิ่ง ภายในตรอกแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงความมืดกับตัวเขาเท่านั้น

มันยังมีสิ่งอื่นอยู่ด้วย

ตรอกที่ไม่กว้างนักแห่งนี้ค่อยๆ หดแคบลงจนเหลือขนาดเพียงพอให้คนคนเดียวเดินผ่านได้เท่านั้น มันอาจเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากส่วนผสมอันลงตัวระหว่างความมืด กับความกลัวก็เป็นได้

'ไม่น่าใช้พลังที่เหลืออยู่ไปกับประตูบานนั้นเลย' เขาได้แต่คิดอย่างขมขื่น เขาที่เอาแต่เฝ้าบอกกับตัวเองว่าไม่อยากเป็นมือสังหาร ไม่อยากเป็นนักฆ่า ไม่อยากได้ความสามารถพวกนั้น 'แต่ในเวลาแบบนี้' ในช่วงเวลาที่คับขัน สิ่งที่เขาสามารถพึ่งพาได้นั้นกลับมีเพียงอย่างเดียว คือความสามารถที่เขาบอกว่าเกลียดนั่นเอง

ดอกไม้สีแดงคล้ำขนาดยักษ์เท่ากับคนคนหนึ่งผุดขึ้นในความมืด 'เหมือนจะเป็นดอกกุหลาบ' ก่อนผลิบานที่กึ่งกลางความลึกของตรอกแห่งนี้ กลีบสีโลหิตของมันค่อยๆ ผลิบานออกอย่างช้าๆ ก่อนหยาดหยดลงสู่พื้น ภาพทั้งหมดนี้ชวนให้เขารู้สึกหยดหยองเป็นอย่างยิ่ง

'เมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร ก็จงอย่าไปต่อเติมมัน' นั่นเป็นคำพูดของปู่แจ็ค

ภาพของดอกกุหลาบสีแดงเลือดที่ร่วงโรยเปื่อยเน่าอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยภาพของผ้าคลุมสีแดงคล้ำที่กางขยายออกก่อนค่อยๆ คลี่คลุมลงสู่พื้น ภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นร่างเล็กๆ ที่ถือของบางสิ่งเอาไว้

“...คะ” เสียงที่แสนอ่อนล้าดังแว่วมาจากร่างลึกลับ แทรกตัวผ่านมาตามความมืดหนาหนักที่กางกั้นระหว่างทั้งสอง เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นคำถาม แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ไม่แน่ใจแม้แต่ว่ามันจะเป็นเสียงของผู้หญิงอย่างคำพูดที่ใช้หรือไม่

ในยามราตรี ท่ามกลางความมืดมิดแปลกประหลาด ใจกลางตรอกคับแคบ พลันมีร่างลึกลับภายใต้ผ้าคลุมสีเลือดปรากฎขึ้นตรงหน้า ในสถานการณ์แบบนี้มีใครรู้บ้างว่าควรทำอย่างไร เขาไม่รู้

'เมื่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ก็ทำไปตามที่เรารู้' คำสอนของปู่แจ็คดังขึ้นอีกครั้ง

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

“รับ...ไหมคะ” ร่างนั้นคล้ายจะลอยเข้ามาหาอย่างช้าๆ 'ไม่ แค่ฉันมองไม่เห็นขา เพราะผ้าคลุมผืนนั้น' เขารีบบอกกับตัวเอง

“หยุดอยู่ตรงนั้นด้วยครับ” ท่าทีของเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน คำพูดนั้นเหมือนกับเป็นการร้องขอ แต่น้ำเสียงราบเรียบที่ใช้กลับทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจต่อต้าน ร่างของเขาคล้ายยืดเหยียดสูงขึ้นอย่างไร้เหตุผล กลมกลืนเข้ากับความมืดที่อยู่รอบกาย

สภาพเช่นนี้ของเขาคงอยู่ได้เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น แต่ร่างลึกลับก็หยุดเคลื่อนที่ตามที่เขาบอก บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไรแปลกๆ ได้อีกหรือไม่

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ” เขาพยายามผ่อนคลายตัวเองให้มากที่สุด เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขายังสามารถทำได้ในตอนนี้ เขาไม่มีพลังหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

ใต้ผ้าคลุมสีแดงนั้นเกิดความเคลื่อนไหวก่อนถูกแหวกเปิดออกจากทางด้านหน้า มีมือขาวซีดข้างหนึ่งยื่นออกมาพร้อมกับเสยปลดหมวกคลุมไปทางด้านหลัง ส่วนในมืออีกข้างนั้นถือตะกร้าใบเล็กสีดำเอาไว้ ใบหน้าของเด็กสาว ผมตรงยาว งดงาม แต่ซีดเซียวจ้องตรงมาที่เขา

เด็กสาวถือตะกร้า สวมเสื้อคลุมสีแดงที่อาจพบเห็นได้ทั่วไป ภาพธรรมดาที่กลับกลายเป็นความน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“...รับไม้ขีดไฟไหมคะ” เธอฉีกยิ้ม ซึ่งยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม ก่อนเอื้อมมือลงไปในตะกร้า ชั่วแวบหนึ่งนั้นเขาเผลอคิดว่าสิ่งที่จะถูกหยิบออกมาน่าจะเป็นสิ่งอื่น อาจเป็นบางสิ่งที่เหนียวเหนอะ น่าขยะแขยง หรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่านั้นถ้ามันเป็นอาวุธ 'หยุด' เขารีบสงบใจลง

“ไม่ ขอบใจนะ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้มัน” เขาฝืนยิ้ม

กลักไม้ขีดที่หยิบออกมาถูกยกชูค้างไว้กลางอากาศ “หนูก็คิดว่าอย่างนั้น” เธอทำหน้าเศร้า “เดี๋ยวนี้ไม่มีใครใช้ของพวกนี้อีกแล้ว”

เขารู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เธอเข้ามาใกล้ได้ 'ฉันยังอยู่ในความมืด และฉันก็มองเห็นเธอได้ชัดเจน' ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ เขาอยากที่จะถอยกลับเข้าไปอยู่ภายใต้แสงสว่างของสำนักงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจหันหลังกลับไปในตอนนี้ได้ ที่สำคัญ เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถหาประตูบานนั้นได้พบภายใต้ความมืดที่ผิดปกติเช่นนี้ เขาหมายถึงว่าก่อนหน้านี้มันก็ผิดปกติ แต่ไม่ได้ผิดปกติมากขนาดนี้

เด็กสาวขายไม้ขีดไฟคนนี้ทำให้เขานึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หนูน้อยหมวกแดงตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่เหมือนเช่นเคย เธอมีงานมากมายที่ต้องทำเพื่อให้สามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกวัน เพราะว่าชีวิตนั้นไม่เคยง่าย ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต

“ลูกรีบเอาตระกร้าใบนี้ไปให้คุณยายหน่อย” แม่ของเธอพูดโดยที่ไม่ยอมหันมา หรือวางมือจากงานที่กำลังทำอยู่

“แต่หนูยังมีงาน...”

“ลูกได้ยินที่แม่พูดแล้วใช่ไหม” แม่ยังคงไม่หันกลับมา แต่เธอรู้จักเสียงนั้นดี

“ค่ะแม่” เธอทิ้งงานที่ทำค้างอยู่ หยิบตะกร้าขึ้นมา คว้าเสื้อคลุมสีแดงตัวเก่งแล้วรีบออกจากบ้านทันที กว่าที่เธอจะกลับมาถึงบ้านอีกครั้งก็คงเป็นตอนบ่าย และเธอก็จะยังเหลืองานอีกมากมายที่ต้องทำให้เสร็จ เธอไม่ถามว่าในตะกร้ามีสิ่งใด ไม่เคยถามว่าทำไมคุณยายถึงต้องออกไปอยู่ตามลำพังห่างไกลจากหมู่บ้าน ไม่เคยถามว่าพ่อหายไปไหน อันที่จริงแล้วข้อสุดท้ายนี้เธอเคยถามครั้งหนึ่ง และเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว เธอไม่อยากเห็นแม่เป็นแบบนั้น ที่สำคัญ เธอไม่อยากเจ็บตัวอีก

วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว แต่เธอก็ไม่ยอมถอดเสื้อคลุมออก เพราะสีแดงนี้คือตัวเธอ เธอสวมใส่มันไปทุกที่ จนเธอไม่อาจถอดมันออกได้โดยง่าย

กระท่อมของคุณยายยังคงอ้างว้างโดดเดี่ยวเหมือนที่เธอจำได้ เธอก้าวเข้าไป เคาะประตูพร้อมกับร้องเรียกคุณยาย

“เข้ามาสิหลาน”

ภายในกระท่อมมืดทึบ พร้อมกับมีกลิ่นแปลกๆ ที่ฉุนเฉียว คุณยายนอนอยู่บนเตียง ร่างที่เหี่ยวย่นถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ เธอคิดว่าส่วนที่นูนขึ้นมานั้นมีบางอย่างผิดปกติ

“แม่ฝากของมาเยี่ยม คุณยายสบายดีหรือเปล่าคะ” เธอเข้าไปนั่งลงที่ด้านข้างเตียง

“ก็เจ็บป่วยไม่สบายธรรมดาตามประสาคนแก่นั่นแหละหลาน” คุณยายรับตะกร้าไปพร้อมกับเปิดออกดู เธอจึงได้เห็นไก่ตัวอ้วนนอนอยู่ในนั้น ไก่สดที่ยังไม่ได้ประกอบเป็นอาหาร ไม่แม้แต่จะถอนขนออกด้วยซ้ำ เธอไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่กันแน่ คุณยายถอนหายใจยาวพร้อมกับพึมพำเบาๆ “...ถึงเวลาแล้วหรือ...”

คุณยายยื่นตะกร้าคืนให้ ซึ่งความจริงแล้วเป็นการโยนมากว่า ไม่รู้ว่าคุณยายไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมายถึงเพียงนี้ คุณยายยิ้มยิงฟันเห็นเขี้ยวขาววาววับเรียงเป็นแถว หูของคุณยายเหยียดยาว จมูกปากยื่นออก ก่อนที่ส่วนนูนใต้ผ้าห่มก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเช่นกัน

หางที่เป็นพวงสวยงามนั้นห้อยออกมาจากใต้ผ้าห่ม พร้อมกับกระดิกส่ายไปมา

เธอกรีดร้องพร้อมกับรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ภายในกระท่อม กลิ่นสาบสางที่ใช้ในการกำหนดเขตแดน ทุกสิ่งพลันกระจ่างจ้า ไม่ใช่ด้วยสีของแสง แต่ด้วยกลิ่นต่างๆ ที่มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เธอยกมือขึ้น ก้มมองดูตัวเอง และรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณยายเป็นมนุษย์หมาป่า และตัวเธอเองก็เช่นกัน

“กินสิหลาน มันจะเป็นอาหารมื้อแรกของเธอ” คุณยายหมายถึงไก่ในตะกร้าตัวนั้น และเธอกินมันอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยเล็บ และด้วยเขี้ยวของเธอเอง ก่อนที่คุณยายจะสอนวิธีควบคุมสิ่งที่คุณยายเรียกว่า 'หมาป่าภายใน' ให้กับเธอ ในที่สุดทั้งสองก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์อีกครั้ง

“ยายเคยคิดว่ามันจะสิ้นสุดลงแล้ว ตั้งแต่แม่ของหลาน” คุณยายเหม่อมองไปในความทรงจำของตนเอง

“...แม่ไม่เหมือนพวกเราหรือคะ”

“ตอนสมัยเด็กๆ ยายลองทดสอบหลายครั้ง แต่แม่ก็ไม่เคยทำได้ จนยายวางใจ คิดว่ามันจะสิ้นสุดลงแล้ว”

“หมายความว่าแม่เองก็ทำได้เหมือนกันหรือคะ”

“ครั้งเดียว แค่เพียงครั้งเดียว” คุณยายตอบหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “แล้วก็ไม่เคยทำได้อีกเลย ซึ่งก็ดีแล้ว ดีจริงจริง” เธอรู้ได้ในทันทีว่าต้องมีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้นในตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องได้กลิ่นของความเสียใจที่ระเหยออกมาจากร่างของคุณยายก็ตาม

“เธอไม่เคยรู้จักกับหมาป่าของตัวเองมาก่อน เธอไม่เคยได้รับการสอน และมันไม่มีไก่อยู่แถวนั้น มีแต่...” เธอหวนนึกถึงอาการของแม่ตอนที่เธอถามถึงเรื่องของพ่อขึ้นมาในทันใด คุณยายไม่ได้เล่าต่อ และเธอก็ไม่เคยถามถึงเรื่องนี้อีกเลย ตลอดกาล

เมื่อหวนนึกถึงนิทานเรื่องนี้อีกครั้ง ภาพของคุณยายพลันถูกแทนที่ด้วยคุณนายวิกเซ่น ส่วนหนูน้อยหมวกแดง ก็คือเด็กสาวขายไม้ขีดไฟที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า กลักในมือถูกเปิด ไม้ขีดก้านหนึ่งถูกนำออกมา มันไม่ใช่นิทานอีกแล้ว แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงตรงหน้า

'อันตราย' ความรู้สึกภายในของเขาส่งเสียงเตือน แต่เขายังไม่รู้ว่าอันตรายนี้คืออะไร น่าเสียดายที่เขาไม่เคยได้ยินนิทานอีกเรื่อง ซึ่งมีอยู่ในอีกสถานที่ หรือบางทีอาจเป็นอีกโลกหนึ่ง นิทานที่มีความเกี่ยวข้องกับเด็กสาวขายไม้ขีดไฟโดยตรง


Create Date : 03 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2556 0:58:11 น. 0 comments
Counter : 632 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.